"สวัสดีครับคุณเทียน" เวกัสเอ่ยทักทายลูกชายคนโตของเจ้านายทันทีที่เขาเดินมาถึงพร้อมกับเข้าไปช่วยยกกระเป๋าเดินทางของเทียนขึ้นรถให้ด้วย
วันนี้เป็นวันแรกที่เทียนกลับประเทศไทยหลังจากที่เขาไปเที่ยวญี่ปุ่นมาถึง 3 เดือนเต็มๆ แต่การกลับมาครั้งนี้ดูเหมือนเทียนจะไม่ค่อยดีใจเท่าไหร่นักเพราะหลายวันมานี้เขาติดต่อหมิงไม่ได้เลยจึงทำให้ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ เทียนเดินไปเดินมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดหลังจากพยายามโทรหาหมิงเพื่อนสนิทของเขาตั้งแต่ลงเครื่องมาแล้วแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะโทรติดเลย "คุณเทียนจะกลับบ้านเลยไหมครับ" เวกัสถาม "ไม่อ่ะ คุณช่วยพาผมไปส่งที่คอนโด xx หน่อยนะ" เทียนตอบ "ไปหาคุณหมิงเหรอครับ" เวกัสถาม "ใช่" เทียนตอบ "ได้ครับ" เวกัสพูดแล้วเปิดประตูให้เทียนขึ้นไปนั่งบนรถก่อนที่ตัวเขาเองจะตามขึ้นไปแล้วรีบขับออกไปทันที "ช่วงที่ผมไม่อยู่หมิงเขาไปหาผมที่บ้านบ้างหรือเปล่า" เทียนถาม "ไม่นะครับ" เวกัสตอบ พอรู้ว่าอยู่ดีๆ เพื่อนก็หายไปอย่างไร้เหตุผลเขาก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วงมากว่าเดิมเพราะว่าก่อนหน้าที่เขาจะบินไปญี่ปุ่นครั้งนี้เขาได้นัดรวมตัวกับกลุ่มเพื่อนสนิทเพื่อมากินเลี้ยงสังสรรกันด้วยก่อนเนื่องจากครั้งนี้เขาจะไปนานเป็นพิเศษก็เลยอยากจะดื่มกับเพื่อนสักหน่อย แม้วันนั้นจะไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแต่เขาก็แอบเห็นว่าหมิงมีอาการเงียบผิดปกติแถมตัวเจ้ายังดื่มเยอะมากเป็นพิเศษอีกด้วย ถ้าดูจากสีหน้าก็คือรู้เลยว่าเจ้าเขาต้องมีเรื่องทุกข์ใจอะไรอยู่อย่างแน่นอน "ต้องโทษผมที่ตอนนั้นไม่ถามเขาให้รู้เรื่อง" เทียนพูด พอเกิดเรื่องขึ้นแล้วเทียนก็รู้สึึกผิดมากที่ตอนนั้นเขาปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปเพราะไม่คิดว่ามันจะใหญ่โตจนทำให้เพื่อนของเขาขสดการติดต่อไปแบบนี้ ____________________________________________________ "ไม่อยู่แล้วเหรอครับ" หลังจากที่มาถึงเทียนก็รีบลงมาถามเรื่องหมิงกับพนักงานต้อนรับทันทีแต่คำตอบที่ได้ก็คือหมิงขายห้องนั้นไปแล้วเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน "แน่ใจนะครับว่าขายไปแล้วจริงๆ" เทียนถามย้ำอีกครั้ง "แน่ใจค่ะ คุณหมิงอยู่ที่นี่กับพวกเรามา 4 ปีก่อนที่จะไปยังมาบอกลากันอยู่เลบล ส่วนห้องนั้นก็ขายไปแล้วจริงๆ ลูกบ้านคนใหม่พึ่งย้ายเข้ามาอยู่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองค่ะ" พนักงานตอบ "งั้นพอจะมีเบอร์ติดต่อเขาไหมครับ" เทียนถาม "คุณหมิงเหรอคะ" พนักงานถาม "หมายถึง...คนใหม่ที่เข้ามาอยู่น่ะครับ" เทียนตอบ "มันเป็นข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ดิฉันให้ไม่ได้จริงๆ ค่ะ" พนักงานพูด "นะครับ ผมมีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเขาจริงๆ" เทียนตอบ "ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะ" พนักงานพูดเลยเดินออกมาหาเวกัสที่ยืนรอเขาอยู่ข้างนอก "คุณเทียนออกมาแล้ว แค่นี้ก่อนนะ" เวกัสพูดแล้วก็รีบวางสายทันที "ผมได้ข้อมูลของคุณหมิงมาแล้วครับ" คำพูดของเวกัสทำเอาหมิงกลับมามีแรงฮึดอีกครั้งหลังจากที่เดินคอตกออกมา "คุณรู้แล้วเหรอว่าหมิงอยู่ที่ไหน" เทียนถาม "ครับ" เวกัสตอบ คำตอบของเวกัสทำให้เทียนมีรอยยิ้มอีกครั้ง "ไป รีบไป" เทียนพูดแล้วรีบดันให้เวกัสขึ้นรถเพื่อขับพาเขาไปเจอหมิงทันที ระหว่างทางเวกัสก็เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับหมิงให้เทียนฟังอย่างละเอียดว่า ช่วงประมาณกลางปีที่แล้วแม่ของหมิงป่วยหนักต้องเข้าโรงพยาบาลตลอดทำให้หมดค่ารักษาไปพอสักควรแต่เขาก็ยังผ่านมันไปได้จนเมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนแม่ของหมิงได้เข้ารับการผ่าตัดเส้นเลือดในสมองและหลังจากผ่าตัดเสร็จครั้งนั้น ทำให้หมิงต้องหยุดงานเพื่อดูแลแม่ที่ป่วยจนไม่สามารถทำอะไรได้ด้วยตัวเองสักระยะ แม้จะมีเหตุผลในการลางานแต่ใช่ว่าบริษัทจะเข้าใจเขา สุดท้ายหมิงก็ถูกไล่ออกจากที่ทำงานด้วยเหตุผลที่ว่า "เขาไร้ความรับผิดชอบต่อหน้าที่" และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องยอมขายทุกอย่างทิ้งไปเพื่อนำเงินมาไว้ใช้เป็นทุนในการรักษาแม่ต่อในอนาคต