เทียนนั่งมองโรงศพของปู่เขาทุกวันตั้งแต่ที่ศพมาถึงประเทศไทยจนพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้อยู่กับปู่เป็นวันสุดท้าย ยิ่งมองเรื่องราวความทรงจำในอดีตของเขากับปู่ก็ยิ่งผุดขึ้นมาในหัวเขา
"ทำไมปู่ถึงทิ้งไปผมแบบนี้ล่ะครับ...ไหนปู่บอกว่าจะกลับมาฟังคำตอบจากผมไม่ใช่เหรอ" เทียนพูดออกมาทั้งน้ำตา ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักหมดแล้วเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนปู่ตรงนี้ "พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว ฮึก~งั้นผมขอตอบคำถามปู่ตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ...ฮือ...ผมทำไม่ได้ครับปู่...ฮึก...ฮือ...ผมทำไม่ได้ ผมแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ครับ...ฮื้อ...ฮือ...ผมขอโทษ ผมทำให้ปู่ผิดหวังอีกแล้ว...ฮื้อ...ฮือ...ฮือ...ฮื้อ...ฮึก...ฮือ" เทียนนั่งร้องไห้จนตัวโยนด้วยความเสียใจ เขารู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของปู่ได้แถมการที่ปู่จะจากไปเขายังได้ติดค้างคำตอบของปู่อีก เวกัสเดินเข้ามาดูเทียนที่นั่งร้องไห้ปานคนจะขาดใจ เขารู้ว่าเทียนกับคุณซ่งรักและสนิทกันมากแค่ไหนและก็รู้ว่าคงไม่มีคำปลอบโยนใดที่จะทำให้หัวใจของเทียนรู้สึกดีขึ้น เวกัสเดินเข้าไปแล้วย่อตัวนั่งลงข้างๆ เทียน เขาใช้มือทั้งสองข้างโอบไหล่ของเทียนไว้แล้วลูบเบาๆ "คุณเทียนไปพักผ่อนเถอะนะครับ ทำแบบนี้ร่างกายจะไม่ไหวเอานะ" เวกัสพูด "ฮือ...ฮื้อ...ฮือ...ฮึก~" เทียนยังคงเอาแต่ร้องไห้อยู่แบบนั้น เวกัสไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีตอนนี้เขารู้สึกเป็นห่วงสุขภาพของเทียนมากๆ เพราะตั้งแต่วันแรกที่ศพของคุณซ่งมาถึงเทียนก็เอาแต่นั่งเฝ้าโรงศพของคุณซ่งแบบนี้ทุกวันไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรและนอกจากดื่มน้ำแล้วเขาก็ไม่ยอมทานอะไรเลยขนาดคุณหญิงทั้งสองของบ้านสั่งให้เขาไปพักผ่อนเขาก็ยังไม่เป็นผม "เดี๋ยวผมพาไปพักนะ" เวกัสพูดแล้วประคองเทียนขึ้นมาช้าๆ จากนั้นก็พาเทียนกลับไป ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ หลังจากผ่านพ้นเรื่องงานศพของคุณซ่งทุกคนก็ได้มารวมตัวกับที่บ้านใหญ่ตามคำสั่งของคุณผู้หญิงทั้งสองพร้อมกับทนายประจำตระกูล "ในเมื่อมากันครบแล้วก็ประกาศเถอะค่ะคุณทนาย" คุณหญิงหยาดทิพย์พูด "ครับ" ทนายตอบแล้วยืนขึ้น "กระผมนายเจษฎา บริพัตรทนายส่วนตัวของคุณซ่ง วัฒนา สิริยากร วันนี้ขอประกาศถึงเนื้อความตามพินัยกรรมที่คุณซ่งได้กระทำไว้ตั้งแต่ก่อนเสียชีวิต" ทนายพูดแล้วไล่มองหน้าลูกหลานของคนในตระกูลก่อนจะก้้มหน้าลงไปอ่านอีกครั้ง "ข้าพเจ้านายวัฒนา สิริยากรได้ทำพินัยกรรมฉบับนี้ขึ้นมาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ปี 2565 โดยมีคุณเจษฎา บริพัตรทนายส่วนตัวและวิสุทธิ์ วงศ์ศาลเป็นพยาน ข้าพเจ้าขอมอบบ้านหลังนี้ให้กับคุณหญิงหยาดทิพย์ สิริยากรและคุณโฉม พรนภา สิริยากร ภรรยาทั้งสองอองข้าพเจ้ารวมถึงเงินสดอีกคนละ 200 ล้านบาท 2.ข้าพเจ้าขอยกกิจการโรงแรมทั้งหมด 12 แห่งทั้งในและต่างประเทศให้กับนายธำรง สิริยากร ลูกชายคนโตของ้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 3.ข้าพเจ้าขอยกที่ดินที่ภูเก็ตพร้อมบ้านพักส่วนตัวของตระกูลให้กับนางสาวเขมมิกา สิริยากรลูกสาวของข้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 4.ข้าพเจ้าขอยกอพาร์ตเมนต์ SKJ ที่สมุทรปราการและนนทบุรีให้กับนายเอกราช สิริยากรลูกชายคนเล็กของข้าพเจ้าพร้อมด้วยเงินสดจำนวน 100 ล้านบาท 5.ข้าพเจ้าขอสงวนสิทธิ์ผู้ดูแลกิจการทุกอย่างให้แก่ผู้นำตระกูลคนต่อไปเป็นคนจัดสรรแต่เพียงผู้เดียว" ทนายพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองทุกคนที่ดูกำลังแตกตื่นตกใจกันไม่น้อยจนไม่มีสมาธิสนใจสิ่งที่เขากำลังพูดอยู่เลย "แบบนี้หมายความว่าไงอ่ะ" มุกดาหัรไปพูดกับสามีตัวเอง "อย่าบอกนะว่าจะมีการจัดสรรคนดูแลกิจการใหม่น่ะแล้วที่พวกเราทำกันมาจะทำยังไง" เอกถามทนาย "ผมไม่ทราบครับว่าผู้นำคนใหม่จะจัดสรรคนยังไง พวกคุณอาจได้ดูแลกิจการเดิมหรือไม่ก็หมุนเวียนไปดูแลกิจการอื่นของตระกูล...