“งั้นไปเจอกันที่บ้านนะแก ตอนนี้ฉันง๊วงง่วง ขอกลับก่อนแล้วกันเนอะ”“ยัยดา นี่จะทิ้งฉันไว้เลยเหรอ” ฉันหันมามองกรดา ที่ทำหน้าทะเล้นใส่จนน่าตี“ไม่ได้ทิ้ง แค่ให้แกไปกับพี่ตรัย ส่วนฉันก็กลับก่อนไง ไปล่ะ” เอ่ยจบกรดาก็กลับเข้าไปในรถ สตาร์ทเสร็จก็ขับออกไปทันที ปล่อยให้ฉันยืนมองตามตาปริบๆ กระเป๋าก็ยังอยู่ในรถ ตอนนี้ในมือมีแค่ผ้าเช็ดหน้าผืนเดียว ไม่มีเงินสักบาทด้วย “พี่ว่าเรามีเรื่องต้องคุยกัน”“แต่สรว่า…” ฉันอึกๆ อักๆ นั่นเพราะยังลังเลที่จะคุยอะไรๆ กับตรัยในตอนนี้ ต่อให้คุยกัน อะไรๆ มันก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมนักหรอก สู้ยังคงหลบหน้าแล้วปล่อยให้มันผ่านไปจะดีกว่า “ถ้าสรอยากรู้ว่าทำไมพี่ถึงทำแบบนั้น เราต้องคุยกัน”“โอเคค่ะ” ไหนๆ มันก็มาถึงขั้นนี้แล้ว คุยกันไปเลยก็ดี จะได้เข้าใจและจะได้จบ ตรัยพาฉันไปที่รถ จากนั้นเขาก็ขับออกไปจากปั๊มน้ำมัน“พี่ตรัยจะพาสรไปไหนคะ”“บ้านพี่”“สรไม่ไปบ้านพี่” ฉันรีบค้าน นั่นทำให้เขาหันมายิ้มเจ้าเล่ห์ให้ “ทำไม กลัวพี่ปล้ำเหรอ”“กลัวสิ”“ครั้งแรกมันน่ากลัวกว่ากันตั้งเยอะ” คำพูดของตรัย ทำให้ฉันหน้าแดงก่ำ ตัวร้อนๆ หนาวๆ ยังกับคนเป็นไข้ แต่ภายในร่างกายกลับวูบๆ วาบๆ
“พี่ลบจูบแมนออกให้แล้ว ต่อจากนี้ไปห้ามให้ใครจูบ นอกจากพี่...โอเคนะ”“อื้อ” ฉันพยักหน้ารับ และตรัยก็จูบฉันอีก พอถอนจูบออก เขาก็กระซิบถามฉัน สีหน้า แววตาของเขาที่แสดงออก ทำเอาใจที่สั่นอยู่แล้วของฉันมันยิ่งสั่นเข้าไปอีก เดี๋ยวก็ปล้ำเลยนิ “คราวนี้สรมีอะไรจะบอกพี่ไหม”“บอกอะไร ไม่มี” ต่อให้ปากไม่ได้เอ่ย แต่สายตาของฉันมันก็คงสารภาพทุกอย่างออกไปจนหมดแล้วแน่ๆ “บอกว่าชอบพี่ให้ได้ยินอีกครั้งได้ไหม พี่อยากฟัง”“สรชอบพี่ตรัยค่ะ” ฉันนิ่งเพื่อรวบรวมความกล้าอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยประโยคที่เขาอยากฟังออกไป “จูบอีกได้หรือเปล่า เพราะพี่คิดถึงแต่จูบของสรจนนอนไม่หลับมาตั้งหลายคืน” คำพูดอ้อนๆ มันช่างขัดกับบุคลิกของเขานัก ฉันจึงแหวใส่แต่สุดท้ายเราก็จูบกันอีกและครั้งนี้มันก็นานกว่าครั้งแรกมาก ถ้าทำได้ ฉันอยากจะหยุดเวลาไว้ตรงนี้ อยากให้มีแค่เราสองคน“พรุ่งนี้ค่ำๆ พี่จะเข้าไปคุยเรื่องของเรากับนิก”“พรุ่งนี้เลยเหรอคะ”“ครับ พี่ไม่อยากรออะไรอีก” “แผนคืออะไร” ฉันรอฟัง แต่ตรัยกลับยังไม่มีแผนด้วยซ้ำ แบบนี้งานจะล่มไหมหนอ “พี่ยังคิดไม่ออก”“เอ้า! จะเชื่อใจได้ไหมเนี่ย”“ได้สิ ดึกแล้วเดี๋ยวพี่ไปส่งที่บ้านดา หรือสรจะเป
