บทที่ 4 ครอบครัวเดียวกันต้องช่วยเหลือกัน
"พ่อกับแม่ไปทำงานก่อน เพิ่งจะหายไข้ อย่าออกมาตากลมข้างนอกเลย" จางหยวนบอกลูกสาวที่ออกมายืนส่งทั้งสองที่หน้าบ้าน
"พ่อคะ... หนูหายดีแล้ว ไม่มีไข้มาหลายวันแล้วนะคะ" เยว่หรูบอกพ่อพร้อมกับหัวเราะที่พ่อดูเป็นห่วงเธอมากเกินไป
"เดี๋ยวไข้มันกลับมาอีก เข้าบ้านได้แล้ว" ลู่หลินก็เป็นอีกคนที่บอกลูกสาวให้รีบเข้าไปอยู่ในบ้าน
"เข้าใจแล้วค่ะ" เยว่หรูบอกพร้อมกับโบกมือลาพ่อกับแม่... แล้วค่อยเดินเข้าบ้านตามที่ทั้งสองคนต้องการ
เยว่หรูนั่งลงบนเตียงเตาแล้วมองรอบ ๆ ห้องก่อนถอนหายใจออกมา มาอยู่ที่นี่เกือบสองอาทิตย์แล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะได้กลับโลกตัวเอง เคยอ่านแต่นิยายที่ตัวเอกข้ามมาแล้วมีมิติ บางเรื่องก็มีกำไลวิเศษ บางเรื่องมีปานที่จริง ๆ แล้วคือมิติจิต แต่เยว่หรูคนนี้แก้ผ้าสำรวจตัวเองจนทั่ว... หาปานหรือรอยสักไม่เจอสักที่!!
อยากมีมิติ หรือไม่ก็ให้มิติฟาร์มแบบที่คนเขานิยมกัน ซูเปอร์มาร์เก็ตก็ดี เล็ก ๆ ก็ได้ เธอจะไม่ติเลย ให้มีมาเถอะ... เธอจะเรียนรู้การใช้งานเอง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเธอคือนางเอกปลอม ๆ เท่านั้น เป็นไปได้ยากที่เธอจะมี... สิ่งของพวกนั้นคงเป็นนางเอกหรือคนที่สำคัญที่เป็นคนได้ไป
"เฮ้อ" ในหัวก็คิด แต่มือก็เก็บของและทำความสะอาดห้อง พับผ้าให้เรียบร้อย ทั้งที่แทบไม่มีผ้าให้พับ... แต่ก็ต้องเก็บทำ
ถึงจะบ่นไปเรื่อย แต่ก็ไม่ได้นั่งรอในสิ่งที่ไม่รู้จะมีไหม เลยลงมือทำในสิ่งของที่จับต้องได้นี่แหละ... ก่อนอื่นก็ทำความสะอาดบ้านด้วยสองมือน้อย ๆ นี่แหละ!!
ถึงพ่อกับแม่จะบอกไม่ต้องทำอะไร แต่เยว่หรูไม่ทำไม่ได้ อยู่ด้วยกันมันก็ต้องช่วยกันถึงจะถูก แล้วอีกอย่าง เยว่หรูอายุ 14 ปี ซึ่งคนยุคนี้ออกไปทำงานในหน่วยคอมมูนแล้ว ถึงจะได้แต้มน้อยกว่าคนอื่น แต่ก็ยังมีคนรุ่นราวคราวเดียวกับเธอไปทำงานกันทั้งนั้น
แต่เพราะทั้งพ่อและแม่รักเยว่หรูมาก เลยไม่ให้ทำงานอะไรเลย และเยว่หรูคนเดิมก็ไม่ได้อยากทำเช่นกัน ถึงได้กลายเป็นคนที่แทบทำอะไรไม่เป็นเลย...