หลังจากเขาทิ้งทุกอย่างไปแล้วเขาก็พาแม่ย้ายจากสมุทรปราการไปอยู่ที่กรุงเทพเพราะมันอยู่ใกล้กับที่ทำงานใหม่ของเขาพอดีและงานใหม่ก็คือเป็นพนักงานในร้านอาหารฟิวชั่นแห่งนึงที่ค่อนข้างใหญ่โตและชื่อชื่อเสียงมากๆ ตอนนี้เทียนเข้าใจแล้วว่าทำไมปาร์ตี้คืนนั้นเมื่อ 3 เดือนก่อนหมิงถึงได้มีอาการแปลกไป จริงๆ ตัวเขารู้อยู่แล้วว่าแม่ของหมิงป่วยหนักเพราะหมิงก็เคยเล่าให้ฟังอยู่บ้างแต่หลังจากที่ไปญี่ปุ่นแล้วเขาก็ไม่รับรู้เรื่องราวของหมิงอีกเลยไม่งั้นเทียนคงไม่ปล่อยให้เพื่อนรักต้องประสบกับปัญหาแบบนี้หรอก และถึงแม้จะบอกว่าหมิงโชคดีได้ทำงานกับร้านอาหารดังๆ แต่เทียนกับไม่เคยรู้เคยได้ยินชื่อหรือจักที่นั่นมาก่อนเลยแต่ก็อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยได้อยู่ที่ไทยด้วยแหละมั้งจึงไม่ค่อยคุ้นชื่อร้านนี้ แต่ไม่ว่ายังไงวันนี้เทียนก็ตั้งใจแล้วว่าจะพาเพื่อนของออกมาจากที่นั่นแล้วให้มาทำงานกับครอบครัวของเขาแทน  เทียน Part... ตอนนี้ผมมายืนอยู่ที่หน้าร้านอาหารที่หมิงทำงานอยู่แล้ว ซึ่งพอมาเห็นเองกับตาตัวเองก็แอบตกใจไม่น้อยที่ร้านมันหรูหราและใหญ่โตมากขนาดนี้ ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปในร้านแห่งนี้ทันที "ว้าว~" ผมอุทานออกมาอย่างประหลาดใจเพราะภายในร้านมันอัศจรรย์ยิ่งกว่าข้างนอกอีก เสียงเพลงคลอเบาๆ กับบรรยากาศสุดโรแมนติกมันช่างดีต่อใจซะเหลือเกินและแม้ที่นี่จะเป็นร้านอาหารแต่มันกับไม่มีกลิ่นอาหารออกมารบกวนโพรงจมูกเลยเพราะที่นี่เต็มไปด้วยกลิ่นอโรามาหอมอ่อนๆ ซึ่งพอได้สูดดมแล้วก็รู้สึกสดชื่นเป็นอย่างมาก ผมก้าวเดินเข้าไปช้าๆ อย่างกับคนที่กำลัังถูกแรงดึงดูดของเวทมนตร์ชักนำ "สวัสดีค่ะคุณลูกค้า ไม่ทราบว่าได้จองไว้หรือเปล่าคะ" หลังจากถูกบรรยากาศในร้านทำให้เคลิ้มไปก็มีพนักงานสาวสวยคนนึงเดินเข้ามาถามผมจนทำให้ผมได้สติ "เอ่อ! เปล่าครับ" ผมตอบ "อ๋อ~ลูกค้ามากี่ท่านคะ" พนักงานถาม สีหน้าของเธอยิ้มแย้มแจ่มใสดูเป็นมิตรสุดๆ "คนเดียวครับ" ผมตอบ "งั้นเชิญลูกค้าทางนี้เลยค่ะ" เธอพูดจบก็ผายมือบอกทางให้ผมเดินตามไป เธอพาผมมายังโต๊ะที่ว่างอยู่แล้วนำเมนูอาหารมาวางไว้ให้ "ขอผมดูเมนูสักครู่นะครับ" ผมพูด "ได้ค่ะ" เธอตอบแล้วก็เดินจากไปซึ่งนั่นเป็นความต้องการของผมอยู่แล้ว ผมพยายามมองไปรอบๆ ร้านแต่ก็ไม่เห็นหมิงเลยไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน "หรือว่าจะอยู่ที่ชั้นสองนะ" ผมพูดแล้วมองไปที่บันไดทางขึ้น ตรงนั้นมีพนักงานเดินขึ้นลงอยู่ตลอดเวลาเพื่อนำอาหารและเครื่องดื่มขึ้นไปเสิร์ฟ ผมมองอยู่สักพักเลยแต่ก็ไม่เห็นวี่แววของหมิงอีกเหมือนเดิม จะว่าไปร้านนี้มีพนักงานเยอะมากนะแค่เฉพาะที่บริการอยู่ที่ชั้นนี้ก็น่าจะประมาณสิบกว่าคนได้แล้วนี่ยังไม่รวมคนที่ดูแลอยู่ข้างบนและพนักงานในห้องครัวอีก ดูถ้าเจ้าของที่นี่จะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ หลังจากนั่งสำรวจไปได้แป๊ปนึงผมก็เรียกพนักงานให้มารับออร์เดอร์ที่โต๊ะแต่ด้วยความที่ผมไม่ได้ตั้งใจมาทานอาหารแต่แรกอยู่แล้วก็เลยจิ้มๆ ไปมั่วๆ 2-3 รายการแล้วก็เพิ่มไวน์แดงมาด้วยอีกขวด  ระหว่างที่รออาหารผมก็ยังคงมองหาหมิงอยู่ตลอดแต่ทันทีที่อาหารถูกนำมาเสิร์ฟกลิ่นของมันก็ตีขึ้นมาที่จมูกจนผมต้องรีบหันกลับมาดู น่าแปลกมากที่ตอนเข้ามาผมเดินผ่านโต๊ะมานังไม่ถ้วยแต่ไม่ได้กลิ่นอาหารจากโต๊ะไหนเลยจนกระทั่งมีอาหารมาวางตรงหน้าผม "ทานให้อร่อยนะคะ" พนักงานพูดแล้วก็เดินจากไป "นี่มันบ้าไปแล้วชัดๆ" ผมมองไปที่อาหารตรงหน้าที่ดูดีจนผมแทบอดใจไม่ไหวแล้ว ตอนนี้ผมขอลืมเรื่องหมิงแล้วจัดการของตรงหน้าก่อนแล้วกัน เพียงแค่ใช้มีดหันลงไปเบาๆ เนื้อตรงหน้าก็ขาดออกจากกัน ผมใช้ส้อมจิ้มมันลงไปแล้วยกขึ้นมาดมกลิ่นใกล้ๆ "หอมมาก~" เพียงแค่ได้ดมกลิ่นน้ำลายในปากก็แตกออกอย่างกับกำลังเร่งเร้าให้ผมกินมันสักทีและแน่นอนผมเองก็ไม่รอช้าอ้าปากรับเนื้อชิ้นนั้นทันที  (ว้าว แบบนี้มันอร่อยที่จู๊ดเยยยยยยย~) นี่แหละเนื้อสเต๊กที่ถูกต้องสำหรับผม รสชาติอร่อยละมุนลิ้นกัดเข้าไปก็มีซอสแตกอยู่ในปากแถมเนื้อยังนุ่มจนแทบไม่ต้องเคี้ยวเลย กลิ่นเครื่องนี่ก็เทศตลบอบอวลจนตีขึ้นจมูก มันช่างเป็นอะไรที่ฟินมากจริงๆ ผมไม่รอช้าซัดอาหารที่เหลือเข้าไปจนหมดอย่างเอร็ดอร่อยในเวลาอันรวดเร็วจากนั้นก็สั่งอาหารมาเพิ่มจนพนักงานต้องเดินมาเสิร์ฟแบบไม่ได้หยุดพักกันเลยทีเดียว 22:45 น. เอิ๊ก~ (เสียงเรอ) "อิ่มจัง" ผมยกมือขึ้นมาลูบท้องเพราะรู้สึกแน่นไปหมดจนลุกไม่ไหวแล้ว "ขออนุญาตค่ะคุณลูกค้า" พนักงานเดินเข้ามาหาผมแล้วพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะ "ครับ" ผมถาม "พอดีร้านของเราจะปิดให้บริการตอน 5 ทุ่ม รบกวนลูกค้าชำระค่าอาหารก่อนได้ไหมคะ" พนักงานพูด "อ่อ ได้ครับ" ผมตอบแล้วล้วงหากระเป๋าสตางค์เพื่อที่จะจ่ายค่าอาหารแต่ไม่ว่าจะล้วงไปตรงไหนก็ไม่เจอกระเป๋าสตางค์เลย "เอ่อ~สักครู่นะครับ" ผมพยายามจับดูตามตัวอีกรอบเพื่อความแน่ใจแต่คำตอบก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือผมไม่เอาพกมา "ขะ ขอโทษนะครับแต่ผมน่าจะลืมกระเป๋าสตางค์ไว้บนรถยังไงช่วยรอสักครู่ได้ไหมครัับเดี๋ยวผมจะรีบวิ่งไปหยิบมาให้เลย" ผมพูด สีหน้าของพนักงานเริ่มเปลี่ยนไปทันที "มาไม้นี้อีกแล้วนะคะคุณลูกค้า" พนักงานตอบ "ครับ" ผมอุทานออกไปด้วยความสงสัย "พวกเราทำงานอยู่ที่นี่เจอเคสกินแล้วหนีมาก็ไม่ใช่น้อยๆ ดิฉันว่าลูกค้าจ่ายเงินมาซะดีๆ เถอะนะคะพวกเราจะได้ไม่ต้องลำบากเรียกคุณตำรวจมา" พนักงานพูดพร้อมกับส่งยิ้มที่ดูไม่เป็นมิตรเท่าไหร่มาให้ผม หลังจากโต้ตอบฉันไปมาพนักงานก็เริ่มพูดจาเป็นกันเองกับผมมาขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้พวกเรายืนเถียงกันอยู่ตรงหน้าเคาน์เตอร์มาสักพักแล้วแต่ก็ดูเหมือนเหตุการณ์จะไม่ได้ดีขึ้นเลย ผมเองก็ไม่ใช่คนใจดีสักเท่าไหร่แต่ครั้งนี้ผมผิดติดที่มาทานอาหารแล้วไม่ได้พกเงินมาด้วยจึงได้ทนพูดกับเขาดีๆ แม้ว่าปกติผมจะไม่ใช่คนแบบนี้เลยก็ตาม "เงินผมอยู่ในรถจริงๆ" ผมพูด "แล้วพวกเราจะเชื่อได้ไงว่าถ้าปล่อยให้คุณออกไปคุณจะไม่หนีไป" เธอตอบ "งั้นคุณก็ให้คนตามผมไปด้วยสิ" ผมพูด "แล้วถ้าคุณมีอาวุธอยู่ในรถพวกเราไม่ตายกันหมดเหรอ" เธอตอบ (โอ๊ย~ชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ) "เอางี้ไหม เดี๋ยวคุณเอานาฬิกาผมไว้พอผมเดินไปเอาเงินมาชำระให้คุณเสร็จคุณค่อยคืนนาฬิกาผม" ผมพูด "เงินค่าอาหารยังไม่มีปัญญาจ่ายเลยจะเอานาฬิกามาอะไรก็ไม่รู้มาเป็นตัวประกัน" เธอตอบ ผมนี่ขึ้นเลยกล้าพูดว่านาฬิกาอะไรก็ไม่รู้ได้ไงว่ะ ผมถกแขนเสื้อขึ้นแล้วยื่นข้อมือไปตรงหน้าเธอเพื่อมห้เธอเห็นชัดๆ ว่านี่มันไม่ใช่นาฬิการาคาถูกๆ เลยนะ "นี่มัน Rolex เชี่ยวนะ" ผมพูด "ของจริงหรือเปล่าล่ะ" เธอถาม "ก็ต้องขิงจริงดิ" ผมตอบ เธอทำหน้าไม่เชื่อแล้วหันไปหัวเราะกับเพื่อนพนักงานของเธอ "จะออกไปเอาเงินที่รถก็ได้แต่ต้องทิ้งบัตรประชาชนไม่ก็มือถือไว้เท่านั้นถึงจะออกไปได้" เธอพูด "ก็ถ้ามีมือถือจะยืนเถียงอยู่ตรงนี้ตั้งนานไหมล่ะส่วนบัตรประชาชนก็อยู่ในกระเป๋าสตางค์นั่นแหละ" ผมตอบ "งั้นจะเอาไง ให้เรียกตำรวจเลยไหม" เธอเท้าเอวถามผม "คุณให้ใครก็ได้เดินไปที่ลานจอดรถบอกคนที่เฝ้ารถอยู่ใครเขาเอาโทรศัพท์และกระเป๋าสตางค์ของผมมาที่นี่" ผมตอบ "ได้" เธอตอบแล้วมองหาพนักงานคนอื่นที่กำลังทำความสะอาดร้านอยู่ใกล้ๆ "เฟิร์ส" เธอพูด "ครับพี่" พนักงานชายอีกคนรีบวางอุปกรณ์แล้ววิ่งมาหาเธอทันที "เดี๋ยวไปที่ลานจอดรถหน่อยนะ ดูสิว่าตรงนั้นมีคนอยู่หรือเปล่า ถ้ามีก็บอกเขาว่าคนชื่อ..." เธอหันหน้ามาหาผมเหมือนเป็นการถามว่าผมชื่ออะไร "เทียน เมธัส สิริยากร" ผมตอบ เธอหลุดขำออกมาแล้วก็หันกลับไปหาพนักงานชายคนนั้น "ชื่อเทียนให้เขามาหาแล้วก็เอาเงินมาจ่ายค่าอาหารให้ด้วย" เธอพูด "ได้ครับพี่" พนักงานชายตอบแล้วก็รีบออกไปทันที "เมธัส สิริยากร ฮึๆๆ" เธอพูดออกมาเบาๆ แล้วก็หัวเราะคิกคักใหญ่เลย (จบพาร์ทเทียน) ในระหว่างที่รอกันอยู่พนักงานสาวคนนึงกลัวว่าทั้งคู่จะมีปัญหากันก็เลยรีบเข้าไปในครัวเพื่อแจ้งให้กับเจ้าของร้านรับรู้ว่าข้างหน้ามีคนทะเลาะกันอยู่ "น้องปูนปั้นค่ะ น้องปูนปั้น" เสียงพนักงานสาวกระโกนถามหาเจ้าของร้านของเธอที่วันนี้วิ่งวุ่นอยู่ในครัวตลอดทั้งคู่ทั้งๆ เเพราะลูกค้าแน่นร้านไปหมดและเขาเองก็เพิ่งจะได้หยุดพักเมื่อไม่กี่นาทีนี้นี่เอง"มีอะไรครับพี่ฝน" ปูนปั้นถาม"พอดีมีลูกค้ามาหลอกทานฟรีอีกแล้วค่ะ" น้ำฝนตอบ"อีกแล้วเหรอครับ...