“แม่รู้ว่าเจ้าอยากแต่งนางเข้ามาในจวน เพื่อวางแผนโดยเร็ว แต่อุปสรรคชิ้นใหญ่ของเราคือไทเฮา คิดว่านางจะยอมง่ายๆ หรือ?” ซู่ไท่เฟยเอ่ยขึ้นมา
ลู่อ๋องยกยิ้มดังเช่นเคย “ไม่ยอมก็ต้องยอมพะยะค่ะ หากฝ่าบาททรงเอ่ยมอบสมรสพระราชทานมา ไทเฮาจะทรงคัดค้านอันใดได้ ยิ่งเป็นคนที่รักพี่ชายอย่างลู่เฟยหลง ข้าอยากเห็นสีหน้าสิ้นหวังของเขานัก”
ซู่ไท่เฟยยกยิ้ม นานมากแล้วที่ต้องทนเก็บกดและอยู่ภายใต้อำนาจของคนสามคนในวังหลวง หากแผนการโค่นล้มบัลลังก์ลู่ฮ่องเต้สำเร็จ พระนางก็จะอยู่เหนือคนใต้หล้า ไม่ต้องอยู่ใต้ฝ่าเท้าคอยรับคำสั่งของใครและยิ่งไม่ต้องโดนใครกดขี่ข่มเหงอีกแล้วดังเช่นที่ผ่านมา
“รอให้งานเลี้ยงคืนนี้ผ่านไปก่อน วันหลังแม่จะหาทางกราบทูลฝ่าบาทเองเรื่องสมรสพระราชทาน ในงานคืนนี้เจ้าก็พยายามแสดงออกความรู้สึกต่อนางอย่างชัดเจนล่ะ เฟิ่งหรั่นเป็นธิดาคนโปรดของใต้เท้าเฟิ่ง หากบุตรสาวเขาได้เป็นพระชายาอ๋อง เขาก็ย่อมต้องหันมาสนับสนุนเจ้าให้ขึ้นเป็นรัชทายาท” ซู่ไท่เฟยกล่าวพลางจิบน้ำชา สายพระเนตรของพระนางยากจะคาดเดาความรู้สึกได้ เช่นเดียวกับอ๋องเก้าที่ไม่อาจคาดเดาพระทัยของ
พระมารดาตนเอง
ตำหนักคังเฉวียน
ตำหนักคังเฉวียนเป็นตำหนักที่อยู่ทางทิศใต้ของวังหลวง ซึ่งเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ไทเฮาในทุกๆ รัชกาล มีศาลาริมน้ำอันร่มรื่นเป็นที่ประทับผ่อนคลายส่วนพระองค์ บริเวณเดียวกันนั้นนอกจากจะมีศาลาริมน้ำที่สวยงามแล้ว สะพานไม้ที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตงดงามนั้นก็งามวิจิตรไม่แพ้กัน ลู่เฟยหลงเดินทางมาเข้าเฝ้าพระมารดา ภาพบรรยากาศอันคุ้นเคยของตำหนักคังเฉวียน ทำให้เขาคิดถึงเยาว์วัยที่เฟิ่งหรั่นมักมาเล่นที่นี่กับน้องสาวของนางและลู่อ๋อง
ภาพความทรงจำในวัยเยาว์ปรากฏขึ้นมา เด็กหญิงตัวน้อยวัยเจ็ดปีกำลังวิ่งเล่นกับอ๋องเก้าพระอนุชาต่างมารดาของเขา ส่วนตัวเขานั้นได้แต่มองนางวิ่งเล่นกับน้องชายต่างมารดาด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม เนื่องจากในยามนั้นเขาอายุได้สิบห้าขวบปีแล้ว จึงได้แต่เฝ้าดูอยู่ห่างๆ เท่านั้น นานวันเข้าความรู้สึกที่มีต่อเฟิ่งหรั่นเริ่มแปรเปลี่ยนไป เขาเฝ้ามองการเติบโตของนางทุกๆ วันก่อนจะออกไปรบทัพจับศึกที่ชายแดน ทุกครั้งหากได้เห็นสิ่งของที่นางชอบในแคว้นของศัตรู เขามักจะนำมาเก็บแทนตัวของนางเสมอ
“อาหลงของแม่” ไทเฮาทรงสาวพระบาทเข้ามาหาบุตรชาย โดยมีกูกูใหญ่ของวังคอยช่วยประคองไว้ มิให้พระนางทรงลื่นล้ม เนื่องจากบริเวณนี้อยู่ติดกับริมน้ำ อาจเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
“เสด็จแม่” ลู่เฟยหลงคำนับพระมารดาด้วยความเคารพ สายพระเนตรและพระพักตร์ที่เคร่งขรึมพลันอ่อนโยนลง เมื่อได้พบพระพักตร์ของ
พระมารดาอีกครั้งรอบหลายปี ไทเฮาแม้จะทรงตำหนิบุตรชายที่ไม่ยอมมาเข้าเฝ้าพระนางก่อนและยังทิ้งพระนางเอาไว้ในวังเกือบหลายปี แต่มาวันนี้กลับทรงหลั่งน้ำพระเนตรแห่งความดีใจออกมาอย่างไม่รู้ตัว
“เจ้ากลับมาก็ดีแล้ว กลับมาคราวนี้ก็อยู่ที่นี่เสียเถิดนะ อย่าได้ไปไหนอีกเลย อยู่กับแม่และช่วยพี่ชายของเจ้า” ไทเฮาทรงกล่าวพระสุรเสียงอ่อนโยน พระหัตถ์เหี่ยวย่นยื่นเข้าไปสัมผัสใบหน้าหล่อคมของบุตรชายคนเล็กด้วยความห่วงใย
ลู่เฟยหลงยิ้ม “พะยะค่ะ กระหม่อมกลับมาคราวนี้ก็ตั้งใจจะมาพำนักอยู่ที่นี่ถาวร จะไม่ให้เสด็จแม่ทรงเปล่าเปลี่ยวอีกแล้ว”
ลู่เฟยหลงประคองพระมารดาเข้ามานั่งในศาลาริมสระ