หรือไม่แน่ก็อาจจะไม่ได้ดูแลกิจการไหนเลยซึ่งทั้งหมดอยู่ที่ความต้องการของผู้นำคนใหม่เท่านั้น" ทนายตอบ "แบบนี้ก็ไม่แฟร์น่ะสิ พวกเราดูแลโรงสีกันมาเป็นสิบๆ ปีอยู่ดีๆ จะมาให้คนอื่นเอาไปทำต่อง่ายๆ ได้ยังไงถ้าจะให้เราไปดูแลงานอื่นพวกเราก็ทำไม่เป็นเหมือนกันนั่นแหละ" มุกดาลุกขึ้นถามด้วยความโมโห "เงียบแล้วนั่งลงเดี๋ยวนี้เลยยัยมุกดา" คุณโฉมพูด "แม่~" "นั่งลง!" เมื่อเห็นลูกสาวทำตัวดื้อด้านคุณโฉมก็ใช้เสียงที่จริงจังขึ้นจนมุกดาต้องยอมนั่งลงแต่โดยดี "ต่อเลยค่ะคุณทนาย" คุณโฉมหันไปบอกทนายเจษฎา "ครับ...ข้าพเจ้าขอยกตำแหน่งผู้นำตระกูลให้กับ..." ทุกคนต่างลุ้นระทึกกับคำตอบขอทนายมากเพราะตอนนี้ชะตากรรมของทุกคนกำลัังขึ้นอยู่กับผู้นำตระกูลคนใหม่ของตระกูลแล้ว "นายเทียน เมธัส สิริยากร" จบคำของทนายร่างกายของเทียนก็รู้สึกชาขึ้นมาทันที ครอบครัวของเทียนหันมายินดีกับเขาทุกคนแต่เขากลับไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลย "ไม่จริง! ลูกๆ ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนพ่อจะมายกตำแหน่งผู้นำให้ไอ้เทียนได้ไง" เอกลุกขึ้นโวยวายด้วยความไม่พอใจ "แต่ผมก็อ่านทุกอย่างตามพินัยกรรมนะครับ" ทนายตอบ "มันต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ๆ ไอ้เทียนมันเป็นหลานประสบการณ์อะไรก็ไม่มีแล้วจะให้ขึ้นมาบริหารทุกอย่างได้ยังไง" เอกพูด "ใช่ อย่างน้อยตรงนี้คนที่เป็นไปได้มากที่สุดก็ต้องเป็นพี่หล่งสิ คุณพ่อไม่มีทางข้ามหัวลูกๆ อย่างเราหรอก" มุกดาพูด "ฉันเคยบอกคุณพ่อไปแล้วว่าไม่เคยต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูล คุณพ่อเห็นสมควรให้ใครก็สามารถเลือกได้ตามต้องการได้เลย" หล่งตอบ "แต่มันก็ต้องไม่ใช่ไอ้เทียนป่ะพี่" เอกพูด "แล้วเทียนมันทำไม" หล่งถาม "ก็เทียนมันไม่ได้ชอบผู้หญิงยังไงล่ะแล้วแบบนี้จะมีทายาทสืบสกุลให้พวกเราได้ยังไง" เหมยหลินลุกขึ้นแล้วตอบหล่งด้วยสีหน้าเหยียดเทียนอยู่พอสมควร "ผมเคยคุยกับคุณปู่เรื่องนี้แล้วครับว่ายังไงก็คงไม่มีทางแต่งงานกับผู้หญิงแต่คุณปู่ก็ยังมอบตำแหน่งนี้ให้ผม ผมว่ามันน่าจะตอบคำถามอาเหมยได้นะครับว่าต่อให้ผมชอบผู้ชายคุณปู่ก็ยังเลือกผมอยู่ดี" เทียนพูด "แต่แกไม่เคยเรียนรู้งานของที่บ้านเลยแล้วจะเข้าใจมันได้ยังไง" มุกดาพูด "ของพวกนี้มันเรียนรู้ไม่ยากหรอกครับ...แล้วก็เหมือนอามุกดาจะลืมนะว่าคุณปู่สอนงานทุกอย่างผมมาตั้งแต่ผมเด็กๆ เพียงแค่ช่วง 4-5 ปีมานี้ผมไม่ได้มีเวลามาสนใจตรงนี้เฉยๆ ก็เท่านั้นเอง" เทียนตอบ "แล้วแกรู้ไหมล่ะว่า 4-5 ปีมานี้กิจการของที่บ้านมันเป็นยังไงบ้าง ฉันใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีดูแลแก้ไขปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่โรงสีอยู่ๆ จะให้เด็กอย่างแกมาทำต่อแกคิดว่าฉันจะวางใจได้เหรอ" มุกดาพูด "ผมยังไม่เคยบอกเลยนะครับว่าจะย้ายทุกคนไปดูแลกิจการอื่น ทำถึงต้องตกใจกันขนาดนั้นหรือว่ากิจการที่ทุกคนดูแลอยู่มันมีความลับอะไรอยู่กันแน่" เทียนถามหยั่งเชิงพวกอาของเขาและดูทุกคนจะมีพิรุธอยู่ไม่น้อยเพราะสีหน้าของพวกเขาต่างเลิ่กลั่กกันไปหมด "เวกัส เจสัน" เทียนเอ่ยเรียกคนของบ้านตัวเองให้เข้ามาหาทันที "ครับ" ทั้งสองรีบเข้ามาหาเทียนแล้วตอบรับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น "ส่งคนของเราไปที่กิจการทุกอย่างของตระกูลแล้วนำบัญชีรายรับรายจ่ายและเอกสารสำคัญมาให้หมด...ผมจะตรวจสอบเอง" เทียนพูด "ครับ" เวกัสและเจสันตอบรับแล้วออกไปทำงานของตัวเองทันที "ตาเทียน! นี่แกกล้าทำเรื่องข้ามหัวพวกฉันขนาดนี้เลยเหรอ" มุกดาถามด้วยความโกรธที่จู่ๆ เทียนก็คิดจะตรวจสอบงานของเธอทั้งที่ยังไม่ไม่ได้ขออนุญาตจากเธอก่อนเลย "ผมก็แค่อยากรู้งานของที่บ้านทั้งหมดเฉยๆ ในฐานะผู้นำตระกูลคนใหม่...