ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง
แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ
ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง
“อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า
“อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่
ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นนัก เลยมาเดินชมเพคะ”
ลู่อ๋องยิ้มกับความเก้อเขินของนาง เขาส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้อีกฝ่ายอย่างจงใจ “เอาเถิด ที่นี่ก็เหมือนบ้านเจ้า เจ้าเป็นน้องสาวของชายาข้า ข้าไม่ว่าอันใดเจ้าหรอก”
เฟิ่งอี้เกลี่ยผมทัดใบหูด้านหลังด้วยความขวยเขิน นางหลบสายตาซ่อนรอยยิ้มความพึงพอใจเอาไว้ ก่อนจะย่อกายคำนับแล้วลากลับไป ลู่อ๋องหันหลังมามองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มแฝงประกายบางอย่าง แล้วเดินไปหาเฟิ่งหรั่นชายารักที่ตำหนักของนาง
นานร่วมเก้าเดือนที่ลู่เฟยหลงประทับอยู่ที่จงโจว เขายึดเมืองจงโจวเป็นที่ตั้งฐานของกองทัพตนเองในฐานะผู้ชนะสงคราม ซึ่งฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาก็มิได้ว่ากล่าวอันใด เนื่องจากเข้าพระทัยดีถึงความรู้สึกของพระอนุชาในตอนนี้ว่าเป็นอย่างไร ให้เขาอยู่แดนไกลดีกว่าต้องกลับมาเห็นภาพที่เจ็บปวดยามลู่อ๋องพาเฟิ่งหรั่นมาเข้าเฝ้า
เสียงทหารฝึกดาบกันในค่ายดังขึ้นเป็นระยะอย่างแข็งขัน หัวหน้าครูฝึกของกองทัพแต่ละหน่วยต่างคุมเข้มฝึกทหารอย่างจริงจัง ลู่เฟยหลงเดินออกมาชมการฝึกด้วยตนเอง ทุกคนเมื่อเห็นองค์รัชทายาทเสด็จมาก็รีบหยุดการซ้อมแล้วถวายความเคารพทันที
“องค์รัชทายาท...” หัวหน้าครูฝึกเดินเข้ามาเอ่ยด้วยวาจาพินอบพิเทา เขาเดินถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อเห็นแววตาดุดันและท่าทีทรงอำนาจของอีกฝ่าย โบราณเขาว่าเอาไว้ก้นเสือนั้นลูบเล่นไม่ได้7 เห็นทีจะเป็นเรื่องจริง เพราะแววตาและท่าทีทรงอำนาจทำให้เขาดูน่าเกรงขามไม่น้อย แม้แต่เหล่าทหารก็รู้สึกเช่นนั้น
“การฝึกทหารใหม่วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” ชายหนุ่มเอ่ยถามหัวหน้าครูฝึกเสียงเข้ม แววตาคมปลาบทอดมองไปยังเหล่าบรรดาทหารที่กำลังฝึกปรืออาวุธยืนตรงต่อหน้าเขา บางส่วนล้วนเป็นทหารเก่าและบางส่วนก็คือทหารใหม่ที่ผ่านการคัดเลือกมาอย่างเข้มงวด ดังนั้นวันนี้เพื่อระบายความรู้สึกมากมายในใจตลอดเก้าเดือน เขาควรได้ประลองอาวุธเพื่อระบายทุกสิ่งในใจออกมา
หัวหน้าครูฝึกเอ่ย “เป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาใดพะยะค่ะ”
ลู่เฟยหลงยกยิ้ม “อืม งั้นก็ดี วันนี้ข้าต้องการทดสอบทหารใหม่ในสังกัดของเจ้า หวังว่าเจ้าจะไม่ขัด จัดหาทหารในกลุ่มนี้ที่ฝีมือดีที่สุดมาประลองกับข้า”
หัวหน้าครูฝึกลอบกลืนน้ำลายลงคอ ทั่วทั้งแผ่นดินจงหยวนนี้ล้วนทราบกันดี กิตติศัพท์ขององค์รัชทายาทเป็นดั่งเทพสงครามไป๋หู่แห่งทิศตะวันตกของกองทัพสวรรค์ ทหารแต่ละคนสีหน้าเลิ่กลั่กด้วยเพราะรู้ซึ้งในกิตติศัพท์ของลู่เฟยหลงว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งยากจะล้มยิ่ง หากผู้ใดได้ประมือกับเขามิแคล้วต้องมีสภาพบาดเจ็บที่น่ากลัว แต่หากคิดในทางกลับกันก็ถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้ประลองฝีมือกับยอดนักรบแห่งแคว้นเหลียว
หัวหน้าครูฝึกต่างเห็นใจบรรดาทหารเก่าและใหม่ของตนเอง มีแต่ทหารรุ่นก่อนหน้านี้เท่านั้นที่เคยมีโอกาสประมือกับลู่เฟยหลงมาแล้ว แต่ทหารที่อยู่ตรงหน้านี้พวกเขาล้วนไม่เคยทั้งสิ้น ส่วนใหญ่ประสบการณ์การใช้อาวุธยังไม่เยอะเท่าที่ควร
