เฟิ่งหรั่นและเฟิ่งอี้นั่งที่โต๊ะด้านหลังลำดับถัดมาจากอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดากับมารดาอย่างเฟิ่งฮูหยิน ข้างๆ นางนั้นคือที่นั่งของอวี๋ฟางหรง ธิดาเจ้ากรมอาญาซึ่งมีความสนิทสนมชิดเชื้อกับไทเฮาพอสมควร ทั้งบิดาของนางและบิดาของอวี๋ฟางหรงนั้น ต่างก็เป็นเสนาบดีตำแหน่งสูงทั้งคู่ หากพวกนางถูกจัดมานั่งเคียงข้างกันย่อมไม่แปลก
ใบหน้าอ่อนเยาว์ของอวี๋ฟางหรงมองเฟิ่งหรั่นด้วยสายตาเป็นมิตร นางคลี่ยิ้มบางๆ ให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ น้อมรับ พอดีกับสายตาของเฟิ่งอี้ที่มองมาอย่างจับสังเกต
“คุณหนูสกุลอวี๋ อวี๋ฟางหรงไม่ใช่หรือเจ้าคะพี่หญิง” เฟิ่งอี้กระซิบถามอย่างไม่ไว้ใจ สายตาของนางจดจ้องอวี๋ฟางหรงไม่วางตา
เฟิ่งหรั่นปรายหางตาปรามผู้เป็นน้องสาวเงียบๆ
“นางทักทายเรา มีไมตรีกับเรา เจ้าอยู่นิ่งๆ เถิด”
“เจ้าค่ะ...” เฟิ่งอี้ยอมสงบปากสงบคำเมื่อได้รับคำเตือนจากผู้เป็นพี่สาว นางรินชาให้ตนเองอย่างเงียบๆ สายตานั้นจับจ้องมองที่ลู่อ๋องซึ่งประทับอยู่ข้างๆ ซู่ไท่เฟยด้วยสายตายากจะคาดเดาความหมาย
“ข้าได้ยินกิตติศัพท์รูปโฉมอันงดงามของแม่นางเฟิ่งมานานแล้ว มิด
คาดคิดว่าวันนี้จะได้มาเจอท่านด้วยตนเอง หากไม่รังเกียจท่านจะดื่มสุรากับข้าสักจอกได้หรือไม่?” รอยยิ้มของอวี๋ฟางหรงทำให้เฟิ่งหรั่นปฏิเสธไมตรีไม่ลง
“ย่อมได้สิ” อวี๋ฟางหรงรินสุราใส่จอกของเฟิ่งหรั่นด้วยความยินดี ก่อนที่ทั้งสองจะยกจอกสุราเข้าปากพร้อมกัน การกระทำของพวกนางทั้งสองล้วนอยู่ในสายตาของลู่เฟยหลงและลู่อ๋อง
“เห็นอวี๋ฟางหรงและเฟิ่งหรั่นเข้ากันได้ดีเช่นนี้ จะเป็นเช่นใดหนอหากให้พวกนางทั้งสองมาเป็นสะใภ้ของราชวงศ์” เซียวฮองเฮาทรงเอ่ย คำกล่าวนี้ราวกับรู้พระทัยของไทเฮาว่าคิดสิ่งใด แต่ว่าทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความรู้สึกของคนสองคน การไปบังคับให้อภิเษกสมรสกันนั้นย่อมไม่เหมาะสม
เซียวฮองเฮาในฐานะสะใภ้ใหญ่ของราชวงศ์ทรงมองทุกอย่างอย่างแม่นยำ พวกนางทั้งสองต่างงดงามและเปี่ยมด้วยวาสนาบารมีทั้งคู่ น่าเสียดายนักหากคนหนึ่งจะต้องแต่งเป็นแค่ชายาอ๋องและอีกคนเป็นหงส์คู่บัลลังก์ ทั้งๆ ที่ความงดงามและความสามารถของพวกนางทั้งคู่ล้วนไม่ด้อยไปกว่ากันเลยสักนิด
“ฮองเฮานั้นล้วนคิดเหมือนแม่เสียจริง...” ไทเฮาทรงเอ่ย พระพักตร์งดงามหันไปทอดพระเนตรสตรีทั้งสองอย่างสนพระทัย หากแต่ความสนพระทัยนั้นอยู่ที่อวี๋ฟางหรงมากกว่า “โดยเฉพาะแม่นางอวี๋ จะดีเพียงใดหาก
ได้มาเป็นชายาของหลงเอ๋อร์”
จอกสุราของลู่เฟยหลงเกือบตกเพราะความตกใจ งานเลี้ยงฉลองนี้พระมารดาคงไม่ได้จัดขึ้นเพราะชัยชนะของเขาเพียงคนเดียว แต่อาจหมาย
ถึงการประกาศเรื่องว่าที่พระชายารัชทายาท หากเป็นเช่นนั้นเขาควรทำเช่นใดเพื่อรักษาเกียรติของอวี๋ฟางหรงและคว้าหัวใจของเฟิ่งหรั่นมาครอง
สายตาคมปลาบจับจ้องที่เฟิ่งหรั่นอย่างไม่วางตา ซู่ไท่เฟยที่สังเกตเห็นสีพระพักตร์วิตกของลู่เฟยหลง นางยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ จึงกล่าวขึ้นมาว่า
“ไทเฮาทรงพระปรีชายิ่งนักเพคะ แม่นางอวี๋งดงามสมกับรัชทายาทนัก จะเป็นการดีหรือไม่เพคะ หากมอบสมรสพระราชทานให้กับพวกเขาทั้งสอง และให้เฟิ่งหรั่นสมรสกับลู่อ๋อง” ซู่ไท่เฟยเอ่ยเจตนาของตนเองอย่างไม่ปิดบัง หากดึงอำนาจสกุลเฟิ่งเข้ามา พระนางย่อมเป็นต่อหลายขุมนัก
“เรื่องการแต่งงานเป็นเรื่องการตัดสินใจของคนทั้งสอง กระหม่อมว่าซู่ไท่เฟยทรงอยู่เฉยๆ จะดีกว่าพะยะค่ะ” ลู่เฟยหลงตอบอย่างใจเย็น สายตาของเขาปราดมองลู่อ๋องที่ยิ้มอย่างพึงพอใจในตัวเฟิ่งหรั่น สตรีเพียงหนึ่งเดียวกลับกลายเป็นที่แย่งชิงของบุรุษทั้งสองคน นางจะรู้หรือไม่ว่าบุรุษทั้งสองอาจจะต้องมีปัญหากันเองเพราะนาง
ซู่ไท่เฟยเผยยิ้มที่เคลือบแคลงด้วยความนัยบางอย่าง “องค์รัชทายาทคงไม่ทราบ ว่าเมื่อไม่นานมานี้ ลู่อ๋องได้ทำการปักปิ่นให้กับแม่นางเฟิ่งหรั่นแล้ว นั่นหมายความว่าพวกเขาทั้งสองพึงพอใจในตัวกันและกัน มีสิ่ง
ใดที่ต้องถามอีกหรือเพคะ”
ไทเฮาทรงตรัสถามเฟิ่งหรั่น ซึ่งบัดนี้นางกลายเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเสียแล้ว “จริงหรือ? เฟิ่งหรั่น เจ้าตอบข้ามาเถิด”
เฟิ่งหรั่นสะดุ้ง นางอุตส่าห์อยู่เงียบๆ ไม่ปริปากเอ่ยคำใด แต่สุดท้ายกลับต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ ทางด้านลู่อ๋องเองก็พึงพอใจไม่น้อย เขาพยายามมองหาปิ่นที่มอบให้นาง แต่ว่าตอนนี้ปิ่นนั้นไปอยู่กับเฟิ่งอี้ผู้เป็นน้องสาวของนางเสียแล้ว