ไม่ได้เหรอครับอามุกดา" เทียนตอบด้วยสีหน้ายียวนจนมุกดาแทบอยากจะเดินเข้ามาตบหน้าหลานชายสักฉาก "อยากจะตรวจสอบจริงๆ น่ะมันก็ได้อยู่แต่ก็ควรจะขออนุญาตพวกอาก่อนไหมยังไงซะตอนนี้พวกอาก็ดูแลกิจการตรงนั้นอยู่" เหมยหลินพูด "ตอนนี้ผมเป็นผู้นำตระกูลคนใหม่อยากจะตรวจสอบกิจการในการดูแลของตัวเองยังจำเป็นต้องขออนุญาตจากใครด้วยเหรอครับ" เทียนถาม "ฮึ~ก็ตามมารยาทน่ะจ๊ะ" เหมยหลินตอบ "งั้นถ้าว่ากันตามมารยาทจริงๆ ผมว่าผมน่าจะต้องถามอาเอกกับอาเหมยหลินหน่อยนะครับว่าตอนนี้เมฆอยู่ที่ไหน...คุณปู่ตายทั้งทีทำไมหลายชายคนเล็กขอวตระกูลถึงไม่มาร่วมงานศพเลย" เทียนถาม เอกและเหมยหลินทำหน้างงเพราะไม่เข้าใจว่าเทียนจะสื่ออะไร "ตาเมฆก็ช่วยงานตาสายฟ้าอยู่ที่ฮ่องกงไง" เหมยหลินตอบ "งั้นเหรอครับ" เทียนถาม ตอนนี้ทุกคนในห้องล้วนต่างสงสัยกันหมดว่าเทียนเป็นอะไรทำไมอยู่ดีๆ ถึงเจาะจงไปที่เมฆ "ใช่ งานมันเยอะจาเมฆจะมาไม่ได้ก็ไม่เห็นแปลกอีกอย่างต่อให้ตาเมฆไม่มาพวกเราก็จัดงานศพกันเองได้ไม่ใช่หรอ" เอกตอบ "ถ้างานยุ่งจริงๆ งั้นทำไมสายฟ้าที่เป็นคนคุมงานถึงมานั่งอยู่ตรงนี้ได้แต่เมฆที่เป็นแค่เด็กคนนึงที่ตามพี่ชายไปทำงานถึงมาไม่ได้ล่ะครับ" เทียนถาม "นี่แกจะพูดอะไรกันแน่" เอกถามแล้วจ้องตาเทียนเอาไว้ตลอดเหมือนพยายามข่มเขา "ก็ก่อนที่คุณปู่จะไปฮ่องกง คุณปู่ได้บอกผมว่าจับหนอนบ่อนไส้ที่แอบลักลอบเอาข้อมูลของพวกเราไปบอกคู่แข่งได้แล้ว...ซึ่งคนๆ นั้นก็คือเมฆ ลูกชายของอาเอกกับอาเหมยหลินไงครับ" เทียนตอบ ทุกคนพอได้ฟังก็ตกใจอย่างมากยกเว้นคุณผู้หญิงทั้งสองคนที่รู้อยู่แล้ว เอกไม่พอใจที่เทียนว่าลูกชายของตัวเองจึงยกมือขึ้นมาแล้บตบไปที่หน้าของเทียนอย่างแรง "แกอย่ามาใส่ความลูกชายฉันนะ" เอกพูด หล่งและดารินรีบเข้ามาดูลูกชายทันทีด้วยความเป็นห่วง "ไอ้เอก! มึงกล้าตบลูกกูเหรอ" หล่งชี้หน้าน้องชายด้วยความโกรธหมายจะเข้าไปซัดให้รู้แล้วรู้รอดแต่ธูปก็รีบเข้ามากอดรั้งพ่อของตัวเองไว้ก่อน ด้านของเอกก็มีนพและสายฟ้าคอยดึงเอาไว้เหมือนกัน "พอสักที!" คุณโฉมพูดขึ้นหลังจากเหตุุการณ์ในบ้านเริ่มรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ "วิสุทธิ์ไปส่งคุณทนายที" คุณโฉมหันไปพูดกับวิสุทธิ์ที่ยืนอยู่ข้างๆ "ครับคุณโฉม" วิสุทธิ์เดินไปหาทนายแล้วเชิญออกไปที่รถเพื่อที่จะให้คนไปส่งเขาถึงที่ "มีแขกอยู่ในบ้านก็ยังกล้าลงมือกันอีก น่าขายหน้าจริงๆ" คุณหญิงหยาดทิพย์พูด "แม่ใหญ่ค่ะ คุณแม่ ตาเมฆไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ คุณแม่อย่าไปเชื่อไอ้เทียนมันนะคะ" เหมยหลินรีบคุกเข่าต่อหน้าคุณผู้หญิงทั้งสองอ้อนวอนขอร้องความเห็นใจ "ฉันก็หวังว่ามันจะไม่เป็นแบบนั้น" คุณหญิงหยาดทิพย์ตอบ "แต่ถ้ามันเป็นคนชักศึกเข้าบ้านต่อให้มันจะเป็นหลานชายของฉัน ฉันก็จะไม่มีวันปล่อยมันไปเด็ดขาด" คุณโฉมพูด "คุณแม่ค่ะได้โปรดเห็นแก่ความสัมพันธ์ในครอบครัวไว้ชีวิตตาเมฆ รอเขากลับมาอธิบายทุกอย่างเองเถอะนะคะ...ฮึก...ฉันเชื่อนะคะว่าตาเมฆจะไม่มีวันทรยศตระกูลของเราเด็ดขาด...ฮึก...นะคะคุณแม่ นะคะแม่ใหญ่" เหมยหลินพูดไปร้องไห้ไปเธอกลัวว่าเทียนจะไม่ให้โอกาสลูกชายของตัวเองจึงพยายามพูดโน้มน้าวใจขอแม่ๆ ทั้งสองหลังจากแยกย้ายกันกลับบ้านดารินก็เข้ามาทำแผลให้ลูกชายด้วยความเป็นห่วง"เจ็บไหมลูก" ดารินถาม"นิดหน่อยครับแม่" เทียนตอบ"พี่เทียน ไอ้เมฆมันทำแบบนั้นจริงๆ เหรอพี่" ธูปถาม"คุณปู่บอกพี่แบบนั้นอ่ะ" เทียนตอบ"นี่พ่อไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเงียบๆ เรียบร้อยดูไร้พิษสงอย่างไอ้เจ้าเมฆมันจะกล้าทำอะไรแบบนี้" หล่งพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะเมื่อก่อนเขาเองก็รักและเอ็นดูเมฆเหมือนกับลูกชายคนนึงของตัวเองเหมือนกัน"ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็ตกใจไม่ต่างจากทุกคนหรอกครับ" เทียนตอบ"แล้วนี่แกรู้เรื่องใหญ่โตนี้ก็ยังจะปิดบังพ่อกับแม่อีกนะ" หล่งหันมาดุเทียนที่ปิดบังเรื่องของเมฆกับตัวเองมาตั้งหลายวัน"คุณเทียนครับ พวกเราได้เอกสารทั้งหมดมาแล้วครับ" เจสันกับเวกัสเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มและสมุดบัญชีจำนวนมาก"เอาเข้าไปวางที่ห้องทำงานของฉันเลย" ดารินตอบ"ครับ" เจสันและเวกัสตอบก่อนจะเดินเอาของไปไว้ให้เจ้านาย"แต่แม่ครับ~" เทียนกำลังจะพูดแต่ดารินยื่นมือไปจับมือของลูกชายไว้ก่อน"เดี๋ยวแม่ช่วยเทียนเอง" ดารินพูด เทียนค่อยๆ ยิ้มออกมา"ครับ" เทียนตอบหลังจากมื้อเย็นเทียนและดารินก็ช่วยกับจัดการตรวจสอบบัญชีและเอกสารทั้งหมดด้วยกันโดยมี
