Chapter 6
ผ่านมาแล้วหนึ่งวันกับการพยายามโทร. เข้าเครื่องของเธอเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายที่เก็บเครื่องไปนั้นจะยอมรับสายและยังไม่นำเครื่องของเธอไปขายทิ้งก่อน สุดท้ายแล้วก็เริ่มตัดใจเมื่อไม่มีคนรับ อีกทั้งยังถูกปิดเครื่องไปดื้อ ๆ อีก ลฎาภานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พลางเอื้อมมือกดรีโมตโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ต้องรอผลการสัมภาษณ์อย่างไร้ความหวังนั้น ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน แม้ว่าจะติดต่อไปหลายบริษัท ทว่าช่วงนี้ยังไม่มีการรับพนักงานใหม่บ้าง หรือบางบริษัทก็มีพนักงานเต็มอัตราอยู่แล้ว เหมือนแสงที่ริบหรี่มาก กริ๊ง—กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หญิงสาวจึงขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ยกขึ้น [ทำไมพี่โทร. เข้าเครื่องแล้วไม่รับล่ะ] “โทรศัพท์หาย แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวกลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน อันที่จริงเมื่อก่อนที่จะคบกับแฟนหนุ่มก็เคยเป็นอยู่บ้าง จนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ทว่า...นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว [เออน่า...วันนี้พี่ลางาน กำลังจะกลับบ้าน เมื่อวานเมามาก] “เมาแล้วไปนอนที่ไหนมาอะ” [เรื่องนั้นไม่ต้องยุ่งหรอกน่า...จะเที่ยงแล้ว ทำมื้อเที่ยงเผื่อด้วยนะ] ลฎาภาถอนหายใจออกมาพลางหันมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง “โอเค...ขับรถดี ๆ ละกัน” เมื่อพูดจบอีกฝ่ายก็วางสายลง เธอมองโทรศัพท์แบบงง ๆ เพราะน้ำเสียงฟังออกจะไม่สบอารมณ์มากนักทำให้รู้สึกแปลกใจ ลฎาภาวางหูโทรศัพท์ ปิดโทรทัศน์ก่อนขยับตัวลุกขึ้นเดินเข้าไปในห้องครัว หญิงสาวเปิดตู้เย็นกวาดสายตามองก่อนหยิบผักและอาหารสดออกมาวางไว้ข้างนอก หั่นและล้างอย่างสะอาด ครั้นกำลังตั้งกระทะเปิดเตา เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นติดต่อกันจนต้องปิดเตาและเดินออกจากครัวไปรับสายทันที “สวัสดีค่ะ” [สวัสดีครับ] ลฎาภาอึ้งไปครู่หลังจากที่รับสาย “ค่ะ เออ...ไม่ทราบว่า...” [คือผมเก็บโทรศัพท์ของคุณได้เมื่อวันก่อนที่ห้องน้ำชายในบริษัท ไม่ทราบว่าเป็นของคุณหรือเปล่าครับ] “ชะ...ใช่ค่ะ” หญิงสาวตอบรับด้วยน้ำเสียงดีใจ “ดีใจจัง” [พอดีเมื่อวานผมยุ่ง ๆ เลยไม่ได้รับสายที่คุณโทรเข้ามา อีกทั้งแบต ฯ โทรศัพท์ก็หมดพอดี ขอโทษด้วยนะครับ] เขาดูสุภาพมาก...