เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..?
“หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย
เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา
เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?!
เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่
อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า...
“เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่
นานแล้ว
แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่
เห็นสิ่งใด สรรพสิ่งรายรอบมืดมนไปหมด แต่นางกลับได้กลิ่นแห่งหายนะ...กลิ่นแห่งความตายที่ลอยโชยเข้ามา ซึ่งเป็นกลิ่นที่ชัดเจนที่สุดมาจากเฟิ่งหรั่น!
“รอบทางมืดมนไปหมด กลิ่นแห่งความตาย...ข้าได้กลิ่นแห่งความตาย!” แม่หมอผู้นั้นเอ่ยเสียงดังน่าหวาดกลัว เฟิ่งฮูหยินตกใจจนจอกชาเกือบหล่นจากมือ เฟิ่งอี้ที่ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไปนางเอ่ยเสียงดังขัดขึ้นมา
“ท่านต้องโกหกแน่ๆ แม่หมอ...พี่สาวข้ากำลังจะอภิเษกเป็นพระชายาอ๋อง กลิ่นแห่งความตายอะไรของท่าน!” เฟิ่งอี้เดินเข้ามากระชากมือเฟิ่งหรั่นออกจากแม่หมอเฒ่าด้วยความโกรธ
แม่หมอมองเฟิ่งหรั่นด้วยแววตาสั่นเครือ
“ความตาย ใกล้จะมาเยือนท่านแล้ว...” นางกล่าวแค่นั้นแล้วรีบเดินออกไป ไม่สนใจสิ่งใดอีกแล้ว รู้แต่ว่ากลิ่นอายจากเฟิ่งหรั่นนั้นน่ากลัวยิ่งนัก หญิงสาวที่กลิ่นตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความตาย นางไม่มีทางมาเป็นชายาอ๋องได้เด็ดขาด
เฟิ่งเจาหรงเดินตามแม่หมอผู้นั้นไปโดยพยายามลบเลี่ยงจากสายตาของบิดาและฮูหยินใหญ่
“ท่านแม่หมอ เดี๋ยวก่อนสิเจ้าคะ” เฟิ่งเจาหรงร้องเรียกแม่หมอที่กำลังจะเดินพ้นจากประตูจวน
“มีเรื่องอันใดกัน” แม่หมอมองสำรวจเฟิ่งเจาหรงอยู่ครู่หนึ่ง นางเป็นหมอที่ดูดวงชะตามาทั้งชีวิต แค่มองก็พอคาดเดาได้แล้วว่าชะตาชีวิตคน
ที่อยู่เบื้องหน้านั้นจะเป็นอย่างไร
“เมื่อสักครู่ สตรีที่ท่านทำนายนางเป็นพี่หญิงใหญ่ของข้า เกิดอะไร
ขึ้นกับนางหรือ” เฟิ่งเจาหรงไม่มีท่าทียินดียินร้ายใดๆ แค่เพียงนางได้ยินแม่หมอพูดเรื่องความตายต่อหน้าเฟิ่งหรั่น นับเป็นเรื่องดีต่อนางและมารดายิ่งนัก
แม่หมอไม่ตอบ นางกวาดสายตามองเฟิ่งเจาหรงแทนคำตอบ
“ข้าได้กลิ่นความตายมาจากตัวเจ้า...”
เฟิ่งเจาหรงหน้าชา นางถามเรื่องเฟิ่งหรั่น แต่กลับได้รับคำตอบอัปมงคลมาแทน! นางมองร่างของแม่หมอเฒ่าที่เดินจากไปอย่างรวดเร็ว กำหมัดแน่นด้วยความเจ็บใจ นางอยากกรีดร้องกับคำพูดเมื่อสักครู่แต่ก็ไม่อาจทำได้ ด้วยเกรงว่าตนเองจะกลายเป็นที่ตลกขบขันของเฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้
แม่หมอเฒ่าเดินพ้นมาจากจวนสกุลเฟิ่งไกลพอสมควร เมื่อสักครู่ที่นางได้กลิ่นความตายนั้นไม่ผิด! หญิงสาวผู้นั้นเฟิ่งหรั่น มีชะตาเป็นนางหงส์ที่ยิ่งใหญ่ แต่ทว่ากลับมีรัศมีแห่งความตายมาบดบังดวงชะตาของนางเอาไว้ หญิงสาวผู้นี้มีชะตาชีวิตที่สลับซับซ้อนและน่ากังวลยิ่งนัก
อีกไม่นานอีกฝ่ายก็จะกลายเป็นพระชายาเอกของอ๋องเก้าแล้ว ฤกษ์มงคลกำลังจะถูกส่งมาจากวังหลวง ไม่รู้ทำไมถึงมีความรู้สึกบางอย่างว่าอ๋องเก้าไม่คู่ควรกับนางเลยสักนิด ทั้งๆ ที่สกุลนี้กับอ๋องเก้าสนิทสนมกันมาเนิ่นนาน เพราะอะไร?