"ช้าๆ ระวังเท้าด้วยสิ" ปูนปั้นพพูด เขาประคองเทียนเข้ามาในห้องนอนของตัวเองแล้วทิ้งคนตัวใหญ่ลงเตียงอย่างแรงแฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ปูนปั้นหอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยเพราะน้ำหนักตัวของเทียนไม่ใช่เล่นๆ เลย ปูนปั้นมองดูเทียนแล้วยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยความสับสน"หางานให้ตัวเองแท้ๆ เลยไอ้ปูนปั้นเอ้ย~" ปูนปั้นพูดแล้วหันหลังจะเดินกลับไปแต่เทียนก็คว้าข้อมือของเขาไว้ก่อนจนปูนปั้นต้องหันกลับมาหาเขา"อย่าทิ้งผมไป...อย่าทิ้งผมไปเลยนะครับปู่" เทียนพูดเจ้อออกมาเบาๆ ปูนปั้นแกะมือของเขาออกแล้วมองเขาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย"ปู่ที่ไหนล่ะ นี่ปูนปั้นจ้า ชิส์!" พูดจบปูนปั้นก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเขาไปอาบน้ำทันที ผลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วปูนปั้นก็เดินเช็คผมออกมา เขามองไปที่เทียนอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะปกติไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ในห้องนอนด้วยกันกับเขามันก็เลยทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ปูนปั้นเดินออกจากห้องไปหยิบโถใส่น้ำกับผ้าเช็คตัวผืนเล็กๆ เข้ามาวางไว้ที่ตู้ข้างเตียงก่อนจะนั่งลงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเทียนออก ตอนที่เทียนล้มทับตัวเขาตอนนั้นเขาก็รู้สึกได้แล้วว่าอุณภูมิร่างกายของเทียนสูงผิดปกติแบบหน้าตาก็อิดโรยกว
เมื่อมาถึงร้านเทียนก็รีบเดินไปที่รถของเขาทันที"ซี๊ด!..." เขาร้องออกมาทันทีที่ใช้มือแตะหลังคารถพร้อมกับรีบชักมือกลับเพราะตอนนี้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนอนตากแดดมาหลายชั่วโมงแล้ว"โธ่~ตัวร้อนจี๋เลยลูกไว้กลับบ้ทนพ่อเปิดแอร์ให้นอนฉ่ำๆ เลยนะ" เทียนพูดกับรถเบาๆ ปูนปั้นเดินตามมาทีหลังก็ถึงกับส่ายหัวให้ความโอเว่อร์ของเทียนทันที เขาเดินล้วงหากุญแจเปิดร้านในกระเป๋าจนมาหยุดอยู่หน้าประตูร้านทันที"เจอแล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองร้านของตัวเองแต่เขาก็ต้องตกใจ"เฮ้ย!" ทันทีที่เทียนได้ยินเสียงของปูนปั้นเขาก็รีบหันไปหาปูนปั้นด้วยความเป็นห่วงแต่ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือร้านของปูนปั้นถูกพ่นสีสเปรย์เขียนคำหยาบคายไว้เต็มไปหมด ตอนนี้ปูนปั้นเองก็ช็อคไม่ต่างกันเงยหน้ามองแล้วอ่านคำด้าท่อพวกนี้ทั้งหมดด้วยความโมโหและสับสน เทียนเดินเข้าไปหาปูนปั้นใกล้ๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาว่าโอเคหรือเปล่า"รู้ไหมว่าใครทำ" เทียนถาม ปูนปั้นส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้ "เข้าไปตรวจดูข้างในก่อนเถอะว่ามีอะไรหายไปไหม" เทียนพูด ปูนปั้นหันมามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจที่เขายังอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นเขาก็ไขกุญแจเปิดร้านทันทีซึ่งสภาพภายใ
"คุณเทียนมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับผมหรอครับ" พายุถาม"ฉันมีคนรู้จักอยู่คนนึงเขาเป็นเจ้าร้านที่นี่" เทียนตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พายุดูซึ่งมันเป็นรูปหน้าร้านของปูนปั้นที่มีทั้งตอนปกติและตอนที่เกิดปัญหา"ร้าน Happy Time หรอครับ" พายุพูด"นายรู้จักเหรอ" เทียนถาม"ครับ ผมเคยไปหาเพื่อนแถวนั้นอยู่ 2-3 ครั้งแต่ไม่เคยเข้าไปทานหรอกนะครับ" พายุตอบ"ตอนนี้ที่นี่กำลังถูกคุกคาม มีคนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่หน้าร้านนี้จนดูไม่ได้ ฉันอยากให้นายไปสืบมาหน่อยว่าใครเป็นคนทำแต่นายห้ามบอกเรื่องนี้ให้คนที่บ้านรู้เด็ดขาด เข้าใจไหม" เทียนพูด"ได้ครับคุณเทียน" พายุตอบ"นายสามารถเอาคนไปใช้ได้ 2-3 คนแต่ต้องกำชับพวกนั้นให้ดีว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ไม่งั้นคนที่จะเดือดร้อนก็คือนายเอง" เทียนพูด"ครับ" พายุตอบ"นี่เป็นงานแรกที่ฉันมอบให้นายทำ...อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ" เทียนพูด"ผมจะทำให้เต็มที่ครับ...เอ่อ~ว่าแต่คุณเทียนมีเวลากำหนดให้ผมไหมครับ" พายุถาม "เร็วที่สุด" เทียนตอบ "ครับ" พายุตอบ"กลับไปพักผ่อนได้แล้วไปพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปทำงานให้ฉัน" เทียนพูด"ได้เลยครับคุณเทียน รับรองพรุ่งนี้งานเดินผ่านฉลุยแน่นอน" พายุตอบแล้วยกนิ้ว
"พวกเราได้ภาพคนร้ายมาจากกล้องวงจรปิดน่ะครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "เป็นไปไม่ได้ คุณเทียนบอกผมมาแล้วว่ากล้องวงจรปิดที่ร้านมันเสียแล้วแบบนี้พวกคุณจะไปเอามาได้ยังไง" พายุพูด "พวกผมก็ไปเอามาจากบ้านของคนในระแวกไงครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "ใช่ครับ กล้องที่ร้านเสียพวกเราเลยไปไล่ขอคลิปจากกล้องวงจรปิดจากชาวบ้านแถวนี้แทนแล้วก็ให้ค่าตอบแทนพวกเขาไปนิดหน่อย ลองเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของทุกบ้านมารวมกันก็พบเห็นชายต้องสงสัยที่ใส่ชุดดำทั้งตัวเดินออกมาจากทางร้าน Happy Time ช่วงเวลาประมาณตี 3 กว่าๆ จากนั้นเขาก็เดินเอาถุงอะไรบ้างอย่างไปทิ้งที่หน้าตึกร้างที่อยู่ห่างไปอีก 3 ซอยพอพวกเราไปตรวจสอบดูก็พบว่าในนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับพ่นสี ถุงมือ มีดและกระป๋องสเปรย์อีกจำนวนมากเลยครับอุปกรณ์" บอดี้การ์ดคนที่สองตอบ หน้าของพายุดูอึ้งไปทันทีเขาไม่คิดว่าทุกคนจะฉลาดกันขนาดนี้เพราะตัวเขาเองคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้าสองคนนี้ไม่พบหลักฐานอะไรป่านนี้เขาก็ยังคงเดินไล่ถามชาวบ้านต่อไปเรื่อยๆ จนหมดวันแน่ "เหรอ~ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร"
ตอนนี้พายุมพาคนร้ายมานึงอยู่ที่เก้าอี้แล้วดึงผ้าคลุมสีดำออก "ต้องปิดปากเขาไว้ด้วยเหรอ" ปูนปั้นถามเพราะเห็นว่ามีเทปปิดปากของเขาไว้อยู่ "ตลอดทางมานี้ไอ้นี่มันร้องโวยวายตลอดเลยครับ พวกผมรำคาญก็เลยเอาเทปแปะไว้ก่อน" พายุตอบ ปูนปั้นถอนห่ยใจออกมาแล้วเดินเข้าไปแกะเทปออกให้เขา "พวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ! ประเทศนี้มันมีกฎหมายนะเว้ย คอยดูเถอะผมจะไปแจ้งตำรวจมาจับพวกคุณให้หมดเลย" ผู้ชายคนนั้นต่อว่าทุกคนออกมาอย่างเสียงดังโดยไม่มีความสำนึกอะไรเลย "คุณทำแบบนั้นทำไม" ปูนปั้นถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาโกรธมากนะยิ่งรู้ว่าคนที่อยู่ตรวหน้าเป็นคนมำให้ร้านของเขาเสียหายเขายิ่งรู้สึกโกรธแต่ด้วยความที่เขาอยากเจรจาสอบถามเหตุผลกับคนตรงนั้นเขาเลยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ก่อน "ผมทำอะไร" ชายคนนั้นตอบตาใสเหมือนกับตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ "คุณมาพ่นสีที่ร้านผมทำไม" ปูนปั้นถาม สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหลบตาปูนปั้น "ผมสีอะไร~ ผมไม่ได้" คนร้ายยังคงปฏิเสธทุกอย่างอย่างหน้าตาเฉย "ไม่ได้ทำบ้าอะไร คิดว
"น่าหงุดหงิดจริงๆ" เทียนขับรถกลับบ้านด้วยความน้อยใจ "ที่ฉันทำไปเพราะตัวเองหรือยังไง...ที่ทำไปก็เพราะหวังดีทั้งนั้น ถ้าไม่ชอบก็น่าจะบอกกันดีๆ สิทำไมต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นด้วย" เทียนนั่งบ่นคนเดียวตลอดทางอย่างกับคนบ้า เห็นใครขับรถปาดหรือขับรถไม่ดีก็ตะโกนด่าอยู่คนเดียวในรถตลอด ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ "ลั้ลลา ลั้ลลา~" พายุเดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดีเพราะว่าภารกิจแรกของเขาผ่านพ้นไปด้วยดีแม้จะไม่ใช่ฝีมือของเขาทั้งหมดก็เถอะ เจสันเห็นพายุเดินเข้ามบ้านมาก็รีบเดินมาหาเขาทันที "พายุ" เจสันเรียก "ครับ" พายุหยุดนิ่งแล้วยืนตรงตอบเขาอย่างกับทหารเจอครูฝึกอย่างงั้นแหละ "คุณเทียนสั่งไว้ว่าถ้านายมาแล้วให้ขึ้นไปหาที่ห้องทันที" เจสันพูด "รับทราบครับ" พายุตอบแล้วตะเบ๊ะใส่เจสันไปหนึ่งทีก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปหาเทียนที่ห้องนอนตามคคำสั่ง เจสันมองตามพายุด้วยสีหน้างงๆ "นี่มันคิดว่าตัวเองอยู่ในคค่ายทหารหรือไงว่ะ" เจสันพูดแล้วส่่ายหัวให้กับความเด๋อด๋าของพายุ ก๊อกๆๆ