เฟิ่งหรั่นย่อกายคำนับน้อยๆ ก่อนจะตอบไทเฮา “ทูลไทเฮา ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงเพคะ”
นางไม่อาจโกหกได้ ปิ่นที่ลู่อ๋องปักผมให้นางในวันนั้นทุกคนย่อมเห็นประจักษ์ชัด แม้แต่ลู่เฟยหลงก็เช่นกัน
อวี๋ฟางหรงมองนางด้วยสายตาที่ซ่อนความหมายบางอย่าง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทำเช่นนั้น ตามธรรมเนียมแล้วเจ้าจะต้องแต่งงาน” ซู่ไท่เฟยเอ่ย นางพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อจะดึงอำนาจสกุลเฟิ่งมาเป็นของตนเอง เฟิ่งหรั่นพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับ
ลู่อ๋องได้ทีจึงลุกขึ้นเอ่ยแก้ไขสถานการณ์อันชวนอึดอัดสำหรับเฟิ่ง หรั่น “ทูลไทเฮา กระหม่อมกับเฟิ่งหรั่นสนิทสนมกันมานาน เราสองมีใจตรงกัน หากทรงพระเมตตาโปรดมอบสมรสพระราชทานให้พวกเราสองคนด้วยเถิด”
ความรู้สึกในใจของเฟิ่งหรั่นตีรวนกันไปหมด หากเป็นยามอื่นนางคงรู้สึกดีที่ลู่อ๋องรักและเมตตานางมากถึงเพียงนี้ แต่ยามนี้ความรู้สึกกลับไม่เป็น
เช่นนั้น นางรู้สึกเหมือนมีบางอย่างแปลกไป แปลกจนนางไม่อาจคาดเดาได้ ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นต่อจากนี้
เฟิ่งอี้มองลู่อ๋องและเฟิ่งหรั่นผู้เป็นพี่สาวด้วยสายตาแสดงประกาย
ความรู้สึกบางอย่าง ยากนักที่จะคาดเดาความคิดในใจของนางได้ ในยามนี้นางจ้องมองเฟิ่งหรั่นราวกับรอคำตอบจากอีกฝ่ายว่าจะตอบเช่นไร ในยามสถานการณ์ที่น่าอึดอัดใจเช่นนี้
ไทเฮาทรงมองเฟิ่งหรั่นสลับกับลู่อ๋อง หากนางถูกดึงเป็นชายาเอกของลู่อ๋อง ตำแหน่งพระชายารององค์รัชทายาทสำหรับนางคงหมดความหมาย พระนางหมายพระทัยอยากให้อวี๋ฟางหรงเป็นพระชายาเอกเป็นว่าที่ฮองเฮา ส่วนเฟิ่งหรั่นเป็นพระชายารองว่าที่หวงกุ้ยเฟยในอนาคต มันจะดีต่อลู่เฟยหลงไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ในยามนี้สตรีเพียงผู้เดียวกลับเป็นที่ต้องการของบุรุษทั้งสอง หากทั้งสองต้องมาแตกคอกันเพราะนางคงไม่ใช่เรื่องดีแน่
“เรื่องนี้เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร” ไทเฮาทรงคาดคั้นคำตอบจากหญิงสาว นางยืนด้วยท่าทีสงบนิ่งเพียงผู้เดียวท่ามกลางสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมองมา นางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่ง พลันสายตาเห็นประกายไหววูบของลู่เฟยหลง สายตาคู่นั้นหมายความว่าอย่างไรกัน...
หากนางปฏิเสธ เรื่องที่ลู่อ๋องปักปิ่นให้นางก็คงเป็นที่ลือกระฉ่อนกันทั้งเมืองหลวง และคนที่เสียหายที่สุดคือนางและตระกูลเฟิ่ง แต่หากนางยอมรับการแต่งงานครั้งนี้ ก็จะช่วยตระกูลเฟิ่งให้รอดพ้นจากคำครหา อีกทั้งอาจเสริมอำนาจของบิดานางให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้ คิดทางใดก็ย่อมเป็นผลดีต่อนางทั้งนั้น อีกทั้งลู่อ๋องกับนางก็สนิทสนมกันมาเนิ่นนาน นางเองก็แอบพึง
พอใจเขาอยู่มิใช่น้อย หากนางได้แต่งงานกับเขาโดยเร็วอาจช่วยเสริมอำนาจ
หนุนหลังเขาก็ย่อมได้
ทุกคนต่างรอคำตอบของเฟิ่งหรั่นอย่างใจจดใจจ่อ นางถอนหายใจ
อยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมา “หม่อมฉัน...น้อมรับการสมรสครั้งนี้เพคะ”
ลู่เฟยหลงบีบจอกชาแน่นจนเกือบแตก แต่หากเขาสะกดอารมณ์เอาไว้ได้ทัน ฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและฮองเฮาผู้เป็นพระเชษฐภคินีย่อมเข้าพระทัยความรู้สึกของพระอนุชาผู้นี้ดีว่าคิดเช่นไรกับเฟิ่งหรั่น แต่ทว่าไทเฮานั้นคงไม่มีทางล้มเลิกความตั้งใจที่จะให้อวี๋ฟางหรงมาเป็นสะใภ้ง่ายๆ แน่ เพลานี้ทั้งสองพระองค์สงสารลู่เฟยหลงยิ่งนัก งานวันนี้คืองานเลี้ยงสังสรรค์แท้ๆ แต่กลับต้องมาพังทลายลงเพราะการกระทำของซู่ไท่เฟย
“เจ้าคิดดีแล้วหรือเฟิ่งหรั่น?” เซียวฮองเฮาเอ่ยถามอีกฝ่าย สีพระพักตร์นั้นจริงจังยิ่ง ยามเห็นสีหน้าวิตกของลู่เฟยหลงก็ยิ่งสงสารจับใจ
ผู้ถูกขนานนามก้มศีรษะน้อมรับ “เพคะ หม่อมฉันตัดสินใจดีแล้วเพคะ”
อวี๋ฟางหรงได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่สุดท้ายนางกลับนึกสงสารเฟิ่งหรั่นนัก อีกฝ่ายเข้านอกออกในวังบ่อยกว่านาง อีกทั้งลู่เฟยหลงก็แสดงชัดเจนนักว่าหลงรักเฟิ่งหรั่นอย่างจริงใจ สุดท้ายนางจะกลายเป็นมือที่สามขัดขวางความรักของเขากับเฟิ่งหรั่นอย่างนั้นหรือ?