“ดวงชะตาย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้ตลอดเวลาเจ้าค่ะท่านแม่ อย่ากังวลไปเลยเจ้าค่ะ” เฟิ่งหรั่นเอ่ย แม้คำพูดจากปากของแม่หมอเฒ่าเมื่อนำมาคิดรวมกับความฝันของนางที่แสนน่ากลัว กลับยิ่งมีน้ำหนักยิ่งนัก นางไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองจึงไม่คัดค้านเรื่องการแต่งงานกับลู่อ๋อง หรือจะเป็นวาสนาของนางจริงๆ
เฟิ่งอี้ได้ทีจึงรีบเอ่ยส่งเสริมพี่สาว
“นั่นสิเจ้าคะท่านแม่ แม่หมอเฒ่าผู้นั้นก็ย่อมต้องมีทำนายผิดพลาดกันบ้าง ปากของนางเอ่ยวาจาไม่เป็นมงคล ท่านอย่าไปเชื่อเลยเจ้าคะ พี่หญิงใหญ่มีวาสนาสูงได้อภิเษกเป็นพระชายาเอกท่านอ๋องเก้า จะมีความตายเข้ามาเกี่ยวข้องได้อย่างไรเจ้าคะ”
ใต้เท้าเฟิ่งคิดตามบุตรสาวคนเล็ก ดวงชะตานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนและไม่อาจยึดถือเป็นแนวทางการดำรงชีวิตได้ การที่อ๋องเก้าขอสมรสพระราชทานเช่นนี้ ก็คงเป็นวาสนาของสกุลเฟิ่งมากกว่าจะเป็นคราวเคราะห์ สตรีทั่วทั้งเมืองหลวงปรารถนาอยากเป็นชายาของลู่อ๋องกันทั้งนั้น คงมิใช่คราวเคราะห์ของบุตรสาวเขาอย่างแน่นอน
แม้ในใจของอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งจะปรารถนาให้บุตรสาวคนใดคนหนึ่งเป็นพระชายาองค์รัชทายาทลู่เฟยหลง แต่ก็คงเป็นไปได้ยากนัก มีข่าวลือหนาหูเหลือเกินว่าลู่เฟยหลงนั้นเป็นพวกตัดแขนเสื้อ มีบุรุษมากมายคอยรับใช้ไม่ห่างกาย แม้ว่าไทเฮาจะทรงหาสตรีมากมายหรือแนะนำอวี๋ฟางหรง แต่ก็มิเคยมีสตรีใดได้เข้าถวายตัวรับใช้หรือเป็นพระชายาเอกเลย ดังนั้นการ
ได้เสกสมรสกับลู่อ๋องก็ย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีเหมือนกัน
แม้ว่าความยิ่งใหญ่ของลู่อ๋องจะไม่เทียบเท่าลู่เฟยหลง แต่ก็มีซู่ไท่เฟยที่เป็นฐานอำนาจหนุนหลัง สนับสนุนอยู่ไม่ห่าง วังหลังก็มีเพียงซู่ไท่เฟยที่พอจะคานอำนาจกับไทเฮาได้
“อีกไม่นานข้าก็จะเสกสมรสกับท่านอ๋องเก้าแล้ว ข้าไม่อยากให้เรื่อง
คำทำนายพวกนี้มาทำลายงานแต่งเจ้าค่ะท่านแม่” เฟิ่งหรั่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงเหนื่อยๆ วันนี้นางเพลียมากจริงๆ นับตั้งแต่ได้ยินแม่หมอเฒ่าเอ่ยเรื่องความตาย จิตใจของนางก็พลันห่อเหี่ยวลง แต่อ๋องเก้าเป็นบุรุษที่ดีผู้หนึ่ง จะพานางไปพบกับความตายได้อย่างไรกัน คำทำนายพวกนั้นคงไม่มีทางเป็นเรื่องจริง
นางกับลู่อ๋องมีใจตรงกัน เขาจะไม่มีวันพานางไปพบกับความตายอย่างเด็ดขาด
“ท่านอย่าไปเชื่อคำพูดพวกนั้นเลยพี่หญิง ไปเถิด ข้าจะพาท่านไปพักผ่อนดีกว่า” ว่าจบแล้วเฟิ่งอี้ก็คล้องแขนของเฟิ่งหรั่น พาผู้เป็นพี่สาวออกจากห้องโถงใหญ่กลับเรือนไป แต่ทว่าภายในใจนางกลับรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ดี ลางร้ายหรืออย่างไร?
ลู่เฟยหลงกักตนเองอยู่ในตำหนักบูรพา นับจากงานเลี้ยงวันนั้นเขาก็แทบไม่ย่างกรายออกจากเขตตำหนักเลยแม้แต่น้อย ลู่ไทเฮาคงคาดเดาได้ว่าบุตรชายคนเล็กคงไม่พอใจที่พระนางจับคู่เขากับอวี๋ฟางหรงเป็นแน่ นอกจากจุดประสงค์เรื่องการเมืองแล้วนั้น พระนางก็ทรงทราบอยู่เนืองๆ ว่าบุตรชายมีความสนิทสนมกับองครักษ์คนสนิทและรองแม่ทัพมาก สามารถติดต่อเข้านอกออกในกันได้อย่างสะดวกสบาย จนมีข่าวลือหนาหูยิ่งนักว่าบุตรชายของพระนางอาจเป็นบุรุษตัดแขนเสื้อ ซึ่งพระนางไม่อาจให้เป็นเรื่องจริงได้ แม้จะไม่สอบถามลู่เฟยหลงตรงๆ แต่พระนางก็คาดเดาได้ไม่ยากเท่าใด
แม้การแต่งงานกับอวี๋ฟางหรงจะมีเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้อง แต่อีก
จุดประสงค์คือพระนางต้องการกลบข่าวลือเรื่องที่บุตรชายมีพฤติกรรมตัดแขนเสื้อตนเองเช่นนี้ เพื่อลบคำเล่าลือและข้อสงสัยของเหล่าขุนนาง หากเหล่าขุนนางยกเรื่องนี้ขึ้นมาถกในท้องพระโรงเมื่อใด อาจเป็นช่องทางให้ซู่ไท่เฟยถือโอกาสเข้ามาแทรกแซงเรื่องภายในราชสำนักได้ แม้ว่าเหล่าเสนาบดีบางส่วนจะสนับสนุนอ๋องเก้าและซู่ไท่เฟยก็ตาม
เดิมทีพระนางคิดให้เฟิ่งหรั่นมาเป็นพระชายารองของลู่เฟยหลง แต่เห็นโอกาสไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง เพราะซู่ไท่เฟยและลู่อ๋องเดินนำพระนางไปหนึ่งก้าวแล้ว หากไม่เอาอำนาจของเจ้ากรมอาญาอวี๋มาขัดขวาง เกรงว่าซู่ไท่เฟยอาจจะเรืองอำนาจมากกว่านี้