แล้วครั้งนี้ยอดกี่พันล่ะครับ" ปูนปั้นถาม"เห็นพี่เมย์บอกว่าเกือบสามหมื่นเลยค่ะ" น้ำฝนตก"ฮะ!" ปูนปั้นร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจพร้อมกับลุกขึ้นยืนทันที"แล้วเขาไปหรือยังครับ...ได้ขอบัตรประชาชนไว้ไหม...รู้หรือเปล่าว่าเขาชื่ออะไร...มีใครโทรแจ้งตำรวจแล้วหรือยัง...ก่อนหน้านี้ทุกคนทำอะไรกันอยู่ครับทำไมไม่เห็นมีใครมาบอกผมเลยล่ะครับ" ปูนปั้นรัวคำถามออกไปด้วยความตื่นตกใจโดยที่ไม่เว้นช่องไฟให้น้ำฝนได้ตอบเลย"คือเราพยายามขอบัตรประชาชนจากเขาแล้วนะคะแต่ว่าเขาบอกว่ามันอยู่บนรถไม่ได้พกลงมาด้วย อ่อ! แต่เหมือนเขาจะบอกว่าชื่อ เทียน..." ทันทีที่ได้ยินชื่อเทียนหมิงก็หยุดนิ่งทันทีแล้วหันมามองน้ำฝนด้วยความสนใจ"เทียน...อะไรนะ เทียน~" น้ำฝนพยายามจะพูดออกมาแต่ก็พูดไม่ได้ มันเหมือนติดอยู่ที่ปากแต่พูดออกมาไม่ถูกเฉยๆ ตอนนี้ทั้งปูนปั้นและหมิงก็ต่างยืนลุ้นว่าเธอจะพูดว่าอะไรออกมา"อ่อ เทียน เมธัส สักอย่างเนี่ยแหละค่ะ" น้ำฝนพูดจบหมิงก็ถอดถุงมือสำหรับล้างจานออกแล้วรีบเดินผ่านทั้งสองคนออกจากห้องครัวไปเลย ปูนปั้นเห็นหมิงรีบผิ
ทันทีที่เทียนก้าวเข้ามาในบ้านหลังนี้ก็มีบอดี้การ์ดวัยรุ่นคนนึงรีบเดินตรงมาหาเขา "คุณท่านรออยู่ข้างบนครับคุณเทียน" พายุพูด"ทำไมคุณปู่ถึงเรียกให้ฉันมาหาตอนนี้ล่ะ" เทียนถาม"พอดีคุณท่านกำลังจะบินไปฮ่องกงคืนนี้ครับเลยอยากจะพบคุณเทียนก่อน" พายุตอบ"บินตอนเนี่ยนะ" เทียนถาม"อีก 2 ชั่วโมงครับ" พายุตอบ"บอกฉันมาสิว่านี่มันเรื่องอะไรกัน" เทียนถามออกไปด้วยความสงสัยเพราะบรรยากาศในบ้านตอนนี้มันดูตึงผิดปกติ"สายของเรารายงานด่วนเข้ามาครับว่าพบตัวการที่แอบลักลอบขโมยข้อมูลคอนเนคชั่นของเราแล้ว" พายุตอบ"ก็แค่หนอนบ่อนไส้ตัวเดียวคุณปู่ต้องไปจัดการด้วยตัวเองเลยหรอ" เทียนถาม"เหมือนว่า...จะไม่ได้เป็นแค่หนอนบ่อนไส้ธรรมดานะครับ" พายุตอบออกมาอย่างไม่เต็มเสียง เทียนมองไปที่พายุด้วยความสับสนแต่ก็ไม่กล้าถามออกไปเพราะสีหน้าของพายุดูลำบากใจที่จะตอบคำถามเขาพอสมควร"คุณเทียนครับ" จู่ๆ ก็ก็มีเสียงทุ้มต่ำของชายคนนึงเอ่ยเรียกเทียนจากบนบันได พอเขาเงยหน้าขึ้นไปพบกับวิสุทธิ์ชายวัย 50 ปีที่มีหน้าที่ดูแลข้างกายของคุณซ่ง"คุณท่านรออยู่รีบขึ้นไปเถอะครับ" วิสุทธิ์พูด"รู้แล้ว" เทียนตอบแล้วก็รีบวิ่งขึ้นไปพบคุณซ่งปู่ของเขาทัน
ปูนปั้นเดินเข้ามาในบ้านแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟาอย่างหมดแรง วันนี้เป็นอีกวันที่ร้านของเขาวุ่นวายมากไม่มีเวลาปลีกตัวออกมาดูหน้าร้านเลย จริงๆ ปูนปั้นไม่ได้มีหน้าที่ทำครัวหรอกแต่เพราะหลายวันมานี้ที่ร้านโดนคอมเพลนมาเยอะเรื่องอาหารออกช้าและไม่ได้คุณภาพ เขาเลยต้องเขาไปตรวจสอบและช่วยหยิบจับอะไรนิดหน่อยเพื่อให้อาหารออกเสิร์ฟได้ตลอดจะให้เขาโทษพนักงานครัวที่ทำช้าก็ไม่ได้เพราะพนักงานชุดนี้นอกจทกเชฟกุ๊กไก่แล้วก็ล้วนแต่เป็นพนักงานใหม่ทั้งหมด เลยอาจจะทำให้พวกเขายังไม่คุ้นชินกับเมนูและอุปกรณ์ของที่นี่อยู่บ้าง"แบบนี้ไม่ดีแน่ๆ คงต้องวางแผนใหม่แล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วหลับตาลงช้าๆ เขารู้สึกเหนื่อยและท้อมากๆ ที่ต้องมารับผิดชอบควบคุมดูแลร้านนี้ในวัยเพียง 23 ปีแถมยังไม่มีคนมาคอยให้คำปรึกษาเขาอีกทำให้เขาต้องลงมือทำจริงพร้อมกับเรียนรู้ทุกอย่างไปพร้อมกัน พอมันเกิดข้อผิดพลาดเขาก็แทบจะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไม่ได้เลย ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~4 เดือนก่อน"สรุปแล้วพี่สาวผมเป็นอะไรครับหมอ" ปูนปั้นถามออกไปด้วยความตื่นตระหนก"ทางเราพบว่ามีความผิดปกติจริงๆ คนไข้มีอาการเจ็บแน่นที่หน้าอก รู้สึกเหนื่อยง่ายอ่อนเพลีย ปวดร้าวบ