เฟิ่งอี้ได้แต่กำชายอาภรณ์ของตนเองเบาๆ การตัดสินใจของเฟิ่งหรั่นคราวนี้ทำให้นางไม่อาจสะกดอารมณ์ที่มีได้ พวกนางทั้งสองพี่น้องต่างมีความสนิทสนมกับลู่อ๋องมานาน แต่เหตุใดลู่อ๋องจึงไม่หันสายตามามองนางบ้าง เหตุใดต้องมองแต่พี่สาวของนาง เหตุใดกัน...นางไม่ดีอย่างไร ถึงมีแต่คน
มองข้ามนางตลอด
อวี๋ฟางหรงนึกอยากช่วยลู่เฟยหลงแต่ก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เห็นทีหากมีโอกาสนางคงต้องทำอันใดสักอย่างเพื่อลู่เฟยหลงสักครั้ง
งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา!
ทันทีที่งานเลี้ยงจบ เฟิ่งหรั่นก็รีบขอตัวกลับจวนก่อนทันที ส่วนบิดา
กับมารดานั้นอยู่สนทนากับไทเฮาต่อสักพัก วันนี้นางแทบไม่ยินดีกับการตอบรับสมรสแต่งงานกับลู่อ๋องเลยสักนิด ทั้งๆ ที่เขาเป็นบุรุษคนแรกที่นางรู้สึกดีด้วย อีกทั้งยังเป็นผู้มีพระคุณของนางในวัยเยาว์
รถม้าขับเคลื่อนมาจอดถึงหน้าจวน หญิงสาวก้าวขาลงมาเดินเข้าจวนพร้อมกับจิงเจียวสาวรับใช้คนสนิท สักพักเจ้าไห่เหลียน เสือขาวที่ตนเองเลี้ยงเอาไว้ก็โผล่ออกมาเข้ามาคลอเคลียนางอย่างออดอ้อน เฟิ่งหรั่นนั่งลงบนเก้าอี้ในศาลารับแสงจันทร์ นางมองเจ้าไห่เหลียนที่คลอเคลียนางด้วยความเอ็นดู
ครั้งหนึ่งไห่เหลียนเคยเป็นลูกเสือตัวน้อยจากงานล่าสัตว์ ในปีนั้นที่นางยังเด็กมากอายุเพียงแปดหนาวเท่านั้น บิดาพาเข้าร่วมการล่าสัตว์ นางจดจำได้อย่างดีว่าถูกเสือตัวหนึ่งทำร้ายจนสลบไป พอนางฟื้นขึ้นมาอีกทีกลับพบว่าเป็นลู่อ๋องที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของนางกับลู่อ๋อง และลูกเสือขาวนามว่าไห่เหลียนตัวนี้ก็เป็นบิดาที่อนุญาตให้นางนำมาเลี้ยงดูที่จวน
“เจ้าเข้าใจความรู้สึกข้าในยามนี้ด้วยหรือ?” นางเอ่ยถามไห่เหลียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แม้เจ้าเสือโคร่งตัวยักษ์จะไม่เข้าใจคำพูดของนาง แต่ทว่ามันกลับมีท่าทีออดอ้อนคลอเคลียหนักอย่างยิ่ง นางลูบหัวของมันด้วยความเอ็นดู
นางคลี่ยิ้มบางๆ พลางมองจิงเจียว “เจ้าพาไห่เหลียนไปอาบน้ำเถิด หากท่านพ่อมาเจอมันในสภาพเปื้อนดินเช่นนี้ คงโดนตำหนิอีกแน่”
จิงเจียวลูบศีรษะเจ้าไห่เหลียนเพียงนิด เจ้าเสือโคร่งยักษ์สีขาวก็เชื่อ
อย่างว่าง่าย เป็นเพราะแบบนี้เองเฟิ่งหรั่นถึงได้เอ็นดูนัก ดูท่าทางสมรส
พระราชทานครั้งนี้นางคงหลีกเลี่ยงไม่ได้แล้ว
เฟิ่งอี้มาถึงจวนหลังเฟิ่งหรั่น แต่แววตาของนางนั้นปรากฏความรู้สึกชิงชังอย่างชัดเจน ทั้งๆ ที่เฟิ่งหรั่นก็มองออกว่านางนั้นรู้สึกอย่างไรกับลู่อ๋อง แต่การทำเช่นนี้มันคือการทรยศความรู้สึกของนางที่เป็นน้องสาวแท้ๆ แต่นางไม่อาจทำสิ่งใดได้ พระเสาวนีย์ของไทเฮาถือเป็นที่สิ้นสุด การที่ท่านพ่อและท่านแม่อยู่สนทนาต่ออีกสักพัก ก็คงกำหนดฤกษ์วันอภิเษกเป็นแน่
อีกทั้งอวี๋ฟางหรงนั่นคือผู้ใดกัน หากไม่มีอีกฝ่ายสักคนนางก็คงได้แต่งงานกับลู่อ๋อง และพี่สาวของนางคงได้แต่งงานกับลู่เฟยหลงเป็นแน่ แม้ลู่เฟยหลงจะเป็นถึงรัชทายาท แต่ก็มีข่าวลือหนาหูนักที่ว่าเขาเป็นบุรุษชอบตัดแขนเสื้อตนเอง5 นางไม่รู้ความจริงข้อนี้เป็นอย่างใด แต่หากเฟิ่งหรั่นได้แต่งงานกับเขาก็เท่ากับว่าชีวิตของนางจะไม่สามารถมีทายาทสืบทอดราชบัลลังก์ องค์ชายน้อยลู่เสวียนนั้นก็ยังเด็กเกินไป หากราชบัลลังก์ว่างเว้นผู้สืบทอด ก็จะมีเพียงลู่อ๋องเท่านั้นที่มีสิทธิ์
นางจะยอมให้เฟิ่งหรั่นได้ดิบได้ดีไม่ได้เด็ดขาด!
เฟิ่งหรั่นนั่งชมจันทร์ที่ศาลาสักครู่หนึ่ง นางหยิบดอกไห่ถังที่อวี๋ฟางหรงมอบให้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกันในงานเลี้ยง ดอกไม้ชนิดนี้เต็มไปด้วยปริศนามากมายที่ยากจะคาดเดา ดอกไห่ถังนี้ซ่อนปริศนาไว้มากมายเหลือเกิน คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่อวี๋ฟางหรงให้กับนางแน่ ดอกไม้ที่เปรียบเหมือนของสำคัญชนิดนี้จะมอบให้ผู้อื่นได้อย่างไรกัน
ยิ่งคิดก็ยิ่งปริวิตก นางจะต้องค้นหาความลับของดอกไห่ถังนี้ให้ได้!
