Chapter 5
“ว่าไง” ถลัชนันท์พูดขึ้นทันทีที่กดรับสาย [วันนี้จะไม่กลับบ้านหรือไง นี่จะสี่ทุ่มแล้วนะ ไปอยู่ไหนน่ะ...แล้วนี่เสียงอะไรดังน่ารำคาญ...] “อยู่ที่ผับน่ะ วันนี้เครียดนิดหน่อย แกปิดบ้านเข้านอนไปก่อนเลย” หญิงสาวตอบก่อนกดวางสายทันที ดวงตากลมมองไปยังแสงสีเบื้องหน้าที่มีผู้คนมากมายต่างเต้นเย้าสะโพกส่ายไปมา แต่กับเธอเพียงแค่นั่งดื่มเหล้าให้เมาเพื่อลืมความเจ็บปวดนี้ ทั้งที่รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย การที่อยู่คนเดียวยิ่งทำให้เป็นบ้าตายเอาจริง ๆ “มาคนเดียวหรือครับ” เสียงทุ้มของชายหนุ่มทำให้ถลัชนันท์หันไปมองใบหน้าเจ้าของเสียง ก่อนจะยิ้มหวานให้อย่างไม่เต็มใจนัก “ค่ะ” เธอตอบแล้วหันหน้าหนี พลางยกเครื่องดื่มจิบไปเรื่อย ๆ ครั้นชายหนุ่มขยับตัวมาใกล้เธอจึงเหลือบมองและถอนหายใจออกมา “วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์ ช่วยกรุณาไปไกล ๆ หน้าด้วยนะคะ ก่อนที่ฉันจะหมดความอดทน” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่หัวเสียมองด้วยสายตาไม่พอใจเมื่อหญิงสาวไม่เล่นด้วยเขาจึงขยับตัวลุกขึ้นและเดินจากไปทันที ถลัชนันท์มองแล้วหันกลับมาอย่างไม่สนใจ ไม่นานนักก็มีชายหนุ่มอีกคนเดินเข้ามานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ และสั่งเครื่องดื่ม “ผมเลี้ยงไหม ?” เขาเอ่ยขึ้นแล้วหันมองหญิงสาว ถลัชนันท์จึงหันมองชายหนุ่มใบหน้าหวานที่ยิ้มให้ เขามีผมสีน้ำตาลเข้ม ดวงตาสีดำ ใบหน้ารูปหัวใจ ริมฝีปากค่อนข้างหนาและตัวสูงกว่าเธอ “ไม่เป็นไรค่ะ” “เตกีล่าให้เธอด้วยครับ” ศรันภัทรพูดก่อนจะส่งยิ้มให้กับหญิงสาว “ฉันไม่มีอารมณ์จะคุยกับใครค่ะ” “ผมรู้ ผมก็เหมือนกัน...” เขาพูดขึ้นก่อนจะก้มหน้ามองแก้วที่ถือในมือด้วยแววตาเศร้า ที่เข้ามาทักเพราะเห็นว่าเธอน่าจะมีเรื่องผิดหวังมา “เวลารักใครสักคนแล้วเจอสิ่งที่ผิดหวัง มันเจ็บปวดนะครับ เจ็บจนไม่อยากจะรักใครอีก” ถลัชนันท์หันมองศรันภัทรก่อนยกวิสกี้ขึ้นดื่ม “ความรักนี่เข้าใจยากนะครับ” “เหรอคะ” ถลัชนันท์พูดขึ้นพลางหันมอง เขาหน้าตาดี อีกทั้งรูปร่างสูง ใบหน้าหวานราวกับผู้หญิง กิริยาการพูดจาไม่หยาบคายเหมือนคนอื่นที่เดินเข้ามาทักทาย จึงทำให้เธอรู้สึกถูกชะตาด้วย “งั้นฉันไม่ปฏิเสธมิตรภาพของคุณละกัน” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็ยกแก้วเตกีล่าขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ทำให้รู้สึกมึน ๆ อยู่เล็กน้อย ถลัชนันท์ตั้งสติและรู้ว่าร่างกายยังไหวอยู่ แต่ถ้าหากดื่มมากกว่านี้เธออาจจะเมาไม่รู้เรื่อง ระหว่างที่นั่งดื่มและมองไปเพลิน