ตอนนี้ภายในห้องรับรองบ้านใหญ่พวกบรรดาลูกหลานก็ต่างพากันมารวมตัวด้วยกันเต็มไปหมด มีทั้งคนร้องไห้ คนโวยวายเสียงดังเอ็ดตะโรไปหมดจนกระทั่งครอบครัวของเทียนเดินเข้ามา ทุกคนก็เงียบและหันมาสนใจพวกเขาทั้งที"พี่หล่ง นี่มันเรื่องอะไรกันน่ะพี่" เอกรีบเดินเข้าถามด้วยความสงสัย"นั่นสิพี่ มีคนบอกว่าพ่อตายแล้วมันไม่จริงใช่ไหมพี่" มุกดาเข้ามาเขย่าตัวพี่ชายอย่างคนขาดสติจนเจสันต้องเข้ามาช่วยประคองมุกดาให้ถอยออก"ปล่อยนะ! ฉันคุยกับพี่ชายอยู่แกไม่เห็นหรือไง" มุกดาหันไปตวาดเจสันแล้วพลักเขาออกทันที"พี่หล่ง...ฮือ...พ่อยังไม่ตายใช่ไหมพี่...อึก...บอกฉันสิว่าบอดี้การ์ดพวกนี้มันรับสารมาผิดอ่ะ...ฮื้อ...ฮือ...พี่หล่ง" มุกดาพยายามเต้นเอาคำตอบจากพี่ชายทั้งที่ในใจเธอก็รู้ดีว่าคนของบ้านใหญ่ไม่มีทางเผยแผ่ข่าวสารที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน"นพ" คุณหล่งหันไปหาน้องเขยที่นั่งปลอบใจลูกสาวอยู่แล้วเรียกเขาด้วยน้ำเสียงดุดัน"ครับ" นพลุกขึ้นแล้วตอบทันที"มาพาเมียแกไปนั่งทีไป" คุณหล่งพูด"ครับ" นพตอบแล้วรีบเข้ามาพยุงมุกดาไปนั่งพักอยู่ข้างๆ ลูกสาว จากนั้นครอบครองของคุณหล่งก็เดินไปนั่งประจำที่เพื่อรอผู้นำหญิงทั้งสองออกมาพูดคุยเรื่องนี
เทียนนั่งมองโรงศพของปู่เขาทุกวันตั้งแต่ที่ศพมาถึงประเทศไทยจนพรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วที่เขาจะได้อยู่กับปู่เป็นวันสุดท้าย ยิ่งมองเรื่องราวความทรงจำในอดีตของเขากับปู่ก็ยิ่งผุดขึ้นมาในหัวเขา "ทำไมปู่ถึงทิ้งไปผมแบบนี้ล่ะครับ...ไหนปู่บอกว่าจะกลับมาฟังคำตอบจากผมไม่ใช่เหรอ" เทียนพูดออกมาทั้งน้ำตา ตอนนี้ทุกคนกลับไปพักหมดแล้วเหลือเพียงเขาคนเดียวที่ยังนั่งอยู่เป็นเพื่อนปู่ตรงนี้"พรุ่งนี้พวกเราก็ต้องแยกจากกันแล้ว ฮึก~งั้นผมขอตอบคำถามปู่ตรงนี้เลยแล้วกันนะครับ...ฮือ...ผมทำไม่ได้ครับปู่...ฮึก...ฮือ...ผมทำไม่ได้ ผมแต่งงานกับผู้หญิงไม่ได้ครับ...ฮื้อ...ฮือ...ผมขอโทษ ผมทำให้ปู่ผิดหวังอีกแล้ว...ฮื้อ...ฮือ...ฮือ...ฮื้อ...ฮึก...ฮือ" เทียนนั่งร้องไห้จนตัวโยนด้วยความเสียใจ เขารู้สึกผิดมากที่ไม่สามารถทำตามความต้องการของปู่ได้แถมการที่ปู่จะจากไปเขายังได้ติดค้างคำตอบของปู่อีกเวกัสเดินเข้ามาดูเทียนที่นั่งร้องไห้ปานคนจะขาดใจ เขารู้ว่าเทียนกับคุณซ่งรักและสนิทกันมากแค่ไหนและก็รู้ว่าคงไม่มีคำปลอบโยนใดที่จะทำให้หัวใจของเทียนรู้สึกดีขึ้น เวกัสเดินเข้าไปแล้วย่อตัวนั่งลงข้างๆ เทียน เขาใช้มือทั้งสองข้างโอบไหล่ของเ
หลังจากแยกย้ายกันกลับบ้านดารินก็เข้ามาทำแผลให้ลูกชายด้วยความเป็นห่วง"เจ็บไหมลูก" ดารินถาม"นิดหน่อยครับแม่" เทียนตอบ"พี่เทียน ไอ้เมฆมันทำแบบนั้นจริงๆ เหรอพี่" ธูปถาม"คุณปู่บอกพี่แบบนั้นอ่ะ" เทียนตอบ"นี่พ่อไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนเงียบๆ เรียบร้อยดูไร้พิษสงอย่างไอ้เจ้าเมฆมันจะกล้าทำอะไรแบบนี้" หล่งพูดออกมาด้วยความหงุดหงิดเพราะเมื่อก่อนเขาเองก็รักและเอ็นดูเมฆเหมือนกับลูกชายคนนึงของตัวเองเหมือนกัน"ตอนผมได้ยินครั้งแรกก็ตกใจไม่ต่างจากทุกคนหรอกครับ" เทียนตอบ"แล้วนี่แกรู้เรื่องใหญ่โตนี้ก็ยังจะปิดบังพ่อกับแม่อีกนะ" หล่งหันมาดุเทียนที่ปิดบังเรื่องของเมฆกับตัวเองมาตั้งหลายวัน"คุณเทียนครับ พวกเราได้เอกสารทั้งหมดมาแล้วครับ" เจสันกับเวกัสเดินเข้ามาพร้อมแฟ้มและสมุดบัญชีจำนวนมาก"เอาเข้าไปวางที่ห้องทำงานของฉันเลย" ดารินตอบ"ครับ" เจสันและเวกัสตอบก่อนจะเดินเอาของไปไว้ให้เจ้านาย"แต่แม่ครับ~" เทียนกำลังจะพูดแต่ดารินยื่นมือไปจับมือของลูกชายไว้ก่อน"เดี๋ยวแม่ช่วยเทียนเอง" ดารินพูด เทียนค่อยๆ ยิ้มออกมา"ครับ" เทียนตอบหลังจากมื้อเย็นเทียนและดารินก็ช่วยกับจัดการตรวจสอบบัญชีและเอกสารทั้งหมดด้วยกันโดยมี
"ช้าๆ ระวังเท้าด้วยสิ" ปูนปั้นพพูด เขาประคองเทียนเข้ามาในห้องนอนของตัวเองแล้วทิ้งคนตัวใหญ่ลงเตียงอย่างแรงแฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก ปูนปั้นหอบหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยเพราะน้ำหนักตัวของเทียนไม่ใช่เล่นๆ เลย ปูนปั้นมองดูเทียนแล้วยกมือขึ้นมาเกาหัวด้วยความสับสน"หางานให้ตัวเองแท้ๆ เลยไอ้ปูนปั้นเอ้ย~" ปูนปั้นพูดแล้วหันหลังจะเดินกลับไปแต่เทียนก็คว้าข้อมือของเขาไว้ก่อนจนปูนปั้นต้องหันกลับมาหาเขา"อย่าทิ้งผมไป...อย่าทิ้งผมไปเลยนะครับปู่" เทียนพูดเจ้อออกมาเบาๆ ปูนปั้นแกะมือของเขาออกแล้วมองเขาด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย"ปู่ที่ไหนล่ะ นี่ปูนปั้นจ้า ชิส์!" พูดจบปูนปั้นก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเขาไปอาบน้ำทันที ผลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วปูนปั้นก็เดินเช็คผมออกมา เขามองไปที่เทียนอีกครั้งด้วยความรู้สึกแปลกๆ อาจเป็นเพราะปกติไม่เคยมีใครเข้ามาอยู่ในห้องนอนด้วยกันกับเขามันก็เลยทำให้เขาทำตัวไม่ถูก ปูนปั้นเดินออกจากห้องไปหยิบโถใส่น้ำกับผ้าเช็คตัวผืนเล็กๆ เข้ามาวางไว้ที่ตู้ข้างเตียงก่อนจะนั่งลงปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตของเทียนออก ตอนที่เทียนล้มทับตัวเขาตอนนั้นเขาก็รู้สึกได้แล้วว่าอุณภูมิร่างกายของเทียนสูงผิดปกติแบบหน้าตาก็อิดโรยกว