พระบาทของไทเฮามาหยุดตรงทางเข้าตำหนักบูรพา กงกงคนสนิทนามว่ากู่กงกงเดินเข้ามา ใบหน้าของขันทีอาวุโสวิตกกังวลอย่างยิ่ง พระกระยาหารนั้นถูกเสวยไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น และไม่มีแม้แต่พระสุรเสียงตรัสออกมาให้ได้ยินเลยแม้แต่น้อย
“ลูกชายข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อใด?” ลู่ไทเฮาทรงถามกู่กงกง
กู่กงกงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ แต่สุดท้ายจึงยอมตอบ “ตั้งแต่งานเลี้ยงเมื่อวันก่อนเลิกราพะยะค่ะ ก็ทรงเอาแต่เก็บพระองค์ในตำหนัก พระกระยาหารก็เสวยเพียงนิดเดียวเท่านั้น บ่าวไพร่ไม่ทรงเอ่ยเรียกสักคนเลยพะยะค่ะ”
ไทเฮาทรงมองผ่านกู่กงกงไปที่ตำหนักบูรพา คิ้วทั้งสองของพระนาง
ขมวดกันเป็นปมด้วยความกังวล หากลู่เฟยหลงทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ออกมาช่วยผู้เป็นพี่ชายออกว่าราชการคงไม่ดีแน่
“ถวายพระพรไทเฮาเพคะ” อวี๋ฟางหรงที่เดินเข้ามาพร้อมกับของ
บางอย่าง นางย่อกายคำนับไทเฮาอย่างนอบน้อมพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ
ลู่ไทเฮาทรงถอนพระทัยอย่างโล่งอก สตรีที่พระนางหมายปั้นให้เป็นพระชายารัชทายาทปรากฏตัวออกมาได้ทันเวลานัก อวี๋ฟางหรงเข้ามาประคองลู่ไทเฮาอย่างอ่อนโยน นางรู้ดีว่าตอนนี้อีกฝ่ายคิดสิ่งใดในใจ
“องค์ชายทรงกักตนเองอยู่ในตำหนักเช่นนี้ ย่อมทำให้ไทเฮาทรงไม่สบายพระทัย หรงเอ๋อร์ไม่ดีเองเพคะ...” อวี๋ฟางหรงกล่าวโทษตนเองอย่างน่าสงสาร ลู่ไทเฮาทรงลูบใบหน้าอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยน
“ใครว่าเป็นความผิดของเจ้ากัน อาหลงคงมีเรื่องให้คิดมากเลยทำเช่นนี้...” ลู่ไทเฮาทรงพยายามเอ่ยปลอบใจอีกฝ่าย
อวี๋ฟางหรงก้มหน้าพร้อมกับยกยิ้มน้อยๆ “เพคะ วันนี้หม่อมฉันมาเพื่อจะเข้าเฝ้าองค์ชาย...”
“เรียนคุณหนู ตอนนี้องค์รัชทายาททรงไม่ประสงค์ให้ผู้ใดเข้าพบขอรับ” กู่กงกงเอ่ยออกไปตามตรง
“ไม่ต้องห่วงหรอกท่านกงกง แค่ท่านปล่อยให้ข้าเข้าไป พระองค์จะยอมพบข้าเอง” อวี๋ฟางหรงคลี่ยิ้มบางๆ ลำพังนางจะลอบแฝงกายเข้าไปก็ย่อมได้ แต่เกรงว่าจะทำให้เทพเซียนสวรรค์รู้ว่านางก้าวข้ามกฎการใช้พลังเซียน ดังนั้นนางเก็บพลังเซียนเอาไว้ก่อนจะเป็นการดีกว่า
กู่กงกงไม่กล้าเอ่ยคำใดคัดค้านเมื่อเห็นสีพระพักตร์ของไทเฮาเป็นเชิงแกมตำหนิ กงกงประจำตำหนักบูรพาจึงยอมให้อวี๋ฟางหรงเข้าไป
อวี๋ฟางหรงเดินมาหยุดหน้าประตูเข้าเรือนนอนตำหนักบูรพา ชาติก่อนลู่เฟยหลงเป็นเช่นไร ชาตินี้ก็ยังเป็นดังเดิมไม่มีเปลี่ยน เวลาหากไม่
สมปรารถนาสิ่งใดก็เอาแต่กักตนอยู่ในตำหนัก ไม่สมดั่งฉายาเทพสงครามแดนสวรรค์เลยจริงๆ
หญิงสาวตัดสินใจเคาะประตูและถือโอกาสเดินเข้าไปด้านใน นางเห็นบุรุษที่นางหมายมาเยี่ยมด้วยเรื่องบางอย่าง กำลังนั่งอยู่โดยมีโต๊ะคัดอักษรอยู่ด้านหน้า แต่ทว่าฝ่ามือหนาของเขากลับหมุนพู่กันเล่นเท่านั้น สายตาเลื่อนลอย มีแต่ความโศกเศร้า อวี๋ฟางหรงจับสังเกตความรู้สึกจากสายตาคู่นี้ได้
สำหรับลู่เฟยหลง เมื่อรู้สึกตัวถึงการมาเยือนของผู้มาใหม่ เขาวางพู่กันลงบนโต๊ะคัดอักษร มองอวี๋ฟางหรงอย่างไม่พอใจ
“เสด็จแม่ส่งเจ้ามาหาข้าหรือ?” ลู่เฟยหลงถามนางเสียงแข็ง
“ที่ข้ามาวันนี้ เพราะมีของสำคัญบางอย่างจะมอบให้ท่าน...” อวี๋ฟางหรงมองอนาคตต่อจากนี้ของเขาออก นางมาที่นี่เพื่อยื่นของสำคัญบางอย่างให้
ของสำคัญที่ว่านั้นคือดอกไห่ถังแบบเดียวกับที่นางเคยมอบให้เฟิ่งหรั่น ลู่เฟยหลงรับดอกไม้นั้นมามองอย่างพิจารณา นางเป็นหญิงมามอบดอกไม้ให้เขาด้วยเรื่องอันใดกัน เขามองดอกไห่ถังอยู่สักครู่แล้วถามนาง
“เจ้าเป็นหญิง มอบดอกไม้นี้ให้ข้าเห็นทีคงไม่เหมาะสม”
อวี๋ฟางหรงยิ้มอ่อนๆ “สัญญาหมั้นหมายระหว่างพระองค์กับหม่อมฉัน การที่หม่อมฉันทำเช่นนี้มีสิ่งใดไม่เหมาะสมหรือเพคะ”
นางย้อนเกล็ดถามเขากลับ มุมปากข้างหนึ่งกดรอยยิ้มอย่างผู้มีชัย
“หม่อมฉันมอบดอกไม้นี้ให้พระองค์ เมื่อถึงเวลาก็จะทราบเองว่าทำไมหม่อมฉันถึงมอบให้” อวี๋ฟางหรงกล่าวแค่นั้นแล้วนางจึงลุกเดินออกจากตำหนักบูรพาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้นางไม่สามารถบอกลู่เฟยหลงกับเฟิ่ง หรั่นได้ แต่อีกไม่นานนับจากนี้กงล้อแห่งโชคชะตาจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว...