ๆ เขาก็เป็นฝ่ายเอ่ยชวนพูดคุยไปหลายเรื่อง จนหญิงสาวลืมเรื่องของอรรถนนท์จนเกือบหมดสิ้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้กลับเอาแต่คิดถึงเรื่องของอดีตแฟนหนุ่มอยู่ตลอดเวลา ได้กลับมาใช้ชีวิตโสดแบบนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน... ถลัชนันท์รู้สึกถึงน้ำหนักแขนที่ทับอยู่บนตัว เธอลืมตาขึ้นมองกะพริบตาหลายต่อหลายครั้งเพื่อมองชายหนุ่ม จึงลุกขึ้นจากที่นอนและมองไปรอบ ๆ ทันที มือทั้งสองข้างยกขึ้นกุมศีรษะราวกับว่ากำลังนึกเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น เมื่อยกผ้านวมออกก็เห็นว่าตัวนั้นเปล่าเปลือยอยู่ ดวงตากลมของเธอจึงหันไปมองชายหนุ่มที่ไม่แม้แต่รู้จักชื่อนอนอยู่ข้าง ๆ ศรันภัทรรับรู้ถึงน้ำหนักของคนที่ขยับบนเตียงจึงลืมตาขึ้นมองแต่ก็ต้องตกใจเมื่อเห็นหญิงสาวนั่งอยู่ด้วยกายเปล่า มีเพียงผ้านวมที่ปกปิดกายของเธอเอาไว้ “ว้ากกกก...” เดี๋ยวนะ...นั่นเธอต้องเป็นคนกรี๊ดไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมเขาถึงร้องอุทานออกมาแบบนั้นกันล่ะ ! ถลัชนันท์หันมองชายหนุ่มที่ร้องเสียงหลงจนน่าตกใจ หญิงสาวอึ้งจนร้องไม่ออกได้แต่หัวเราะสมเพชตัวเอง ขณะที่ชายหนุ่มพยายามควานหาผ้าปิดบังร่างกายและขยับตัวลงจากเตียงทันที “คุณ...ทำไมถึง มาอยู่ที่นี่ได้” ศรันภัทรถามด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก เธอยกมือขึ้นกุมขมับแล้วถอนหายใจออกมา “ฉะ...ฉันต่างหากที่ต้องถามคุณ...ทำไมฉันมาอยู่ที่นี่ได้” ความทรงจำเมื่อคืนช่างเลือนรางนักแม้จะอยู่คุยด้วยกันเพราะรู้สึกถูกชะตาด้วยแต่ทำไมถึงมาลงเอยกันบนเตียงแบบนี้ล่ะ จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าออกจากผับมาตอนไหน ...นี่มันบ้าชัดๆ เธอเสียครั้งแรกให้กับผู้ชายคนนี้อย่างนั้นน่ะเหรอ ?! “ตาพี หลายวันแล้วไม่ยอมกลับบ้าน...” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังขึ้นขณะที่ประตูห้องเปิดออก หนุ่มสาวทั้งสองคนที่อยู่ในห้องหันมามองเป็นตาเดียวด้วยความตกใจ “ว้าย ! ตายแล้ว คุณพระคุณเจ้า” “คุณแม่...” ศรันภัทรทำอะไรไม่ถูกเมื่อถูกผู้เป็นแม่เปิดประตูเข้ามาเห็นอะไรที่ไม่ควร ชายหนุ่มก้มหน้าหลบหันไปทางอื่น เช่นเดียวกับที่ถลัชนันท์ยกผ้านวมคลุมศีรษะด้วยความอาย ซวยโคตร ! นี่เธอเมาจนเสียตัวเลยหรือเนี่ย ! “มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...” ชายหนุ่มพูดเสียงแผ่ว ๆ เขาเหลือบมองใบหน้าของผู้เป็นแม่แล้วก็รีบก้มตาหลบลงทันที “แต่งตัวให้เรียบร้อยแล้วออกมาหาแม่ที่ห้องรับแขก” เมื่อพูดจบประตูก็ปิดลงทันที ศรันภัทรหันมามองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ก่อนจะทำหน้าไม่พอใจและเก็บเสื้อผ้าเดินเข้าห้องน้ำไปในทันที ส่วนถลัชนันท์นั้นขยับตัวลุกขึ้นหยิบเสื้อผ้าของเธอที่กระจายตามพื้นขึ้นมาสวมใส่ จัดแต่งทรงผมให้เรียบร้อยและหยิบกระเป๋าเดินไปแง้มประตูเปิดออกเบา ๆ ดวงตากลมมองไปยังโซฟาที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก เห็นหญิงสาววัยกลางคนนั่งหันหลังอยู่ ถลัชนันท์จึงค่อย ๆ ย่องเดินด้วยเสียงฝีเท้าเบาที่สุดเพื่อตรงไปยังประตู ทว่า... “เธอน่ะ...ก็ยังกลับไม่ได้” เสียงของลภัสรดาเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่องเบาของหญิงสาว ถลัชนันท์สะดุ้ง ยิ้มแห้งเมื่อเห็นหญิงวัยกลางคนหันมาเหล่มองด้วยสายตายากจะคาดเดา จึงได้แต่ก้มหน้าเดินมานั่งยังโซฟาตัวที่ห่างกันมากที่สุด “เธอชื่ออะไร ?” ลภัสรดาถามพลางส่งสายตาพินิจหญิงสาว “จงรักค่ะ เรียกว่ารักก็ได้” ถลัชนันท์ตอบไม่เต็มเสียงพลางก้มหน้าหลบสายตาที่จ้องมองอยู่ “คือว่า...หนูไม่ได้ตั้งใจนะคะ เราเมากันทั้งคู่ มันผิดพลาดจริง ๆ !” หญิงสาวเงยหน้าขึ้นเพื่ออธิบายความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เธอเกรงว่าฝ่ายผู้ใหญ่อาจจะมองในแง่ลบ “เธออายุเท่าไหร่ ?” ลภัสรดายังคงถามต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “สามสิบสองค่ะ” ถลัชนันท์ตอบด้วยความงุนงงและแปลกใจ จนกระทั่งชายหนุ่มเดินเข้ามาหาและนั่งลงที่โซฟาฝั่งตรงข้าม “แม่ครับ คือมันเป็นเรื่องเข้าใจผิด...” ทันทีที่นั่งลงศรันภัทรก็รีบอธิบายอย่างรวดเร็ว ลภัสรดาหันมองลูกชายก่อนจะเอื้อมมือไปตีที่ต้นแขนอย่างแรง “ผิดพลาดเหรอ ?!” “เธอชื่อรักใช่ไหม ?” ถลัชนันท์พยักหน้าแทนคำตอบ “แต่งงานกับลูกชายฉันซะ !” “หะ...หา ?!” “แม่พูดอะไรนะ...ทำไมผมต้องแต่งงานกับเธอด้วย !” ศรันภัทรลุกขึ้นทันที ส่งสายตามองไปที่หญิงสาวด้วยความไม่พอใจ ตรงข้ามกับถลัชนันท์ที่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก แต่ต้องดึงสติกลับมาและหันมองมารดาของชายหนุ่ม “ไม่ต้องทำขนาดนั้นมั้งคะ คือหนูไม่ได้คิดมากเรื่องนี้ อีกอย่าง...” “แต่ฉันคิด...การที่ผู้หญิงอยู่กับผู้ชายในสภาพแบบนี้ คนอื่นเขาจะนินทายังไง” ก็ยังไม่มีคนเห็นซะหน่อย ปล่อยเธอไปไม่ได้หรือไงกัน ! “คุณแม่ ผม...” ลภัสรดาลุกขึ้นพร้อมกับมองลูกชายที่ทำหน้าไม่พอใจ “แกจะไม่แต่งก็ได้ แต่อย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก” เป็นคำขาดที่ทำให้ศรันภัทรถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากมารดายื่นคำขาดแล้ว คงจะมีแผนการอะไรบางอย่างในใจแล้วแน่นอน และถ้าหากเขาหลีกหนีมันอาจจะไม่เป็นผลดี “ส่วนเธอ ตามฉันออกมา” ลภัสรดาพูดเสียงเข้มขณะที่หันหลังหมุนตัวออกไป แล้วเปิดยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ทีแรกคิดว่าจะพาลูกชายไปดูตัวอีกครั้งแต่คงไม่จำเป็นแล้ว...