"พี่ขอโทษนะ" หมิงรู้สึกผิดมากๆ เพราะจริงๆ ปูนปั้นเองก็เพิ่งมาดูแลร้านอาหารนี้ได้ไม่เท่าไหร่ ปูนปั้นยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะเพราะทุกอย่างมันใหม่ไปหมดสำหรับปูนปั้น ทุกครั้งที่พนักงานกลับบ้านกันหมดแล้วหมิงก็จะเห็นมีแต่ปูนปั้นเนี่ยแหละที่ยังอยู่ที่ร้านนั่งหน้าเครียดตรวจดูทุกอย่างเองคนเดียวทั้งหมดก่อนถึงจะกลับบ้าน ถึงจะบอกว่าเขาควรทำแบบนั้นในฐานะเจ้าของกิจการแต่มันก็หนักเกินไปจริงๆ สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเขาเพราะนอกจากปัญหาที่ร้านจะมากมายก็ยังมีปัญหาพนักงานอีก ตอนที่หมิงมาทำงานแรกๆ เขามักจะได้ยินพนักงานแอบนินทาปูนปั้นอยู่บ่อยๆ พนักงานหลายคนไม่อต็มใจทำงานกับปูนปั้นแต่ที่ยังทนอยู่ก็เพราะที่ร้านของปูนปั้นให้เงินเดือนพนักงานสูงกว่าที่อื่นดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อปากท้องของตัวเองแต่การทำงานก็ไม่ได้คุณภาพตามที่สมควรจะเป็น หมิงรู้สึกเห็นใจปูนปั้นมาตลอดเพราะปูนปั้นดีกับเขามากดังนั้นเขาเลยตั้งใจช่วยงานที่ร้านอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนที่ปูนปั้นเห็นใจรับเขาเข้ามาอยู่ที่ร้านแต่วันนี้เขากลับนำภัยมาให้ปูนปั้นซะงั้นและอีกเรื่องที่หมิงเป็นห่วงก็คือการที่ปูนปั้นต้องอยู่ท
"คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ" ดารินพยายามบอกให้สามีของเธอควบคุมสติอารมณ์เอาไว้ "ไอ้เจสันมึงไปบ้านใหญ่รายงานเรื่องนี้กับคุณแม่และแม่เล็กแต่มึงต้องจำไว้นะว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดยกเว้นพวกคุณแม่เท่านั้น""ได้ครับเดี๋ยวผมจะบอกกับพวกคุณผู้หญิงเอง" เจสันตอบแล้วก็เดินออกไป"ส่วนมึงไอ้เวกัส มึงไปตามสืบมาว่าบอดี้การ์ดอีกสองคนที่หายไปในคืนนี้พวกมันหายไปได้ยังไง ถ้ามันยังไม่ตายก็เอาพวกมันกลับมาให้ได้" "ครับคุณหล่ง" หลังจากรับคำสั่งเวกัสก็รีบออกไปทำงานของเขาทันทีเช่นกัน"ผมจะไม่ยอมให้ตาเทียนเจ็บตัวฟรีแน่" หล่งพูดกับดารินด้วยสีหน้าโกรธแค้นสุดๆ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ตอนนนี้หน้าห้องพัก VIP ของโรงพยาบาลที่ถูกจองเอาไว้สามห้องติดกันล้วนมีบอดี้การ์ดรูปร่างบึกบึนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจำนวนหลายคนเลย ซึ่งก่อนหน้านี้เจสันได้สั่งให้คนตรวจค้นห้องพักทั้งสามห้องให้เรียบร้อยและยืนเฝ้าไว้ตลอดห้ามให้ใครมาเข้ามาวางกำดักหรือทำอะไรไม่ดีก่อนที่คนเจ็บจะถูกย้ายมาและแน่นอนว่าทุกครั้งที่มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข้ามาปูเตียงหรือนำของอะไรมาวางคนข
ปัง!"โอ๊ย" เสียงบอดี้การ์ดคนนึงของเทียนร้องขึ้นมาเนื่องจากเขาถูกกระสุนยิงเข้าที่แขนข้างซ้ายขณะกำลังพยายามช่วยยิงสะกัดคนร้ายที่ต้องการจะเอาชีวิตของเทียนอยู่แต่อาการเจ็บที่แขนทำให้เขาไม่สามารถประคองรถต่อไปได้จนทำให้รถล้มลงอย่างแรง บอดี้การ์ดอีกคนก็เห็นแล้วแต่ไม่สามารถหยุดรถช่วยได้เพราะอันตรายเกินไปแถมเขาเองยังต้องปกป้องเทียนอีก"โอ๊ย! เอาไงดีว่ะ เอาไงดี...ฮือ" พายุเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกจนทำให้เขาสติแตกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่"พายุ ไอ้พายุใจเย็นๆ" เทียนตะโกนใส่พายุเสียงดังเนื่องจากเจ้าตัวลนไปหมดแล้ว"ผมกลัวอ่ะคุณเทียน...ฮือ...ทำไงดีอ่ะครับ" พายุเริ่มงอแงออกมาตามประสาเด็กที่ไม่เคยผ่านเรื่องอันตรายและความเสี่ยงมาก่อน"มึงไปขับ! อย่าเบาคันเร่ง" "แม่งเอ้ย!" เทียนรู้สึกหงุดหงิดที่พายุไม่ได้ดั่งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่ข้างหลังแป๊ปนึงก่อนจะรีบก้มหัวลงมาเหมือนเดิมเพราะมีกระสุนพุ่งมาอย่างแรงจนกระจกด้านหลังแตกกระจายซึ่งมันกระเด็นโดนหน้าเขาด้วยจนเกิดแผล"เฮ้ย!" พายุตกใจสะดุ้งต้องเผลอปล่อยพวงมาลัย"ไอ้พายุ!"