ตำหนักของซู่ไท่เฟยครึกครื้นยิ่งนัก ยิ่งได้ทราบว่ากำหนดฤกษ์อภิเษกของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่นออกมาจากสำนักโหรหลวงแล้ว พระนางทรงสั่งให้มีการแจกเบี้ยหวัดกับขันทีและนางกำนัลของตนเองเสียใหญ่โต อีกทั้งยังมีการตระเตรียมของสำหรับดำเนินการตามขั้นตอนสามหนังสือหกพิธีการ6 ตามขนบธรรมเนียมมาแต่โบราณ
แต่ทว่าคนที่ตื่นเต้นมากที่สุดคือลู่อ๋อง ในที่สุดเขากำลังจะได้ผูกด้ายแดงกับเฟิ่งหรั่นที่หมายปองมานานนัก นางไม่ปฏิเสธการแต่งงานกับเขา นั่นเพราะนางย่อมมีใจต่อเขาอย่างไม่ต้องสงสัย สตรีที่งามพร้อมทั้งรูปโฉมและฐานะเช่นนี้ จะไม่ให้เขาต้องการคว้าตัวนางมาได้อย่างไร
ทว่ามีคนสุขก็ย่อมมีคนทุกข์เช่นกัน เมื่อลู่เฟยหลงแทบไม่ออกช่วยฮ่องเต้ว่าราชกิจใดๆ เพราะเรื่องการแต่งงานกับเฟิ่งหรั่น ลู่อ๋องกับซู่ไท่เฟยก็ยิ่งปรีดามากขึ้นไปอีก หากเหล่าเสนาบดีทราบว่าลู่เฟยหลงไม่เอาการเอางานเช่นนี้ ตำแหน่งรัชทายาทย่อมสั่นคลอน และคงมีการบีบฮ่องเต้ให้ทำการคัดเลือกรัชทายาทพระองค์ใหม่ แต่กว่าจะถึงตอนนั้นต้องหาทางกำจัดลู่เสวียนที่เป็นโอรสสายตรงของฮองเฮาเซียวด้วยเช่นกัน เพื่อมิให้เป็นขวากหนามในอนาคตของพระนางกับโอรส
“ไท่เฟย สาสน์กำหนดฤกษ์มาถึงแล้วเพคะ” นางกำนัลคนสนิทของ
ซู่ไท่เฟยเข้ามาถวายรายงาน พร้อมกับม้วนสาสน์ที่ระบุฤกษ์มงคล
“แล้วทางสกุลเฟิ่งทราบหรือยัง?”
ไท่เฟยทรงตรัสถาม
“เซียวฮองเฮาทรงให้คนของนาง ส่งเรื่องนี้ไปที่จวนใต้เท้าเฟิ่งแล้วเพคะ” นางกำนัลคนเดิมตอบเสียงใส
“ฮองเฮานางเป็นพี่สะใภ้ของเฟยหลง นางจะไม่ทำให้แผนการของเราล่มหรือพะยะค่ะเสด็จแม่” ลู่อ๋องเอ่ยถามมารดาด้วยความไม่สบายใจ
ซู่ไท่เฟยเองก็กังวลพระทัยไม่ต่างกัน “แม่เองก็กังวลอยู่ แต่เรื่องการแต่งสตรีมาเป็นเชื้อพระวงศ์ เป็นหน้าที่ของฮองเฮาที่เป็นประมุขของฝ่ายใน แม้แม่จะเป็นผู้ใหญ่ของวังหลัง แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นฮองเฮาที่ต้องจัดการร่วมด้วย”
ลู่อ๋องจนด้วยคำพูด แม้เซียวฮองเฮาจะไม่มีกำลังสนับสนุนที่ชัดเจนแต่ยังมีแรงสนับสนุนจากเสนาบดีที่สนับสนุนลู่เฟยหลงและฮ่องเต้ การทำสิ่งใดในฝ่ายใน จะตั้งหรือปลดนางกำนัลขันทีคนใด นางย่อมทำได้ทั้งสิ้น
“ตอนนี้หน้าที่เจ้า คือนำของหมั้นนี้ไปมอบให้นาง ทำให้นางแต่งงานกับเจ้าโดยไร้เงื่อนไขใดๆ ให้ลู่เฟยหลงรู้สึกว่าตนเองไม่เหมาะกับนาง” ซู่ไท่เฟยพร้อมยกยิ้มข้างหนึ่งที่มุมปาก หากได้อำนาจสกุลเฟิ่งมา ก็จะทรงมีอำนาจมากพอหากจะล้มฮ่องเต้และรัชทายาทพี่น้องคู่นี้!
สาสน์กำหนดฤกษ์มงคลวันอภิเษกถูกส่งมาที่จวนสกุลเฟิ่งในเพลาไม่นาน นางกำนัลคนสนิทของซู่ไท่เฟยและขันทีของลู่อ๋อง ให้คนนำของหมั้นมากมายเข้ามาในจวนอย่างยิ่งใหญ่ เฟิ่งฮูหยินยิ้มปรีดากับเครื่องประดับงดงามมากมายที่ซู่ไทเฟยทรงพระราชทานให้เป็นของขวัญสำหรับการหมั้นหมายครั้งนี้
“นี่ดูสิ ปิ่นไข่มุกราตรีนี้งดงามจริงๆ” เฟิ่งฮูหยินหยิบปิ่นไข่มุกราตรีมองดูด้วยความชื่นชม
“ได้ข่าวว่าฤกษ์การอภิเษกมาส่งถึงจวนแล้ว...ยินดีกับพี่หญิงใหญ่ด้วยนะเจ้าคะ” เฟิ่งเจาหรงเดินเข้ามาในเรือนของเฟิ่งหรั่นอย่างถือวิสาสะ นางกรีดยิ้มบางๆ อย่างมีเลศนัย ก่อนจะเดินเข้ามาแสร้งกวาดสายตามองไปรอบๆ เรือน แต่ทว่าภายในใจนั้นเต็มไปด้วยไฟริษยาสุมอก
เฟิ่งฮูหยินมองเฟิ่งเจาหรงด้วยสายตาไม่พอใจ บุตรีอนุภรรยาผู้นี้นางไม่รู้จักอยู่อย่างเจียมตนหรืออย่างไร เห็นทีหากงานอภิเษกผ่านไปนางคงต้องจัดการสองแม่ลูกคู่นี้ให้หลาบจำ!