_______________________________
5ตัดแขนเสื้อตนเอง หมายถึง พวกรักร่วมเพศ (ชายรักชาย) มาจากสำนวนจีนที่ว่า "ต้วนซิ่วจือผี่” แปลว่า "พิศวาสจนตัดแขนเสื้อ” เรื่องมีอยู่ว่า ฮั่นอ้ายตี้ ฮ่องเต้สมัยนั้นทรงหลงใหลขันทีเทียมคนหนึ่ง (ไม่ได้ตอนเป็นขันทีจริง แต่ได้ติดตามรับใช้ใกล้ชิดอยู่ข้างกายฮ่องเต้ไม่ต่างจากขันที) ชื่อ "ตงเสียน” ถึงขนาดให้อำนาจ ตำแหน่งและจวนส่วนตัวอันหรูหรา และให้ติดตามเป็นเงาไม่ห่างกาย พระองค์เสด็จไปไหน ก็ต้องเห็นเขาอยู่ที่นั่น จนวันหนึ่ง ขณะที่ตงเสียนนอนหลับใหลโดยทับแขนเสื้อของพระองค์อยู่นั้น ฮ่องเต้จำต้องลุกจากที่บรรทม แต่ไม่กล้าปลุกคนรัก จึงยอมตัดแขนเสื้อตนเองเพื่อให้ตงเสียนได้นอนหลับสบายต่อไป การกระทำดังกล่าวจึงเป็นที่มาของคำว่า "ตัดแขนเสื้อ” ที่
หมายถึง ชายรักชาย นั่นเอง
เฟิ่งหรั่นมองดอกไห่ถังสลับกับชมแสงจันทร์จากริมศาลา เพลานี้ราตรีมาเยือนมืดมิดแล้ว แสงจันทร์ทอประกายเด่นกลางท้องนภา ท่ามกลางหมู่ดารานับล้านดวง พระจันทร์ในคืนนี้งดงามกว่าคืนใด สักพักหนึ่งนางเห็นดาวดวงหนึ่งพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว เร็วยิ่งนักพร้อมกับดอกไห่ถังที่กลีบของมันสั่นไหวเบาๆ เพลานี้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนเข้าร่วมงานล่าสัตว์ครั้งแรก ในยามค่ำก็มักจะมีการจุดคบเพลิงตามจุดหมายสำคัญต่างๆ บิดาพานางขึ้นหลังม้าเข้าไปร่วมล่าสัตว์ด้วยกัน แต่ทว่าในยามนั้นกลับเป็นการออกล่าสัตว์ของสัตว์นักล่าด้วยเช่นกัน เฟิ่งหรั่นและบิดาถูกเสือตัวผู้และตัวเมียคู่หนึ่งสีขาวลอบทำร้าย บิดาของนางนั้นได้รับบาดเจ็บจนสลบไปพร้อมกับนาง เมื่อนางตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบลู่อ๋องแล้ว ลู่อ๋องคือคนที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทว่านางกลับได้เจ้าไห่เหลียนที่ตอนนั้นยังเด็กมากมาเลี้ยงด้วย เจ้าเสือขาวมาอยู่กับนางแต่หนใดนับจากที่บาดเจ็บก็ไม่อาจทราบได้ แต่ด้วยความสงสารที่พ่อแม่ของมันถูกทหารของวังหลวงจับเอาไปถลกหนังทำเสื้อ นางก็เกิดความสงสารในชะตากรรมของเจ้าเสือน้อยตัวนี้ยิ่งนัก จึงขอบิดารับมาเลี้ยงเอาไว้เป็น
เฟิ่งหรั่นนั่งลงฝั่งตรงข้ามกับแม่หมอเฒ่าผู้นั้น กลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่คุ้นเคยลอยโชยเข้ามาเตะจมูกนาง กลิ่นอันใดกันที่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี คล้ายกับเลือดลมทั้งหมดหยุดไหลเวียนเช่นนี้ เพราะอะไร..? “หรั่นหรั่น แม่หมอผู้นี้พ่อกับแม่เชื้อเชิญมาเพื่อตรวจดวงชะตาของเจ้ากับท่านอ๋องเก้า อีกไม่นานนี้เจ้าก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นพระชายาเอกแล้ว จำเป็นต้องมีการทำเช่นนี้เสียก่อน...” เฟิ่งฮูหยินคลี่ยิ้มเอ่ย เฟิ่งหรั่นยิ้มอ่อนๆ ตอบผู้เป็นมารดา ส่วนเฟิ่งเจาหรงที่มาได้ยินการสนทนาและเห็นแม่หมอชื่อดังที่ถูกเชิญมาจึงได้ลอบแอบฟังการสนทนา เฟิ่งฮูหยินทำถึงขนาดนี้ เพื่อประเคนบุตรสาวให้เป็นชายาอ๋องเก้าเลยรึ?! เฟิ่งหรั่นแบฝ่ามือทั้งสองข้างและแจ้งวันเดือนปีเกิดของตนเองกับลู่อ๋องต่อหน้าแม่หมอ แม่หมอเฒ่าได้ทำการตรวจดวงชะตาอย่างละเอียดถี่ถ้วนดีแล้ว แต่ทว่า... “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะแม่หมอ” เฟิ่งฮูหยินถามด้วยความร้อนรนระคนตื่นเต้นในใจ นางเห็นแม่หมอผู้นี้สัมผัสมือบุตรสาวและนั่งหลับตาอยู่นานแล้ว แม่หมอนิ่งเงียบ นางพยายามเพ่งเล็งสมาธิให้มากที่สุดแต่กลับไม่เห็น
ช่างบังเอิญยิ่งนักที่ฤกษ์อภิเษกสมรสของลู่อ๋องกับเฟิ่งหรั่น มาตรงกับวันที่ลู่เฟยหลงได้รับแจ้งจากรองแม่ทัพคนสนิทที่ประจำการชายแดนเหนือรายงานมาว่า บัดนี้กองทัพกบฏได้กวาดต้อนชาวเมืองและเสบียงไปเป็นจำนวนมาก แต่ทว่าแม้จะช่วยชาวเมืองและกันเสบียงบางส่วนออกมาได้ ก็ยังไม่สามารถกำจัดฝ่ายศัตรูให้พ้นไป ลู่เฟยหลงจึงมีข้อกล่าวอ้างต่อฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาและพระมารดาของตน เดิมทีเขาไม่ต้องการเห็นสตรีที่รักเป็นของบุรุษอื่นให้ปวดใจ การไปทำศึกสงครามครั้งนี้ และถือโอกาสประจำการที่ชายแดนชั่วคราวจะดีกว่า หรือเขาอาจจะอยู่ที่นั่นตลอดไป และอาจคืนตำแหน่งรัชทายาทให้ลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยของเขา “เจ้าคิดจะไปประจำการที่นั่นจริงๆ หรือ?” ลู่ฮ่องเต้ทรงถามด้วยพระพักตร์และพระทัยกังวล น้องชายผู้นี้คือหัวเรี่ยวหัวแรงในราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่ดีของลู่เสวียน แต่วันนี้เพราะเรื่องการแต่งงานของเฟิ่งหรั่นหรือไม่ ที่ทำให้น้องชายของพระองค์ตัดสินใจเช่นนี้ วันนี้ทั้งสองพระองค์สนทนากันเป็นส่วนตัวที่ศาลาริมสระในอุทยานหลวง ไม่มีคำว่าฝ่าบาทหรือพระอนุชาอีกต่อไป มีเพียงแต่ความเป็นพี่น้อง