“ในกองทัพของเจ้า ไม่มีทหารที่มีความสามารถเลยรึ?” ลู่เฟยหลง
ถามด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง สายตาคมมองครูฝึกอย่างตำหนิ
หัวหน้าครูฝึกหลุบตาต่ำลงอย่างอับอาย
“ถ้าหากไม่เป็นการบังอาจ กระหม่อมจะขอท้าประลองกับพระองค์เองพะยะค่ะ” เสียงของนายทหารกล้าผู้หนึ่งดังขึ้น เขากล่าวอย่างมั่นใจ ท่าทางองอาจ รูปร่างสูงสง่าดังเช่นองค์รัชทายาทในตอนนี้
ลู่เฟยหลงมองอีกฝ่ายอย่างพิจารณา แล้วถาม “เจ้ามีนามว่ากระไร”
ทหารผู้นั้นค้อมศีรษะกล่าว “กระหม่อมมีนามว่าจูเชว่พะยะค่ะ”
ลู่เฟยหลงยกยิ้มอย่างพึงพอใจ อย่างน้อยชายผู้นี้ก็คงเป็นคู่ประลองที่สมน้ำสมเนื้อกับเขาที่สุด
“จูเชว่ เป็นทหารที่ฝีมือดีที่สุดในบรรดาทหารกลุ่มนี้พะยะค่ะ ขอพระองค์ทรงปราณีเขาด้วยเถิด อย่างไรเสีย...” ยังไม่ทันที่หัวหน้าครูฝึกจะกล่าวจบ ลู่เฟยหลงกล่าวตัดบทขึ้นมาน้ำเสียงเด็ดขาด
“ไม่ต้องกล่าวอันใดให้มากความ ในเมื่อเขาอาสาประลองกับข้าเอง ก็ไม่ต้องคิดยั้งมือ ทหารในสังกัดกองทัพของข้าทุกคนล้วนอ่อนแอไม่ได้ หากอ่อนแอต้องอ่อนนอกแต่แข็งใน ไม่มีทางปราณีต่อศัตรูเด็ดขาด” คำกล่าวอันเด็ดขาดของลู่เฟยหลงทำให้จูเชว่ยกยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ให้เจ้าเลือกอาวุธที่เจ้าถนัดมือมาที่สุด ส่วนข้า...จะใช้ทวนนี้สู้กับเจ้า” ลู่เฟยหลงหยิบทวนที่ตั้งตรงอยู่บนที่วางอาวุธ ก่อนจะถอดเสื้อเกราะสีเงินออก เผยให้เห็นแผงอกกำยำสมส่วน ไหล่หนาผึ่งผายที่บ่งบอกว่าผ่านการออกกำลังกายมากมากเพียงใด กล้ามท้องที่เรียงเป็นลอนสวยงามและรอยบาดแผลบางอย่างจากแผ่นหลังทำให้เหล่าทหารต้องหลบสายตาหนี
จูเชว่ทำเช่นนั้นเหมือนกัน ราวกับว่าสายตาและท่าทีของลู่เฟยหลง
นั้นไม่มีผลต่อเขาเลยสักนิด ก่อนจะหยิบทวนของตนเองขึ้นมาบ้าง
การประลองอาวุธเริ่มต้นขึ้นอย่างดุเดือด ท่ามกลางเสียโห่ร้องกองเชียร์จากเหล่าทหารที่แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่าย ทั้งลู่เฟยหลงและจูเชว่นั้นต่างมีฝีมือกันทั้งคู่ ลู่เฟยหลงที่เป็นถึงองค์รัชทายาทนั้นดูจะมีชั้นเชิงในการต่อสู้มากกว่าจูเชว่ระดับหนึ่ง แต่ทว่าจูเชว่นั้นก็ต่อสู้สวนกลับอย่างรุนแรงเช่นกัน เขาที่เป็นหัวหน้าครูฝึก แม้จะประมือประลองอาวุธกับองค์รัชทายาทบ่อยครั้งก็อดตะลึงในความสามารถของจูเชว่ไม่ได้
สายตาของลู่เฟยหลงสบประสานกับจูเชว่โดยบังเอิญ มีอยู่ครู่หนึ่งที่เขาสังเกตเห็นภาพบางอย่างสะท้อนในดวงตาของอีกฝ่าย เป็นเหมือนภาพของพยัคฆ์ขาวตัวหนึ่งกับหงส์เพลิงในสถานที่ที่มีสภาวะงดงามเป็นดินแดนทิพย์ เหมือนกับเสือตัวนั้นคือเขาเอง!
จูเชว่ยกยิ้มอย่างพึงพอใจที่ทำให้ลู่เฟยหลงมองเห็นภาพสะท้อนในอดีต ก่อนจะเร่งฟาดฟันอาวุธใส่ไม่ยั้ง แต่ลู่เฟยหลงนั้นได้สติทันแล้วตั้งรับจูเชว่ได้ทุกกระบวนท่า กระบวนท่าที่หฤโหดเพียงนี้แม้เขาจะเคยเจอมานับไม่ถ้วน แต่ในหมู่ทหารหน้าใหม่เหล่านี้ล้วนไม่เคยเจอ จูเชว่ผู้นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ
ประลองกันไปได้สักพักก็เป็นจูเชว่ที่เป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ อาวุธของเขาถูกองค์รัชทายาทใช้ขาเตะปัดกระเด็นหลุดมือไปไกล ก่อนที่จะโดนอีกฝ่ายใช้ปลายของทวนจ่อที่ลำคอ ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายต่างมีท่าทีเหนื่อยหอบยิ่ง จูเชว่นับว่าเป็นทหารรุ่นใหม่ที่มีฝีมือร้ายกาจมากทีเดียว คนแบบนี้เหมาะสมนักหากจะได้อยู่ในแถวหน้าของกองทัพหากได้ฝึกปรือเพิ่มอีกสักนิด