“พี่หญิงรองมีสิทธิ์เข้าออกในเรือนของพี่ข้าตั้งแต่เมื่อใดกันเจ้าคะ เป็นแค่ลูกอนุ ก็ควรทำตัวแบบลูกอนุถึงจะถูก” เฟิ่งอี้มองเฟิ่งเจาหรงด้วยสายตาดูหมิ่นดูแคลน
เฟิ่งเจาหรงกอดอก แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา “ข้าเองก็ไม่อยากมาเท่าไหร่ ด้วยเพราะรู้ฐานะของตนเองดี ก็แค่อยากมาแสดงความยินดีก็เท่านั้น”
_________________________
6สามหนังสือหกพิธีการ ขั้นตอนการสู่ขอเจ้าสาวแบบจีนโบราณนั่นเอง โดยจะเป็นการแลกเปลี่ยนหนังสือสามฉบับระหว่างตระกูล และการดำเนินตามพิธีการ 6 ข้อด้วยกัน สามหนังสือได้แก่ หนังสือหมั้นหมาย,หนังสือสินสอดและหนังสือรับตัว ส่วนหกพิธีการได้แก่ การสู่ขอ,การขอวันเดือนปีเกิด,การเสี่ยงทาย,การมอบสินสอด,การดูฤกษ์ยาม และสุดท้ายคือการไปรับเจ้าสาว
ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา “เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้ วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง
กองทัพเสวียนอู่เดินทางมาถึงที่หมาย ตอนนี้การจลาจลทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยรองแม่ทัพที่เขามอบหมายให้ประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างที่เขาประทับอยู่ในเมืองหลวง ด้วยเกรงว่าพวกกบฏที่จับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นจะก่อความวุ่นวาย แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจากไปไม่กี่วัน กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทันทีลู่เฟยหลงก้าวลงจากหลังม้า ส่งมอบม้าให้กับจางซินเฉิงแล้วถือกระบี่เดินเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ของตนเอง ตอนนี้เหล่าเชลยบางส่วนที่ก่อกบฏล้วนถูกขังรอการตัดสินโทษอยู่จากเขา“ชาวเมืองในตำบลซ่างจิ่งนี้ จะให้กระหม่อมจัดการอย่างไรพะยะค่ะ” รองแม่ทัพใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นลู่เฟยหลงมองด้วยสายตาคมปลาบ “ให้ประหารตัวการที่ก่อกบฏครั้งนี้ ส่วนชาวบ้านที่บริสุทธิ์ให้ปล่อยไป ทหารของพวกกบฏนั่นให้เกณฑ์มาเป็นแรงงาน ส่วนเด็ก สตรีและคนชรา ให้ปล่อยพวกเขาไป” “พระองค์แน่ใจหรือพะยะค่ะว่าเด็กและสตรีพวกนั้นจะไม่เป็นภัยในภายหลัง” รองแม่ทัพใหญ่ถามอย่างไม่ไว้ใจนัก “พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กและสตรี เรี่ยวแรงก็หามีมาต่อกรไม่ ปล่อยพวกเขากลับไปซะ นี่เป็นบัญชาของข้า” ลู่เฟยหลงสั่งเสียงเข้ม เพียงเท่านั้นรองแม่ทัพใหญ่จึงไม่กล้า
ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง “อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า “อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นน
ตับๆๆ เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะหฤหรรษ์ในห้องแห่งหนึ่งของของโรงเตี๊ยม ในห้องนั้นปรากฏภาพชายหญิงทั้งสองกำลังร่วมรักกันอย่างมีความสุข เฟิ่งเจาหรงใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านกับความสุขที่อ๋องเก้ามอบให้กับนาง ใบหน้าหล่อเหลาของลู่อ๋องกัดฟันพลางคำรามในลำคอด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเขาได้ปลดปล่อยสายธารรักของตนเองเข้าไปในกายของสตรีใต้ร่างอย่างสุขสม เฟิ่งเจาหรงคลายมือออกจากผ้าปูที่นอนเมื่อความหฤหรรษ์นั้นจบลง ใบหน้าของลู่อ๋องซบลงบนหน้าอกอวบใหญ่ของเฟิ่งเจาหรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ข้าพึงพอใจในรสสวาทของเจ้ายิ่งนัก หรงเอ๋อร์” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ขณะที่ใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียเม็ดทับทิมสีชมพูที่แข็งชันเป็นไต “อ๊า!!!” เฟิ่งเจาหรงร้องครางเสียงดัง เมื่อลู่อ๋องใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเต้านมอวบของนางรุนแรงอย่างหิวกระหาย จนใบหน้างดงามของเฟิ่งเจาหรงเหยเกด้วยความเสียวซ่าน นางร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาด้วยความสุขสม “หากท่านอ๋องชมชอบ หม่อมฉันก็ยินดีมอบกายถวายใจรับใช้เพคะ” นางเอ่ยพลางใช้มือเรียวของตนเอ
เฟิ่งหรั่นพยายามกลั้นหายใจ! ในยามนี้นางสัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากสายตาของลู่อ๋อง เขาดูเหมือนไม่ใช่สามีของนางอีกต่อไป เขาที่เคยอ่อนโยนต่อนางแทบไม่มีอีกแล้วนับตั้งแต่แต่งงานด้วยกันมา นางมองสายตาคู่นั้นที่จ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ น่าแปลกนักที่แต่งงานกันมานานแล้ว แต่นางไม่มีความรู้สึกพิศวาสในตัวเขาเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นนางเองที่ยินยอมแต่งงานกับเขา นางพยายามดิ้นเบาๆ ให้หลุดจากอ้อมกอดของลู่อ๋อง แต่ทว่าเขากลับรัดนางแน่นกว่าเดิม ก่อนจะใช้สองมือแกร่งผลักร่างของนางลงบนเตียงแล้วใช้ร่างกายสูงใหญ่กดทับนางเอาไว้ ทำให้นางดิ้นไม่หลุด ลู่อ๋องมองนางที่อยู่ใต้ร่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีสตรีมากมายที่เขาพิชิตใจได้ แต่กับเฟิ่งหรั่นที่เป็นภรรยานั้นยากเย็นเหลือเกิน จนทำให้เขาต้องไปมีอนุและสตรีมากมายนอกจวนลับหลังนาง! “วันนี้ท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทรงลุกเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำสรงถวาย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่เป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหวาดกลัว ใช่! นางหวาดกลัวเขาเหลือเกิน... “เพราะอะไร...” คำถามเพียงสั้นๆ