“เจ้ากลับมาคราวนี้ มีสิ่งใดที่นำมาด้วยหรือไม่?” ความคาดหวังของไทเฮา ทรงหมายพระทัยอยากให้บุตรชายได้เชื่อมความสัมพันธ์กับบุตรีเจ้ากรมอาญาให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ในอนาคตหากลู่เฟยหลงต้องขึ้นครองราชย์ต่อจากลู่ฮ่องเต้ผู้เป็นโอรสองค์โต จำเป็นต้องพึ่งพาอำนาจเจ้ากรมอาญาในการสนับสนุน
ชายหนุ่มเข้าใจความหมายของพระมารดาดีว่าทรงหมายถึงสิ่งใด ยามที่เขาประทับอยู่ต่างเมือง พระมารดามักให้คนพาบุตรีเจ้ากรมอาญา ‘อวี๋ฟางหรง’ มาเยี่ยมเยียนเขาเสมอ แต่สำหรับเขาแล้วนางก็เป็นเพียงน้องสาวคนหนึ่งเท่านั้น เขาไม่อยากคิดเกินเลยกับนางไปมากกว่านี้ ด้วยในใจของเขามีเพียงเฟิ่งหรั่นเพียงคนเดียวเท่านั้น ต่อให้รู้ว่าตนเองไม่คู่ควรกับนาง แต่เขาก็ยังมีหวังว่านางจะมีใจให้เขาและหันมามองเขา เหมือนที่นางมองลู่อ๋อง
ลู่เฟยหลงคาดเดาได้ว่าพระมารดาอยากให้เขาตอบเช่นไร แต่กับอวี๋
ฟางหรงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้ เขาไม่เคยรักนาง แม้จะเคยพบกันหลายครั้ง
แต่นางกลับไม่มีความรู้สึกใดให้เขาชวนคิดว่าเป็นคนที่จะเข้ามาในใจของเขาได้เลย ต่างกันกับเฟิ่งหรั่นที่แค่มองตาของนางก็ราวกับมีมนต์สะกดให้หลงใหลอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
“นอกจากชัยชนะ กระหม่อมก็ไม่มีสิ่งใดแล้วพะยะค่ะ” ลู่เฟยหลงตอบพระมารดาตามตรงด้วยน้ำเสียงนุ่มแต่ราบเรียบ สีพระพักตร์ของไทเฮาผู้เป็นมารดาเจื่อนลงเล็กน้อย ความหวังที่อยากให้พระโอรสเสกสมรสกับอวี๋ฟางหรงนั้นดูท่าทางจะไม่มีหวังเสียแล้ว แต่ทว่าพระนางก็ไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ไทเฮาทรงถอนพระทัย
“แม่รู้ว่าเจ้าไม่ชอบแม่นางอวี๋ แต่ตอนนี้เจ้าไม่มีสตรีใดในใจ ก็ควรให้โอกาสนางบ้าง นางเพียรทำเพื่อเจ้ามาเท่าใด แม่อยากให้เจ้าเห็นใจนางนะ”
“เสด็จแม่ ความรักคือความเข้าใจของทั้งสองคน หากให้ลูกอยู่กับนางพระความเห็นใจ นั่นก็คือการฝืนใจและสุดท้ายนางก็คือคนที่เจ็บปวดที่สุด ขอเสด็จแม่อย่าทรงกังวลเลยพะยะค่ะ หากข้าไม่อาจแต่งงานมีชายาได้จริง ก็ยังมีเสวียนเอ๋อร์ ลูกจะพยายามอบรมหลาน เพื่อในภายภาคหน้าจะได้ปกครองแคว้นได้อย่างมีเกียรติ” ลู่เฟยหลงกล่าวอย่างแม่นมั่น เขาจะไม่ยอมแต่งงานกับสตรีที่ตนไม่ได้รักเด็ดขาด หากชาตินี้ไม่มีวาสนาต่อเฟิ่งหรั่น เขาก็ยอมครองตนอยู่เพียงคนเดียว และคอยสนับสนุนลู่เสวียนผู้เป็นหลานชายให้ปกครองบัลลังก์
ไทเฮาทรงถอนพระทัยอีกคำรบ
“เจ้าเอง แต่ไหนแต่ไรมาแม่ก็ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเจ้าสำเร็จเลยสักครั้ง...แต่เอาเถิด หากเจ้ารักชอบสตรีนางใดแม่ก็ไม่ว่า แต่ขออย่างเดียว
อย่าได้มีความเกี่ยวข้องกับสกุลของซู่ไท่เฟยก็พอแล้ว” ไทเฮาทรงกล่าวพระ สุรเสียงหน่ายๆ คงมีสักวันที่พระนางจะเกลี้ยกล่อมให้บุตรชายคนเล็กยอมรับการแต่งงานกับอวี๋ฟางหรง
อาภรณ์ของเฟิ่งหรั่นนั้นงดงามยากจะหาสิ่งใดเปรียบ ทุกสิ่งสรรที่งดงามถูกนำมาใช้กับนางจนหมด ทั้งเครื่องประดับและปิ่นปักผม จนเฟิ่งอี้และเฟิ่งเจาหรงอดอิจฉาในความงามของเฟิ่งหรั่นไม่ได้ แม้ว่าเฟิ่งอี้จะเป็นน้องสาวร่วมสายเลือดเดียวกัน แต่แววตาของนางมองปิ่นหยกที่อ๋องเก้าประทานให้พี่สาวด้วยความเสียดาย
“เจ้าชอบปิ่นหยกนี้หรืออี้เอ๋อร์” เฟิ่งหรั่นมองน้องสาวอย่างรู้ใจ นางคลี่ยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างใจดี
เฟิ่งอี้แสร้งปฏิเสธ ทั้งๆ ที่จริงแล้วนางควรเป็นเจ้าของปิ่นหยกนั้น!