หัวหน้าครูฝึกรีบเดินเข้ามาทันที เขาคิดว่าตนเองคงโดนตำหนิเป็นแน่ แต่สุดท้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น
“มีทหารที่เก่งกาจเพียงนี้ ตั้งใจฝึกให้ดี แม้แต่พวกเขาทุกคนในนี้เช่นกัน วันนี้ไม่เก่งแต่วันข้างหน้าจะกลายเป็นนักรบที่เกรียงไกรอย่างแน่นอน...” ลู่เฟยหลงรับเสื้อคลุมจากรองแม่ทัพองครักษ์ซ่งมาสวมใส่ ก่อนจะส่งมอบทวนให้อีกฝ่ายนำไปเก็บไว้ที่กระโจมของตนเอง
“กระหม่อมนั้นยังอ่อนด้อยประสบการณ์อยู่มาก ขอองค์รัชทายาทโปรดอภัยด้วย” จูเชว่คุกเข่าประสานมืออย่างแข็งขัน เขาก้มหน้าลงด้วยไม่กล้าสบตากับองค์รัชทายาท
“เจ้าลุกขึ้นมาเถิด กองทัพมีทหารที่มีฝีมือเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดีนัก หากได้มีโอกาสกลับเมืองหลวงอีก ข้าจะทูลขอฝ่าบาทให้เจ้าเป็นหนึ่งในแม่ทัพองครักษ์” ลู่เฟยหลงเอ่ยอย่างใจกว้าง วันนี้เขาได้ประมือกับจูเชว่แล้วรู้สึกดียิ่งนัก เหมือนกับได้ปลดปล่อยอารมณ์และความเครียดที่สั่งสมในกายมานานนับเกือบปีในวันนี้ ก่อนจะเดินกลับกระโจมใหญ่ของตนเองไป
จูเชว่มองตามหลังลู่เฟยหลงด้วยสายตายากจะอธิบายความรู้สึก
บัดนี้ภายในกระโจมหลังใหญ่ของลู่เฟยหลง หอมกรุ่นไปด้วยกลิ่น
อาหารเลิศรสที่เหล่านางครัวจัดมาถวายเป็นสำรับมื้อกลางวัน ชายหนุ่มมองอาหารที่แม้จะหน้าตาน่ารับประทานเพียงใด แต่ความหอมอร่อยของมันก็ไม่
อาจบรรเทาทุกข์ในใจของเขาได้
ซ่งหลานหรือรองแม่ทัพองครักษ์ซ่ง ซึ่งถือเป็นพระสหายที่สนิทที่สุดตั้งแต่วัยเยาว์เอ่ยขึ้นมา “หากพระองค์ทรงคิดถึงพระชายาเฟิ่งหรั่น เห็นทีควรเสด็จกลับเมืองหลวงนะพะยะค่ะ ทรงไม่ค่อยเสวยพระกระยาหารเช่นนี้
หากประชวรขึ้นมา เหล่าทหารอาจเสียขวัญ”
ลู่เฟยหลงมองซ่งหลานด้วยแววตาดุดัน “เดี๋ยวนี้เจ้าอ่านความคิดข้าออกตั้งแต่เมื่อใดกัน”
ซ่งหลานคุกเข่าประสานมือน้อมขออภัย “ขอพระราชทานอภัยพะยะค่ะ แต่กระหม่อมในฐานะบ่าวก็ไม่อาจเห็นพระองค์เป็นกังวลเช่นนี้ได้ ยิ่งนับวันมีข่าวลือหนาหูนักว่าอ๋องเก้าดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้ามาในมือ เพื่อคิดการใหญ่บางอย่าง กระหม่อม...”
ซ่งหลานหยุดกล่าวเมื่อได้ยินเสียงดาบวางกระทบกับโต๊ะดังเคร้ง
“แม้เจ้าจะสงสัยอ๋องเก้า แต่ก็ไม่ควรตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเขา อย่างไรเขาก็รับใช้เสด็จพี่มาดีตลอด เขาแต่งงานกับเฟิ่งหรั่นก็ไม่แปลกหากจะดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้าไปได้” ลู่เฟยหลงกล่าวน้ำเสียงหนักแน่น เขาลุกขึ้นเดินออกมานอกกระโจมที่พัก ซ่งหลานเห็นดังนั้นแล้วจึงลุกเดินตามไปด้วย ภายในใจรู้สึกเป็นห่วงนายของตนเองไม่น้อยเลย
“อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้ว พระองค์จะให้กระหม่อมเตรียมจัดกองทัพเสด็จหรือไม่พะยะค่ะ” ซ่งหลานเอ่ยถาม
“เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับเสด็จพี่ ข้าไม่ร่วมงานก็คงไม่ได้ เจ้าไม่ต้อง
จัดเตรียมกองทัพ เตรียมทหารม้าฝีมือดีเอาไว้สักสามร้อยคน ส่วนที่เหลือให้ประจำอยู่ที่นี่ อีกเจ็ดวันค่อยเดินทางกลับมา...” ชายหนุ่มเอ่ยรวดเดียวเสร็จสรรพก่อนจะเดินกลับเข้าไปในกระโจมอีกครั้ง
ซ่งหลานมองตามหลังแล้วได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่
งานวันพระราชสมภพของฮ่องเต้ลู่จะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันเฟิ่งหรั่น