“อะไร” น้ำเสียงของคนข้างๆ เริ่มยืดๆ บ่งบอกว่าเมาเข้าแล้ว “เอ็งรับปากข้ามาก่อน ว่าจะไม่โกรธ”“เออ…จะพูดอะไรก็พูดมา” ผมสูดอากาศเข้าปอดลึกๆ สองสามครั้งเพื่อรวบรวมความกล้าแล้วจึงสารภาพออกไป “ข้าชอบน้องสาวเอ็งจริงๆ นะเพื่อน ชอบมานานหลายปีแล้ว แต่ที่ไม่กล้าบอกเอ็งเพราะเอ็งขอข้าไว้ว่าห้ามคิดอะไรกับสรเด็ดขาด แต่ความรู้สึกคนเรามันห้ามกันไม่ได้ ข้าขอคบกับน้องเอ็งได้ไหม”“ไม่ได้” คำตอบของไอ้นิก มันทำให้ผมเหมือนถูกค้อนตีหัว“ทำไมไม่ได้วะ”“สรมีแฟนแล้ว ส่วนเอ็งก็มีแฟนแล้ว จะมาคบกันได้ยังไง ไอ้นี่” พูดจบพี่ชายของคนที่ผมรักก็หยิบแก้วเหล้าขึ้นดื่มแบบรวดเดียวหมด ผมจึงทำหน้าที่ชงให้อีกแก้ว จะได้ไม่ขาดความต่อเนื่อง “สรเลิกกับแฟนแล้ว ส่วนข้าก็ไม่เคยมีแฟน”“เอ็งรู้ได้ไง ว่าสรเลิกกับแมนแล้ว” ไอ้นิกมันเริ่มมองผมตาเขียวปัดเข้าให้แล้ว ส่วนผมก็ขึ้นขี่หลังเสือแล้วนี่ เรื่องอะไรจะลงง่ายๆ “สรบอกข้าเอง”“แล้วที่บอกว่าเอ็งไม่เคยมีแฟนคืออะไร น้องน้ำหวานคนที่แกควงมาให้ข้าเห็นบ่อยๆ นั่นใคร แม่ซื้อแกเหรอ...ห๊ะ!”“น้ำหวานเป็นลูกพี่ลูกน้องข้าไม่ใช่แฟน ข้าก็แค่ควงมาบังหน้าให้เอ็งสบายใจว่าข้ามีแฟนก็เท่านั้นเอง”“นี่เอ็
“แป่ว…งั้นถือเสียว่าสรไม่ได้พูดอะไรนะคะ” “ไม่ได้คิดเสียเมื่อไหร่” นั่นไง ผมว่าแล้วไม่มีผิดว่าไอ้นิกมันต้องคิดไม่ซื่อกับเพื่อนน้องสาวเป็นแน่ สุดท้ายก็จริงอย่างที่สงสัย เพราะถ้าไม่คิดอะไร เวลาไปดูงานที่ต่างประเทศ มันไม่สรรหาของฝากแบบเฉพาะเจาะจง เข้าป่า เข้าซอยมาฝากกรดาหรอก เพราะขนาดผมมันยังไม่สรรหาถึงขนาดนั้นเลย“ห๊ะ!…ว่าไงนะคะ พี่นิกชอบดาเหมือนกันเหรอ”“อื้อ...ชอบ” นี่คือครั้งแรกที่ผมเห็นเนติธรเขิน เขินจนหน้าแดง หูแดง เขินชนิดที่ว่าสามารถดื่มเหล้าเพียวๆ ได้สบาย “แหม…ทำมาเป็นเก๊ก สรไม่บอกดาหรอกว่าพี่นิกชอบ พี่นิกต้องบอกเพื่อนสรเอง อ้อ…เร็วๆ ด้วยนะคะ เห็นว่าอีกไม่กี่วัน ดาจะบินไปเรียนต่อที่อังกฤษแล้ว”“งั้นเดี๋ยวพี่มา”“พี่นิกจะไปไหน” เสียงของอัปสรดังขึ้น พร้อมกับเข้าไปห้ามพี่ชายของเธอไว้ “ไปบ้านดา”“แต่นี่มันดึกแล้ว พรุ่งนี้ค่อยไปก็ได้มั้งคะ อีกอย่างพี่ก็เมาแล้วด้วย ขับรถตอนเมามันอันตราย”“งั้นพี่กลับไปกินเหล้าต่อก็ได้ มาเลยไอ้ตรัย ไม่ต้องไปอยู่ใกล้น้องข้า”“เอ้า! ยังจะมาหวงอะไรตอนนี้” ผมเอ่ยขึ้นทันที ก่อนจะมองหน้าอัปสรอย่างขอความเห็นใจ กระทั่งถูกขัดจากเนติธรอีกยก “ก็ข้าชิน สรกลับห้