“เปล่าๆ เจ้าค่ะพี่หญิง ของสิ่งนี้ท่านอ๋องทรงประทานให้พี่หญิง ข้าจะอาจเอื้อมอยากได้ทำไมกัน” นางหลุบสายตาต่ำซ่อนประกายความไม่พอใจในแววตาเอาไว้
เฟิ่งหรั่นคลี่ยิ้มบางๆ อีกครั้ง นางเดินตรงเข้ามาหาผู้เป็นน้องสาวก่อนจะบรรจงปักปิ่นนี้ลงบนมวยผมของอีกฝ่ายอย่างประณีต พลางมองนางและตนเองในกระจกทองเหลืองบานใหญ่ พวกนางสองพี่น้องใบหน้านั้นละม้ายคล้ายคลึงกันหลายส่วน อีกทั้งความงดงามยังไม่มีใครเป็นสองรองใคร
“หากเจ้าชอบ คืนนี้เจ้าก็ใส่เถิด พี่มีเครื่องประดับมากมายที่ท่านแม่เตรียมเอาไว้”ว่าจบแล้วก็เดินกลับไปนั่งที่ของตนเอง พลางให้จิงเจียวหวีผมที่ถูกปล่อยครึ่งหัวลงมาอย่างอารมณ์ดี ในเมื่อน้องสาวของนางชอบปิ่นนั้น
ทั้งอีกฝ่ายยังไม่มีเครื่องประดับที่โดดเด่นเลยสักชิ้น นางในฐานะพี่สาวที่ไม่อยากเห็นน้องสาวน้อยใจจึงตัดสินใจมอบปิ่นนี้ให้สวมใส่
ของพระราชทานจากอ๋องเก้าแล้วอย่างไร ในเมื่อตอนนี้มันเป็นของนาง นางจะทำอย่างไรก็ย่อมได้
“ขอบคุณเจ้าค่ะพี่หญิง” เฟิ่งอี้เอ่ยด้วยความดีใจ นางหันหน้าเบาๆ สองถึงสามทีเพื่อสำรวจความเรียบร้อยบนใบหน้าของตนเอง นางหยิบชาดมาแต้มริมฝีปากเบาๆ ริมฝีปากนั้นอิ่มเอิบด้วยชาดสีแดง นางมั่นใจว่าคืนนี้นางจะต้องงดงามไม่เป็นสองจากเฟิ่งหรั่นแน่นอน
งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มขึ้น คนของลู่อ๋องและซู่ไท่เฟยต่างค่อยๆ เดินมาจากตำหนักหลันเป่าที่อยู่ไกลจากวังหลัง พอดีกับเซียวฮองเฮาที่เดินมาพร้อมกับนางกำนัลใหญ่ของนาง เซียวฮองเฮาในอาภรณ์สีน้ำเงินน้ำทะเลค้อมศีรษะคำนับซู่ไท่เฟย ในฐานะที่อีกฝ่ายเป็นผู้อาวุโสกว่าด้วยความเคารพ
“ถวายพระพรซู่ไท่เฟยเพคะ” เซียวฮองเฮาค้อมศีรษะคำนับอย่างนอบน้อม พระพักตร์งามอิ่มเอิบคลี่ยิ้มบางๆ เป็นเชิงรับคำนับจากอ๋องเก้าด้วยเช่นกัน
“ถวายพระพรพี่สะใภ้ ทรงสบายดีนะพะยะค่ะ” ลู่อ๋องฉีกยิ้มกว้างถาม พอดีกับเซียวฮองเฮาที่ยิ้มรับ
“ข้าสบายดี เชิญพวกท่านตามสบายเถิด ขอตัวก่อน” ว่าจบแล้วเซียวฮองเฮาก็เดินจากไป พร้อมกับนางกำนัลของพระนางด้วยท่าทีหยิ่งยโส อย่างไรแล้วซู่ไท่เฟยก็ถือเป็นผู้อาวุโสของวัง อีกทั้งในวังหลังก็นับเป็นอดีตพระสนมของไท่ซ่างหวงพระองค์ก่อน จึงไม่สมควรที่จะถูกมองข้ามโดยไม่ให้
ความเคารพ
รอยยิ้มของซู่ไท่เฟยค่อยๆ หายไป แปรเปลี่ยนเป็นสีพระพักตร์เรียบ
ตึง “แม่ยังไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็จัดงานเลี้ยงอย่างกะทันหัน เอาไว้วันหลังแม่จะหาทางกราบทูลเรื่องของเจ้ากับเฟิ่งหรั่นเอง”
ลู่อ๋องยิ้มรับ “พะยะค่ะเสด็จแม่”
รถม้าของอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งเข้ามาเทียบจอดที่หน้าประตูวังหลวง ใต้เท้าเฟิ่งยื่นสาสน์เชิญร่วมงานเลี้ยงให้กับทหารหน้าประตูวัง ก่อนจะจูงมือฮูหยินเอกของตนเอง เดินนำบุตรสาวทั้งสองเข้าไปในงานรื่นเริงนี้ จู่ๆ เฟิ่งหรั่นกลับรู้สึกบางอย่าง นางจึงปลีกตัวเดินออกไป
ความรู้สึกบางอย่างนำพานางมาที่อุทยานหลวงของตำหนักคุนหนิง เนื่องจากนางเป็นที่โปรดปรานของฮองเฮา พระนางจึงทรงอนุญาตให้หญิงสาวเข้ามาในอุทยานได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ ถือเป็นคนพิเศษของพระนางจริงๆ
“อ๊ะ..!” เฟิ่งหรั่นเผลอเดินชนกับลู่เฟยหลงจนเกือบเซล้มลงไป โชคดีนักที่ฝ่ามือหนาคว้าเอวบางประคองเอาไว้ได้ทัน ฝ่ามือของนางยึดไหล่ชายหนุ่มเกาะเอาไว้แน่น หัวใจของนางพลันเต้นระรัวกับเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่เพิ่งเกิดขึ้น นางค่อยๆ ลืมตาทีละนิดสบตากับผู้ที่สวมกอดเอวนางเอาไว้
“อะ...องค์รัชทายาท” นางอุทานเบาๆ ด้วยความตกใจ ก่อนจะเริ่มรู้สึกตัวว่าตนเองกำลังอยู่ในอ้อมแขนแกร่งของอีกฝ่าย และยังแนบชิดกับแผงอกของเขาอีกด้วย
ลู่เฟยหลงถือโอกาสสูดกลิ่นหอมจากกายนาง เป็นกลิ่นหอมที่เขา
ชมชอบยิ่งนัก ไม่ต้องปรุงแต่งอันใดนางก็มีกลิ่นกายที่หอมเย้ายวนยิ่งนัก ชาย
หนุ่มเผลอสูดกลิ่นหอมรัญจวนใจ โดยไม่รู้สึกตัวว่ากำลังถูกนางมองด้วยสาย
ตาตำหนิ
“ปล่อยหม่อมฉันก่อนเพคะ...” นางกล่าวเสียงแข็งกับเขา ชายหญิงอยู่ด้วยกันและทำเช่นนี้ย่อมไม่สมควรยิ่งนัก ลู่เฟยหลงจึงได้สติและปล่อยเอวบางด้วยความรู้สึกที่แสนเสียดาย
“เราขอโทษ” ลู่เฟยหลงกล่าวเสียงขรึม เขาซ่อนท่าทีเหนียมอายเอาไว้ภายใต้ดวงตาคมปลาบที่เย็นชา
เราหรือ...เขาแทนตัวว่าเรากับข้างั้นหรือ?