อยากจะเขย่าตัวเยว่หรูแรง ๆ แล้วตบหัวหนัก ๆ หลาย ๆ ที เพื่อเรียกสติ แต่พอนึกขึ้นได้ว่า เออ... ตัวเองมาเข้าร่างยัยหนูเยว่หรู!!! นอกจากชื่อเหมือนกันแล้วไม่รู้ว่ามีอะไรเหมือนกันอีกไหม... เลยทำใจตบไม่ลง
เมื่อเยว่หรูทำความสะอาดในบ้านเรียบร้อย ทั้งในห้องพ่อแม่และห้องตัวเอง รวมถึงเก็บข้าวของในครัวที่แทบไม่มีอะไรเลยจนเรียบร้อยทั้งหมด แล้วเดินไปเปิดดูน้ำในตุ่มข้างบ้านก่อนจะถอนหายใจออก
"พ่อบ้านนี่ดีจริง ๆ " เยว่หรูพึมพำออกมาเบา ๆ เพราะรู้ว่าพ่อจะต้องตื่นแต่เช้าไปตักน้ำมาไว้ให้ใช้ ไม่เคยให้แม่หรือเธอทำเลย
เมื่อทำงานในบ้านเรียบร้อยแล้วก็มาเก็บใบไม้ใบหญ้าที่ลานหน้าบ้าน พื้นที่บ้านมีไม่มากนัก แต่เธอก็คิดจะปลูกผักไว้กินเอง... แต่อาจต้องให้พ่อช่วยทำกระถางแบบคอนโด จะได้ประหยัดพื้นที่ได้ด้วย
ทุกอย่างได้แต่คิดและวางแผนไว้ในหัวเพียงเท่านั้น เพราะไม่รู้ว่าการซื้อเมล็ดผักหรือธัญพืชต้องใช้ตั๋วหรือคูปองไหม ตอนอ่านหนังสือมันไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องพวกนี้เลย
ถึงแม้นิยายจะบอกว่ายุค 60 แต่นิยายส่วนมากจะแต่งแบบอ้างอิงเพียงเท่านั้นหรือไม่ก็เป็นโลกคู่ขนานที่คล้าย ๆ กัน อาจมีหรือไม่มีก็ได้ นี่แหละคือปัญหาว่าโลกในนิยายเรื่องนี้อ้างอิงหรือไม่อ้างอิงอะไรบ้าง ความทรงจำของร่างเดิมก็ไม่มี หากมีก็คงพอที่จะรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่บ้าง
เมื่อเก็บทำความสะอาดทั้งบ้านเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูเลยจะทำอาหารเพื่อรอพ่อกับแม่ของเธอ ในเมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว... ก็เดินเข้าครัวด้วยใจที่ห่อเหี่ยว เพราะรู้ดีว่าในครัวมันไม่มีอะไรที่พอจะทำอาหารดี ๆ ได้เลย ผักริมรั้วไม่มีให้เก็บกิน มีแต่ธัญพืชแบบหยาบ แล้วแม่นางน้อยเยว่หรูคนเก่านี่ก็ทำอาหารไม่เป็นสักอย่างด้วย
เยว่หรูใช้ธัญพืชแบบหยาบต้มแล้วใส่เกลือเพียงเท่านั้น เพราะไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลย ชามยังมีแค่ไม่กี่ใบ ต้องบอกว่าทุกอย่างในบ้านหลังนี้มีแค่พอใช้จริง ๆ บางอย่างอาจไม่พอใช้ด้วยซ้ำ...
แทบไม่มีอะไรแต่เลี้ยงลูกแบบคุณหนู จะโทษคนเป็นพ่อเป็นแม่ทั้งหมดก็ไม่ได้ คงเพราะอยากเติมเต็มสิ่งที่ขาดให้ลูก... พอโดนตามใจก็ยิ่งเอาแต่ใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เยว่หรูวัยเด็กสาวแล้ว เป็นเยว่หรูวัยยี่สิบแปดเข้ามาอยู่แทน มันคงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"เยว่หรู ทำทำไมลูก ทำไมไม่รอพ่อกับแม่ก่อน" เมื่อพ่อแม่กลับมาตอนกลางวันก็เห็นลานบ้านสะอาดตา
"พ่อคะ แม่คะ กินโจ๊กกัน" เยว่หรูเรียกพ่อกับแม่ให้กินโจ๊กที่ไม่ใช่โจ๊ก แต่เรียกให้มันดูดีเข้าไว้เท่านั้นเอง
"ลูกต้มหมดเลยเหรอ" ลู่หลินตกใจที่เห็นหม้อต้มธัญพืชที่ลูกเรียกว่าโจ๊ก และยังตกใจที่ลูกทำเองด้วย
"คุณกินกับลูกเลย ผมไม่หิว" จางหยวนรู้ดีว่าธัญพืชนี้คือชุดสุดท้ายที่มีเหลือในบ้าน หากเขากินตอนนี้ ตอนเย็นจะไม่มีอาหารให้ลูกกับภรรยาได้กิน
"พ่อคะ เรามีคูปองอาหารบ้างไหมคะ" เยว่หรูรู้ว่าที่พ่อไม่ยอมกินอาหารเพราะจะเก็บไว้ให้เธอกับแม่กินมื้อเย็น พ่อคงรู้อยู่แล้วว่าอาหารในครัวไม่มีเหลือแล้ว
"ถึงมีคูปอง... แต่เงินเราไม่มีเหลือแล้ว ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแม่จะไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้าน" ลู่หลินมองลูกสาวพร้อมกับลูบหัวเบา ๆ ยิ่งเห็นลูกสาวรู้ความ ยิ่งรู้สึกผิดที่ลูกต้องอยู่อย่างลำบาก
"พ่อกับแม่กินก่อนเลยค่ะ... เดี๋ยวหนูมา" เยว่หรูบอกให้ทั้งสองกินโจ๊กในชามก่อนที่จะวิ่งหายเข้าไปในห้องของตัวเองทันที
ถึงยากจนแต่เพราะพ่อแม่รักเลยมีห้องนอนเป็นของตัวเอง เยว่หรูเลยสามารถซ่อนสิ่งสำคัญไว้ได้ เธอมุดเข้าไปที่ใต้กระดานไม้แล้วหยิบเศษไม้ที่อยู่ใกล้ ๆ ขุดพื้นดินบริเวณที่มีร่องรอยการขุดดินอยู่
"พ่อคะ... แม่คะ" เยว่หรูเรียกพ่อแม่ที่ก้มกินโจ๊กกันอย่างเงียบ ๆ ให้มองสิ่งที่เธอกำลังยื่นให้
"เยว่หรู เอาออกมาทำไมลูก" จางหยวนเอ่ยถามบุตรสาวทันทีที่เงยหน้ามาเห็นกระปุกใส่เงินที่ลูกสาวหวงนักหวงหนา