ตลอดที่ผ่านมาหล่อนคิดว่าชาตินี้ลูกชายจะไม่ได้แต่งงานเสียแล้ว เพราะรู้ดีว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนั้นนิสัย ชายไม่เชิง หญิงไม่ใช่ ไม่สนใจผู้หญิงคนไหน ไม่มีแม้กระทั่งการเดตกัน จะมีก็เพียงแค่เพื่อนสนิทที่คุยด้วย ซึ่งหล่อนไม่ต้องการแบบนั้น ! กลัวผู้สืบทอดเพียงคนเดียวจะเปลี่ยนใจไปเป็นหญิงหรือชอบเพศเดียวกันซะก่อน นี่เป็นโอกาสที่ดี...อีกทั้งหญิงสาวคนนี้ก็ดูดี กิริยาวาจานั้นก็ทำให้รู้สึกต้องชะตาด้วย แม้หน้าตาจะบ้าน ๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไรก็ตาม แต่เชื่อว่าสายตาหล่อนมองคนไม่ผิด คนที่จะมาเป็นสะใภ้ของ ‘ธนาชโยชา’ ทางด้านถลัชนันท์ได้แต่ลุกและเดินตามลภัสรดาออกไป เธอยกมือขึ้นกุมศีรษะราวกับว่าสมองจะระเบิดออกมา แม้ว่าการแต่งงานจะเป็นสิ่งที่เธอหวังมาตลอด ทว่าจะต้องแต่งกับผู้ชายที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเนี่ยนะ มันไม่ตลกสักนิด !Chapter 6ผ่านมาแล้วหนึ่งวันกับการพยายามโทร. เข้าเครื่องของเธอเพื่อหวังว่าอีกฝ่ายที่เก็บเครื่องไปนั้นจะยอมรับสายและยังไม่นำเครื่องของเธอไปขายทิ้งก่อน สุดท้ายแล้วก็เริ่มตัดใจเมื่อไม่มีคนรับ อีกทั้งยังถูกปิดเครื่องไปดื้อ ๆ อีกลฎาภานั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พลางเอื้อมมือกดรีโมตโทรทัศน์เปลี่ยนช่องไปเรื่อย ๆ ในช่วงที่ต้องรอผลการสัมภาษณ์อย่างไร้ความหวังนั้น ทำให้รู้สึกแย่เช่นกัน แม้ว่าจะติดต่อไปหลายบริษัท ทว่าช่วงนี้ยังไม่มีการรับพนักงานใหม่บ้าง หรือบางบริษัทก็มีพนักงานเต็มอัตราอยู่แล้ว เหมือนแสงที่ริบหรี่มากกริ๊ง—กริ๊ง เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น หญิงสาวจึงขยับตัวเอื้อมมือไปหยิบหูโทรศัพท์ยกขึ้น[ทำไมพี่โทร. เข้าเครื่องแล้วไม่รับล่ะ]“โทรศัพท์หาย แล้วนี่ไม่คิดจะกลับบ้านเลยหรือไง วันนี้ไม่ไปทำงานเหรอ ?” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยความแปลกใจที่ไม่เห็นพี่สาวกลับบ้านมาตั้งแต่เมื่อคืน อันที่จริงเมื่อก่อนที่จะคบกับแฟนหนุ่มก็เคยเป็นอยู่บ้าง จนไม่รู้สึกแปลกใจเท่าไหร่ ทว่า...นั่นก็หลายปีผ่านมาแล้ว[เออน่า...วันนี้พี่ลางาน กำลังจะกลับบ้าน เมื่อวานเมามาก]“เมาแล้วไปนอนที่ไหนมาอะ”[เรื่องนั้นไม่ต้องยุ่งหรอกน่า.