เมื่อมาถึงร้านเทียนก็รีบเดินไปที่รถของเขาทันที"ซี๊ด!..." เขาร้องออกมาทันทีที่ใช้มือแตะหลังคารถพร้อมกับรีบชักมือกลับเพราะตอนนี้ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนนอนตากแดดมาหลายชั่วโมงแล้ว"โธ่~ตัวร้อนจี๋เลยลูกไว้กลับบ้ทนพ่อเปิดแอร์ให้นอนฉ่ำๆ เลยนะ" เทียนพูดกับรถเบาๆ ปูนปั้นเดินตามมาทีหลังก็ถึงกับส่ายหัวให้ความโอเว่อร์ของเทียนทันที เขาเดินล้วงหากุญแจเปิดร้านในกระเป๋าจนมาหยุดอยู่หน้าประตูร้านทันที"เจอแล้ว" ปูนปั้นพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมามองร้านของตัวเองแต่เขาก็ต้องตกใจ"เฮ้ย!" ทันทีที่เทียนได้ยินเสียงของปูนปั้นเขาก็รีบหันไปหาปูนปั้นด้วยความเป็นห่วงแต่ภาพที่เขาเห็นตรงหน้าคือร้านของปูนปั้นถูกพ่นสีสเปรย์เขียนคำหยาบคายไว้เต็มไปหมด ตอนนี้ปูนปั้นเองก็ช็อคไม่ต่างกันเงยหน้ามองแล้วอ่านคำด้าท่อพวกนี้ทั้งหมดด้วยความโมโหและสับสน เทียนเดินเข้าไปหาปูนปั้นใกล้ๆ เพื่อดูปฏิกิริยาของเขาว่าโอเคหรือเปล่า"รู้ไหมว่าใครทำ" เทียนถาม ปูนปั้นส่ายหน้าตอบว่าไม่รู้ "เข้าไปตรวจดูข้างในก่อนเถอะว่ามีอะไรหายไปไหม" เทียนพูด ปูนปั้นหันมามองหน้าเขาด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจที่เขายังอยู่เป็นเพื่อน จากนั้นเขาก็ไขกุญแจเปิดร้านทันทีซึ่งสภาพภายใ
"คุณใจเย็นๆ ก่อนนะคะ" ดารินพยายามบอกให้สามีของเธอควบคุมสติอารมณ์เอาไว้ "ไอ้เจสันมึงไปบ้านใหญ่รายงานเรื่องนี้กับคุณแม่และแม่เล็กแต่มึงต้องจำไว้นะว่าห้ามให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาดยกเว้นพวกคุณแม่เท่านั้น""ได้ครับเดี๋ยวผมจะบอกกับพวกคุณผู้หญิงเอง" เจสันตอบแล้วก็เดินออกไป"ส่วนมึงไอ้เวกัส มึงไปตามสืบมาว่าบอดี้การ์ดอีกสองคนที่หายไปในคืนนี้พวกมันหายไปได้ยังไง ถ้ามันยังไม่ตายก็เอาพวกมันกลับมาให้ได้" "ครับคุณหล่ง" หลังจากรับคำสั่งเวกัสก็รีบออกไปทำงานของเขาทันทีเช่นกัน"ผมจะไม่ยอมให้ตาเทียนเจ็บตัวฟรีแน่" หล่งพูดกับดารินด้วยสีหน้าโกรธแค้นสุดๆ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ตอนนนี้หน้าห้องพัก VIP ของโรงพยาบาลที่ถูกจองเอาไว้สามห้องติดกันล้วนมีบอดี้การ์ดรูปร่างบึกบึนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูจำนวนหลายคนเลย ซึ่งก่อนหน้านี้เจสันได้สั่งให้คนตรวจค้นห้องพักทั้งสามห้องให้เรียบร้อยและยืนเฝ้าไว้ตลอดห้ามให้ใครมาเข้ามาวางกำดักหรือทำอะไรไม่ดีก่อนที่คนเจ็บจะถูกย้ายมาและแน่นอนว่าทุกครั้งที่มีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข้ามาปูเตียงหรือนำของอะไรมาวางคนข
ปัง!"โอ๊ย" เสียงบอดี้การ์ดคนนึงของเทียนร้องขึ้นมาเนื่องจากเขาถูกกระสุนยิงเข้าที่แขนข้างซ้ายขณะกำลังพยายามช่วยยิงสะกัดคนร้ายที่ต้องการจะเอาชีวิตของเทียนอยู่แต่อาการเจ็บที่แขนทำให้เขาไม่สามารถประคองรถต่อไปได้จนทำให้รถล้มลงอย่างแรง บอดี้การ์ดอีกคนก็เห็นแล้วแต่ไม่สามารถหยุดรถช่วยได้เพราะอันตรายเกินไปแถมเขาเองยังต้องปกป้องเทียนอีก"โอ๊ย! เอาไงดีว่ะ เอาไงดี...ฮือ" พายุเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดผ่านกระจกจนทำให้เขาสติแตกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่"พายุ ไอ้พายุใจเย็นๆ" เทียนตะโกนใส่พายุเสียงดังเนื่องจากเจ้าตัวลนไปหมดแล้ว"ผมกลัวอ่ะคุณเทียน...ฮือ...ทำไงดีอ่ะครับ" พายุเริ่มงอแงออกมาตามประสาเด็กที่ไม่เคยผ่านเรื่องอันตรายและความเสี่ยงมาก่อน"มึงไปขับ! อย่าเบาคันเร่ง" "แม่งเอ้ย!" เทียนรู้สึกหงุดหงิดที่พายุไม่ได้ดั่งใจ เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วมองไปที่ข้างหลังแป๊ปนึงก่อนจะรีบก้มหัวลงมาเหมือนเดิมเพราะมีกระสุนพุ่งมาอย่างแรงจนกระจกด้านหลังแตกกระจายซึ่งมันกระเด็นโดนหน้าเขาด้วยจนเกิดแผล"เฮ้ย!" พายุตกใจสะดุ้งต้องเผลอปล่อยพวงมาลัย"ไอ้พายุ!"