กองทัพเสวียนอู่เดินทางมาถึงที่หมาย ตอนนี้การจลาจลทั้งหมดถูกควบคุมเอาไว้หมดแล้ว โดยรองแม่ทัพที่เขามอบหมายให้ประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างที่เขาประทับอยู่ในเมืองหลวง ด้วยเกรงว่าพวกกบฏที่จับกุมตัวเอาไว้ได้นั้นจะก่อความวุ่นวาย แต่คาดไม่ถึงว่าเขาจากไปไม่กี่วัน กลับเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทันทีลู่เฟยหลงก้าวลงจากหลังม้า ส่งมอบม้าให้กับจางซินเฉิงแล้วถือกระบี่เดินเข้ามาในกระโจมหลังใหญ่ของตนเอง ตอนนี้เหล่าเชลยบางส่วนที่ก่อกบฏล้วนถูกขังรอการตัดสินโทษอยู่จากเขา“ชาวเมืองในตำบลซ่างจิ่งนี้ จะให้กระหม่อมจัดการอย่างไรพะยะค่ะ” รองแม่ทัพใหญ่เอ่ยถามน้ำเสียงหนักแน่นลู่เฟยหลงมองด้วยสายตาคมปลาบ “ให้ประหารตัวการที่ก่อกบฏครั้งนี้ ส่วนชาวบ้านที่บริสุทธิ์ให้ปล่อยไป ทหารของพวกกบฏนั่นให้เกณฑ์มาเป็นแรงงาน ส่วนเด็ก สตรีและคนชรา ให้ปล่อยพวกเขาไป” “พระองค์แน่ใจหรือพะยะค่ะว่าเด็กและสตรีพวกนั้นจะไม่เป็นภัยในภายหลัง” รองแม่ทัพใหญ่ถามอย่างไม่ไว้ใจนัก “พวกเขาล้วนแต่เป็นเด็กและสตรี เรี่ยวแรงก็หามีมาต่อกรไม่ ปล่อยพวกเขากลับไปซะ นี่เป็นบัญชาของข้า” ลู่เฟยหลงสั่งเสียงเข้ม เพียงเท่านั้นรองแม่ทัพใหญ่จึงไม่กล้า
ทั้งสองพี่น้องอยู่สนทนากันสักพัก กูกูใหญ่ของวังก็มารายงานว่าลู่อ๋องนั้นกลับจากวังหลวงแล้ว เฟิ่งอี้จึงจำเป็นต้องลากลับก่อนตามมารยาท ส่วนเฟิ่งหรั่นก็ต้องทำหน้าที่ในฐานะภรรยา จัดหาของว่างและอาหารตระเตรียมให้ผู้เป็นพระสวามีของนาง แต่ทว่าแทนที่เฟิ่งอี้จะรีบกลับ นางกลับเลือกที่จะเดินชมนกชมไม้ในสวนของวังอ๋องอย่างถือวิสาสะ ด้วยถือว่าพี่สาวนั้นมีศักดิ์เปนพระชายาเอกของลู่อ๋อง นางย่อมทำสิ่งใดก็คงไม่มีใครมาห้ามปรามนางแน่ นางจึงเดินชมนกชมไม้อย่างเพลิดเพลินใจ ลู่อ๋องที่เดินทางกลับมาถึงวัง เห็นน้องสาวของชายาตนเองกำลังเดินเล่นอยู่ในอุทยานจึงเข้าไปทักทายในฐานะพี่เขยของนาง “อ๊ะ!” เฟิ่งอี้ที่ไม่ทันระวัง นางเดินถอยหลังชนเข้ากับแผงอกของลู่อ๋องจนเกือบเซล้มลง แต่โชคดีนักที่ลู่อ๋องคว้าเอวของนางเอาไว้ได้ทัน ทั้งสองหันมาสบตากันเพียงชั่วขณะหนึ่ง หัวใจของเฟิ่งอี้เต้นแรงไม่เป็นส่ำยามได้สบสายตาคมปลาบของลู่อ๋องหรืออ๋องเก้า “อะ เอ่อ...” ทั้งสองรีบผละออกจากกันทันที เฟิ่งอี้ตะกุกตะกักด้วยความเขินอาย “หม่อมฉันขอประทานอภัยด้วยเพคะ พอดีมาเยี่ยมพี่สาว แต่ว่าเห็นอุทยานที่นี่ร่มรื่นน
ตับๆๆ เสียงของเนื้อกระทบเนื้อดังขึ้นเป็นจังหวะหฤหรรษ์ในห้องแห่งหนึ่งของของโรงเตี๊ยม ในห้องนั้นปรากฏภาพชายหญิงทั้งสองกำลังร่วมรักกันอย่างมีความสุข เฟิ่งเจาหรงใบหน้าเหยเกด้วยความเสียวซ่านกับความสุขที่อ๋องเก้ามอบให้กับนาง ใบหน้าหล่อเหลาของลู่อ๋องกัดฟันพลางคำรามในลำคอด้วยความเสียวซ่าน เมื่อเขาได้ปลดปล่อยสายธารรักของตนเองเข้าไปในกายของสตรีใต้ร่างอย่างสุขสม เฟิ่งเจาหรงคลายมือออกจากผ้าปูที่นอนเมื่อความหฤหรรษ์นั้นจบลง ใบหน้าของลู่อ๋องซบลงบนหน้าอกอวบใหญ่ของเฟิ่งเจาหรง ก่อนจะใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียอย่างเอร็ดอร่อย “ข้าพึงพอใจในรสสวาทของเจ้ายิ่งนัก หรงเอ๋อร์” พูดจบก็ใช้ฝ่ามือลูบไล้ต้นขาของอีกฝ่ายอย่างพึงพอใจ ขณะที่ใช้ปลายลิ้นสากโลมเลียเม็ดทับทิมสีชมพูที่แข็งชันเป็นไต “อ๊า!!!” เฟิ่งเจาหรงร้องครางเสียงดัง เมื่อลู่อ๋องใช้ปลายลิ้นตวัดเลียเต้านมอวบของนางรุนแรงอย่างหิวกระหาย จนใบหน้างดงามของเฟิ่งเจาหรงเหยเกด้วยความเสียวซ่าน นางร้องครางเสียงหวานไม่เป็นภาษาด้วยความสุขสม “หากท่านอ๋องชมชอบ หม่อมฉันก็ยินดีมอบกายถวายใจรับใช้เพคะ” นางเอ่ยพลางใช้มือเรียวของตนเอ