Chapter 7 “คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป “เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน” “ค่ะ” ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ” ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้ “วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ” “ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที “ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก “นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอต
Chapter 8ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักทีครืด—ครืดแรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม“ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย[ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้]“แล้ว...”[แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ]“ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง[ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย]ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป“ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?”อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้งน้ำใจไปเสียห
Chapter 7“คือว่า...” ลฎาภาอ้ำอึ้งอยู่นานเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร “คือว่า...มีคนหยิบของฉันไปผิดน่ะค่ะ” หญิงสาวแต่งเรื่องโกหกทั้งที่ในใจก็กล่าวขอโทษหลายครั้ง ถ้าจะให้พูดความจริงที่ว่าเข้าห้องน้ำผิดแล้วล่ะก็...น่าอายจะตายไป“เป็นแบบนี้เอง ดีนะครับที่ไปเจอซะก่อน”“ค่ะ”ลฎาภาผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอกที่เขาไม่ได้ถามหรือสงสัยต่อ หากเป็นคนอื่นอาจจะถามว่าใครจะหยิบผิดไป หรือไม่คนนั้นอาจจะเป็นคนที่เดินสวนกับเธอก็ได้ “เออ...แล้วเย็นนี้คุณพอจะว่างไหมคะ ? ฉันอยากเลี้ยงข้าวเป็นการขอบคุณ”ชายหนุ่มยิ้มและยกมือขึ้นมองเวลาที่นาฬิกาข้อมือเป็นเชิงบอก อันที่จริงแล้วเขาไม่ใช่คนที่เก็บได้แต่เป็นเจ้านายต่างหาก และนี่ก็คือคำสั่งที่ให้นำของมาคืนให้“วันนี้ผมมีธุระต่อ ไว้วันหลังแทนนะครับ”“ได้ค่ะ ๆ” หญิงสาวตอบกลับในทันที“ถ้างั้นเรามาแลกเบอร์กันนะครับ” เจตนิพัทธ์พูดขึ้นพร้อมกับยื่นโทรศัพท์ให้หญิงสาวกดเบอร์ลฎาภาพยักหน้ารับและกดเบอร์ไปอย่างไม่คิดอะไร เมื่อเสร็จแล้วก็ยื่นส่งให้เขา ไม่นานนักชายหนุ่มก็กดโทร. ออก“นั่นเบอร์ของผม หากวันไหนว่างผมจะโทร. นัดคุณ” เจตนิพัทธ์ยิ้มให้เธอพลางขยับตัวลุกขึ้น “งั้นผมขอตัวก่อนนะคร