“อืมม์…” เสียงครางของเธอช่างน่าฟัง สีหน้าเหยเกทรมานของเธอตอนนี้ก็แสนจะเซ็กซี่ชวนมอง ผมจูบหนักๆ ลงไปบนเนินหน้าอก จูบซับต่ำลงไปกระทั่งรับเม็ดยอดสีสวยเข้าไปในปาก ตวัดหยอกเย้าด้วยลิ้นสลับการดูดดุนจนเธอบิดเกร็ง ครางจนฟังไม่ได้ศัพท์“สรของพี่หวานเหลือเกิน” ผมเอ่ยชม นั่นเพราะอัปสรหอมหวานไปทั้งตัวจริงๆ ผมกลืนกินหน้าอกทั้งสองข้างของเธอจนพอใจ ก่อนจะไซ้ใบหน้า ฝากรอยจูบหนักๆ ต่ำลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงหน้าท้องแบนราบ รับรู้ได้ว่าตอนนี้ร่างกายของเธอบิดเกร็ง เสียงหอบหายใจดังต่อเนื่อง“พี่ตรัยขา” เธอเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบพร่า บ่งบอกว่าอารมณ์ของเธอเวลานี้ก็คงกำลังโลดแล่นไม่แพ้ผมแน่นอนผมจูบหนักๆ ตรงท้องน้อยนั่น แล้วลากผ่านริมฝีปากร้อนๆ ลงไปบนเนินเนื้อซึ่งถ้าต่ำลงไปอีกนิดมันคือจุดที่อัปสรหวงมากที่สุด และผมก็ได้ครอบครองมันเป็นคนแรกแต่ผมกลับเปลี่ยนใจไม่สัมผัสตรงนั้นในเวลานี้ โดยเลือกฝังใบหน้าลงไปจูบหน้าขาที่บิดเกร็งจนสั่นเล็กๆ นั่นของเธอ จากนั้นก็ไล้จูบต่ำลงไปเรื่อยๆ กระทั่งถึงปลายเท้าขวา ก่อนจะจูบไซ้ขึ้นมาเรื่อยๆ จากปลายเท้าซ้ายที่ผมยังไม่ได้สัมผัส ซึ่งผมใช้จังหวะนี้แทรกตัวอยู่ระหว่างขาทั้งสองข้า
ฉันตื่นมาอย่างสดใส ทั้งๆ ที่เมื่อคืนแทบไม่ได้นอนเลยด้วยซ้ำ ส่วนคนข้างๆ ก็หน้าระรื่นไม่แพ้ฉันสักเท่าไหร่ เห็นแล้วก็หมั่นไส้จนต้องมองค้อนให้อยู่หลายครั้งเช้านี้ตรัยอาสาเข้าครัวเตรียมอาหารเช้าให้ ซึ่งฉันก็ไม่ได้คัดค้านอะไร เพราะบ่อยครั้งที่เขามานอนค้างที่บ้านแล้วตื่นเช้ามา ฉันก็จะได้กินกับข้าวฝีมือเขา ระหว่างรอฉันก็ชะเง้อชะแง้มองหาพี่ชายไปด้วย แต่น่าแปลกที่ไม่เห็นพี่ชายฉันแม้แต่เงา สงสัยพอสร่างเมาแล้วจะรีบไปหากรดาที่บ้านเป็นแน่ อยากรู้ผลนักว่าป่านนี้จะเป็นยังไง“คิดอะไรอยู่ครับ”“คิดว่า ป่านนี้พี่นิกจะทำอะไรอยู่”“นั่นน่ะสิ” คนในครัวเอ่ยเห็นด้วย สีหน้าดูครุ่นคิดจนคิ้วขมวด “จะสารภาพรักกับยัยดาเลยไหมนะ” ฉันสันนิษฐานไปตามเรื่องตามราว “อาจมีสิทธิ์ เพราะดาไปเรียนต่อเมืองนอกตั้งสองปี ถ้าไม่สารภาพตอนนี้มันอาจกินแห้วได้” เพราะคิดไปก็คงมีแต่จะฟุ้งซ่าน ฉันจึงรอให้พี่ชายกลับมาค่อยถามน่าจะดีกว่า ก่อนจะหันมาให้ความสนใจผู้ชายตัวโต ที่ตอนนี้กำลังใส่ผ้ากันเปื้อนและยืนทำอะไรอยู่หน้าเตานานสองนาน “ว่าแต่พี่ตรัยทำอะไรอยู่คะ กลิ่นหอมเชียว” กลิ่นหอมๆ ที่ลอยมาเตะจมูก ทำเอาท้องฉันร้องเพราะความหิวเสียแล้วสิ