"เราจะเอาเงินในนี้ไปซื้ออาหารค่ะ" เยว่หรูยื่นกระปุกไม้ให้พ่อ เพื่อจะให้พ่อเปิดมัน จะได้เอาเงินไปซื้ออาหารได้
"แต่มันคือกระปุกเงินที่ลูกรักและหวงแหนมาก" ลู่หลินมองหน้าลูกสาวอย่างไม่เชื่อสายตามากนัก เพราะสิ่งที่ลูกยื่นมาให้นั้นคือสิ่งที่พ่อแท้ ๆ ทิ้งไว้ให้ ลูกสาวของเธอนั้นรักและหวงแหนมันมาก ๆ
"พ่อของลูกให้ไว้... เก็บไว้ดี ๆ พ่อจะเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง ไม่ต้องห่วง" จางหยวนไม่กล้าที่จะเอาสิ่งนี้จากลูกสาว เขาคือหัวหน้าครอบครัว เขาต้องรับผิดชอบเรื่องนี้
"พ่อกับแม่มีเงินไม่พอใช้จนถึงสิ้นเดือน เพราะเอาเงินไปจ่ายค่าหมอค่ายาให้หนูไม่ใช่เหรอคะ รับไปเถอะค่ะ หากเราไม่มีกิน เราก็จะไม่มีแรงทำงาน อย่างไรหนูก็ต้องให้พ่อเอาเงินออกมาอยู่ดี เพราะอีกไม่กี่วันโรงเรียนก็เปิดแล้ว หนูต้องซื้อของหลายอย่างด้วย" เยว่หรูหาข้ออ้างร้อยแปดเพื่อที่จะให้พ่อและแม่เอาเงินไปใช้... ในเมื่ออยู่ด้วยกัน... เป็นครอบครัวเดียวกัน... ก็ต้องช่วยเหลือกันไม่ใช่เหรอ...
บทที่ 5 ป้าข้างบ้านทั้งหลายนับเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ คิดถึงบ้าน คิดถึงคลินิก คิดถึงอากง อาม่าทั้งหลายที่เป็นคนไข้ของเธอ คิดถึงพี่เหมยผู้ช่วยที่แสนดีที่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง เยว่หรูคนนี้อยากบอกพี่เหมยเหลือเกินว่า... อย่าอ่านนิยายก่อนนอน ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น ลุ้นไปลุ้นมาได้เข้ามาอยู่ในนิยายเองเลย... และที่เสียดายมากกว่าอย่างอื่นคือ สิ่งของที่มือลั่นซื้อตอน 8 เดือน 8 ก็ยังไม่ได้เห็นเลยว่าตัวเองมือลั่นซื้ออะไรมาบ้าง ไหนจะของที่สั่งพี่เหมยซื้ออีก มาอยู่ที่แบบนี้น่าจะมีมิติมาให้บ้าง... หรือว่านักเขียนลืมเขียนให้เยว่หรูคนนี้...เยว่หรูทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว เดินไปดูกระถางผักที่แขวนอยู่... ที่พ่อทำให้เธอลองปลูกผักจำนวนห้ากระถาง และสิ่งที่เธอลองปลูกคือผักบุ้ง เพราะเป็นผักที่ปลูกง่ายโตเร็ว จะได้มีผักกินเร็ว ๆ และสถานที่ปลูกผักของเธอก็ในครัวที่มีหลังคาคลุมเพียงเท่านั้นเมื่อรดน้ำเรียบร้อยแล้ว เธอก็เข้าไปต้มน้ำขิงและใส่น้ำตาลกรวดนิดหนึ่ง สิ่งนี้เธอจะเอาไปส่งให้พ่อกับแม่เธอที่ฝ่ายผลิต ตอนนี้ในบ้านพอที่จะมีเครื่องปรุงบ้างแล้ว จากเงินในกระปุกที่เธอบอกให้พ่อผ่ามันออกมาแล้วนำไปซื้
บทที่ 6 ครอบครัวของพ่อเลี้ยงเยว่หรูมองบริเวณรอบ ๆ ใช้ความคิดว่าเธอจะสามารถทำงานหาเงินอะไรได้บ้าง จะเอาอาชีพเดิมมาใช้ก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องศึกษาและหาทางก่อน และยังมีพ่อแม่ที่รักจนไม่ให้ทำงานอีกด้วย ปัญหานี้ก็ต้องแก้ด้วยเช่นกัน..."ตาย ๆ รู้จักมาช่วยงานพ่อแม่แล้วเหรอเยว่หรู" กำลังถอนหญ้าไปด้วยใช้ความคิดไปด้วย ก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ แหลม ๆ ดังอยู่ไม่ไกล"แม่อย่าพูดแบบนั้น" จางหยวนพูดเสียงเบา"ทำไม!! มันวิเศษมาจากไหน แกก็แค่พ่อเลี้ยง โง่ดักดาน มันก็แค่ลูกติดเมีย แค่มันเอาข้าวมาส่งหน่อยนี่ออกรับแทนทุกอย่าง เป็นขี้ข้ามันไปเถอะ ไอ้ลูกเนรคุณ!! " ประโยคนี้ไม่ใช่เบา ๆ คนที่อยู่ทั่วบริเวณนั้นได้ยินกันหมด ต่างพากันลอบมองว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไหมเยว่หรูหันไปมอง แต่ไม่ได้ปริปากพูด เพราะตอนนี้มีสายตาหลายคู่มองมาที่ครอบครัวของเธอ หากพูดหรือแสดงท่าทางอะไรไป อาจทำให้พ่อแม่ของเธอเดือดร้อน เธอจึงได้แต่เงียบและก้มหน้าถอนหญ้าต่ออย่างไม่สนใจ"ดูสายตาลูกเลี้ยงของแก ดูที่มันมองฉันสิ!! " เมื่อเห็นว่านังเด็กกาฝากมันไม่มีท่าทีจะตอบโต้เหมือนแต่เก่าก็เริ่มจะโวยวายอีกรอบ หากเป็นแต่ก่อน ทุกครั้งที่พูดแบบนี้