"เอ่อ~ตาเทียน" เอกแสร้งยิ้มแล้วหันไปหาเทียน"ครับ" เทียตอบ"อามีเรื่องงานที่อยากจะปรึกษาหน่อยน่ะ ออกไปคุยกันข้างนอกสักแป๊ปได้ไหม" เอกพูด"ตอนนี้เหรอครับ" เทียนถาม"ใช่" เอกตอบ"แหม่~คุณเอกค่ะนี้มันเวลาไหนแล้วเรื่องงานก็พักบ้างเถอะค่ะ" หญิงป่านนภาพูด"ใช่ครับ ไว้พรุ่งนี้ก็ได้ผมไม่รีบหรอก" เทียนตอบเพราะเขาไม่อยากออกไปกับใครตามลำพังในช่วงเวลาที่ไม่ปลอดภัยแบบนี้แถมพายุก็ยังไม่กลับมา"พอดีพรุ่งนี้อากับอาเอกต้องไปธุระที่ต่างจังหวัดกันหลายวันก็เลยกลัวจะไม่มีเวลาน่ะจ๊ะ" เหมยหลินพูด"ครับ" เทียนจำใจต้องตอบตกลงไปก่อนเพราะกลัวคนอื่นจะสงสัยหาว่าสิริยากรมีปัญหาภายใน เทียนลุกขึ้นเดินตามเอกออกไปหาที่หลบมุมคุยกัน ผ่านไปไม่ถึงนาทีพายุก็เดินเข้ามาพร้อมกับมองหาเทียนไปทั่วแต่ก็ไม่เจอเลยเดินเข้าไปใกล้ๆ บิ๊กเพื่อสอบถามแต่ด้วยท่าทางยุกยิกๆ เหมือนเด็กน้อยของเขามันทำเอาเหมยหลินรำคาญไม่น้อยจนต้องหันไปถลึงตาใส่ด้วยความไม่พอใจ พายุรีบก้มหัวขอโทษเหมยหลินทันทีเธอจึงได้ยอมหันกลับไปแล้วไม่เอาเรื่อง"พี่บิ๊กๆ พี่เห็นคุณเทียนบ้างไหมอ่ะ"
"ทุกคนรออยู่แถวนี้นะถ้ามีอะไรให้รีบรายงานทันที" พายุออกคำสั่งให้บอดี้การ์ดทุกคนรออยู่บริเวณหน้างานและที่รถเพื่อดูความเรียบร้อยและป้องกันผู้แระสงค์แอบทำอะไรกับรถของเทียนหลังจากนั้นเขาก็รีบเดินตามเทียนเข้าไปในงาน"โอ้โห~คุณครับ...แน่ใจนะครับว่านี้แค่งานเลี้ยงต้อนรับลูกชายคุณไพบูลย์เฉยๆ ทำไมจัดใหญ่โตแถมเชิญแขกมามากมายขนาดนี้" พายุแอบกระซิบถามเทียนเบาๆ ด้วยความสงสันเพราะสเกลงานมันใหญ่มากจริงๆ แถมบุคคลที่มาร่วมงานก็มีแต่ตัวท็อปของแต่ละวงการทั้งนั้น"คุณไพบูลย์เป็นคนใหญ่คนโต มีอำนาจทางด้านการเงินไม่น้อยใครๆ ก็อยากผูกมิตรทั้งนั้น" เทียนตอบ"แล้วแบบนี้พวกเราควรจะเข้าไปหาคุณไพบูลย์ก่อนเลยไหมครับ" พายุถาม"ไม่ต้องหรอก พวกเรามาเป็นมารยาทไม่ได้มาเพื่อผูกสัมพันธ์การค้ากับใครและฉันก็เชื่อว่าต่อให้เราไม่เข้าหาใครมันก็จะมีคนอยากเข้าหาเราอยู่ดี" เทียนตอบแล้วกำลังจะเดินออกจากห้องโถงไปหาโต๊ะนั่งแต่จู่ๆ ก็มีใครบางคนมีเรียกเขาไว้ซะงั้น"คุณเทียนครับ" เสียงของผู้ชายคนนั้นทำให้เทียนหันไปกลับหาเขาทันทีด้วยความรู้สึกคุ้นหู"พี่บิ๊ก" พายุเรียกคนตรงหน้าด้ว
"พี่ขอโทษนะ" หมิงรู้สึกผิดมากๆ เพราะจริงๆ ปูนปั้นเองก็เพิ่งมาดูแลร้านอาหารนี้ได้ไม่เท่าไหร่ ปูนปั้นยังมีเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวอีกเยอะเพราะทุกอย่างมันใหม่ไปหมดสำหรับปูนปั้น ทุกครั้งที่พนักงานกลับบ้านกันหมดแล้วหมิงก็จะเห็นมีแต่ปูนปั้นเนี่ยแหละที่ยังอยู่ที่ร้านนั่งหน้าเครียดตรวจดูทุกอย่างเองคนเดียวทั้งหมดก่อนถึงจะกลับบ้าน ถึงจะบอกว่าเขาควรทำแบบนั้นในฐานะเจ้าของกิจการแต่มันก็หนักเกินไปจริงๆ สำหรับเด็กวัยรุ่นอย่างเขาเพราะนอกจากปัญหาที่ร้านจะมากมายก็ยังมีปัญหาพนักงานอีก ตอนที่หมิงมาทำงานแรกๆ เขามักจะได้ยินพนักงานแอบนินทาปูนปั้นอยู่บ่อยๆ พนักงานหลายคนไม่อต็มใจทำงานกับปูนปั้นแต่ที่ยังทนอยู่ก็เพราะที่ร้านของปูนปั้นให้เงินเดือนพนักงานสูงกว่าที่อื่นดังนั้นทุกคนจึงจำเป็นต้องอยู่ต่อเพื่อปากท้องของตัวเองแต่การทำงานก็ไม่ได้คุณภาพตามที่สมควรจะเป็น หมิงรู้สึกเห็นใจปูนปั้นมาตลอดเพราะปูนปั้นดีกับเขามากดังนั้นเขาเลยตั้งใจช่วยงานที่ร้านอย่างสุดความสามารถเพื่อตอบแทนที่ปูนปั้นเห็นใจรับเขาเข้ามาอยู่ที่ร้านแต่วันนี้เขากลับนำภัยมาให้ปูนปั้นซะงั้นและอีกเรื่องที่หมิงเป็นห่วงก็คือการที่ปูนปั้นต้องอยู่ท
"น่าหงุดหงิดจริงๆ" เทียนขับรถกลับบ้านด้วยความน้อยใจ "ที่ฉันทำไปเพราะตัวเองหรือยังไง...ที่ทำไปก็เพราะหวังดีทั้งนั้น ถ้าไม่ชอบก็น่าจะบอกกันดีๆ สิทำไมต้องใส่อารมณ์ขนาดนั้นด้วย" เทียนนั่งบ่นคนเดียวตลอดทางอย่างกับคนบ้า เห็นใครขับรถปาดหรือขับรถไม่ดีก็ตะโกนด่าอยู่คนเดียวในรถตลอด ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ "ลั้ลลา ลั้ลลา~" พายุเดินเข้ามาในบ้านอย่างอารมณ์ดีเพราะว่าภารกิจแรกของเขาผ่านพ้นไปด้วยดีแม้จะไม่ใช่ฝีมือของเขาทั้งหมดก็เถอะ เจสันเห็นพายุเดินเข้ามบ้านมาก็รีบเดินมาหาเขาทันที "พายุ" เจสันเรียก "ครับ" พายุหยุดนิ่งแล้วยืนตรงตอบเขาอย่างกับทหารเจอครูฝึกอย่างงั้นแหละ "คุณเทียนสั่งไว้ว่าถ้านายมาแล้วให้ขึ้นไปหาที่ห้องทันที" เจสันพูด "รับทราบครับ" พายุตอบแล้วตะเบ๊ะใส่เจสันไปหนึ่งทีก่อนจะรีบเดินขึ้นบันไดไปหาเทียนที่ห้องนอนตามคคำสั่ง เจสันมองตามพายุด้วยสีหน้างงๆ "นี่มันคิดว่าตัวเองอยู่ในคค่ายทหารหรือไงว่ะ" เจสันพูดแล้วส่่ายหัวให้กับความเด๋อด๋าของพายุ ก๊อกๆๆ