“หม่อมฉันขอประทานอภัยเพคะที่เสียมารยาทต่อพระองค์”เฟิ่งหรั่นย่อกายขออภัยอย่างนอบน้อม สมกับเป็นสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดียิ่ง นางเก็บซ่อนความเขินอายเอาไว้ไม่มิด นอกจากลู่อ๋องที่เคยปักปิ่นให้นางแล้ว ก็มีลู่เฟยหลงที่ทำให้หัวใจของนางเต้นระรัวทุกครั้งที่ได้สบตากัน
“ไม่เป็นไร เจ้า...มาร่วมงานนี้เหมือนกันหรือ?” เขาแสร้งถาม ทั้งๆ ที่ในใจนั้นรู้อยู่แล้วว่านางมีการแสดงร่ายรำนี้ในวันฉลองของเขา เขาดีใจยิ่งนัก
เฟิ่งหรั่นก้มหน้าตอบ “เพคะ ถ้าเช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวก่อน”
นางมิได้เกรงกลัวเขาแต่อย่างใด แต่ก้อนเนื้อด้านซ้ายในอกของนางเต้นรัวราวกับจะระเบิดออกมา หากนางยังยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปคงไม่เป็นผลดีต่อตัวนางเป็นแน่ สายตาทรงอานุภาพนั้นมักทำให้นางใจสั่นทุกครั้งที่ได้พบกัน เพราะเหตุใดกันนะ...
ลู่เฟยหลงเอ่ยเสียงเรียบออกมา “ถ้าเช่นนั้นไปกับข้าเถิด ข้ากำลังจะ
ไปงานเหมือนกัน”
เฟิ่งหรั่นปฏิเสธไม่ออก นางมองชายหนุ่มที่เดินนำหน้านางไปก่อนจะถอนหายใจเบาๆ อย่างโล่งอกแล้วเดินตามเขาไปที่งาน
ลู่เฟยหลงกับลู่อ๋องนั้นหล่อเหลากันคนละแบบ ลู่อ๋องหล่อเหลาสุภาพทำให้นางรู้สึกประทับใจยิ่งนัก แต่ลู่เฟยหลงหล่อเหลา ดุดันสมชายชาตินักรบ อีกทั้งสายตาทรงอานุภาพที่ทำให้นางใจสั่นตลอดเวลา นางจึงรู้สึกแปลกๆ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้กับลู่เฟยหลงมากกว่าลู่อ๋อง
เฟิ่งหรั่นเดินตามหลังลู่เฟยหลงมาเงียบๆ นางเจอกับเซียวฮองเฮาและไทเฮา จึงค้อมคำนับตามธรรมเนียมอย่างงดงาม กิริยาความงดงามและอ่อนช้อยของเฟิ่งหรั่นเป็นที่พอพระทัยของเซียวฮองเฮานัก ยกเว้นเพียงแต่ไทเฮาที่ทรงมีอคติบางอย่างในใจกับนาง
นับตั้งแต่ที่รู้ว่าซู่ไท่เฟยเองก็หมายตาเฟิ่งหรั่นให้เป็นชายาของอ๋องเก้า พระทัยของพระนางก็ว้าวุ่นไม่เป็นสุข หรือว่านางจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้ลู่เฟยหลงไม่ยอมรับการแต่งงานกับอวี๋ฟางหรงเป็นแน่ แม้จะไม่ได้ชอบนางเป็นพิเศษ แต่ก็มิได้อคติกับนางจนเกินไป สกุลเฟิ่งเป็นสกุลใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้น ย่อมเป็นธรรมดาที่มีเชื้อพระวงศ์ทั้งหลายต้องการเกี่ยวดองเป็นทองแผ่นเดียวกัน แต่อวี๋ฟางหรงนั้นก็ไม่น้อยหน้าใคร สกุลอวี๋เป็นลูกพี่ลูกน้องกับไทเฮามาเนิ่นนาน พระนางทรงหมายมั่นอยากให้สกุลอวี๋เป็นฮองเฮาองค์ต่อไป
“ถวายพระพรเพคะไทเฮา ฮองเฮา” เฟิ่งหรั่นค้อมกายคำนับอย่างนอบน้อมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน น้ำเสียงอันอ่อนหวานของนางนี้เองที่ทำให้พระทัยของไทเฮาผู้ได้รับฟังวาจานี้เริ่มพระทัยอ่อนยวบมาบ้าง แต่หากให้นางแต่งงานกับลู่เฟยหลงจริงๆ ตำแหน่งพระชายารองนั้นก็ไม่เลวนัก หากในอนาคตโอรสองค์เล็กขึ้นครองราชย์ต่อนางก็นับว่ามีศักดิ์เป็นหวงกุ้ยเฟย[1]หรือหากแย่ที่สุดก็อาจจะเป็นแค่หนึ่งในสี่สนมชายา[2] ของฮ่องเต้รัชกาลถัดไป คิดแล้วก็ไม่มีผลเสียเท่าใดนัก
เซียวฮองเฮากับไทเฮาคลี่ยิ้มตอบ
“ยินดีต้อนรับนะหรั่นหรั่น” เซียวฮองเฮาทรงเอ่ยอย่างใจดีพร้อมกับรอยยิ้มอันอบอุ่นประดับบนพระพักตร์งดงาม
“ถวายพระพรเพคะไทเฮา ฮองเฮา” เสียงหวานใสของอวี๋ฟางหรงดังขึ้นจากด้านหลัง สตรีงดงามในอาภรณ์ที่ชมพูกลีบบัวแสนงดงามเดินย่างกรายอย่างอ่อนช้อยเข้ามาคำนับไทเฮาและฮองเฮา ความงดงามของอวี๋ฟางหรงไม่ด้อยไปกว่าเฟิ่งหรั่นเลย หากยืนอยู่ใกล้ๆ กันแล้วพวกนางคงกลายเป็นพี่น้องท้องเดียวกันเป็นแน่
กล่าวจบแล้วก็หันมามองลู่เฟยหลงด้วยสายตาชื่นชม
“ถวายพระพรเพคะองค์รัชทายาท” อวี๋ฟางหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงหวานใสต่อหน้าชายหนุ่ม นางหลุบสายตาลงด้วยความเอียงอายยามต้องสบสายตาคมปลาบคู่นั้น แต่ทว่าลู่เฟยหลงกลับมิให้ความสนใจนางเลยเพียงนิด คุณหนูสกุลอวี๋รู้สึกเสียหน้าเพียงนิดที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ตอบกลับมา
ไทเฮาทรงเอ่ยปลอบใจ
“หลงเอ๋อร์เพิ่งเดินทางกลับมา เอาไว้วันหลังเจ้าค่อยแวะมาหาเขาที่ตำหนักบูรพาแล้วกันนะ”
เซียวฮองเฮาทรงมองพฤติกรรมของทั้งสอง มารดาของสามีตั้งใจ
จับคู่ให้อย่างชัดเจน อีกทั้งสายตาของลู่เฟยหลงนั้นบ่งบอกชัดยิ่งว่ามิได้มีใจให้อวี๋ฟางหรงผู้นี้เลย สงสารแต่เพียงลู่เฟยหลงเท่านั้น สายตานั้นบ่งบอกความรู้สึกที่มีต่อเฟิ่งหรั่นเช่นใดย่อมปิดไม่มิด
“หม่อมฉันขอตัวก่อนเพคะ” เฟิ่งหรั่นรู้สึกตัวราวกับเป็นส่วนเกินจึงเดินปลีกตัวออกมา ลู่เฟยหลงที่เริ่มเบื่อหน่ายจึงเดินตามนางเข้าไปในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อตนเอง เขาพอจะทราบจุดประสงค์คร่าวๆ ของการจัดงานครั้งนี้แล้ว พระมารดาทรงเชิญสกุลอวี๋และอวี๋ฟางหรงมาคงหมายใจอยากจับคู่ให้เขาเป็นแน่