บทที่ 7 วันแรกของการไปเรียนวันนี้คือวันเปิดเรียนวันแรก โรงเรียนที่เยว่หรูเรียนตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ระยะทางระหว่างหมู่บ้านกับโรงเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ต้องบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ตัวเมืองก็ว่าได้ และโชคดีที่ว่าสถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้อยู่แถวชานเมือง เยว่หรูสามารถเดินเท้าไปเรียนได้ แต่เธอก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ไปทันเข้าเรียนเยว่หรูอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนที่ทางโรงเรียนมีให้ ซึ่งอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างรวมอยู่ในค่าเทอมทั้งหมดแล้ว พ่อเป็นคนเดินไปเอาชุดนักเรียนมาให้ก่อนเปิดเรียนเพียงไม่กี่วัน หากไม่บอกเรื่องเปิดเรียน เยว่หรูก็ไม่รู้เลย ต้องบอกว่านิยายที่เธออ่านนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดนั้น บทนางเอกปลอม ๆ ของเธอจะมีบทบาทมากขึ้นก็ตอนที่เธอย้ายไปอยู่กับพ่อที่แท้จริงนั่นแหละช่วงเวลาที่เยว่หรูอยู่กับแม่นั้นจึงไม่มีรายละเอียดมากนัก บอกแค่อยู่อย่างยากลำบาก เยว่หรูเป็นคนที่ต้องการและโหยหาความรัก และคิดว่าการที่แม่แต่งงานใหม่จะทำให้แม่รักเธอน้อยลง จะโทษเยว่หรูทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครพูดให้เธอรู้และเข้าใจ แล้วเด็กที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย แต่ต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก มันเลยง่ายที
บทที่ 8 นี่คงเป็นข้อดีของการเป็นนางเอกเยว่หรูนั่งรอเวลา... แต่สายตาของเธอก็มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปด้วย เธอมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง เห็นหลังคาน่าจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่เธอมองไม่เห็นทั้งหมดเพราะมีกำแพงกั้นอยู่ หากในยุคนี้มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด นั่นหมายถึงสถานที่แห่งนี้น่าจะสำคัญหรือไม่ก็บ้านตระกูลใหญ่ ๆ ส่วนมากคนที่นี่ทำกำแพงบ้านด้วยไม้กันทั้งนั้น แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นดินหรือไม่ก็อิฐบล็อก ทุกอย่างที่บอกนั้นเดาล้วน ๆไม่มีอะไรแน่นอนในนิยายเรื่องนี้เลย เดาอีกอย่างกลับเป็นอีกอย่าง อยู่มาเดือนกว่า เรียนรู้มาพอสมควร และจะให้หมอแผนจีนไปมองว่าบ้านนี่ทำด้วยอิฐหรือดินจบเลย เพราะเคยลองแล้ว บ้านทำด้วยอิฐแต่เอาดินมาทาเหมือนฉาบปูนไว้ก็มี อย่าเดาเกี่ยวกับอะไรในนิยายเรื่องนี้เลย..."นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวหน้าห้องก่อน ครูจะได้ตรวจนับและแจกสมุดหนังสือ" ชายสูงวัยที่แทนตัวเองว่าครู เรียกนักเรียนที่อยู่ในห้องทั้งหมดให้ออกไปหน้าห้องเยว่หรูลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าผ้าสะพายบ่าเดินออกไปตามที่ครูเรียก กระเป๋าที่เธอมีนั้นน่าจะมาจากพ่อที่แท้จริงซื้อให้ มันยังดูดีถึงแม้มันจะเก่าแล้ว แล้วเยว่หรูคนเก่าเก็บไว้ในตู้เสื
บทที่ 9 มองหาลู่ทาง"ครูคะ... หนูมีเรื่องอยากถามและขอคำแนะนำจากครู" เยว่หรูถามขึ้น... ตอนที่ครูเริ่มปล่อยนักเรียนให้ออกจากห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนไปเบิกอุปกรณ์การเรียนและไปรับอาหารกลางวัน เนื่องจากวันนี้ไม่ได้มีการเรียนการสอน เลยปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านเร็ว หากเปรียบเทียบกับโลกเดิม... เหมือนมาฟังครูแนะแนว ซื้ออุปกรณ์การเรียน จ่ายค่าเทอม เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเยว่หรู" ครูถามกลับพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู น้อยนักที่จะมีนักเรียนหญิงมาเรียน และที่สำคัญ เขามองเยว่หรูแล้ว... ทำให้นึกถึงลูกสาวของเขาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... เลยทำให้เอ็นดูเยว่หรูพอสมควร"คือหนูไม่รู้ว่าชั้นเรียนนี้ต้องทำอะไรบ้าง... แบ่งเวลาแบบไหน แล้วถ้าหนูอยากรู้เรื่องการเมือง การเงิน การปกครอง ข้อห้าม ข้อบังคับต่าง ๆ หนูสามารถหาคำตอบได้จากที่ไหนคะ มีหนังสือให้หนูอ่านไหมคะ" เมื่อครูเปิดโอกาสให้ถาม... เยว่หรูก็ไม่รอช้า หากอยากลืมตาอ้าปากได้เร็ว อย่างแรกที่ต้องมีคือข้อมูล สิ่งไหนที่พวกเขาห้ามทำ ผิดกฎหรืออะไรยังไง... จะได้รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างในนิยายเรื่องนี้ที่เธอเข้ามาอยู่ อ้