Chapter 8 ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่วันที่ชีวิตของลฎาภายังคงว่างงาน แม้จะลองหางานที่อื่นๆ ดูระหว่างรอผลสัมภาษณ์แต่ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า อาจเป็นเพราะเธอเลือกสถานที่ทำงานที่เดินทางสะดวกด้วยก็เป็นได้จึงทำให้ยังไม่ได้งานสักที ครืด—ครืด แรงสั่นจากโทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะ ลฎาภาเอื้อมมือหยิบดูก่อนกดรับทันทีที่รู้ว่าคนที่โทร. มาคือเพื่อนสนิทสมัยมัธยม “ว่าไงจ๊ะ คุณครูคนสวย” หญิงสาวเอ่ยทักทาย [ยัยจอม โทษทีนะ ฉันเพิ่งหาเวลาว่างได้] “แล้ว...” [แกว่างไหม ช่วงนี้น่ะ] “ก็ว่างอยู่หรอก แต่จะไปไหนเหรอ ?” ลฎาภาเอ่ยถามขึ้นเพื่อรอคำตอบของอีกฝ่ายก่อนตกลง [ไปกินบุฟเฟต์ไหม ? วันนี้มีโปรโมชั่นลดอยู่ มีเรื่องอยากคุยเยอะเลย] ถ้าแค่กินก็โอเคเพราะเดินช็อปปิ้งด้วยเธอคงไม่ไหวอย่างแน่นอน อีกอย่างช่วงนี้ต้องใช้เงินเก็บอย่างประหยัด ทั้งที่ไม่อยากนำเงินเก็บออกมาใช้จ่ายเลยแท้ ๆ จนกว่าจะหางานใหม่ได้ก็คงต้องตัดรายจ่ายไม่จำเป็นออกไป “ถ้าแค่บุฟเฟต์ก็ได้อยู่นะ แต่เรื่องช็อปปิ้งฉันขอบาย” หญิงสาวพูดขึ้นทันที เพราะเกรงว่าถ้าหากไปเดินด้วยกันแล้วอาจจะอดใจไม่ไหว “แกไม่ได้จะไปเดินช็อปปิ้งด้วยใช่ไหม ?” อาจจะเป็นการปฏิเสธแบบแล้ง
Chapter 9 “ฉันไม่รู้เหมือนกัน ขอโทษนะแก เด็กคนนี้ถ้าวันไหนที่พ่อของเขามารับช้า ครูเวรประจำวันบางครั้งต้องอยู่รอจนกว่าจะมารับ ฉันไม่รู้ว่าเขาจะมารับตอนไหน...” ลฎาภาส่งสายตามองไปที่เด็กน้อยอีกครั้งหนึ่ง “แล้วแม่ของเขาล่ะ ทำไมไม่มารับแทน” “ฉันก็ไม่รู้นะตั้งแต่เด็กคนนี้เข้าเรียน ก็มีแต่พ่อของเขาที่มารับ อีกอย่างแกก็ดูไม่ใช่เด็กมีปัญหาอะไรด้วย” หญิงสาวได้แต่พยักหน้ารับ แล้วเดินเข้าไปหาเด็กชายอีกครั้ง “มาโยนบอลเล่นกันไหม ?” เด็กชายเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่ไว้วางใจแล้วพูดขึ้นว่า “คุณป้าจะเล่นเหรอ” ลฎาภาฉีกยิ้มหวานแล้วกัดฟันพูดว่า “ต้องเรียกพี่สาวสิจ๊ะ” “ไม่เอา” หญิงสาวยังคงฉีกยิ้มหวานให้เด็กน้อยอยู่ทั้งที่ในใจก็ขุ่นเคืองกับคำพูดเกินอายุ เธอยังไม่แก่มากขนาดนั้นสักหน่อย เรียกซะเสียหายหมด “งั้นเรามาเล่นกันเถอะ” เมื่อพูดจบก็เดินไปแล้วหยิบบอลขึ้นมา เด็กชายมองด้วยสายตาที่ไม่พอใจสักเท่าไหร่ ครั้นหญิงสาวโยนบอลส่งให้เด็กน้อยรับและโยนส่งกลับใบหน้าที่บูดบึ้งก็ค่อย ๆ มีรอยยิ้มปรากฏออกมา ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานมากขนาดไหนที่ลฎาภาโยนบอลเล่นกับเด็กชายจนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้าลงเรื่อย ๆ ก