ถูกเซียวฮองเฮาเรียกเข้าพบในวังหลวง เพื่อหวังจะให้ช่วยกันจัดงานครบรอบวันพระราชสมภพครานี้ หญิงสาวช่วยเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการจัดงานอย่างขะมักขะเม้น เรื่องอาหารคาวหวานนางก็ช่วยจัดการดูแลมิได้ขาด เหมือนประหนึ่งที่นางเคยรับใช้อ๋องเก้าผู้เป็นพระสวามี
มีอยู่ช่วงจังหวะหนึ่งที่เฟิ่งหรั่นมานั่งพักคลายความเหนื่อยในเขตพระราชฐานฝ่ายใน เซียวฮองเฮาสบโอกาสจึงถามบางอย่างกับนาง
“เจ้ากับอ๋องเก้าสบายดีหรือไม่?” เซียวฮองเฮาถามอย่างไม่สบายพระทัยระคนเป็นห่วง พระนางได้ยินกิตติศัพท์ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับอ๋องเก้ามาเยอะนัก อีกฝ่ายติดพันสตรีมากมาย ได้ยินว่ารอบกายมีสตรีไม่ห่างกาย อีกทั้งยังมีหญิงคณิกาตามหอคณิกาใหญ่ๆ อีกมากมายคอยปรนนิบัติอยู่ไม่ห่าง
“หม่อมฉันกับท่านอ๋องสบายดีเพคะ ก่อนจะมาที่นี่พระองค์ก็เปรยๆ เอาไว้ว่าหากไม่ติดพันราชกิจจนยุ่ง ก็อยากมาช่วยเป็นเรี่ยวแรงจัดงานนี้เพคะ” เฟิ่งหรั่นเอ่ยขึ้นมา เมื่อวันก่อนที่เซียวฮองเฮาต้องการให้นางเข้าเฝ้า นางกับลู่อ๋องผู้เป็นสามีก็คาดเดาได้ว่าต้องเป็นเรื่องวันพระราชสมภพที่กำลังจะมาถึงเป็นแน่ นางจึงได้ตอบรับมาช่วยฮองเฮาอีกแรง ส่วนอ๋องเก้าผู้เป็นสามีนั้นได้ปฏิเสธไป เนื่องด้วยติดพันต้องช่วยฮ่องเต้สะสางราชกิจสำคัญก่อน
วันงานจะมาถึง นางจึงต้องเดินทางมาที่วังหลวงเพียงคนเดียวพร้อมบ่าวรับใช้อีกไม่กี่คนเท่านั้น
แต่ทว่านางกลับรู้สึกแปลกๆ บางอย่าง นับตั้งแต่นางแต่งงานเข้าวังอ๋อง บ่าวไพร่ที่เคารพนางกลับมีท่าทีที่แฝงไปด้วยความหยิ่งยโสโอหัง นางก็พอสืบรู้มาบ้างว่าลู่อ๋องนั้นมีอนุในจวนอยู่ไม่น้อย แต่ไม่คิดว่าพวกนางเหล่านั้นจะกระทำการเหิมเกริมออกนอกหน้าเช่นนี้กับนางที่เป็นนายหญิง
ของวัง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางต้องการปักอาภรณ์ นางกำนัลแรกรุ่นที่คอยตามรับใช้นางกลับนำเพียงอาภรณ์ลวดลายธรรมดา เปื้อนฝุ่นมาให้นาง อีกทั้งสำรับอาหารที่ยกตั้งถวายนางนั้น ดูก็รู้แล้วว่าเป็นอาหารเก่าที่ค้างคืน แต่ทว่าด้วยความที่ครอบครัวอบรมมาดีจึงทำให้นางไม่อยากมีเรื่องกับใคร และอยากนั่งในใจคนด้วยความเมตตามากกว่าการใช้อำนาจกดขี่ นางจึงแสร้งปิดตาหนึ่งข้างเพื่อรักษาดวงตาอีกข้างหนึ่งเอาไว้
แต่ทว่ายิ่งนางนิ่งเงียบก็เหมือนยิ่งให้พวกนางเหล่านั้นกระทำการเหิมเกริม ไม่เกรงใจนางมากขึ้น
อันที่จริงเซียวฮองเฮาทรงมีหูตากว้างไกลพอสมควร เรื่องในวังหน้าพระนางก็พอรู้มาบ้าง แม้แต่เรื่องในวังอ๋องเก้านางก็พอรู้ บ่าวไพร่พวกนั้นกระทำตนเหิมเกริมไม่เกรงใจเฟิ่งหรั่น แต่นางกลับไม่ได้มีท่าทีตอบโต้แต่อย่างใด
“แต่วันนี้ฝ่าบาททรงไม่ได้มีราชกิจอันใดต้องสะสางนะ ราชกิจทั้งหลายล้วนยกให้รุ่ยกงกงจัดการทั้งหมด ทรงไม่ได้มีบัญชาเรียกอ๋องเก้ามาเลยสักนิด” เซียวฮองเฮาขมวดคิ้ว พระนางเองก็เป็นผู้ช่วยแบ่งเบาราชกิจของฝ่าบาท ยิ่งเพลานี้อ๋องเก้ากระทำการเหิมเกริมทุกวันหลังแต่งงานกับเฟิ่งหรั่น พระองค์ก็แทบไม่มีราชกิจใดให้ลู่อ๋องช่วยอีก ส่วนมากจะยกให้รุ่ยกงกงช่วยตัดสินใจในบางเรื่องเท่านั้น เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“มีบางวันที่ท่านอ๋องทรงบอกว่าเจ็ดราตรีที่ไม่ได้กลับจวน ก็เพราะนอนค้างในวังหลวง ฝ่าบาทมิใช่เรียกท่านอ๋องมาช่วยสะสางราชกิจหรือเพคะ” เฟิ่งหรั่นเริ่มประหวั่นพรั่นพรึงในใจ หากลู่อ๋องไม่ได้มาช่วยราชกิจดังที่เคยกล่าวกับนางเอาไว้ แล้วเขาไปที่ใดกัน?!