อยากเจอจัง ใครกันที่เก็บโทรศัพท์ของเธอไป “ขอบคุณมากนะคะ” [วันมะรืนช่วงเย็นคุณสะดวกไหม ? ผมจะนำโทรศัพท์มาคืนให้คุณ] “สะดวกมากค่ะ” ลฎาภารีบตอบกลับทันที [ครับ ถ้าอย่างนั้นห้าโมงครึ่งที่ร้านกาแฟตรงข้ามบริษัทนะครับ ผมจะนั่งรออยู่โต๊ะด้านในของมุมร้าน] “ได้เลยค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ” หญิงสาวกล่าวขอบคุณ ขณะที่อีกฝ่ายได้วางสายลงหลังจากที่พูดจบ สวรรค์ยังไม่ใจร้ายกับเธอ...ขอบคุณจริง ๆ โชคดีที่ยังไม่ตัดสินใจซื้อเครื่องใหม่ไปเมื่อวาน ไม่อย่างนั้นคงจะเสียดายแย่ ลฎาภาวางโทรศัพท์ลงแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องครัว ทำอาหารมื้อเที่ยงอย่างมีความสุข จนเสร็จเรียบร้อย พอดีกับที่ได้ยินเสียงประตูและเสียงรถ จึงรู้ว่าพี่สาวได้กลับมาแล้ว หญิงสาวนำอาหารออกมาจัดวางบนโต๊ะก่อนเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าของพี่สาวด้วยความตกใจ “พี่รัก...ไปทำอะไรมา” ถลัชนันท์มองด้วยสายตาที่สับสนมากกว่าจะพูดออกมาได้ แค่เธอมีสติขับรถกลับมาบ้านได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว มันจะมีอะไรที่แย่มากกว่านี้อีกไหม ? “แกทำอะไรกินบ้าง” ถลัชนันท์เปลี่ยนเรื่องสนทนาทันที วางของไว้ที่โต๊ะแล้วเดินไปล้างมือ ก่อนมานั่งรับประทานอาหารเงียบ ๆ ไม่ปริปากพูดอะไร “เป็นอะไรหรือเปล่า ?” ไม่มีคำตอบจากคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจนกระทั่งเสียงของช้อนและส้อมวางลงกระทบจานกระเบื้องอย่างดัง ทำให้ลฎาภาที่นั่งก้มหน้ารับประทานอาหารอยู่เงยหน้าขึ้นมองทันที “ยัยจอม พี่กำลังจะแต่งงาน” “หา !” แทบสำลักข้าวเลยทีเดียว หญิงสาวยกมือขึ้นลูบหน้าอก หยิบน้ำขึ้นดื่มแล้วส่งสายตามอง “แต่งกับพี่อาร์ตเหรอ ไหนว่าเลิกกันแล้วไง ?” “เปล่า ไม่ใช่พี่อาร์ต” “อ้าว แล้วใครล่ะ พี่ไปปิ๊งผู้ชายที่ไหนมาอีก ?” “ไม่ได้ปิ๊ง แต่เสียตัวให้เลยต่างหาก” ถลัชนันท์พูดอย่างไม่ปิดบัง ลฎาภาอึ้งจนพูดไม่ออก หญิงสาวไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือทำหน้าตาอย่างไรดี “ละ...แล้วพี่ก็ตอบตกลงแต่งงานเนี่ยนะ !” ถลัชนันท์พยักหน้าเป็นคำตอบ “ผู้ชายคนนั้นเป็นใคร ทำงานอะไร เขานิสัยดีไหม ?” “พี่ก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร” ถลัชนันท์ตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเพราะว่ารับปากไปแล้ว และคิดว่าคงไม่มีอะไรเสียหายหากอีกฝ่ายจะรับผิดชอบ “แต่...เขาดูมีฐานะดีนะ” เมื่อได้ยินก็อึ้งยิ่งกว่าเดิม ลฎาภาพูดไม่ออกทีเดียว “เรื่องนี้อย่าบอกที่บ้านนะ พี่อยากเก็บเอาไว้ก่อน” “เดี๋ยวสิ ถ้าไม่บอกแล้วมารู้ทีหลัง...” “ถ้าบอก...แกลองนึกภาพดูสิว่าจะเป็นยังไง” ลฎาภายิ้มเจื่อน ๆ รู้ทันทีว่าหากโทร. บอกวันนี้พี่ชายคงนั่งเครื่องลงมาหาไม่เกินวันพรุ่งนี้แน่นอน อีกทั้งยังคงอยากจะพบหน้าผู้ชายคนนั้นด้วย และถ้าหากไม่ถูกชะตาด้วยแล้วล่ะก็... “ตามใจละกัน จอมไม่อยากยุ่งกับการตัดสินใจของพี่ แต่ถ้าคิดว่ามีความสุขก็ทำไป” เปล่าหรอก...