เฟิ่งหรั่นพยายามกลั้นหายใจ! ในยามนี้นางสัมผัสถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากสายตาของลู่อ๋อง เขาดูเหมือนไม่ใช่สามีของนางอีกต่อไป เขาที่เคยอ่อนโยนต่อนางแทบไม่มีอีกแล้วนับตั้งแต่แต่งงานด้วยกันมา นางมองสายตาคู่นั้นที่จ้องมองอย่างคาดคั้นเอาคำตอบ น่าแปลกนักที่แต่งงานกันมานานแล้ว แต่นางไม่มีความรู้สึกพิศวาสในตัวเขาเลยสักนิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เป็นนางเองที่ยินยอมแต่งงานกับเขา นางพยายามดิ้นเบาๆ ให้หลุดจากอ้อมกอดของลู่อ๋อง แต่ทว่าเขากลับรัดนางแน่นกว่าเดิม ก่อนจะใช้สองมือแกร่งผลักร่างของนางลงบนเตียงแล้วใช้ร่างกายสูงใหญ่กดทับนางเอาไว้ ทำให้นางดิ้นไม่หลุด ลู่อ๋องมองนางที่อยู่ใต้ร่างด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีสตรีมากมายที่เขาพิชิตใจได้ แต่กับเฟิ่งหรั่นที่เป็นภรรยานั้นยากเย็นเหลือเกิน จนทำให้เขาต้องไปมีอนุและสตรีมากมายนอกจวนลับหลังนาง! “วันนี้ท่านอ๋องทรงเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ทรงลุกเถิดเพคะ หม่อมฉันจะไปเตรียมน้ำสรงถวาย” เฟิ่งหรั่นกล่าวเสียงแผ่วเบา แต่เป็นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความหวาดกลัว ใช่! นางหวาดกลัวเขาเหลือเกิน... “เพราะอะไร...” คำถามเพียงสั้นๆ
ลู่อ๋องสั่งให้เตรียมของขวัญสำหรับขึ้นทูลเกล้าถวายให้กับลู่ฮ่องเต้ผู้เป็นพระเชษฐาร่วมบิดา ข้าวของมีค่าแต่ละชิ้นล้วนหายากอย่างยิ่ง รวมถึงแจกันหยกปักบุปผาซึ่งเป็นของหายากในแผ่นดินจงหยวน ลู่อ๋องก็ใช้ความพยายามหามาจนได้เพื่อเอาพระทัยฝ่าบาทในงานวันนี้ แม้แต่เฟิ่งหรั่นก็เตรียมของขวัญจำนวนหนึ่งเตรียมถวายให้กับฮ่องเต้และเซียวฮองเฮาเช่นกัน ปิ่นมุกราตรีนั้นหาได้ง่ายยิ่ง แต่ความพิเศษที่ไม่เหมือนใครคือปีกหงส์ที่สยายตรงหัวปิ่นปัก นั้นสื่อถึงพญาหงส์ที่งามสง่าเคียงบัลลังก์ฝ่าบาท ปิ่นนี้คือปิ่นที่เฟิ่งหรั่นตั้งใจสั่งทำเป็นพิเศษขึ้นมาโดยเฉพาะ เฟิ่งอี้ที่ทราบว่าวันนี้พี่สาวของนางต้องเตรียมตัวเข้าวัง นางก็เร่งเดินทางมาวังอ๋องโดยเฉพาะเพื่อช่วยพี่สาวแต่งตัวให้งดงามที่สุด แม้ที่นี่จะมีนางกำนัลมากมาย แต่เรื่องความงดงามของพี่สาวนางนางปรารถนาที่จะดูแลด้วยตนเอง ไม่อยากให้ใครมาทำให้พี่สาวของนางงดงามด้อยไปกว่าสตรีนางอื่น จังหวะที่เฟิ่งอี้กำลังจะเดินทางไปตำหนักของเฟิ่งหรั่น นางพลันเดินสวนกับลู่อ๋องพอดี นัยน์ตาหวานซึ้งเผลอสบตาเข้ากับลู่อ๋องพอดี นางก้มหน้างุดด้วยความเขินอายยา
โรงเตี๊ยมแห่งนี้แม้จะเล็กไปหน่อย แต่ก็เป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารชั้นดีเช่นกัน ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วลู่เฟยหลงนั้นอยู่เบื้องหลังการชำระล้างมลทินให้เฟิ่งหรั่น มีแต่คนกล่าวเพียงว่าอัครมหาเสนาบดีเฟิ่งผู้เป็นบิดาที่คอยหาหลักฐานมากมายร่วมสามปี จนได้หลักฐานว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการใส่ร้ายอดีตพระชายาเก้าจนถึงแก่ความตาย ก็คือขันทีคนสนิทของลู่อ๋อง แม้จะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ก็มีหลายคำถามมากมายที่ผู้คนต่างกล่าวขานกัน ว่าเป็นเพราะลู่อ๋องต้องหลงเสน่ห์ชายารององค์ใหม่เป็นแน่ เฟิ่งหรั่นยกยิ้มอย่างพึงใจ อย่างน้อยสามปีที่นางหายไปท่านพ่อท่านแม่ก็ยังคงทวงความยุติธรรมให้นางมาตลอด การกลับมาคราวนี้นางจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีที่เคยถูกย่ำยีกลับคืนมา เปิดโปงความชั่วของพวกมันทั้งสองคนในชั่วพริบตานางย่อมทำได้ แต่หากทำเช่นนั้นศัตรูที่นางเคียดแค้นชิงชังจะตายง่ายไป นางต้องการแย่งชิงสิ่งที่พวกมันหมายปองให้มาอยู่แทบเท้านาง ในเมื่อเคยเป็นคนดีแต่กลับถูกคนชั่วหลอกใช้ นางก็ขอกลายเ
ไป๋ลู่หัวเสียอย่างยิ่ง หากนางทำสิ่งใดทำไมต้องมีคนมาขัดจังหวะนางตลอดเวลานะ! เซียนสาวหันมาเผชิญหน้ากับผู้มาเยือนทางด้านหลัง นางยิ้มแหยๆ ให้กับจูเชว่อย่างอารมณ์ดี เขาอายุมากกว่านางหลายพันปีอีกทั้งยังเป็นคนที่คอยขัดขวางนางทุกเรื่องหากนางคิดอ่านสิ่งใด เขาทำตนราวกับตนเองมีเนตรทิพย์แดนสวรรค์ที่สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้ นางเกลียดยิ่งนัก! “เซียนที่ต้องทัณฑ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นมาแดนสวรรค์ และยิ่งไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าหอชะตาเซียน เจ้าบังอาจฝ่าฝืนกฎเช่นนี้ ไม่กลัวสวรรค์ลงทัณฑ์หรือไร?”จูเชว่ถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม หากเขาไม่สะกดรอยมาเห็นนางเสียก่อน เกรงว่านางคงทำเรื่องไม่น่าให้อภัยไปแล้ว “แล้วท่านแม่ทัพเล่า มีเวลาว่างมากนักรึถึงมาตามจับผิดข้า คราวก่อนก็ครั้งนึงแล้ว ท่านตามติดข้าเป็นเงาเช่นนี้ คงมิใช่ทำร้ายอันใดกับข้าอยู่ใช่มั้ย?” พยัคฆ์สาวแสร้งเอ่ยปกปิดเรื่องราวของตน และได้ผล...แม้ว่าจูเชว่จะชอบขัดขวางนาง แต่ทว่าไม่เคยตาม