บทที่ 10 ทุกอย่างคือการลงทุนเยว่หรูมาเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้เรียนรู้แนวทางที่เธอจะเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณของที่นี่ จะต้องเรียนจบอะไร แล้วไปต่อที่ไหน มันดีตรงที่ว่าในนิยายเรื่องนี้สามารถสอบเทียบได้ ไม่ต้องเรียนตรงตามเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดก็ได้ แค่สอบผ่านระดับตามที่ทางโรงเรียนกำหนดก็พอ การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน สามารถสอบเทียบได้ ทุกวันก่อนกลับบ้าน เยว่หรูจะหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลับไปด้วย อาหารที่ได้มาก็คืออาหารที่เธอใช้คูปองที่คุณครู หมิงเว่ย ให้มาและนำไปยื่นที่โรงอาหาร เธอก็ได้ปิ่นโตใส่อาหารหนึ่งเถากลับบ้าน ในปิ่นโตจะมีข้าวและกับข้าวหนึ่งอย่าง บางวันอาจมีผลไม้เพิ่มให้หนึ่งอย่าง แต่ไม่ได้มีทุกวัน อาหารที่ได้ไม่ได้เยอะมากนัก แต่มันสามารถทำให้ครอบครัวของเธอประหยัดขึ้นและมีอาหารกินเพิ่มขึ้น พอเช้าวันต่อมาค่อยเอาปิ่นโตเปล่ามาส่งที่โรงอาหาร เยว่หรูทำแบบนี้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนแล้วเยว่หรูเริ่มปรับตัวได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต วางแผนเพื่อที่จะเรียนในด้านที่ตัวเองถนัด วางแผนเรื่องช่วยเหลือครอบครัวเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้นต
บทที่ 11 ลงทุนเพื่อหวังผลกำไรเพียะ!! เมื่อหลิวเจียอิงไม่สามารถยั้งอารมณ์กรุ่นโกรธได้ก็ลงมือตบตีทันที"มึงอย่าอยู่เลยอีนังกาฝาก เลวทั้งแม่ทั้งลูก!! สารเลวทั้งครอบครัว!! " นางหลิวไม่สนใจสิ่งใด ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่แค่คนงาน ยังมีกลุ่มคุณครูของเยว่หรูเดินมาด้วยเมื่อทุกคนเห็นภาพตรงหน้า ต่างวิ่งเข้ามาช่วยแยกนางหลิวออกจากเยว่หรูทันที เยว่หรูโดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครก็ไม่รู้เพราะมันชุลมุนวุ่นวายไปหมด "เจ็บไหมลูก" เสียงสั่นเครือของมารดาสอบถาม พร้อมกับจับลูกหันซ้ายหันขวาตรวจดูว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง"เจ็บ... ข้าวเราหกหมดเลย" เยว่หรูตอบพร้อมกับเม้มปากแน่น... แล้วชี้นิ้วไปทางปิ่นโตที่นอนแอ้งแม้งที่พื้น อาหารกลางวันของเธอกระจัดกระจายเต็มพื้น"ช่างมันลูก เยว่หรูเจ็บตรงไหนบ้าง" จางหยวนและภรรยาคือคนที่วิ่งมาดึงตัวลูกสาวออกมาตั้งแต่แรก จางหยวนผลักแม่เลี้ยงออกไปให้ห่างจากลูกสาวของเขาอย่างไม่สนใจหากเป็นแต่ก่อนเขาก็ยังพอที่จะพูดจาและไว้หน้าอยู่บ้าง ถึงจะไม่ชอบ แต่เห็นแก่พ่อของเขาเลยไม่สนใจแม่เลี้ยงมากนัก แต่ครั้งนี้ เขาเห็นแม่เลี้ยงทำร้ายลูกสาวต่อหน้าต่อตา ทั้งที่
บทที่ 12 ผลกำไรที่ได้รับเยว่หรูรดน้ำผักอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าข้างหนึ่งจะบวมเป่งจากการถูกยัยป้าข้างบ้านตบ ไม่สิ... ป้าข้างบ้านไม่กล้าขนาดนี้ ส่วนมากแค่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นมากกว่า บางทีก็มีประโยชน์ เหมือนมีกล้องวงจรปิดประจำบ้านให้ด้วย แขกไปใครมาสามารถรู้หมด ไม่ต้องเสียเงินติดตั้งด้วย แถมรายงานผลรวดเร็วทันใจอีกต่างหากเมื่อรดน้ำผักเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เดินเก็บใบไม้แห้งทั้งหลายมาโยนใส่หลุมไว้ทำปุ๋ยใบไม้แห้ง ทำงานไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี... ไม่ว่าเสียงร้องจะเหิน สำเนียงจะเพี้ยนแค่ไหนก็ยังร้องอย่างอารมณ์ดี...การลงทุนของเยว่หรูนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทุกคนในหมู่บ้านเข้าข้างเธอเพียงแค่เห็นยัยป้านั่นด่าทอบ่อย ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่เธอไม่ตอบโต้ไม่พูดไม่เถียง เพื่อทำให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ยัยป้าทำ แต่พอเจอวันที่เธอเอาคืน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการยั่วยุให้ยัยป้าโดดลงมาทำร้ายเธอเลยทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่ยัยป้าพูดถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่หากไม่ทำแบบนั้นเธอจะเอาอะไรไปสู้ ตบตีไม่มีทางชนะเพราะตัวเธอเล็กนิดเดียว จากที่ใช้สมองอันน้อยนิดคิดก็มีแต่เรื่องน