แต่สตรีในใจของเขามีเพียงเฟิ่งหรั่นเท่านั้น ไม่มีใครมาแทนที่นางได้ แต่วาสนาระหว่างเขากับนางจะเป็นไปได้อย่างนั้นหรือ?...
[1] หวงกุ้ยเฟย หมายถึงตำแหน่งพระมเหสีรอง มีอำนาจปกครองฝ่ายในรองจากฮองเฮา สามารถสั่งลงโทษนางสนม นางกำนัลหรือขันทีที่ทำผิดกฎได้ แต่ไม่ได้รับอำนาจถือป้ายหงส์อาญาสิทธิ์ของฮองเฮา (พระจักรพรรดินี)
[2] สี่สนมชายา คือตำแหน่งพระชายาชั้นเอกขององค์จักรพรรดิ เป็นรองจากฮองเฮา แต่มียศสูงกว่าสนมเอกชั้นผิน ได้แก่ กุ้ยเฟย (พระอัครเทวี) ซูเฟย (พระราชเทวี) เต๋อเฟย (พระอัครชายา) และเสียนเฟย (พระราชชายา)
เฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้นั่งที่โต๊ะด้านหลังลำดับถัดมาจากอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดากับมารดาอย่างเฟิ่งฮูหยิน ข้างๆ นางนั้นคือที่นั่งของอวี๋ฟางหรง ธิดาเจ้ากรมอาญาซึ่งมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับไทเฮาพอสมควร ทั้งบิดาของนางและบิดาของอวี๋ฟางหรงนั้น ต่างก็เป็นเสนาบดีตำแหน่งสูงทั้งคู่ หากพวกนางถูกจัดมานั่งเคียงข้างกันย่อมไม่แปลก ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋ฟางหรงมองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเป็นมิตร นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ น้อมรับ พอดีกับสายตาของเฟิ่งอี้ที่มองมาอย่างจับสังเกต “คุณหนูสกุลอวี๋ อวี๋ฟางหรงไม่ใช่หรือเจ้าคะพี่หญิง” เฟิ่งอี้กระซิบถามอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของนางจดจ้องอวี๋ฟางหรงไม่วางตา เฟิ่งหรั่นปรายหางตาปรามผู้เป็นน้องสาวเงียบๆ “นางทักทายเรา มีไมตรีกับเรา เจ้าอยู่นิ่งๆ เถิด” “เจ้าค่ะ...” เฟิ่งอี้ยอมสงบปากสงบคำเมื่อได้รับคำเตือนจากผู้เป็นพี่สาว นางรินชาให้ตนเองอย่างเงียบๆ สายตานั้นจับจ้องมองที่ลู่อ๋องซึ่งประทับอยู่ข้างๆ ซู่ไท่เฟยด้วยสายตายากจะคาดเดาความหมาย “ข้าได้ยินกิตติศัพท์รูปโฉมอันงดงามของแม่น
เฟิ่งหรั่นมองดอกไห่ถังสลับกับชมแสงจันทร์จากริมศาลา เพลานี้ราตรีมาเยือนมืดมิดแล้ว แสงจันทร์ทอประกายเด่นกลางท้องนภา ท่ามกลางหมู่ดารานับล้านดวง พระจันทร์ในคืนนี้งดงามกว่าคืนใด สักพักหนึ่งนางเห็นดาวดวงหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งนักพร้อมกับดอกไห่ถังที่กลีบของมันสั่นไหวเบาๆ เพลานี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าร่วมงานล่าสัตว์ครั้งแรก ในยามค่ำก็มักจะมีการจุดคบเพลิงตามจุดหมายสำคัญต่างๆ บิดาพานางขึ้นหลังม้าเข้าไปร่วมล่าสัตว์ด้วยกัน แต่ทว่าในยามนั้นกลับเป็นการออกล่าสัตว์ของสัตว์นักล่าด้วยเช่นกัน เฟิ่งหรั่นและบิดาถูกเสือตัวผู้และตัวเมียคู่หนึ่งสีขาวลอบทำร้าย บิดาของนางนั้นได้รับบาดเจ็บจนสลบไปพร้อมกับนาง เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบลู่อ๋องแล้ว ลู่อ๋องคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่านางกลับได้เจ้าไห่เหลียนที่ตอนนั้นยังเด็กมากมาเลี้ยงด้วย เจ้าเสือขาวมาอยู่กับนางแต่หนใดนับจากที่บาดเจ็บก็ไม่อาจทราบได้ แต่ด้วยความสงสารที่พ่อแม่ของมันถูกทหารของวังหลวงจับเอาไปถลกหนังทำเสื้อ นางก็เกิดความสงสารในชะตากรรมของเจ้าเสือน้อยตัวนี้ยิ่งนัก จึงขอบิดารับมาเลี้ยงเอาไว้เป็น
เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..? “หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?! เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า... “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่นานแล้ว แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่เห็น
ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา “เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้ วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง
กองทัพเสวียนอู่เดินทางมาถึงที่หมาย ตอนนี้การจลาจลทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยรองแม่ทัพที่เขามอบหมายให้ประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างที่เขาประทับอยู่ในเมืองหลวง ด้วยเกรงว่าพวกกบฏที่จับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นจะก่อความวุ่นวาย แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจากไปไม่กี่วัน กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทันทีลู่เฟยหลงก้าวลงจากหลังม้า ส่งมอบม้าให้กับจางซินเฉิงแล้วถือกระบี่เดินเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ของตนเอง ตอนนี้เหล่าเชลยบางส่วนที่ก่อกบฏล้วนถูกขังรอการตัดสินโทษอยู่จากเขา“ชาวเมืองในตำบลซ่างจิ่งนี้ จะให้กระหม่อมจัดการอย่างไรพะยะค่ะ” รองแม่ทัพใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นลู่เฟยหลงมองด้วยสายตาคมปลาบ “ให้ประหารตัวการที่ก่อกบฏครั้งนี้ ส่วนชาวบ้านที่บริสุทธิ์ให้ปล่อยไป ทหารของพวกกบฏนั่นให้เกณฑ์มาเป็นแรงงาน ส่วนเด็ก สตรีและคนชรา ให้ปล่อยพวกเขาไป” “พระองค์แน่ใจหรือพะยะค่ะว่าเด็กและสตรีพวกนั้นจะไม่เป็นภัยในภายหลัง” รองแม่ทัพใหญ่ถามอย่างไม่ไว้ใจนัก “พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กและสตรี เรี่ยวแรงก็หามีมาต่อกรไม่ ปล่อยพวกเขากลับไปซะ นี่เป็นบัญชาของข้า” ลู่เฟยหลงสั่งเสียงเข้ม เพียงเท่านั้นรองแม่ทัพใหญ่จึงไม่กล้า
ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง “อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า “อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นน
ตับๆๆ เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะหฤหรรษ์ในห้องแห่งหนึ่งของของโรงเตี๊ยม ในห้องนั้นปรากฏภาพชายหญิงทั้งสองกำลังร่วมรักกันอย่างมีความสุข เฟิ่งเจาหรงใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านกับความสุขที่อ๋องเก้ามอบให้กับนาง ใบหน้าหล่อเหลาของลู่อ๋องกัดฟันพลางคำรามในลำคอด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเขาได้ปลดปล่อยสายธารรักของตนเองเข้าไปในกายของสตรีใต้ร่างอย่างสุขสม เฟิ่งเจาหรงคลายมือออกจากผ้าปูที่นอนเมื่อความหฤหรรษ์นั้นจบลง ใบหน้าของลู่อ๋องซบลงบนหน้าอกอวบใหญ่ของเฟิ่งเจาหรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ข้าพึงพอใจในรสสวาทของเจ้ายิ่งนัก หรงเอ๋อร์” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ขณะที่ใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียเม็ดทับทิมสีชมพูที่แข็งชันเป็นไต “อ๊า!!!” เฟิ่งเจาหรงร้องครางเสียงดัง เมื่อลู่อ๋องใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเต้านมอวบของนางรุนแรงอย่างหิวกระหาย จนใบหน้างดงามของเฟิ่งเจาหรงเหยเกด้วยความเสียวซ่าน นางร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาด้วยความสุขสม “หากท่านอ๋องชมชอบ หม่อมฉันก็ยินดีมอบกายถวายใจรับใช้เพคะ” นางเอ่ยพลางใช้มือเรียวของตนเอ
เฟิ่งหรั่นพยายามกลั้นหายใจ! ในยามนี้นางสัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากสายตาของลู่อ๋อง เขาดูเหมือนไม่ใช่สามีของนางอีกต่อไป เขาที่เคยอ่อนโยนต่อนางแทบไม่มีอีกแล้วนับตั้งแต่แต่งงานด้วยกันมา นางมองสายตาคู่นั้นที่จ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ น่าแปลกนักที่แต่งงานกันมานานแล้ว แต่นางไม่มีความรู้สึกพิศวาสในตัวเขาเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นนางเองที่ยินยอมแต่งงานกับเขา นางพยายามดิ้นเบาๆ ให้หลุดจากอ้อมกอดของลู่อ๋อง แต่ทว่าเขากลับรัดนางแน่นกว่าเดิม ก่อนจะใช้สองมือแกร่งผลักร่างของนางลงบนเตียงแล้วใช้ร่างกายสูงใหญ่กดทับนางเอาไว้ ทำให้นางดิ้นไม่หลุด ลู่อ๋องมองนางที่อยู่ใต้ร่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีสตรีมากมายที่เขาพิชิตใจได้ แต่กับเฟิ่งหรั่นที่เป็นภรรยานั้นยากเย็นเหลือเกิน จนทำให้เขาต้องไปมีอนุและสตรีมากมายนอกจวนลับหลังนาง! “วันนี้ท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทรงลุกเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำสรงถวาย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่เป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหวาดกลัว ใช่! นางหวาดกลัวเขาเหลือเกิน... “เพราะอะไร...” คำถามเพียงสั้นๆ
โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารชั้นดีเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฟยหลงนั้นอยู่เบื้องหลังการชำระล้างมลทินให้เฟิ่งหรั่น มีแต่คนกล่าวเพียงว่าอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่คอยหาหลักฐานมากมายร่วมสามปี จนได้หลักฐานว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายอดีตพระชายาเก้าจนถึงแก่ความตาย ก็คือขันทีคนสนิทของลู่อ๋อง แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคำถามมากมายที่ผู้คนต่างกล่าวขานกัน ว่าเป็นเพราะลู่อ๋องต้องหลงเสน่ห์ชายารององค์ใหม่เป็นแน่ เฟิ่งหรั่นยกยิ้มอย่างพึงใจ อย่างน้อยสามปีที่นางหายไปท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงทวงความยุติธรรมให้นางมาตลอด การกลับมาคราวนี้นางจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เคยถูกย่ำยีกลับคืนมา เปิดโปงความชั่วของพวกมันทั้งสองคนในชั่วพริบตานางย่อมทำได้ แต่หากทำเช่นนั้นศัตรูที่นางเคียดแค้นชิงชังจะตายง่ายไป นางต้องการแย่งชิงสิ่งที่พวกมันหมายปองให้มาอยู่แทบเท้านาง ในเมื่อเคยเป็นคนดีแต่กลับถูกคนชั่วหลอกใช้ นางก็ขอกลายเ