บริเวณลานประหาร ร่างบอบบางที่ถูกตรึงด้วยไม้กางเขน สภาพร่างกายของนางอันบอบบางราวกิ่งหลิวเปียกชุ่มไปด้วยคราบโลหิตจากทัณฑ์ทรมาน เส้นผมที่เคยถูกรวบเกล้าประดับด้วยเครื่องประดับอันงดงาม บัดนี้กลับหลุดลุ่ยปรกใบหน้า ดวงตาที่เคยอ่อนหวานในยามนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น ที่ไม่มีโอกาสได้มอบความตายคืนให้กับคนที่กระทำนาง ‘เฟิ่งหรั่น’ คือบุตรีของอัครมหาเสนาบดี นางผู้เปี่ยมด้วยรูปโฉมอันงดงามและอำนาจบารมีของบิดา วาสนาชีวิตที่เคยเป็นถึงพระชายาอ๋อง บัดนี้กลับตกต่ำกลายเป็นนักโทษประหารความผิดไม่น่าให้อภัย ดวงตางดงามค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละนิดมองสภาพแวดล้อมรายรอบที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่รุมสาปแช่งนาง นางกระตุกยิ้มมุมปากอย่างเย้ยหยันในโชคชะตาของตนเอง นางไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าวาสนาที่ตนเองเคยเป็นชายาของอ๋องเก้าบุรุษที่ยิ่งใหญ่ บัดนี้จะตกต่ำเป็นถึงนักโทษประหาร คิดแล้วช่างน่าเจ็บปวดใจยิ่งนัก
ลู่เฟยหลงลอบเดินออกมาทางด้านหลังตำหนัก ซึ่งเป็นช่องทางลับที่เขาแอบสร้างเอาไว้นานแล้ว ไม่คาดคิดว่าวันนี้จะได้ใช้ช่องทางลับนี้ ช่องทางลับที่แม้แต่ฝ่าบาทกับพระมารดาก็ไม่ทรงทราบ ซ่งหลานบอกเขาว่าเฟิ่งหรั่นถูกนำตัวไปขังในคุกใต้ดินที่มืดที่สุดของคุกหลวง คุกที่ไม่มีแม้กระทั่งแสงเดือนหรือแสงตะวันสาดส่อง ชายหนุ่มลอบย่องเข้ามาเงียบๆ วรยุทธ์ของเขานั้นสูงส่งเกินกว่าที่ทหารยามจะคาดเดาได้ เขานำห่อผ้าห่มผืนใหญ่มาด้วยเพื่อหวังจะโอบนางให้คลายความหนาวแล้วพาหนีออกจากคุกแห่งนี้ แต่ทว่าเขาต้องหยุดฝีเท้าเมื่อเจอกับสตรีอีกหนึ่งนางกำลังตรงไปที่ห้องขังเฟิ่งหรั่น เฟิ่งอี้! ชายหนุ่มกำหมัดแน่นเมื่อเห็นสตรีตัวต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด กำลังเดินอย่างแช่มช้ามิรู้ร้อนรู้หนาวอันใด กริยาท่าทางราวกับคนใจเย็นสุขุม ทั้งๆ ที่บิดาและมารดาของนางกำลังร้อนรนเพราะหาทางช่วยเฟิ่งหรั่น แต่นางคนนี้กลับมีท่าทีราวกับเบิกบานใจ
เฟิ่งหรั่นถูกคุมขังอยู่ในตำหนักหลายวัน ขณะที่ลู่อ๋องไม่สนใจความเป็นความตายของนาง เขากลับแต่งตั้งเฟิ่งอี้น้องสาวนางเป็นพระชายารอง ให้ดูแลงานทุกอย่างภายในวังอ๋องแทนนางที่ถูกคุมขังในตำหนัก แต่นับว่าสวรรค์ยังมีเมตตากับนางอยู่บ้าง กงกงของวังหาได้เชื่อว่านางเป็นคนทรยศ จึงคอยลอบส่งข่าวสารผ่านจิงเจียวถึงแผนการของลู่อ๋อง “เจ้าคนชั่ว!” เฟิ่งหรั่นเปล่งวาจาด้วยบันดาลโทสะ ฝ่ามือบางที่เคยขาวผ่อง ตอนนี้กลับชุ่มโชกไปด้วยเลือดเนื่องจากนางฟาดฝ่ามือของตนเองเข้ากับผนังกำแพงโดยไม่นึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด “พระชายาเพคะ” จิงเจียวมองนายของตนด้วยความสงสาร ทั้งหมดนั่นคือการใส่ร้ายกันชัดๆ เจ้านายของนางไม่เคยกระทำตนออกนอกลู่นอกทาง ทุกอย่างเป็นแผนการใส่ร้ายทั้งสิ้น ลู่อ๋องใส่ร้ายเจ้านายของนางจนต้องโดนลงทัณฑ์เช่นนี้! “ข้าแต่งงานกับเขาก็เพื่อหวังช่วยเสริมฐานอำนาจให้เ
ในขณะที่ตำหนักหนึ่งกำลังบรรเลงบทเพลงรักอย่างเร่าร้อน ทางด้านตำหนักของเฟิ่งหรั่นกลับเงียบเหงายิ่งนัก หญิงสาวตื่นขึ้นมาในยามดึก เนื่องด้วยเพลานี้นางพักผ่อนจนพิษไข้สร่างลงไปมาก ด้านข้างกันนั้นมีจิงเจียวคอยช่วยตระเตรียมห่อยาและคอยเช็ดตัวให้กับนาง เฟิ่งหรั่นขยี้ตามองสรรพสิ่งรอบๆ กาย นางกลับมาที่ตำหนักตั้งแต่เมื่อไหร่! ครั้งล่าสุดนางจำได้ว่าเฟิ่งอี้พานางไปเดินเล่นแถวๆ เขตตำหนักบูรพา จากนั้นนางก็เมามายจนสติเลือนรางจดจำสิ่งใดไม่ค่อยได้ นางจำได้แค่เพียงว่ากลิ่นกายของบุรุษที่มิใช่ลู่อ๋อง และเสียงทะเลาะกันในขณะนั้นคล้ายกับว่าเป็นห้วงความฝัน แต่เป็นห้วงฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน “พระชายา ทรงตื่นบรรทมแล้วหรือเพคะ ทรงนอนต่ออีกสักหน่อยเถิด อีกหลายชั่วยามเพคะกว่าฟ้าจะสาง” จิงเจียวเอ่ยด้วยความเป็นห่วง ตอนนี้พระชายาของนางกำลังตกที่นั่งลำบาก นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยปลอบใจอย่างไรดี “ข้าจะออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์สักหน่อย” เฟิ่งหรั่นกำลังจะก้าวขาลงจากเตียงแต่จิงเจียวปรามเอาไว้ก่อน “อย่าเพิ่งเลยเพคะพระชายา ตอนนี้ท่านอ๋องทรงมีคำสั่งกักบริเวณพระองค์เอา