Chapter 10 ลฎาภาชะเง้อคอมองเข้าไปในงานแต่งของพี่สาวที่ถูกจัดขึ้นในโรงแรมอย่างหรูหรา มีคนมากมายต่างเดินเข้าไปในงานกัน หญิงสาวขยับตัวเดินถอยออกห่างมาช่างใจคิดอย่างหนัก ถ้าจะไม่มาเลยในฐานะน้องสาวก็คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอามาก ๆ แต่ทว่าเธอไม่ชินกับการออกงานโดยมีคนมากหน้าหลายตาเยอะไปหมดขนาดนี้ ภายในงานที่เมื่อครู่มองดูถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงามสมกับฐานะของฝ่ายชาย แต่ทว่า...จะให้เธอเดินเข้าไปจริง ๆ น่ะหรือ สุดท้ายแล้วก็เดินเข้าไปในงานจนได้ เธอถอนหายใจออกมา เป็นงานแต่งที่รู้สึกอึดอัดแท้ ทั้งที่ควรจะไปดูพี่สาวแต่งตัวแต่ไม่ได้ไปหา เพราะดูเหมือนว่าพี่เธอต้องการแบบนั้นเหมือนกัน ดวงตากลมกวาดสายตามองไปยังอาหารที่ถูกจัดวางแบบบุฟเฟต์และค็อกเทลผสมกัน มีโต๊ะนั่งจำนวนหนึ่งแต่ไม่ใช่แขกทุกคนที่จะนั่งสนทนากัน บ้างก็ยืนคุย บ้างก็เดินมาตักอาหาร ทว่าสำหรับเธอแล้วคงยืนร่วมงานเงียบ ๆ จนจบละมั้ง ลฎาภายืนอยู่ราว ๆ สิบนาทีก็มีเสียงดังขึ้น ทำให้หันไปมองแล้วก็เห็นเจ้าสาวเจ้าบ่าวเดินเข้ามาพร้อมกัน เธอหันไปมองแม้จะอยู่ในระยะที่มองเห็นถลัชนันท์ได้ชัดเจน แต่ก็ไม่ได้เข้าไปทักทาย เพราะว่ามีคนมากมายต่างเดินเข้าไปทักทายเจ้าบ
Chapter 11‘ยัยจอมบ้านที่เช่าจะหมดสัญญาแล้ว โทษทีพี่ลืมบอกไป สิ้นเดือนจะหมดสัญญาแล้ว ถ้าจะต่อก็รีบไปต่อเองนะ ถ้าไม่ก็ย้ายออกเดี๋ยวเจ้าของจะปล่อยให้คนอื่นเช่าต่อป.ล. ดูแลตัวเองดี ๆ นะ’ทันทีที่ตื่นขึ้นมาช่วงสาย เปิดอ่านข้อความจากพี่สาวแล้วก็ยิ้มหัวเราะให้กับตัวเองเพราะไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือโวยวายออกมาดี สิ้นเดือนนี้ต้องย้ายออก แน่นอนว่าปกติแล้วพี่สาวเธอจะเป็นคนจ่ายค่าเช่าบ้านรายเดือน ส่วนเธอเมื่อมาอยู่ก็จะช่วยเรื่องค่าไฟ ค่าน้ำ หรือการซื้อของใช้ กลับมา ตอนนี้เหลือเพียงเธอ ถ้าหากเช่าต่อคงไม่ไหวแน่นอนกับเงินเก็บที่สะสมอยู่ตอนนี้ อีกทั้งถึงแม้ว่าจะได้งานแล้วแต่บริษัทยังไม่เรียกเข้าทำงาน กว่าจะเริ่มงานก็เดือนหน้าโน้น สรุปแล้วยังว่างงานอีกหนึ่งเดือนเต็มลฎาภาแทบทรุดเพราะนอกจากต้องหางานพาร์ตไทม์ทำแล้วยังต้องหาที่อยู่ใหม่อีก“เรา...จะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไมได้ !”หญิงสาวลุกขึ้นจากเตียงนอนหยิบเสื้อผ้าเดินเข้าไปห้องน้ำทันที ตอนนี้ยังมีเวลาเหลืออีกสิบสองวันที่จะหาห้องเช่าและหางานทำไปก่อนถูกเรียกตัว ก็ยังดีกว่านั่งเฉย ๆ โดยไม่ทำอะไรหลังจากแต่งตัวเสร็จก็เดินออกมาแต่สิ่งหนึ่งที่ลืมไปคือรถ ซึ่งเป็นขอ