ตอนนี้พายุมพาคนร้ายมานึงอยู่ที่เก้าอี้แล้วดึงผ้าคลุมสีดำออก "ต้องปิดปากเขาไว้ด้วยเหรอ" ปูนปั้นถามเพราะเห็นว่ามีเทปปิดปากของเขาไว้อยู่ "ตลอดทางมานี้ไอ้นี่มันร้องโวยวายตลอดเลยครับ พวกผมรำคาญก็เลยเอาเทปแปะไว้ก่อน" พายุตอบ ปูนปั้นถอนห่ยใจออกมาแล้วเดินเข้าไปแกะเทปออกให้เขา "พวกคุณบ้าไปแล้วเหรอ! ประเทศนี้มันมีกฎหมายนะเว้ย คอยดูเถอะผมจะไปแจ้งตำรวจมาจับพวกคุณให้หมดเลย" ผู้ชายคนนั้นต่อว่าทุกคนออกมาอย่างเสียงดังโดยไม่มีความสำนึกอะไรเลย "คุณทำแบบนั้นทำไม" ปูนปั้นถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง เขาโกรธมากนะยิ่งรู้ว่าคนที่อยู่ตรวหน้าเป็นคนมำให้ร้านของเขาเสียหายเขายิ่งรู้สึกโกรธแต่ด้วยความที่เขาอยากเจรจาสอบถามเหตุผลกับคนตรงนั้นเขาเลยต้องควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ก่อน "ผมทำอะไร" ชายคนนั้นตอบตาใสเหมือนกับตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์ "คุณมาพ่นสีที่ร้านผมทำไม" ปูนปั้นถาม สีหน้าของเขาดูตกใจเล็กน้อยก่อนที่จะหลบตาปูนปั้น "ผมสีอะไร~ ผมไม่ได้" คนร้ายยังคงปฏิเสธทุกอย่างอย่างหน้าตาเฉย "ไม่ได้ทำบ้าอะไร คิดว
"พวกเราได้ภาพคนร้ายมาจากกล้องวงจรปิดน่ะครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "เป็นไปไม่ได้ คุณเทียนบอกผมมาแล้วว่ากล้องวงจรปิดที่ร้านมันเสียแล้วแบบนี้พวกคุณจะไปเอามาได้ยังไง" พายุพูด "พวกผมก็ไปเอามาจากบ้านของคนในระแวกไงครับ" บอดี้การ์ดคนที่หนึ่งตอบ "ใช่ครับ กล้องที่ร้านเสียพวกเราเลยไปไล่ขอคลิปจากกล้องวงจรปิดจากชาวบ้านแถวนี้แทนแล้วก็ให้ค่าตอบแทนพวกเขาไปนิดหน่อย ลองเอาภาพจากกล้องวงจรปิดของทุกบ้านมารวมกันก็พบเห็นชายต้องสงสัยที่ใส่ชุดดำทั้งตัวเดินออกมาจากทางร้าน Happy Time ช่วงเวลาประมาณตี 3 กว่าๆ จากนั้นเขาก็เดินเอาถุงอะไรบ้างอย่างไปทิ้งที่หน้าตึกร้างที่อยู่ห่างไปอีก 3 ซอยพอพวกเราไปตรวจสอบดูก็พบว่าในนั้นมีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับพ่นสี ถุงมือ มีดและกระป๋องสเปรย์อีกจำนวนมากเลยครับอุปกรณ์" บอดี้การ์ดคนที่สองตอบ หน้าของพายุดูอึ้งไปทันทีเขาไม่คิดว่าทุกคนจะฉลาดกันขนาดนี้เพราะตัวเขาเองคิดไม่ถึงเลยจริงๆ ถ้าสองคนนี้ไม่พบหลักฐานอะไรป่านนี้เขาก็ยังคงเดินไล่ถามชาวบ้านต่อไปเรื่อยๆ จนหมดวันแน่ "เหรอ~ แล้วรู้หรือเปล่าว่าเขาเป็นใคร"
"คุณเทียนมีเรื่องอะไรอยากจะคุยกับผมหรอครับ" พายุถาม"ฉันมีคนรู้จักอยู่คนนึงเขาเป็นเจ้าร้านที่นี่" เทียนตอบแล้วยื่นโทรศัพท์ให้พายุดูซึ่งมันเป็นรูปหน้าร้านของปูนปั้นที่มีทั้งตอนปกติและตอนที่เกิดปัญหา"ร้าน Happy Time หรอครับ" พายุพูด"นายรู้จักเหรอ" เทียนถาม"ครับ ผมเคยไปหาเพื่อนแถวนั้นอยู่ 2-3 ครั้งแต่ไม่เคยเข้าไปทานหรอกนะครับ" พายุตอบ"ตอนนี้ที่นี่กำลังถูกคุกคาม มีคนเอาสีสเปรย์ไปพ่นที่หน้าร้านนี้จนดูไม่ได้ ฉันอยากให้นายไปสืบมาหน่อยว่าใครเป็นคนทำแต่นายห้ามบอกเรื่องนี้ให้คนที่บ้านรู้เด็ดขาด เข้าใจไหม" เทียนพูด"ได้ครับคุณเทียน" พายุตอบ"นายสามารถเอาคนไปใช้ได้ 2-3 คนแต่ต้องกำชับพวกนั้นให้ดีว่าอย่าแพร่งพรายเรื่องนี้ไม่งั้นคนที่จะเดือดร้อนก็คือนายเอง" เทียนพูด"ครับ" พายุตอบ"นี่เป็นงานแรกที่ฉันมอบให้นายทำ...อย่าทำให้ฉันผิดหวังนะ" เทียนพูด"ผมจะทำให้เต็มที่ครับ...เอ่อ~ว่าแต่คุณเทียนมีเวลากำหนดให้ผมไหมครับ" พายุถาม "เร็วที่สุด" เทียนตอบ "ครับ" พายุตอบ"กลับไปพักผ่อนได้แล้วไปพรุ่งนี้จะได้มีแรงไปทำงานให้ฉัน" เทียนพูด"ได้เลยครับคุณเทียน รับรองพรุ่งนี้งานเดินผ่านฉลุยแน่นอน" พายุตอบแล้วยกนิ้ว