บทที่ 53 ตอนพิเศษ"หนิงหนิงต้องเดินตามตา เข้าใจไหมครับ" จางหยวนบอกหลานสาวสุดน่ารักของเขา ที่วันนี้แต่งตัวมาพร้อมเก็บใบชา มีตะกร้าใบเล็กสะพายอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทำงานเป็นอย่างมาก"คุณตาเชื่อใจหนิงหนิงได้เลยค่ะ" หานเผยหนิงวัยห้าขวบที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนงานเก็บใบชาของคุณตาก็รับปากอย่างแข็งขัน"ยายว่ารอพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่าไหม" ลู่หลินที่มองหลานสาวก็อดเอ็นดูในความน่ารักไม่ได้ หลานสาวของเธอนั้นถอดแบบแม่มาแทบทั้งหมด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้จากคนเป็นพ่อ นั่นยิ่งทำให้หลานสาวของเธอน่ารักน่ามองมากกว่าเดิม"ไม่ได้ค่ะคุณยาย หากพี่ใหญ่พี่รองมา หนิงหนิงก็สู้ไม่ได้" หนิงหนิงต้องเก็บได้เยอะกว่า งานนี้หนิงหนิงต้องชนะ!!"หากแม่มาเจอ โดนดุอย่าหาว่ายายไม่เตือน" ลู่หลินแกล้งขู่หลานสาวตัวน้อยที่ดูจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ"ไม่ค่ะคุณยาย วันนี้คุณแม่มีงานที่โรงพยาบาล และตอนบ่ายคุณพ่อจะรับไปโรงงานค่ะ หนิงหนิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ" หนิงหนิงรีบบอกคุณยายทันที เธอจำได้ ก้นเธอไม่เจ็บแน่นอนเพราะคุณแม่ไม่อยู่"ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย" จางหยวนผู้ที่ตามใจหลานมากกว่าตามใจลูก มีหรือที่จะขัดใจหนิงหนิงตัวน้อยได้ เจอหลานออดอ้อนนิ
บทที่ 52 บทส่งท้าย ครอบครัววันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากเคยนับวันว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง กลายเป็นว่าเลิกนับวันเวลาแล้ว ตอนนี้ที่นับคืออายุของลูก ๆ ของเธอที่กำลังโต ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่ายุ่งกับการทำงานและการเลี้ยงลูก ยังดีที่พ่อกับแม่ของเธอมาช่วยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าเธอกับสามีไม่น่าจะเลี้ยงแฝดสามได้ และด้วยความที่แทบไม่มีเวลาพัก สามีของเธอบอกเลยว่า... พอแล้ว... มีสามคนก็พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเข็ดที่ลูกซนหรือว่ายังไงเยว่หรูทำงานที่โรงพยาบาลและทำงานที่บ้านด้วย ที่ตอนนี้ขยับขยายให้เป็นโรงงานขนาดเล็กผลิตยาสมุนไพรส่งทางสาธารณสุข โดยมีสามีของเธอเป็นคนดูแลตรงนี้ ส่วนในเรื่องของโรงงานตระกูลหานนั้นก็จัดแบ่งให้คนสนิทมาช่วยงาน แต่เขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่อง ดีที่ได้สามีของพี่เหมยมาช่วยงาน ทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งยากมากนักในส่วนเรื่องของพระเอกที่เยว่หรูกลัวนั้น ก็ยังได้ข่าวเขาบ้างบางครั้งจากอาจารย์หม่า หรือบางทีเขาก็มาหาสามีเธอ แต่ก็ยังไม่เห็นจะแต่งงานสักที เยว่หรูกับพี่เหมยลุ้นอยู่ว่าคนไหนคือนางเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นนางเอกเลยในส
บทที่ 51 วันที่รอคอย"คุณหมอคะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ" ลู่จิวหรือพี่เหมยเดินเข้ามาให้กำลังใจคุณหมอถึงหน้าห้องคลอดเลยทีเดียว"พี่เหมย... หมอกลัว" เยว่หรูบอกไปตามตรง เนื่องจากเธอท้องแฝด การคลอดเลยต้องผ่าคลอด และคนที่ติดต่อหมอต่างชาติให้มาทำคลอดให้เธอนั้นก็คืออาจารย์หม่านั่นเอง "อย่างน้อยก็ยังสามารถผ่าคลอดได้" ลู่จิวรู้ดีว่าคุณหมอกังวลเป็นอย่างมากเพราะทางการแพทย์ในสมัยนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่ายุคที่จากมา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่พร้อม ยังดีที่อาจารย์หม่าคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเธอจะกังวลหนักมากกว่านี้แล้ว"แล้วพี่มาอยู่นี่ใครดูลูกชาย อย่าบอกนะว่าไปทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกชายพี่ยังไม่สามเดือนเลยนะ" เยว่หรูถามหาหลานชายที่มีอายุเพียงสองเดือนกว่าพี่เหมยคลอดลูกในวันที่เยว่หรูจบการศึกษา ซึ่งได้ดั่งใจที่สามีพี่เหมยอยากได้ นั่นคือลูกชายตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ พี่ห่าวซวนนั้นหลงลูกมาก บางวันต้องหอบพาลูกไปทำงานที่โรงงานด้วย ตอนนี้พี่ห่าวซวนคือคนที่เข้าไปดูแลโรงงานของตระกูลหานแทนสามีของเยว่หรู เนื่องจากสามีของเยว่หรูต้องคอยดูแลเธอและดูแลโรงงานผลิตยาสมุนไพรส่งสาธารณสุขด้วย ทุกคนเลยต้องแบ่งงานกันทำ"สามีจะรออยู่ตรงนี้ ไม่