ลู่อ๋องนั่งหน้าดำเคร่งขรึมหลังจากที่เห็นว่าเฟิ่งหรั่นหายไปนานมากแล้ว นางเดินออกไปจากงานพร้อมกับเฟิ่งอี้ตั้งแต่เมื่อหนึ่งเค่อก่อน ยามนี้ก็ยังไม่กลับมา เขาร้อนรนใจยิ่งนักกลัวว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น เขากลัวว่านางจะไปเจอลู่เฟยหลงที่ตำหนักบูรพา กลัวว่านางจะลอบคบชู้สู่ชายดังเช่นที่เขาเคยสบประมาทนางเอาไว้ สองฝ่ามือหนากำหมัดเข้าหากันแน่นอย่างเคร่งเครียด สายตาคมปลาบเห็นท่าทีร้อนรนของเฟิ่งอี้ที่วิ่งกระหืดกระหอบมาคนเดียว คิ้วหนาขมวดมุ่นเข้าหากันอย่างไม่สบอารมณ์ เขามองเฟิ่งอี้แล้วพลันเกิดลางสังหรณ์บางอย่าง แต่ทันใดนั้นนางกลับวิ่งเข้ามาหาเขา “ท่านอ๋องเพคะ แย่แล้วเพคะ พี่หญิงออกไปเดินเล่นกับหม่อมฉัน ระหว่างทางไปเรือนรับรองก็เกิดพลัดหลงกันในอุทยาน หม่อมฉันตามหานางจนทั่วแต่ก็ตามหาไม่เจอ” เฟิ่งอี้ปั้นแต่งเรื่องราวขึ้นมาได้อย่างแนบเนียน หัวคิ้วของลู่อ๋องขมวดมุ่นแทบจะชนเข้ากัน สองมือกำจอกสุราแน่น เขารู้ดีว่าตอนนี้นางอยู่ที่ใด! สายตาคมปลาบฉาบไปด้วยกลิ่นอายอำมหิตจนเฟิ่งอี้สัมผัสได้ นางลอบยิ้มบางๆ อยู่ครู่หนึ่งเมื่อเห็นลู่อ๋องลุกขึ้นยืนอย่างองอาจ กล่าวต่อเบื้องพระพักตร์ฝ่าบ
หัวคิ้วของเฟิ่งหรั่นขมวดมุ่นเข้าหากัน หางตาของนางชำเลืองมองลู่อ๋องสามีของนางเป็นระยะ เห็นเขากำลังสนใจนางระบำตรงหน้าจึงพ่นลมหายใจออกมาแผ่วเบา นางมองภาพการร่ายรำเบื้องหน้าสักครู่หนึ่ง แล้วหันมากำชับจิงเจียว “เก็บเรื่องนี้เอาไว้ให้ดี อย่าแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด” จิงเจียวพยักหน้ารับแทนคำตอบ นางกระชับอกเสื้ออย่างดีก่อนจะหันมาสนใจการแสดงร่ายรำตรงหน้า ลู่ฮ่องเต้ทรงยกจอกสุรามงคลขึ้นดื่มต่อหน้าทุกคน ลู่เฟยหลงเป็นตัวแทนเชื้อพระวงศ์ ขุนนางและประชาชนจำนวนมากกล่าวคำอวยพรต่อเบื้องพระพักตร์ ข้างกายของเขานั้นมีลู่เสวียนหลานชายที่ยังเยาว์วัยคอยนั่งอยู่เคียงข้าง “กระหม่อมขอเป็นตัวแทนของทุกท่านในที่นี้ ขอถวายพระพรให้ฝ่าบาททรงมีพระพลานามัยแข็งแรง มากยิ่งด้วยทศพิธราชธรรม ขอทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปีพะยะค่ะ” กล่าวจบแล้วก็ดื่มสุราลงคอเพียงรวดเดียวจนหมดจอก แม้ว่าเฟิ่งหรั่นจะไม่ชื่นชอบการดื่มสุรา แต่ในงานมงคลเช่นนี้นางไม่ควรปฏิเสธให้เสียมารยาท นางจึงฝืนใจกลืนรสขมปร่าของมันลงคอเพียงรวดเดียว ฝ่ามือบางวางกระแทกจอกสุราบนโต๊ะเบื้องหน้าที่เย็นเฉียบเนื่องเพราะลมหนา
อวี๋ฟางหรงเข้ามาในตำหนักสวรรค์ของเฟิ่งหรั่น สถานที่ที่ในอดีตเฟิ่งหรั่นใช้เป็นที่ประทับส่วนตัว เนื่องจากภายในนี้มีของบางสิ่งที่นางต้องการนางจึงถือโอกาสนี้นำไปให้ได้ หากขาดเจ้าสิ่งนี้เกรงว่าภารกิจของนางอาจไม่สำเร็จลุล่วงโดยง่าย ในเมื่อเทียนโฮ่วทราบว่านางแอบฝ่าฝืนคำสั่ง วันนี้นางก็จะขอฝ่าฝืนคำสั่งอีกสักครั้ง ตำหนักของเฟิ่งหรั่นนี้มีนามว่าตำหนักอิงฮวา ซึ่งเต็มไปด้วยดอกซากุระและดอกไห่ถังบานสะพรั่ง สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเฟิ่งหรั่นและชายคนรักของนางในอดีตชาติ ซึ่งชายคนรักของอีกฝ่ายนั้นก็พี่ชายของอวี๋ฟางหรงหรือไป๋ลู่นั่นเอง เขาคือเทพสงครามแห่งทิศประจิมที่เกรียงไกร ไม่ว่าย่างกรายไปยังพิภพใดล้วนสยบมารศัตรูได้สิ้นซาก สมกับเป็นเทพพยัคฆ์ขาวไป๋หู่ที่เทียนตี้ทรงไว้วางพระทัยที่สุด “เจ้ามาทำอันใดที่ตำหนักอิงฮวา...” น้ำเสียงหนักแน่นของคนผู้หนึ่งดังจากด้านหลัง ไป๋ลู่สูดปากใบหน้าซีดลงอย่างขัดใจ นางอุตส่าห์แนบเนียนที่สุดแล้วเพื่อจะมาเอาของสิ่งหนึ่งในตำหนักอิงฮวามอบให้เฟิ่งหรั่น แต่กลับมีคนมายุ่มย่ามเสียนี่ ไป๋ลู่หันกลับมาตามเสียงเรียก พลางยิ้มแหยๆ ใส่ผู้ที่ข