ลู่อ๋องสั่งให้เตรียมของขวัญสำหรับขึ้นทูลเกล้าถวายให้กับลู่ฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาร่วมบิดา ข้าวของมีค่าแต่ละชิ้นล้วนหายากอย่างยิ่ง รวมถึงแจกันหยกปักบุปผาซึ่งเป็นของหายากในแผ่นดินจงหยวน ลู่อ๋องก็ใช้ความพยายามหามาจนได้เพื่อเอาพระทัยฝ่าบาทในงานวันนี้ แม้แต่เฟิ่งหรั่นก็เตรียมของขวัญจำนวนหนึ่งเตรียมถวายให้กับฮ่องเต้และเซียวฮองเฮาเช่นกัน ปิ่นมุกราตรีนั้นหาได้ง่ายยิ่ง แต่ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือปีกหงส์ที่สยายตรงหัวปิ่นปัก นั้นสื่อถึงพญาหงส์ที่งามสง่าเคียงบัลลังก์ฝ่าบาท ปิ่นนี้คือปิ่นที่เฟิ่งหรั่นตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ เฟิ่งอี้ที่ทราบว่าวันนี้พี่สาวของนางต้องเตรียมตัวเข้าวัง นางก็เร่งเดินทางมาวังอ๋องโดยเฉพาะเพื่อช่วยพี่สาวแต่งตัวให้งดงามที่สุด แม้ที่นี่จะมีนางกำนัลมากมาย แต่เรื่องความงดงามของพี่สาวนางนางปรารถนาที่จะดูแลด้วยตนเอง ไม่อยากให้ใครมาทำให้พี่สาวของนางงดงามด้อยไปกว่าสตรีนางอื่น จังหวะที่เฟิ่งอี้กำลังจะเดินทางไปตำหนักของเฟิ่งหรั่น นางพลันเดินสวนกับลู่อ๋องพอดี นัยน์ตาหวานซึ้งเผลอสบตาเข้ากับลู่อ๋องพอดี นางก้มหน้างุดด้วยความเขินอายยา
อวี๋ฟางหรงเข้ามาในตำหนักสวรรค์ของเฟิ่งหรั่น สถานที่ที่ในอดีตเฟิ่งหรั่นใช้เป็นที่ประทับส่วนตัว เนื่องจากภายในนี้มีของบางสิ่งที่นางต้องการนางจึงถือโอกาสนี้นำไปให้ได้ หากขาดเจ้าสิ่งนี้เกรงว่าภารกิจของนางอาจไม่สำเร็จลุล่วงโดยง่าย ในเมื่อเทียนโฮ่วทราบว่านางแอบฝ่าฝืนคำสั่ง วันนี้นางก็จะขอฝ่าฝืนคำสั่งอีกสักครั้ง ตำหนักของเฟิ่งหรั่นนี้มีนามว่าตำหนักอิงฮวา ซึ่งเต็มไปด้วยดอกซากุระและดอกไห่ถังบานสะพรั่ง สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเฟิ่งหรั่นและชายคนรักของนางในอดีตชาติ ซึ่งชายคนรักของอีกฝ่ายนั้นก็พี่ชายของอวี๋ฟางหรงหรือไป๋ลู่นั่นเอง เขาคือเทพสงครามแห่งทิศประจิมที่เกรียงไกร ไม่ว่าย่างกรายไปยังพิภพใดล้วนสยบมารศัตรูได้สิ้นซาก สมกับเป็นเทพพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ที่เทียนตี้ทรงไว้วางพระทัยที่สุด “เจ้ามาทำอันใดที่ตำหนักอิงฮวา...” น้ำเสียงหนักแน่นของคนผู้หนึ่งดังจากด้านหลัง ไป๋ลู่สูดปากใบหน้าซีดลงอย่างขัดใจ นางอุตส่าห์แนบเนียนที่สุดแล้วเพื่อจะมาเอาของสิ่งหนึ่งในตำหนักอิงฮวามอบให้เฟิ่งหรั่น แต่กลับมีคนมายุ่มย่ามเสียนี่ ไป๋ลู่หันกลับมาตามเสียงเรียก พลางยิ้มแหยๆ ใส่ผู้ที่ข
หัวคิ้วของเฟิ่งหรั่นขมวดมุ่นเข้าหากัน หางตาของนางชำเลืองมองลู่อ๋องสามีของนางเป็นระยะ เห็นเขากำลังสนใจนางระบำตรงหน้าจึงพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา นางมองภาพการร่ายรำเบื้องหน้าสักครู่หนึ่ง แล้วหันมากำชับจิงเจียว “เก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด” จิงเจียวพยักหน้ารับแทนคำตอบ นางกระชับอกเสื้ออย่างดีก่อนจะหันมาสนใจการแสดงร่ายรำตรงหน้า ลู่ฮ่องเต้ทรงยกจอกสุรามงคลขึ้นดื่มต่อหน้าทุกคน ลู่เฟยหลงเป็นตัวแทนเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและประชาชนจำนวนมากกล่าวคำอวยพรต่อเบื้องพระพักตร์ ข้างกายของเขานั้นมีลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยคอยนั่งอยู่เคียงข้าง “กระหม่อมขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่นี้ ขอถวายพระพรให้ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มากยิ่งด้วยทศพิธราชธรรม ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพะยะค่ะ” กล่าวจบแล้วก็ดื่มสุราลงคอเพียงรวดเดียวจนหมดจอก แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะไม่ชื่นชอบการดื่มสุรา แต่ในงานมงคลเช่นนี้นางไม่ควรปฏิเสธให้เสียมารยาท นางจึงฝืนใจกลืนรสขมปร่าของมันลงคอเพียงรวดเดียว ฝ่ามือบางวางกระแทกจอกสุราบนโต๊ะเบื้องหน้าที่เย็นเฉียบเนื่องเพราะลมหนา
โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารชั้นดีเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฟยหลงนั้นอยู่เบื้องหลังการชำระล้างมลทินให้เฟิ่งหรั่น มีแต่คนกล่าวเพียงว่าอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่คอยหาหลักฐานมากมายร่วมสามปี จนได้หลักฐานว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายอดีตพระชายาเก้าจนถึงแก่ความตาย ก็คือขันทีคนสนิทของลู่อ๋อง แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคำถามมากมายที่ผู้คนต่างกล่าวขานกัน ว่าเป็นเพราะลู่อ๋องต้องหลงเสน่ห์ชายารององค์ใหม่เป็นแน่ เฟิ่งหรั่นยกยิ้มอย่างพึงใจ อย่างน้อยสามปีที่นางหายไปท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงทวงความยุติธรรมให้นางมาตลอด การกลับมาคราวนี้นางจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เคยถูกย่ำยีกลับคืนมา เปิดโปงความชั่วของพวกมันทั้งสองคนในชั่วพริบตานางย่อมทำได้ แต่หากทำเช่นนั้นศัตรูที่นางเคียดแค้นชิงชังจะตายง่ายไป นางต้องการแย่งชิงสิ่งที่พวกมันหมายปองให้มาอยู่แทบเท้านาง ในเมื่อเคยเป็นคนดีแต่กลับถูกคนชั่วหลอกใช้ นางก็ขอกลายเ