ไป๋ลู่หัวเสียอย่างยิ่ง หากนางทำสิ่งใดทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะนางตลอดเวลานะ! เซียนสาวหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทางด้านหลัง นางยิ้มแหยๆ ให้กับจูเชว่อย่างอารมณ์ดี เขาอายุมากกว่านางหลายพันปีอีกทั้งยังเป็นคนที่คอยขัดขวางนางทุกเรื่องหากนางคิดอ่านสิ่งใด เขาทำตนราวกับตนเองมีเนตรทิพย์แดนสวรรค์ที่สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ นางเกลียดยิ่งนัก! “เซียนที่ต้องทัณฑ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาแดนสวรรค์ และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอชะตาเซียน เจ้าบังอาจฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”จูเชว่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หากเขาไม่สะกดรอยมาเห็นนางเสียก่อน เกรงว่านางคงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้ว “แล้วท่านแม่ทัพเล่า มีเวลาว่างมากนักรึถึงมาตามจับผิดข้า คราวก่อนก็ครั้งนึงแล้ว ท่านตามติดข้าเป็นเงาเช่นนี้ คงมิใช่ทำร้ายอันใดกับข้าอยู่ใช่มั้ย?” พยัคฆ์สาวแสร้งเอ่ยปกปิดเรื่องราวของตน และได้ผล...แม้ว่าจูเชว่จะชอบขัดขวางนาง แต่ทว่าไม่เคยตาม
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่เฟยหลงลอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก ซึ่งเป็นช่องทางลับที่เขาแอบสร้างเอาไว้นานแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ใช้ช่องทางลับนี้ ช่องทางลับที่แม้แต่ฝ่าบาทกับพระมารดาก็ไม่ทรงทราบ ซ่งหลานบอกเขาว่าเฟิ่งหรั่นถูกนำตัวไปขังในคุกใต้ดินที่มืดที่สุดของคุกหลวง คุกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงตะวันสาดส่อง ชายหนุ่มลอบย่องเข้ามาเงียบๆ วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าที่ทหารยามจะคาดเดาได้ เขานำห่อผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยเพื่อหวังจะโอบนางให้คลายความหนาวแล้วพาหนีออกจากคุกแห่งนี้ แต่ทว่าเขาต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเจอกับสตรีอีกหนึ่งนางกำลังตรงไปที่ห้องขังเฟิ่งหรั่น เฟิ่งอี้! ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสตรีตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังเดินอย่างแช่มช้ามิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด กริยาท่าทางราวกับคนใจเย็นสุขุม ทั้งๆ ที่บิดาและมารดาของนางกำลังร้อนรนเพราะหาทางช่วยเฟิ่งหรั่น แต่นางคนนี้กลับมีท่าทีราวกับเบิกบานใจ
เฟิ่งหรั่นถูกคุมขังอยู่ในตำหนักหลายวัน ขณะที่ลู่อ๋องไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เขากลับแต่งตั้งเฟิ่งอี้น้องสาวนางเป็นพระชายารอง ให้ดูแลงานทุกอย่างภายในวังอ๋องแทนนางที่ถูกคุมขังในตำหนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง กงกงของวังหาได้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศ จึงคอยลอบส่งข่าวสารผ่านจิงเจียวถึงแผนการของลู่อ๋อง “เจ้าคนชั่ว!” เฟิ่งหรั่นเปล่งวาจาด้วยบันดาลโทสะ ฝ่ามือบางที่เคยขาวผ่อง ตอนนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื่องจากนางฟาดฝ่ามือของตนเองเข้ากับผนังกำแพงโดยไม่นึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด “พระชายาเพคะ” จิงเจียวมองนายของตนด้วยความสงสาร ทั้งหมดนั่นคือการใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้านายของนางไม่เคยกระทำตนออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นแผนการใส่ร้ายทั้งสิ้น ลู่อ๋องใส่ร้ายเจ้านายของนางจนต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้! “ข้าแต่งงานกับเขาก็เพื่อหวังช่วยเสริมฐานอำนาจให้เ
ในขณะที่ตำหนักหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงรักอย่างเร่าร้อน ทางด้านตำหนักของเฟิ่งหรั่นกลับเงียบเหงายิ่งนัก หญิงสาวตื่นขึ้นมาในยามดึก เนื่องด้วยเพลานี้นางพักผ่อนจนพิษไข้สร่างลงไปมาก ด้านข้างกันนั้นมีจิงเจียวคอยช่วยตระเตรียมห่อยาและคอยเช็ดตัวให้กับนาง เฟิ่งหรั่นขยี้ตามองสรรพสิ่งรอบๆ กาย นางกลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่! ครั้งล่าสุดนางจำได้ว่าเฟิ่งอี้พานางไปเดินเล่นแถวๆ เขตตำหนักบูรพา จากนั้นนางก็เมามายจนสติเลือนรางจดจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ นางจำได้แค่เพียงว่ากลิ่นกายของบุรุษที่มิใช่ลู่อ๋อง และเสียงทะเลาะกันในขณะนั้นคล้ายกับว่าเป็นห้วงความฝัน แต่เป็นห้วงฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน “พระชายา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ ทรงนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกหลายชั่วยามเพคะกว่าฟ้าจะสาง” จิงเจียวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พระชายาของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี “ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” เฟิ่งหรั่นกำลังจะก้าวขาลงจากเตียงแต่จิงเจียวปรามเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งเลยเพคะพระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องทรงมีคำสั่งกักบริเวณพระองค์เอา