แต่ช่างเถิด หากมาสงสัยตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์อันใด ลู่อ๋องรักนางมาก เขาต้องไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางแน่นอน นางมั่นใจ
______________________________
7ก้นเสือลูบเล่นไม่ได้ เป็นสำนวนจีนหมายถึงว่า มีความน่าเกรงขามมาก ล้อเล่นไม่ได้
ตับๆๆ เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะหฤหรรษ์ในห้องแห่งหนึ่งของของโรงเตี๊ยม ในห้องนั้นปรากฏภาพชายหญิงทั้งสองกำลังร่วมรักกันอย่างมีความสุข เฟิ่งเจาหรงใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านกับความสุขที่อ๋องเก้ามอบให้กับนาง ใบหน้าหล่อเหลาของลู่อ๋องกัดฟันพลางคำรามในลำคอด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเขาได้ปลดปล่อยสายธารรักของตนเองเข้าไปในกายของสตรีใต้ร่างอย่างสุขสม เฟิ่งเจาหรงคลายมือออกจากผ้าปูที่นอนเมื่อความหฤหรรษ์นั้นจบลง ใบหน้าของลู่อ๋องซบลงบนหน้าอกอวบใหญ่ของเฟิ่งเจาหรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ข้าพึงพอใจในรสสวาทของเจ้ายิ่งนัก หรงเอ๋อร์” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ขณะที่ใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียเม็ดทับทิมสีชมพูที่แข็งชันเป็นไต “อ๊า!!!” เฟิ่งเจาหรงร้องครางเสียงดัง เมื่อลู่อ๋องใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเต้านมอวบของนางรุนแรงอย่างหิวกระหาย จนใบหน้างดงามของเฟิ่งเจาหรงเหยเกด้วยความเสียวซ่าน นางร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาด้วยความสุขสม “หากท่านอ๋องชมชอบ หม่อมฉันก็ยินดีมอบกายถวายใจรับใช้เพคะ” นางเอ่ยพลางใช้มือเรียวของตนเอ
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก ซ่า! เสียงน้ำที่ถูกสาดจากถังน้ำไม้สีน้ำตาลใบใหญ่สาดกระเด็นเข้ามาที่ใบหน้าเปื้อนเลือดของเฟิ่งหรั่น หญิงสาวทำได้แค่หลับตาและเบี่ยงใบหน้าหลบเท่านั้น ความอัปยศในวันนี้ทำให้นางเ
ย้อนกลับไปเมื่อสามปีก่อน แคว้นเหลียว แคว้นเหลียวเป็นหนึ่งในสี่แคว้นใหญ่แห่งแผ่นดินจงหยวน ปกครองด้วยราชวงศ์ลู่มานานหลายศตวรรษ และในยุคปัจจุบันที่แคว้นเหลียวเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด นำโดยการปกครองของลู่ฮ่องเต้และเซียวฮองเฮาและองค์รัชทายาทผู้เป็นพระอนุชาร่วมอุทรนามว่า ‘ลู่เฟยหรง’ องค์รัชทายาทผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ นำทัพรบนำชัยชนะมาทุกสมรภูมิศึกและภายใต้การช่วยออกว่าราชการของลู่อ๋องอีกแรง แม้ว่าจะมีสี่นักปกครองที่เก่งกาจ แต่กุนซือที่สำคัญประจำพระวรกายของฮ่องเต้คือใต้เท้าเฟิ่ง อัครมหาเสนาบดีคู่พระทัยตั้งแต่อดีตฮ่องเต้รัชกาลก่อนจวบจนรัชกาลปัจจุบัน เขามีบุตรสาวที่ทั้งงดงามและฉลาดปราดเปรื่องกับฮูหยินเอกนามว่า ‘เฟิ่งหรั่น’ ยอดบัณฑิตหญิงแห่งแคว้น ศาสตร์ความรู้ทั้งหกแขนงที่คุณหนูสกุลใหญ่ร่ำเรียนกัน นางสามารถร่ำเรียนจนแตกฉานได้อย่างรวดเร็ว ภายในจวนอัครมหาเสนาบดีเงียบสงบร่มรื่น เสียงบรรเลงพิณดังมาจากเรือนของคุณหนูใหญ่ของจวนอย่างเฟิ่งหรั่น หญิงสาวในชุดผ้าไหมปักดิ้นลวดลายงดงาม คอเสื้อขลิบด้วยลวดลายดุจปีกจักจั่นสีทองอ่อน กำลังนั่งดีดบรรเลงพิณอย่างสบายใจท่ามกลางบรรย
เฟิ่งหรั่นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ร้านเครื่องประดับ กำลังจะนำเครื่องประดับชิ้นใหม่มาวางขายที่ร้าน ด้วยเพราะร้านเครื่องประดับนี้ขายสินค้าแต่เฉพาะสตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เครื่องประดับมีค่าจำนวนมากย่อมเป็นที่สนใจของสตรีชั้นสูง หญิงสาวจึงชวนเฟิ่งอี้และจิงเจียวออกมาซื้อเครื่องประดับด้วยกัน ตลาดใหญ่ในเมืองหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการกลับมาของลู่เฟยหลงพร้อมกับชัยชนะเหนือจงโจว เหล่าสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นบรรดาบุตรีของขุนนางทั้งหลายต่างก็ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง ด้วยเพราะพวกนางสืบทราบมาว่าองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงมักชอบออกมาดื่มสุรากับทหารองครักษ์คนสนิทที่หอสุราเป็นประจำ เฟิ่งหรั่นเดินเลือกซื้อเครื่องประดับมาใหม่จากหลากหลายร้านที่มาเปิดใหม่ แต่ทว่าก็ไม่มีร้านใดที่ถูกใจนางเท่าร้านใหญ่ในเมืองหลวงอีกแล้ว หญิงสาวเดินเลือกเครื่องประดับในร้านใหญ่ไปเรื่อยๆ จนเจอปิ่นหยกที่ถูกใจ ปิ่นหยกนี้ประดับด้วยไข่มุกราตรีงดงามยิ่งนัก เฟิ่งหรั่นหยิบปิ่นหยกสีเขียวเพียงหนึ่งเดียวในร้านขึ้นมาเชยชม เช่นเดียวกับเฟิ่งอี้เดินเข้ามาหาพี่สาวชื่นชมความงดงามของปิ่นหยกหายากชนิดนี้