ไป๋ลู่หัวเสียอย่างยิ่ง หากนางทำสิ่งใดทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะนางตลอดเวลานะ! เซียนสาวหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทางด้านหลัง นางยิ้มแหยๆ ให้กับจูเชว่อย่างอารมณ์ดี เขาอายุมากกว่านางหลายพันปีอีกทั้งยังเป็นคนที่คอยขัดขวางนางทุกเรื่องหากนางคิดอ่านสิ่งใด เขาทำตนราวกับตนเองมีเนตรทิพย์แดนสวรรค์ที่สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ นางเกลียดยิ่งนัก! “เซียนที่ต้องทัณฑ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาแดนสวรรค์ และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอชะตาเซียน เจ้าบังอาจฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”จูเชว่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หากเขาไม่สะกดรอยมาเห็นนางเสียก่อน เกรงว่านางคงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้ว “แล้วท่านแม่ทัพเล่า มีเวลาว่างมากนักรึถึงมาตามจับผิดข้า คราวก่อนก็ครั้งนึงแล้ว ท่านตามติดข้าเป็นเงาเช่นนี้ คงมิใช่ทำร้ายอันใดกับข้าอยู่ใช่มั้ย?” พยัคฆ์สาวแสร้งเอ่ยปกปิดเรื่องราวของตน และได้ผล...แม้ว่าจูเชว่จะชอบขัดขวางนาง แต่ทว่าไม่เคยตาม
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่เฟยหลงลอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก ซึ่งเป็นช่องทางลับที่เขาแอบสร้างเอาไว้นานแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ใช้ช่องทางลับนี้ ช่องทางลับที่แม้แต่ฝ่าบาทกับพระมารดาก็ไม่ทรงทราบ ซ่งหลานบอกเขาว่าเฟิ่งหรั่นถูกนำตัวไปขังในคุกใต้ดินที่มืดที่สุดของคุกหลวง คุกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงตะวันสาดส่อง ชายหนุ่มลอบย่องเข้ามาเงียบๆ วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าที่ทหารยามจะคาดเดาได้ เขานำห่อผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยเพื่อหวังจะโอบนางให้คลายความหนาวแล้วพาหนีออกจากคุกแห่งนี้ แต่ทว่าเขาต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเจอกับสตรีอีกหนึ่งนางกำลังตรงไปที่ห้องขังเฟิ่งหรั่น เฟิ่งอี้! ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสตรีตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังเดินอย่างแช่มช้ามิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด กริยาท่าทางราวกับคนใจเย็นสุขุม ทั้งๆ ที่บิดาและมารดาของนางกำลังร้อนรนเพราะหาทางช่วยเฟิ่งหรั่น แต่นางคนนี้กลับมีท่าทีราวกับเบิกบานใจ
เฟิ่งหรั่นถูกคุมขังอยู่ในตำหนักหลายวัน ขณะที่ลู่อ๋องไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เขากลับแต่งตั้งเฟิ่งอี้น้องสาวนางเป็นพระชายารอง ให้ดูแลงานทุกอย่างภายในวังอ๋องแทนนางที่ถูกคุมขังในตำหนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง กงกงของวังหาได้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศ จึงคอยลอบส่งข่าวสารผ่านจิงเจียวถึงแผนการของลู่อ๋อง “เจ้าคนชั่ว!” เฟิ่งหรั่นเปล่งวาจาด้วยบันดาลโทสะ ฝ่ามือบางที่เคยขาวผ่อง ตอนนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื่องจากนางฟาดฝ่ามือของตนเองเข้ากับผนังกำแพงโดยไม่นึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด “พระชายาเพคะ” จิงเจียวมองนายของตนด้วยความสงสาร ทั้งหมดนั่นคือการใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้านายของนางไม่เคยกระทำตนออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นแผนการใส่ร้ายทั้งสิ้น ลู่อ๋องใส่ร้ายเจ้านายของนางจนต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้! “ข้าแต่งงานกับเขาก็เพื่อหวังช่วยเสริมฐานอำนาจให้เ