ลู่อ๋องนั่งหน้าดำเคร่งขรึมหลังจากที่เห็นว่าเฟิ่งหรั่นหายไปนานมากแล้ว นางเดินออกไปจากงานพร้อมกับเฟิ่งอี้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน ยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาร้อนรนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขากลัวว่านางจะไปเจอลู่เฟยหลงที่ตำหนักบูรพา กลัวว่านางจะลอบคบชู้สู่ชายดังเช่นที่เขาเคยสบประมาทนางเอาไว้ สองฝ่ามือหนากำหมัดเข้าหากันแน่นอย่างเคร่งเครียด สายตาคมปลาบเห็นท่าทีร้อนรนของเฟิ่งอี้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคนเดียว คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ เขามองเฟิ่งอี้แล้วพลันเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ทันใดนั้นนางกลับวิ่งเข้ามาหาเขา “ท่านอ๋องเพคะ แย่แล้วเพคะ พี่หญิงออกไปเดินเล่นกับหม่อมฉัน ระหว่างทางไปเรือนรับรองก็เกิดพลัดหลงกันในอุทยาน หม่อมฉันตามหานางจนทั่วแต่ก็ตามหาไม่เจอ” เฟิ่งอี้ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน หัวคิ้วของลู่อ๋องขมวดมุ่นแทบจะชนเข้ากัน สองมือกำจอกสุราแน่น เขารู้ดีว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด! สายตาคมปลาบฉาบไปด้วยกลิ่นอายอำมหิตจนเฟิ่งอี้สัมผัสได้ นางลอบยิ้มบางๆ อยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นลู่อ๋องลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ กล่าวต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบ
หัวคิ้วของเฟิ่งหรั่นขมวดมุ่นเข้าหากัน หางตาของนางชำเลืองมองลู่อ๋องสามีของนางเป็นระยะ เห็นเขากำลังสนใจนางระบำตรงหน้าจึงพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา นางมองภาพการร่ายรำเบื้องหน้าสักครู่หนึ่ง แล้วหันมากำชับจิงเจียว “เก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด” จิงเจียวพยักหน้ารับแทนคำตอบ นางกระชับอกเสื้ออย่างดีก่อนจะหันมาสนใจการแสดงร่ายรำตรงหน้า ลู่ฮ่องเต้ทรงยกจอกสุรามงคลขึ้นดื่มต่อหน้าทุกคน ลู่เฟยหลงเป็นตัวแทนเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและประชาชนจำนวนมากกล่าวคำอวยพรต่อเบื้องพระพักตร์ ข้างกายของเขานั้นมีลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยคอยนั่งอยู่เคียงข้าง “กระหม่อมขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่นี้ ขอถวายพระพรให้ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มากยิ่งด้วยทศพิธราชธรรม ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพะยะค่ะ” กล่าวจบแล้วก็ดื่มสุราลงคอเพียงรวดเดียวจนหมดจอก แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะไม่ชื่นชอบการดื่มสุรา แต่ในงานมงคลเช่นนี้นางไม่ควรปฏิเสธให้เสียมารยาท นางจึงฝืนใจกลืนรสขมปร่าของมันลงคอเพียงรวดเดียว ฝ่ามือบางวางกระแทกจอกสุราบนโต๊ะเบื้องหน้าที่เย็นเฉียบเนื่องเพราะลมหนา
อวี๋ฟางหรงเข้ามาในตำหนักสวรรค์ของเฟิ่งหรั่น สถานที่ที่ในอดีตเฟิ่งหรั่นใช้เป็นที่ประทับส่วนตัว เนื่องจากภายในนี้มีของบางสิ่งที่นางต้องการนางจึงถือโอกาสนี้นำไปให้ได้ หากขาดเจ้าสิ่งนี้เกรงว่าภารกิจของนางอาจไม่สำเร็จลุล่วงโดยง่าย ในเมื่อเทียนโฮ่วทราบว่านางแอบฝ่าฝืนคำสั่ง วันนี้นางก็จะขอฝ่าฝืนคำสั่งอีกสักครั้ง ตำหนักของเฟิ่งหรั่นนี้มีนามว่าตำหนักอิงฮวา ซึ่งเต็มไปด้วยดอกซากุระและดอกไห่ถังบานสะพรั่ง สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเฟิ่งหรั่นและชายคนรักของนางในอดีตชาติ ซึ่งชายคนรักของอีกฝ่ายนั้นก็พี่ชายของอวี๋ฟางหรงหรือไป๋ลู่นั่นเอง เขาคือเทพสงครามแห่งทิศประจิมที่เกรียงไกร ไม่ว่าย่างกรายไปยังพิภพใดล้วนสยบมารศัตรูได้สิ้นซาก สมกับเป็นเทพพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ที่เทียนตี้ทรงไว้วางพระทัยที่สุด “เจ้ามาทำอันใดที่ตำหนักอิงฮวา...” น้ำเสียงหนักแน่นของคนผู้หนึ่งดังจากด้านหลัง ไป๋ลู่สูดปากใบหน้าซีดลงอย่างขัดใจ นางอุตส่าห์แนบเนียนที่สุดแล้วเพื่อจะมาเอาของสิ่งหนึ่งในตำหนักอิงฮวามอบให้เฟิ่งหรั่น แต่กลับมีคนมายุ่มย่ามเสียนี่ ไป๋ลู่หันกลับมาตามเสียงเรียก พลางยิ้มแหยๆ ใส่ผู้ที่ข