“แม่รู้ว่าเจ้าอยากแต่งนางเข้ามาในจวน เพื่อวางแผนโดยเร็ว แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ของเราคือไทเฮา คิดว่านางจะยอมง่ายๆ หรือ?” ซู่ไท่เฟยเอ่ยขึ้นมา ลู่อ๋องยกยิ้มดังเช่นเคย “ไม่ยอมก็ต้องยอมพะยะค่ะ หากฝ่าบาททรงเอ่ยมอบสมรสพระราชทานมา ไทเฮาจะทรงคัดค้านอันใดได้ ยิ่งเป็นคนที่รักพี่ชายอย่างลู่เฟยหลง ข้าอยากเห็นสีหน้าสิ้นหวังของเขานัก” ซู่ไท่เฟยยกยิ้ม นานมากแล้วที่ต้องทนเก็บกดและอยู่ภายใต้อำนาจของคนสามคนในวังหลวง หากแผนการโค่นล้มบัลลังก์ลู่ฮ่องเต้สำเร็จ พระนางก็จะอยู่เหนือคนใต้หล้า ไม่ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าคอยรับคำสั่งของใครและยิ่งไม่ต้องโดนใครกดขี่ข่มเหงอีกแล้วดังเช่นที่ผ่านมา “รอให้งานเลี้ยงคืนนี้ผ่านไปก่อน วันหลังแม่จะหาทางกราบทูลฝ่าบาทเองเรื่องสมรสพระราชทาน ในงานคืนนี้เจ้าก็พยายามแสดงออกความรู้สึกต่อนางอย่างชัดเจนล่ะ เฟิ่งหรั่นเป็นธิดาคนโปรดของใต้เท้าเฟิ่ง หากบุตรสาวเขาได้เป็นพระชายาอ๋อง เขาก็ย่อมต้องหันมาสนับสนุนเจ้าให้ขึ้นเป็นรัชทายาท” ซู่ไท่เฟยกล่าวพลางจิบน้ำชา สายพระเนตรของพระนางยากจะคาดเดาความรู้สึกได้ เช่นเดียวกับอ๋องเก้าที่ไม่อาจคาดเดาพระทัยของพระมารดาตนเอง
เฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้นั่งที่โต๊ะด้านหลังลำดับถัดมาจากอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดากับมารดาอย่างเฟิ่งฮูหยิน ข้างๆ นางนั้นคือที่นั่งของอวี๋ฟางหรง ธิดาเจ้ากรมอาญาซึ่งมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับไทเฮาพอสมควร ทั้งบิดาของนางและบิดาของอวี๋ฟางหรงนั้น ต่างก็เป็นเสนาบดีตำแหน่งสูงทั้งคู่ หากพวกนางถูกจัดมานั่งเคียงข้างกันย่อมไม่แปลก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋ฟางหรงมองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเป็นมิตร นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ น้อมรับ พอดีกับสายตาของเฟิ่งอี้ที่มองมาอย่างจับสังเกต “คุณหนูสกุลอวี๋ อวี๋ฟางหรงไม่ใช่หรือเจ้าคะพี่หญิง” เฟิ่งอี้กระซิบถามอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของนางจดจ้องอวี๋ฟางหรงไม่วางตา เฟิ่งหรั่นปรายหางตาปรามผู้เป็นน้องสาวเงียบๆ “นางทักทายเรา มีไมตรีกับเรา เจ้าอยู่นิ่งๆ เถิด” “เจ้าค่ะ...” เฟิ่งอี้ยอมสงบปากสงบคำเมื่อได้รับคำเตือนจากผู้เป็นพี่สาว นางรินชาให้ตนเองอย่างเงียบๆ สายตานั้นจับจ้องมองที่ลู่อ๋องซึ่งประทับอยู่ข้างๆ ซู่ไท่เฟยด้วยสายตายากจะคาดเดาความหมาย “ข้าได้ยินกิตติศัพท์รูปโฉมอันงดงามของแม่น
เฟิ่งหรั่นมองดอกไห่ถังสลับกับชมแสงจันทร์จากริมศาลา เพลานี้ราตรีมาเยือนมืดมิดแล้ว แสงจันทร์ทอประกายเด่นกลางท้องนภา ท่ามกลางหมู่ดารานับล้านดวง พระจันทร์ในคืนนี้งดงามกว่าคืนใด สักพักหนึ่งนางเห็นดาวดวงหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งนักพร้อมกับดอกไห่ถังที่กลีบของมันสั่นไหวเบาๆ เพลานี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าร่วมงานล่าสัตว์ครั้งแรก ในยามค่ำก็มักจะมีการจุดคบเพลิงตามจุดหมายสำคัญต่างๆ บิดาพานางขึ้นหลังม้าเข้าไปร่วมล่าสัตว์ด้วยกัน แต่ทว่าในยามนั้นกลับเป็นการออกล่าสัตว์ของสัตว์นักล่าด้วยเช่นกัน เฟิ่งหรั่นและบิดาถูกเสือตัวผู้และตัวเมียคู่หนึ่งสีขาวลอบทำร้าย บิดาของนางนั้นได้รับบาดเจ็บจนสลบไปพร้อมกับนาง เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบลู่อ๋องแล้ว ลู่อ๋องคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่านางกลับได้เจ้าไห่เหลียนที่ตอนนั้นยังเด็กมากมาเลี้ยงด้วย เจ้าเสือขาวมาอยู่กับนางแต่หนใดนับจากที่บาดเจ็บก็ไม่อาจทราบได้ แต่ด้วยความสงสารที่พ่อแม่ของมันถูกทหารของวังหลวงจับเอาไปถลกหนังทำเสื้อ นางก็เกิดความสงสารในชะตากรรมของเจ้าเสือน้อยตัวนี้ยิ่งนัก จึงขอบิดารับมาเลี้ยงเอาไว้เป็น
เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..? “หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?! เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า... “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่นานแล้ว แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่เห็น