ในขณะที่ตำหนักหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงรักอย่างเร่าร้อน ทางด้านตำหนักของเฟิ่งหรั่นกลับเงียบเหงายิ่งนัก หญิงสาวตื่นขึ้นมาในยามดึก เนื่องด้วยเพลานี้นางพักผ่อนจนพิษไข้สร่างลงไปมาก ด้านข้างกันนั้นมีจิงเจียวคอยช่วยตระเตรียมห่อยาและคอยเช็ดตัวให้กับนาง เฟิ่งหรั่นขยี้ตามองสรรพสิ่งรอบๆ กาย นางกลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่! ครั้งล่าสุดนางจำได้ว่าเฟิ่งอี้พานางไปเดินเล่นแถวๆ เขตตำหนักบูรพา จากนั้นนางก็เมามายจนสติเลือนรางจดจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ นางจำได้แค่เพียงว่ากลิ่นกายของบุรุษที่มิใช่ลู่อ๋อง และเสียงทะเลาะกันในขณะนั้นคล้ายกับว่าเป็นห้วงความฝัน แต่เป็นห้วงฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน “พระชายา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ ทรงนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกหลายชั่วยามเพคะกว่าฟ้าจะสาง” จิงเจียวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พระชายาของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี “ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” เฟิ่งหรั่นกำลังจะก้าวขาลงจากเตียงแต่จิงเจียวปรามเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งเลยเพคะพระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องทรงมีคำสั่งกักบริเวณพระองค์เอา
ลู่อ๋องนั่งหน้าดำเคร่งขรึมหลังจากที่เห็นว่าเฟิ่งหรั่นหายไปนานมากแล้ว นางเดินออกไปจากงานพร้อมกับเฟิ่งอี้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน ยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาร้อนรนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขากลัวว่านางจะไปเจอลู่เฟยหลงที่ตำหนักบูรพา กลัวว่านางจะลอบคบชู้สู่ชายดังเช่นที่เขาเคยสบประมาทนางเอาไว้ สองฝ่ามือหนากำหมัดเข้าหากันแน่นอย่างเคร่งเครียด สายตาคมปลาบเห็นท่าทีร้อนรนของเฟิ่งอี้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคนเดียว คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ เขามองเฟิ่งอี้แล้วพลันเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ทันใดนั้นนางกลับวิ่งเข้ามาหาเขา “ท่านอ๋องเพคะ แย่แล้วเพคะ พี่หญิงออกไปเดินเล่นกับหม่อมฉัน ระหว่างทางไปเรือนรับรองก็เกิดพลัดหลงกันในอุทยาน หม่อมฉันตามหานางจนทั่วแต่ก็ตามหาไม่เจอ” เฟิ่งอี้ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน หัวคิ้วของลู่อ๋องขมวดมุ่นแทบจะชนเข้ากัน สองมือกำจอกสุราแน่น เขารู้ดีว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด! สายตาคมปลาบฉาบไปด้วยกลิ่นอายอำมหิตจนเฟิ่งอี้สัมผัสได้ นางลอบยิ้มบางๆ อยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นลู่อ๋องลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ กล่าวต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบ
หัวคิ้วของเฟิ่งหรั่นขมวดมุ่นเข้าหากัน หางตาของนางชำเลืองมองลู่อ๋องสามีของนางเป็นระยะ เห็นเขากำลังสนใจนางระบำตรงหน้าจึงพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา นางมองภาพการร่ายรำเบื้องหน้าสักครู่หนึ่ง แล้วหันมากำชับจิงเจียว “เก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด” จิงเจียวพยักหน้ารับแทนคำตอบ นางกระชับอกเสื้ออย่างดีก่อนจะหันมาสนใจการแสดงร่ายรำตรงหน้า ลู่ฮ่องเต้ทรงยกจอกสุรามงคลขึ้นดื่มต่อหน้าทุกคน ลู่เฟยหลงเป็นตัวแทนเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและประชาชนจำนวนมากกล่าวคำอวยพรต่อเบื้องพระพักตร์ ข้างกายของเขานั้นมีลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยคอยนั่งอยู่เคียงข้าง “กระหม่อมขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่นี้ ขอถวายพระพรให้ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มากยิ่งด้วยทศพิธราชธรรม ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพะยะค่ะ” กล่าวจบแล้วก็ดื่มสุราลงคอเพียงรวดเดียวจนหมดจอก แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะไม่ชื่นชอบการดื่มสุรา แต่ในงานมงคลเช่นนี้นางไม่ควรปฏิเสธให้เสียมารยาท นางจึงฝืนใจกลืนรสขมปร่าของมันลงคอเพียงรวดเดียว ฝ่ามือบางวางกระแทกจอกสุราบนโต๊ะเบื้องหน้าที่เย็นเฉียบเนื่องเพราะลมหนา
อวี๋ฟางหรงเข้ามาในตำหนักสวรรค์ของเฟิ่งหรั่น สถานที่ที่ในอดีตเฟิ่งหรั่นใช้เป็นที่ประทับส่วนตัว เนื่องจากภายในนี้มีของบางสิ่งที่นางต้องการนางจึงถือโอกาสนี้นำไปให้ได้ หากขาดเจ้าสิ่งนี้เกรงว่าภารกิจของนางอาจไม่สำเร็จลุล่วงโดยง่าย ในเมื่อเทียนโฮ่วทราบว่านางแอบฝ่าฝืนคำสั่ง วันนี้นางก็จะขอฝ่าฝืนคำสั่งอีกสักครั้ง ตำหนักของเฟิ่งหรั่นนี้มีนามว่าตำหนักอิงฮวา ซึ่งเต็มไปด้วยดอกซากุระและดอกไห่ถังบานสะพรั่ง สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเฟิ่งหรั่นและชายคนรักของนางในอดีตชาติ ซึ่งชายคนรักของอีกฝ่ายนั้นก็พี่ชายของอวี๋ฟางหรงหรือไป๋ลู่นั่นเอง เขาคือเทพสงครามแห่งทิศประจิมที่เกรียงไกร ไม่ว่าย่างกรายไปยังพิภพใดล้วนสยบมารศัตรูได้สิ้นซาก สมกับเป็นเทพพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ที่เทียนตี้ทรงไว้วางพระทัยที่สุด “เจ้ามาทำอันใดที่ตำหนักอิงฮวา...” น้ำเสียงหนักแน่นของคนผู้หนึ่งดังจากด้านหลัง ไป๋ลู่สูดปากใบหน้าซีดลงอย่างขัดใจ นางอุตส่าห์แนบเนียนที่สุดแล้วเพื่อจะมาเอาของสิ่งหนึ่งในตำหนักอิงฮวามอบให้เฟิ่งหรั่น แต่กลับมีคนมายุ่มย่ามเสียนี่ ไป๋ลู่หันกลับมาตามเสียงเรียก พลางยิ้มแหยๆ ใส่ผู้ที่ข