"เอ่อ~ตาเทียน" เอกแสร้งยิ้มแล้วหันไปหาเทียน"ครับ" เทียตอบ"อามีเรื่องงานที่อยากจะปรึกษาหน่อยน่ะ ออกไปคุยกันข้างนอกสักแป๊ปได้ไหม" เอกพูด"ตอนนี้เหรอครับ" เทียนถาม"ใช่" เอกตอบ"แหม่~คุณเอกค่ะนี้มันเวลาไหนแล้วเรื่องงานก็พักบ้างเถอะค่ะ" หญิงป่านนภาพูด"ใช่ครับ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ผมไม่รีบหรอก" เทียนตอบเพราะเขาไม่อยากออกไปกับใครตามลำพังในช่วงเวลาที่ไม่ปลอดภัยแบบนี้แถมพายุก็ยังไม่กลับมา"พอดีพรุ่งนี้อากับอาเอกต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดกันหลายวันก็เลยกลัวจะไม่มีเวลาน่ะจ๊ะ" เหมยหลินพูด"ครับ" เทียนจำใจต้องตอบตกลงไปก่อนเพราะกลัวคนอื่นจะสงสัยหาว่าสิริยากรมีปัญหาภายใน เทียนลุกขึ้นเดินตามเอกออกไปหาที่หลบมุมคุยกัน ผ่านไปไม่ถึงนาทีพายุก็เดินเข้ามาพร้อมกับมองหาเทียนไปทั่วแต่ก็ไม่เจอเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ บิ๊กเพื่อสอบถามแต่ด้วยท่าทางยุกยิกๆ เหมือนเด็กน้อยของเขามันทำเอาเหมยหลินรำคาญไม่น้อยจนต้องหันไปถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ พายุรีบก้มหัวขอโทษเหมยหลินทันทีเธอจึงได้ยอมหันกลับไปแล้วไม่เอาเรื่อง"พี่บิ๊กๆ พี่เห็นคุณเทียนบ้างไหมอ่ะ"
"ทุกคนรออยู่แถวนี้นะถ้ามีอะไรให้รีบรายงานทันที" พายุออกคำสั่งให้บอดี้การ์ดทุกคนรออยู่บริเวณหน้างานและที่รถเพื่อดูความเรียบร้อยและป้องกันผู้แระสงค์แอบทำอะไรกับรถของเทียนหลังจากนั้นเขาก็รีบเดินตามเทียนเข้าไปในงาน"โอ้โห~คุณครับ...แน่ใจนะครับว่านี้แค่งานเลี้ยงต้อนรับลูกชายคุณไพบูลย์เฉยๆ ทำไมจัดใหญ่โตแถมเชิญแขกมามากมายขนาดนี้" พายุแอบกระซิบถามเทียนเบาๆ ด้วยความสงสันเพราะสเกลงานมันใหญ่มากจริงๆ แถมบุคคลที่มาร่วมงานก็มีแต่ตัวท็อปของแต่ละวงการทั้งนั้น"คุณไพบูลย์เป็นคนใหญ่คนโต มีอำนาจทางด้านการเงินไม่น้อยใครๆ ก็อยากผูกมิตรทั้งนั้น" เทียนตอบ"แล้วแบบนี้พวกเราควรจะเข้าไปหาคุณไพบูลย์ก่อนเลยไหมครับ" พายุถาม"ไม่ต้องหรอก พวกเรามาเป็นมารยาทไม่ได้มาเพื่อผูกสัมพันธ์การค้ากับใครและฉันก็เชื่อว่าต่อให้เราไม่เข้าหาใครมันก็จะมีคนอยากเข้าหาเราอยู่ดี" เทียนตอบแล้วกำลังจะเดินออกจากห้องโถงไปหาโต๊ะนั่งแต่จู่ๆ ก็มีใครบางคนมีเรียกเขาไว้ซะงั้น"คุณเทียนครับ" เสียงของผู้ชายคนนั้นทำให้เทียนหันไปกลับหาเขาทันทีด้วยความรู้สึกคุ้นหู"พี่บิ๊ก" พายุเรียกคนตรงหน้าด้ว
"พี่ขอโทษนะ" หมิงรู้สึกผิดมากๆ เพราะจริงๆ ปูนปั้นเองก็เพิ่งมาดูแลร้านอาหารนี้ได้ไม่เท่าไหร่ ปูนปั้นยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะเพราะทุกอย่างมันใหม่ไปหมดสำหรับปูนปั้น ทุกครั้งที่พนักงานกลับบ้านกันหมดแล้วหมิงก็จะเห็นมีแต่ปูนปั้นเนี่ยแหละที่ยังอยู่ที่ร้านนั่งหน้าเครียดตรวจดูทุกอย่างเองคนเดียวทั้งหมดก่อนถึงจะกลับบ้าน ถึงจะบอกว่าเขาควรทำแบบนั้นในฐานะเจ้าของกิจการแต่มันก็หนักเกินไปจริงๆ สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเขาเพราะนอกจากปัญหาที่ร้านจะมากมายก็ยังมีปัญหาพนักงานอีก ตอนที่หมิงมาทำงานแรกๆ เขามักจะได้ยินพนักงานแอบนินทาปูนปั้นอยู่บ่อยๆ พนักงานหลายคนไม่อต็มใจทำงานกับปูนปั้นแต่ที่ยังทนอยู่ก็เพราะที่ร้านของปูนปั้นให้เงินเดือนพนักงานสูงกว่าที่อื่นดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อปากท้องของตัวเองแต่การทำงานก็ไม่ได้คุณภาพตามที่สมควรจะเป็น หมิงรู้สึกเห็นใจปูนปั้นมาตลอดเพราะปูนปั้นดีกับเขามากดังนั้นเขาเลยตั้งใจช่วยงานที่ร้านอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนที่ปูนปั้นเห็นใจรับเขาเข้ามาอยู่ที่ร้านแต่วันนี้เขากลับนำภัยมาให้ปูนปั้นซะงั้นและอีกเรื่องที่หมิงเป็นห่วงก็คือการที่ปูนปั้นต้องอยู่ท
"น่าหงุดหงิดจริงๆ" เทียนขับรถกลับบ้านด้วยความน้อยใจ "ที่ฉันทำไปเพราะตัวเองหรือยังไง...ที่ทำไปก็เพราะหวังดีทั้งนั้น ถ้าไม่ชอบก็น่าจะบอกกันดีๆ สิทำไมต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นด้วย" เทียนนั่งบ่นคนเดียวตลอดทางอย่างกับคนบ้า เห็นใครขับรถปาดหรือขับรถไม่ดีก็ตะโกนด่าอยู่คนเดียวในรถตลอด ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ "ลั้ลลา ลั้ลลา~" พายุเดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดีเพราะว่าภารกิจแรกของเขาผ่านพ้นไปด้วยดีแม้จะไม่ใช่ฝีมือของเขาทั้งหมดก็เถอะ เจสันเห็นพายุเดินเข้ามบ้านมาก็รีบเดินมาหาเขาทันที "พายุ" เจสันเรียก "ครับ" พายุหยุดนิ่งแล้วยืนตรงตอบเขาอย่างกับทหารเจอครูฝึกอย่างงั้นแหละ "คุณเทียนสั่งไว้ว่าถ้านายมาแล้วให้ขึ้นไปหาที่ห้องทันที" เจสันพูด "รับทราบครับ" พายุตอบแล้วตะเบ๊ะใส่เจสันไปหนึ่งทีก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปหาเทียนที่ห้องนอนตามคคำสั่ง เจสันมองตามพายุด้วยสีหน้างงๆ "นี่มันคิดว่าตัวเองอยู่ในคค่ายทหารหรือไงว่ะ" เจสันพูดแล้วส่่ายหัวให้กับความเด๋อด๋าของพายุ ก๊อกๆๆ