ตับๆๆ เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะหฤหรรษ์ในห้องแห่งหนึ่งของของโรงเตี๊ยม ในห้องนั้นปรากฏภาพชายหญิงทั้งสองกำลังร่วมรักกันอย่างมีความสุข เฟิ่งเจาหรงใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านกับความสุขที่อ๋องเก้ามอบให้กับนาง ใบหน้าหล่อเหลาของลู่อ๋องกัดฟันพลางคำรามในลำคอด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเขาได้ปลดปล่อยสายธารรักของตนเองเข้าไปในกายของสตรีใต้ร่างอย่างสุขสม เฟิ่งเจาหรงคลายมือออกจากผ้าปูที่นอนเมื่อความหฤหรรษ์นั้นจบลง ใบหน้าของลู่อ๋องซบลงบนหน้าอกอวบใหญ่ของเฟิ่งเจาหรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ข้าพึงพอใจในรสสวาทของเจ้ายิ่งนัก หรงเอ๋อร์” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ขณะที่ใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียเม็ดทับทิมสีชมพูที่แข็งชันเป็นไต “อ๊า!!!” เฟิ่งเจาหรงร้องครางเสียงดัง เมื่อลู่อ๋องใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเต้านมอวบของนางรุนแรงอย่างหิวกระหาย จนใบหน้างดงามของเฟิ่งเจาหรงเหยเกด้วยความเสียวซ่าน นางร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาด้วยความสุขสม “หากท่านอ๋องชมชอบ หม่อมฉันก็ยินดีมอบกายถวายใจรับใช้เพคะ” นางเอ่ยพลางใช้มือเรียวของตนเอ
ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง “อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า “อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นน
กองทัพเสวียนอู่เดินทางมาถึงที่หมาย ตอนนี้การจลาจลทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยรองแม่ทัพที่เขามอบหมายให้ประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างที่เขาประทับอยู่ในเมืองหลวง ด้วยเกรงว่าพวกกบฏที่จับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นจะก่อความวุ่นวาย แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจากไปไม่กี่วัน กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทันทีลู่เฟยหลงก้าวลงจากหลังม้า ส่งมอบม้าให้กับจางซินเฉิงแล้วถือกระบี่เดินเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ของตนเอง ตอนนี้เหล่าเชลยบางส่วนที่ก่อกบฏล้วนถูกขังรอการตัดสินโทษอยู่จากเขา“ชาวเมืองในตำบลซ่างจิ่งนี้ จะให้กระหม่อมจัดการอย่างไรพะยะค่ะ” รองแม่ทัพใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นลู่เฟยหลงมองด้วยสายตาคมปลาบ “ให้ประหารตัวการที่ก่อกบฏครั้งนี้ ส่วนชาวบ้านที่บริสุทธิ์ให้ปล่อยไป ทหารของพวกกบฏนั่นให้เกณฑ์มาเป็นแรงงาน ส่วนเด็ก สตรีและคนชรา ให้ปล่อยพวกเขาไป” “พระองค์แน่ใจหรือพะยะค่ะว่าเด็กและสตรีพวกนั้นจะไม่เป็นภัยในภายหลัง” รองแม่ทัพใหญ่ถามอย่างไม่ไว้ใจนัก “พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กและสตรี เรี่ยวแรงก็หามีมาต่อกรไม่ ปล่อยพวกเขากลับไปซะ นี่เป็นบัญชาของข้า” ลู่เฟยหลงสั่งเสียงเข้ม เพียงเท่านั้นรองแม่ทัพใหญ่จึงไม่กล้า
ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา “เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้ วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง
เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..? “หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?! เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า... “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่นานแล้ว แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่เห็น
เฟิ่งหรั่นมองดอกไห่ถังสลับกับชมแสงจันทร์จากริมศาลา เพลานี้ราตรีมาเยือนมืดมิดแล้ว แสงจันทร์ทอประกายเด่นกลางท้องนภา ท่ามกลางหมู่ดารานับล้านดวง พระจันทร์ในคืนนี้งดงามกว่าคืนใด สักพักหนึ่งนางเห็นดาวดวงหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งนักพร้อมกับดอกไห่ถังที่กลีบของมันสั่นไหวเบาๆ เพลานี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าร่วมงานล่าสัตว์ครั้งแรก ในยามค่ำก็มักจะมีการจุดคบเพลิงตามจุดหมายสำคัญต่างๆ บิดาพานางขึ้นหลังม้าเข้าไปร่วมล่าสัตว์ด้วยกัน แต่ทว่าในยามนั้นกลับเป็นการออกล่าสัตว์ของสัตว์นักล่าด้วยเช่นกัน เฟิ่งหรั่นและบิดาถูกเสือตัวผู้และตัวเมียคู่หนึ่งสีขาวลอบทำร้าย บิดาของนางนั้นได้รับบาดเจ็บจนสลบไปพร้อมกับนาง เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบลู่อ๋องแล้ว ลู่อ๋องคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่านางกลับได้เจ้าไห่เหลียนที่ตอนนั้นยังเด็กมากมาเลี้ยงด้วย เจ้าเสือขาวมาอยู่กับนางแต่หนใดนับจากที่บาดเจ็บก็ไม่อาจทราบได้ แต่ด้วยความสงสารที่พ่อแม่ของมันถูกทหารของวังหลวงจับเอาไปถลกหนังทำเสื้อ นางก็เกิดความสงสารในชะตากรรมของเจ้าเสือน้อยตัวนี้ยิ่งนัก จึงขอบิดารับมาเลี้ยงเอาไว้เป็น
เฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้นั่งที่โต๊ะด้านหลังลำดับถัดมาจากอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดากับมารดาอย่างเฟิ่งฮูหยิน ข้างๆ นางนั้นคือที่นั่งของอวี๋ฟางหรง ธิดาเจ้ากรมอาญาซึ่งมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับไทเฮาพอสมควร ทั้งบิดาของนางและบิดาของอวี๋ฟางหรงนั้น ต่างก็เป็นเสนาบดีตำแหน่งสูงทั้งคู่ หากพวกนางถูกจัดมานั่งเคียงข้างกันย่อมไม่แปลก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋ฟางหรงมองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเป็นมิตร นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ น้อมรับ พอดีกับสายตาของเฟิ่งอี้ที่มองมาอย่างจับสังเกต “คุณหนูสกุลอวี๋ อวี๋ฟางหรงไม่ใช่หรือเจ้าคะพี่หญิง” เฟิ่งอี้กระซิบถามอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของนางจดจ้องอวี๋ฟางหรงไม่วางตา เฟิ่งหรั่นปรายหางตาปรามผู้เป็นน้องสาวเงียบๆ “นางทักทายเรา มีไมตรีกับเรา เจ้าอยู่นิ่งๆ เถิด” “เจ้าค่ะ...” เฟิ่งอี้ยอมสงบปากสงบคำเมื่อได้รับคำเตือนจากผู้เป็นพี่สาว นางรินชาให้ตนเองอย่างเงียบๆ สายตานั้นจับจ้องมองที่ลู่อ๋องซึ่งประทับอยู่ข้างๆ ซู่ไท่เฟยด้วยสายตายากจะคาดเดาความหมาย “ข้าได้ยินกิตติศัพท์รูปโฉมอันงดงามของแม่น
“แม่รู้ว่าเจ้าอยากแต่งนางเข้ามาในจวน เพื่อวางแผนโดยเร็ว แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ของเราคือไทเฮา คิดว่านางจะยอมง่ายๆ หรือ?” ซู่ไท่เฟยเอ่ยขึ้นมา ลู่อ๋องยกยิ้มดังเช่นเคย “ไม่ยอมก็ต้องยอมพะยะค่ะ หากฝ่าบาททรงเอ่ยมอบสมรสพระราชทานมา ไทเฮาจะทรงคัดค้านอันใดได้ ยิ่งเป็นคนที่รักพี่ชายอย่างลู่เฟยหลง ข้าอยากเห็นสีหน้าสิ้นหวังของเขานัก” ซู่ไท่เฟยยกยิ้ม นานมากแล้วที่ต้องทนเก็บกดและอยู่ภายใต้อำนาจของคนสามคนในวังหลวง หากแผนการโค่นล้มบัลลังก์ลู่ฮ่องเต้สำเร็จ พระนางก็จะอยู่เหนือคนใต้หล้า ไม่ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าคอยรับคำสั่งของใครและยิ่งไม่ต้องโดนใครกดขี่ข่มเหงอีกแล้วดังเช่นที่ผ่านมา “รอให้งานเลี้ยงคืนนี้ผ่านไปก่อน วันหลังแม่จะหาทางกราบทูลฝ่าบาทเองเรื่องสมรสพระราชทาน ในงานคืนนี้เจ้าก็พยายามแสดงออกความรู้สึกต่อนางอย่างชัดเจนล่ะ เฟิ่งหรั่นเป็นธิดาคนโปรดของใต้เท้าเฟิ่ง หากบุตรสาวเขาได้เป็นพระชายาอ๋อง เขาก็ย่อมต้องหันมาสนับสนุนเจ้าให้ขึ้นเป็นรัชทายาท” ซู่ไท่เฟยกล่าวพลางจิบน้ำชา สายพระเนตรของพระนางยากจะคาดเดาความรู้สึกได้ เช่นเดียวกับอ๋องเก้าที่ไม่อาจคาดเดาพระทัยของพระมารดาตนเอง
เฟิ่งหรั่นเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ร้านเครื่องประดับ กำลังจะนำเครื่องประดับชิ้นใหม่มาวางขายที่ร้าน ด้วยเพราะร้านเครื่องประดับนี้ขายสินค้าแต่เฉพาะสตรีชั้นสูงและเชื้อพระวงศ์เท่านั้น เครื่องประดับมีค่าจำนวนมากย่อมเป็นที่สนใจของสตรีชั้นสูง หญิงสาวจึงชวนเฟิ่งอี้และจิงเจียวออกมาซื้อเครื่องประดับด้วยกัน ตลาดใหญ่ในเมืองหลวงครึกครื้นเป็นพิเศษ เนื่องจากการกลับมาของลู่เฟยหลงพร้อมกับชัยชนะเหนือจงโจว เหล่าสตรีชั้นสูงซึ่งเป็นบรรดาบุตรีของขุนนางทั้งหลายต่างก็ออกมาเที่ยวเล่นในเมือง ด้วยเพราะพวกนางสืบทราบมาว่าองค์รัชทายาทลู่เฟยหลงมักชอบออกมาดื่มสุรากับทหารองครักษ์คนสนิทที่หอสุราเป็นประจำ เฟิ่งหรั่นเดินเลือกซื้อเครื่องประดับมาใหม่จากหลากหลายร้านที่มาเปิดใหม่ แต่ทว่าก็ไม่มีร้านใดที่ถูกใจนางเท่าร้านใหญ่ในเมืองหลวงอีกแล้ว หญิงสาวเดินเลือกเครื่องประดับในร้านใหญ่ไปเรื่อยๆ จนเจอปิ่นหยกที่ถูกใจ ปิ่นหยกนี้ประดับด้วยไข่มุกราตรีงดงามยิ่งนัก เฟิ่งหรั่นหยิบปิ่นหยกสีเขียวเพียงหนึ่งเดียวในร้านขึ้นมาเชยชม เช่นเดียวกับเฟิ่งอี้เดินเข้ามาหาพี่สาวชื่นชมความงดงามของปิ่นหยกหายากชนิดนี้