“เพิ่งรู้ว่าสรเองก็ทะลึ่ง”“ก็ใช่ว่าสรจะเป็นแบบนี้กับทุกคนนะคะ” ฉันสบตาเขาไปตรงๆ พยายามไม่เขิน แต่สงสัยสีหน้ามันจะออกอาการแน่ๆ “เป็นกับพี่คนเดียวก็พอ...รู้ไหม” เขายื่นมือมาบีบจมูกฉันเบาๆ ก่อนจะถามขึ้น “วันนี้สรว่างไหม”“ว่างค่ะ”“งั้นกินข้าวเสร็จ ไปช่วยพี่ซื้อของหน่อยได้ไหมครับ”“ได้สิคะ” ฉันรับปาก นั่นเพราะวันนี้ฉันเองก็ไม่ได้มีแผนไปที่ไหน ออกไปซื้อของกับตรัยก็คงเพลินไปอีกแบบ เมื่อเรากินข้าวเช้าอิ่มก็พากันออกไปข้างนอก เขาขับรถพาฉันไปห้างสรรพสินค้าที่เน้นแต่ของตกแต่งบ้าน นั่นทำให้ฉันนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยชวนฉันไปบ้านที่ฉันเดาเอาว่าเขาเพิ่งซื้อ เพราะเมื่อก่อนเขาอยู่คอนโดมิเนียม แต่ฉันปฏิเสธเขาจึงขับรถพาฉันไปนั่งคุยที่สโมสรในหมู่บ้านแทน แต่ความที่รอบข้างมันมืด ฉันจึงมองไม่เห็นบรรยากาศอะไรมากสักเท่าไหร่“พี่ตรัยอยากแต่งบ้านเหรอคะ”“ครับ…ซื้อของเสร็จ เดี๋ยวเราไปบ้านพี่กัน” “ค่ะ” ฉันรับปากแล้วเดินตามเขาไปยังแผนกเครื่องนอน จังหวะหนึ่งตรัยเดินเข้ามากุมมือฉันไว้ขณะที่พนักงานในแผนกก็เดินเข้ามาแนะนำนั่นนี่ตามหน้าที่“พี่เพิ่งซื้อบ้านใหม่ได้ราวๆ เดือนกว่า ยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก โดยเฉพาะห้องนอน
“ก็พี่คิดถึงเมียนี่ครับ”“ไว้มีโครงการเรียนต่อหรือไปเที่ยว สรจะบอกพี่ตรัยนะคะ” “ครับผม” เสียงทุ้มเอ่ยรับ จากนั้นเราก็ลงไปชั้นล่าง เดินเล่นที่สวนด้วยกัน ก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของฉันจะดังขึ้น และคนที่โทรเข้ามาก็ไม่ใช่ใครอื่น พี่ชายของฉันนั่นเองอยู่ไหน กับใคร ทำอะไรอยู่ กลับมาบ้านตอนนี้ได้ไหม นี่คือประโยคคำถามและคำสั่งกลายๆ จากพี่ชายคนเดียวของฉัน พอบอกตรัยไปเขาก็เอาแต่หัวเราะชอบใจ “พี่ว่าคืนนี้น่าจะได้มอมเหล้าไอ้นิกมันอีกคืน”“บ้า!” ฉันแยกเขี้ยวใส่คนทะลึ่ง ก่อนที่เราสองคนจะกลับไปบ้านของฉันกัน แต่พอมาถึงฉันก็ตาโตเป็นไข่ห่าน เมื่อเห็นยัยดานั่งยิ้มเขินอยู่ในห้องรับแขก ถามไปถามมา ถึงได้รู้ว่าเมื่อเช้าพี่ชายฉันไปหากรดาที่บ้าน บุกไปบอกว่าชอบและขอคบต่อหน้าพ่อกับแม่ของกรดา แถมยังไปเล่าประวัติส่วนตัว หน้าที่การงานให้ผู้ใหญ่ฟังจนละเอียดยิบ ฟังแล้วฉันก็ได้แต่หัวเราะให้พี่ชายตัวเอง ที่บทจะเอาจริงก็เอาจริงเสียจนอึ้งกันไปถ้วนหน้า“แล้วแกตอบว่าไงดา”“ก็คบสิ” กรดานั่งก้มหน้าก้มตาตอบ ส่วนฉันก็หัวเราะชอบใจ คู่นี้เป็นคู่รักสายฟ้าแลบกว่าคู่ของฉันเสียอีก แอบชอบกันอยู่เงียบๆ แต่บทจะสารภาพรักก็เล่นเอาตูมเดีย