ตอนนี้พายุมพาคนร้ายมานึงอยู่ที่เก้าอี้แล้วดึงผ้าคลุมสีดำออก "ต้องปิดปากเขาไว้ด้วยเหรอ" ปูนปั้นถามเพราะเห็นว่ามีเทปปิดปากของเขาไว้อยู่ "ตลอดทางมานี้ไอ้นี่มันร้องโวยวายตลอดเลยครับ พวกผมรำคาญก็เลยเอาเทปแปะไว้ก่อน" พายุตอบ ปูนปั้นถอนห่ยใจออกมาแล้วเดินเข้าไปแกะเทปออกให้เขา "พวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ! ประเทศนี้มันมีกฎหมายนะเว้ย คอยดูเถอะผมจะไปแจ้งตำรวจมาจับพวกคุณให้หมดเลย" ผู้ชายคนนั้นต่อว่าทุกคนออกมาอย่างเสียงดังโดยไม่มีความสำนึกอะไรเลย "คุณทำแบบนั้นทำไม" ปูนปั้นถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาโกรธมากนะยิ่งรู้ว่าคนที่อยู่ตรวหน้าเป็นคนมำให้ร้านของเขาเสียหายเขายิ่งรู้สึกโกรธแต่ด้วยความที่เขาอยากเจรจาสอบถามเหตุผลกับคนตรงนั้นเขาเลยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ก่อน "ผมทำอะไร" ชายคนนั้นตอบตาใสเหมือนกับตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ "คุณมาพ่นสีที่ร้านผมทำไม" ปูนปั้นถาม สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหลบตาปูนปั้น "ผมสีอะไร~ ผมไม่ได้" คนร้ายยังคงปฏิเสธทุกอย่างอย่างหน้าตาเฉย "ไม่ได้ทำบ้าอะไร คิดว
"พวกเราได้ภาพคนร้ายมาจากกล้องวงจรปิดน่ะครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "เป็นไปไม่ได้ คุณเทียนบอกผมมาแล้วว่ากล้องวงจรปิดที่ร้านมันเสียแล้วแบบนี้พวกคุณจะไปเอามาได้ยังไง" พายุพูด "พวกผมก็ไปเอามาจากบ้านของคนในระแวกไงครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "ใช่ครับ กล้องที่ร้านเสียพวกเราเลยไปไล่ขอคลิปจากกล้องวงจรปิดจากชาวบ้านแถวนี้แทนแล้วก็ให้ค่าตอบแทนพวกเขาไปนิดหน่อย ลองเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของทุกบ้านมารวมกันก็พบเห็นชายต้องสงสัยที่ใส่ชุดดำทั้งตัวเดินออกมาจากทางร้าน Happy Time ช่วงเวลาประมาณตี 3 กว่าๆ จากนั้นเขาก็เดินเอาถุงอะไรบ้างอย่างไปทิ้งที่หน้าตึกร้างที่อยู่ห่างไปอีก 3 ซอยพอพวกเราไปตรวจสอบดูก็พบว่าในนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับพ่นสี ถุงมือ มีดและกระป๋องสเปรย์อีกจำนวนมากเลยครับอุปกรณ์" บอดี้การ์ดคนที่สองตอบ หน้าของพายุดูอึ้งไปทันทีเขาไม่คิดว่าทุกคนจะฉลาดกันขนาดนี้เพราะตัวเขาเองคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้าสองคนนี้ไม่พบหลักฐานอะไรป่านนี้เขาก็ยังคงเดินไล่ถามชาวบ้านต่อไปเรื่อยๆ จนหมดวันแน่ "เหรอ~ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร"
"คุณเทียนมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับผมหรอครับ" พายุถาม"ฉันมีคนรู้จักอยู่คนนึงเขาเป็นเจ้าร้านที่นี่" เทียนตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พายุดูซึ่งมันเป็นรูปหน้าร้านของปูนปั้นที่มีทั้งตอนปกติและตอนที่เกิดปัญหา"ร้าน Happy Time หรอครับ" พายุพูด"นายรู้จักเหรอ" เทียนถาม"ครับ ผมเคยไปหาเพื่อนแถวนั้นอยู่ 2-3 ครั้งแต่ไม่เคยเข้าไปทานหรอกนะครับ" พายุตอบ"ตอนนี้ที่นี่กำลังถูกคุกคาม มีคนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่หน้าร้านนี้จนดูไม่ได้ ฉันอยากให้นายไปสืบมาหน่อยว่าใครเป็นคนทำแต่นายห้ามบอกเรื่องนี้ให้คนที่บ้านรู้เด็ดขาด เข้าใจไหม" เทียนพูด"ได้ครับคุณเทียน" พายุตอบ"นายสามารถเอาคนไปใช้ได้ 2-3 คนแต่ต้องกำชับพวกนั้นให้ดีว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ไม่งั้นคนที่จะเดือดร้อนก็คือนายเอง" เทียนพูด"ครับ" พายุตอบ"นี่เป็นงานแรกที่ฉันมอบให้นายทำ...อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ" เทียนพูด"ผมจะทำให้เต็มที่ครับ...เอ่อ~ว่าแต่คุณเทียนมีเวลากำหนดให้ผมไหมครับ" พายุถาม "เร็วที่สุด" เทียนตอบ "ครับ" พายุตอบ"กลับไปพักผ่อนได้แล้วไปพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปทำงานให้ฉัน" เทียนพูด"ได้เลยครับคุณเทียน รับรองพรุ่งนี้งานเดินผ่านฉลุยแน่นอน" พายุตอบแล้วยกนิ้ว