ไม่ได้มีความสุขสักนิด ไม่รู้สึกตื่นเต้นเหมือนงานแต่งงานที่เคยวาดฝันเอาไว้สักนิด แค่ไม่มีอะไรจะให้เสียหายอีกแล้วต่างหากกับความรัก “รู้แล้วน่า...อยู่กันไปเดี๋ยวก็รักกันเองแหละ” ถลัชนันท์พูด ที่จริงไม่ได้เล่าว่าการแต่งงานมาจากความเต็มใจของเขาแต่เป็นผู้ใหญ่ที่จัดให้ต่างหาก “ถ้าเป็นแบบนั้นได้ก็ดีสินะ” ถลัชนันท์ไม่ตอบเอาแต่ก้มหน้าก้มตาตักอาหารเข้าปาก ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดี เธอจะได้ไม่ต้องเสียเวลารักผู้ชายแบบอรรถนนท์มาถึงห้าปี ! เป็นเช้าอีกวันที่นั่งส่งอีเมลสมัครงานเช่นเคย จนกระทั่งเที่ยงทำเพียงแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกิน แล้วเขียนจดหมายสมัครงานทางอีเมลไปหลายต่อหลายที่ ส่วนมากมักจะตอบกลับมาว่ายังไม่เปิดรับพนักงานฝ่ายนี้เนื่องจากเต็มอัตรา จนกระทั่งเกือบบ่ายสามหญิงสาวจึงรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อออกไปรอตามนัดกับชายที่เก็บของของเธอได้ในห้องน้ำ ลฎาภาวิ่งหน้าตั้งข้ามสะพานลอยมาทันทีที่ลงจากรถเมล์ เพราะอุบัติเหตุการจราจรในช่วงเย็นเป็นเหตุทำให้มาสายกว่าเวลาที่นัด ไม่คิดว่าวันนี้จะใช้เวลาเดินทางเกือบสองชั่วโมงกว่า เมื่อวิ่งลงจากสะพานมาแล้วหันหากระจกร้านจัดแต่งทรงผมที่ดูยุ่งเหยิงให้เข้าที่ เขายังจะรอเธออยู่ไหม ? หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ผลักประตูร้านเดินเข้าไปพลางกวาดสายตามองไปยังมุมร้านที่เขานัดหมาย แล้วค่อย ๆ สาวเท้าเดินเข้าไปหา “เอ่อ...ขอโทษนะคะ คือ...” ให้ตายสิ ตอนนั้นก็ลืมถามชื่อไว้ด้วย ลฎาภายกมือขึ้นกุมขมับอย่างคาดโทษตัวเอง เมื่อได้ยินเสียงชายหนุ่มจึงหันมาและขยับตัวลุกขึ้นขณะที่ หญิงสาวยังคงก้มหน้าอยู่ “สวัสดีครับ” เมื่อได้ยินเสียงหล่อเอ่ยทักทายลฎาภาก็รีบเงยหน้าขึ้นมองทันที ดวงตากลมกะพริบมองอยู่นานเมื่อเห็นชายหนุ่มยิ้มตอบกลับ “เอ่อ...” หญิงสาวรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก สูดลมหายใจเข้าตั้งสติและขยับตัวนั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเขาก่อนกล่าวทักทาย “สวัสดีค่ะ” เจตนิพัทธ์เรียกพนักงานแล้วสั่งเครื่องดื่ม ก่อนจะหันมาถามเธอเพื่อสั่งให้เช่นกัน ลฎาภานั้นตอบแค่น้ำเปล่าหนึ่งแก้วด้วยความเกรงใจ “ขอบคุณนะคะที่ช่วยเก็บไว้ให้ ฉันคิดว่าจะไม่ได้คืนซะแล้ว” หญิงสาวพูดกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ไม่เป็นไรครับ” เขาพูดพร้อมกับหยิบซองเอกสารและโทรศัพท์ส่งคืน “ขอบคุณค่ะ” ลฎาภาเอื้อมมือหยิบของตรงหน้าแล้วยิ้มให้ขณะที่เครื่องดื่มเพิ่งจะมาเสิร์ฟ “มีคนลืมของคุณไว้หรือครับ” อ่า...เป็นคำถามที่อยากจะลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไปไกล ๆ ทันที แน่นอนว่าทำแบบนั้นไม่ได้ ลฎาภาฉีกยิ้มหวานมองแบบเขินอาย ก่อนจะขยับตัวและโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้ ๆ พร้อมกับกวักมือเรียกให้ชายหนุ่มโน้มใบหน้าเข้ามาหา เจตนิพัทธ์เลิกคิ้วมองอย่างสงสัยแต่ก็ทำตามโดยดี “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” SWEET SITUATION หนีรัก มาพบคุณChapter 7 “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอต
Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง
Chapter 9 “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...” ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน” “ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย” หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง “มาโยนบอลเล่นกันไหม ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ” ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ” “ไม่เอา” หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด “งั้นเรามาเล่นกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ ก
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ
Chapter 11‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็มลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก“เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !”หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรหลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่งเป็นขอ
Chapter 12 ผ่านมาสองวันแล้วที่ลฎาภาไม่ได้นั่งอยู่เฉยในบ้านเช่นเดิม หลังรับประทานอาหารมื้อเช้าช่วงสายเสร็จก็รีบจัดเก็บของใช้ส่วนตัวภายในห้องใส่กล่องไว้เพื่อสะดวกต่อการขนย้ายในอีกไม่กี่วันที่จะถึง จากนั้นช่วงบ่าย หญิงสาวจึงอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปหางานพาร์ตไทม์ทำ “ขอชื่อและเบอร์ติดต่อไว้ก่อนนะคะ วันนี้ผู้จัดการร้านไม่เข้าค่ะ” หญิงสาวยิ้มรับและรับกระดาษโน้ตมาเขียนข้อมูลลงไปก่อนจะส่งยื่นให้อีกฝ่ายแล้วเดินออกจากร้านมา วันนี้ก็เป็นเหมือนเดิมคือรอการติดต่อกลับไป เฮ้อ...บางทีอาจจะต้องกลับไปใช้เงินเก่าที่เก็บออมมาประทังชีวิตไปก่อนช่วงที่ยังว่างงาน “ร้านตรงนั้นก็ปิดรับสมัครพนักงานพาร์ตไทม์ ตรงนี้ก็ด้วย จะไปหาที่ไหนดีล่ะ แถวนี้ก็ถามเกือบทุกร้านแล้วด้วย” ลฎาภาบ่นพึมพำเพียงลำพังขณะที่เดินหันมองไปยังร้านค้าด้วยสีหน้าสุดผิดหวัง ทั้งที่อุตส่าห์หาข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้วแท้ ๆ “งานก็หายาก เงินก็ต้องใช้ กลับบ้านไปดีไหมช่วงนี้น่ะ !” ลฎาภานิ่งค้างท่าที่ยืนตะโกนพูดออกมาเสียงดังอย่างลืมตัว เธอหันมองรอบ ๆ แล้วรีบเดินออกมาโดยไวทันที แต่ทว่ามีหญิงวัยกลางคนได้เดินเข้ามาหา กล่าวทักทาย อย่างเป