บทที่ 50 เรียนจบวันนี้คือวันที่ทางสมาพันธ์จะมอบใบประกาศสำเร็จการศึกษาให้แก่เยว่หรู ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะตอนที่อาจารย์หม่าเคยแจ้งนั้นบอกว่าหลังกลับจากค่ายแรงงานประมาณสามเดือน แต่นี่เพิ่งจะสองเดือนก็มีหนังสือรับรองออกมาแล้ว จึงทำให้วันนี้ครอบครัวเยว่หรูทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สมาพันธ์วันนี้แม่ของเยว่หรูอยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลือง ทำให้ขับผิวขาว ๆ ของแม่ดูสวยดูดีจนพ่อนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนพ่อเลี้ยงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขากระบอก รองเท้าหนังอย่างดี ทุกอย่างที่ใส่มานั้นเป็นเยว่หรูจัดเตรียมไว้ให้ น้อยคนนักที่จะได้ใส่แบบนี้ ยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงนั้นแทบไม่กล้าเดินไปไหนเลยทีเดียวส่วนสามีของเยว่หรูนั้นไม่ต้องจัดให้ เขาก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีอยู่แล้ว วันนี้อาจารย์หมิงเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งเยว่หรูนับถืออาจารย์หมิงเว่ยมาก เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือตั้งแต่ที่เธอยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนักส่วนพี่สาวหลิงฟางก็มีเพียงจดหมายส่งหากันเท่านั้น เพราะพี่สาวหลิงฟางย้ายไปอยู่เมืองอื่น เยว่หรูทำได้เพียงส่งยาสมุนไพรและสิ่งของไปให้ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย ต้องบอกว่าเยว่หรูตอบแทนทุกค
บทที่ 49 จุดไต้ตำตอเยว่หรูอยู่ค่ายจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามีไม่ได้ตามมาอย่างที่เคยบอกไว้ เยว่หรูคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องงานไม่เรียบร้อย ซึ่งมันดี... เพราะเยว่หรูไม่อยากให้เขาตามมาสักเท่าไหร่"ทำเหมือนคนนอนไม่พอเลยนะเยว่หรู" อาจารย์หม่าถือชามอาหารมานั่งข้าง ๆ ลูกศิษย์"เมื่อคืนหนูฝันค่ะ เลยทำให้ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ" เยว่หรูบอกไปตามความจริง"หากวันนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำอะไรมากเข้าใจไหม" วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนรู้แล้ว"แล้วเรื่องที่อาจารย์รักษาคุณโจวละคะ ยังต้องทำต่อเนื่องไหม" เยว่หรูถามเรื่องการบำบัดคนที่เครียดสะสมอย่างพระเอก ในตอนแรกอาจารย์บอกให้เธอลองรักษาด้วยตัวเอง แต่เธอไม่อยากทำก็อ้างว่าโน่นนี่นั่นไม่ค่อยสะดวกมากนัก ซึ่งอาจารย์หม่าก็ไม่ว่าอะไร"เยว่เยว่" เสียงเรียกดังมาจากทางประตู ทำให้เยว่หรูต้องหันไปมองทันที"อาจารย์บอกแล้ว เขามาแน่... ไม่ช้าก็เร็ว" อาจารย์หม่าบอกลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังนั่งกลอกตาไปมา"พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะคะ" ความหมายของเธอชัดเจนคือ ...จะมาทำไม..."ไม่เจอกันตั้งหลายวัน พูดแบบนี้กับสามีได
บทที่ 48 เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเยว่หรูเรียนรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากจะมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล พอไม่สมดุลก็นำพาไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่าย เยว่หรูทำงานร่วมกับอาจารย์หม่าและมีหมอเท้าเปล่าที่คอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ "เยว่หรูไปพักก่อนก็ได้" อาจารย์ที่รับปากครอบครัวของลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองรับปากแล้ว เพราะเยว่หรูนั้นทำงานทุกอย่าง ช่วยทุกคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ ทำงานหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเสียอีกทั้งที่ตัวเองท้องอยู่"ยังทำไหวค่ะอาจารย์ ไม่ได้เหนื่อยอะไร" เยว่หรูบอกไปตามความจริง ความรู้ทั้งนั้น เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย "ทำเท่าที่ไหว เข้าใจไหม" หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วรับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอนเยว่หรูทำงานจนเรียบร้อยทั้งหมด พอถึงเวลาที่เธอเองออกมานั่งพักผ่อนมองดูผู้คนที่อยู่ในค่าย มีทั้งทหารและยังมีนักโทษที่มาใช้แรงงานกำลังทยอยกลับค่ายกัน กลุ่มคนชุดนี้จะถูกตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้ ต้องถือว่าค่ายแห่งนี้ถูกดูแลอย่างนี้ ไม่ได้กดขี่มากนัก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นนักโทษ ต้องบอกว่าสถานที่กักกันหรือค่ายแรงงานจะแบ่งแยกนักโทษ "เป็นยังไงบ้างคุณหมอ" เสียงเรียกถามทำให้เยว่หร
บทที่ 47 พบเจอพระเอกผ่านมาหนึ่งคืนแล้วที่เยว่หรูมาอยู่ที่ค่ายแรงงานแห่งนี้ หลังจากที่รวมตัวกันเมื่อวาน เพื่อไปทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำจุด ในตอนแรกเยว่หรูนึกว่าจะได้เจอกับพระเอกของนิยายเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยู่เลยไม่ได้เจอกัน แต่เยว่หรูรู้ดีว่ายังไงก็หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน"เยว่หรู เดี๋ยวคอยตามอาจารย์มานะ" อาจารย์หม่า ผู้มีลูกศิษย์เป็นของตัวเองเพียงไม่กี่คน เขาเลยอยากดูแลและสอนด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่น ๆ จะมีอาจารย์ท่านอื่นช่วยดูแลเช่นกันเยว่หรูเดินตามอาจารย์ไปพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนรวมเธอด้วยก็เป็นห้าคน ซึ่งกลุ่มเธอมีเธอเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เข้าเรียนในห้องเรียนเหมือนคนอื่น ดีที่ว่าทุกคนนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นทำงานด้วยกันลำบากแน่ ๆ กลุ่มของเยว่หรูนั้นได้เดินดูงานก่อน เพราะที่ค่ายแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจรักษาอยู่แล้ว เหมือนการเรียนรู้ก่อนที่จะเข้าไปตรวจจริง แต่ละคนจะได้รับมอบหมายว่าควรไปประจำอยู่จุดไหน ทุกคนได้รับมอบหมายจนหมด เหลือเยว่หรูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังเดินตามอาจารย์หม่าเข้าไปที่พักด้านใน ซึ่งแยกออกจากสถานที่อื่น ลางสังหรณ์บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ค
บทที่ 46 ออกค่ายตั้งแต่วันที่บอกกับสามีเรื่องที่เธอท้อง ผ่านมาได้เกือบสามเดือนแล้ว ตอนนี้เยว่หรูท้องได้เกือบสี่เดือนแล้ว แต่ด้วยว่าท้องแรกยังมองเห็นไม่ชัดมากนัก หากใส่เสื้อผ้าปกปิดก็ไม่สามารถมองออกว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ดีที่ว่าเธอไม่มีอาการแพ้ท้องเลย มีเพียงสามีของเธอเท่านั้นที่กินอาหารไม่ได้ พอกินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมา และยังคงห่วงเธอมากกว่าตัวเองเสียอีก ทั้งที่เธอนั้นแข็งแรง กินอาหารได้ทุกอย่าง หากว่าเขาไม่มีแรงไปส่งเธอทำงานก็ต้องให้พ่อเป็นคนมารับไปส่ง ต้องบอกว่าทั้งสองคนพ่อตากับลูกเขยนั้นเห่อมาก คาดว่าพอคลอดมาแล้วน่าจะแย่งกันอย่างแน่นอนในส่วนของพี่เหมยที่ตอนนี้ท้องโตมาก เพราะพี่เหมยท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว และที่น่ายินดีคือสามีของพี่เหมยกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่กว่าจะได้คุยกันก็ร้องไห้กอดกันทั้งคู่ แต่เท่าที่ดู สามีพี่เหมยก็ดูจะรักและเอาใจใส่ดูแลพี่เหมยเป็นอย่างมาก มันเลยทำให้เธอรู้สึกดีไปด้วย"ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก" ลู่หลินเข้ามากอดลูกสาวพร้อมกับกำชับอย่างดี"ไม่ไหวก็ต้องบอกนะ อย่าทำเอง อย่ายกของหนัก" จางหยวนก็กำชับลูกสาวด้วยเช่นกัน"หมอคะ... ให้พี่ไปด้วยไหม มีอะไรจะได้ช่วย" ลู่จิวเดิน
บทที่ 45 เป็นคำตอบที่บีบหัวใจเยว่หรูนั่งเงียบทันทีที่ได้รับคำตอบของคำถามที่เธอสงสัย จะไม่ให้เงียบได้ยังไง ในเมื่อคุณห่าวซวนกลับไปทำงานต่อเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าคนพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับพี่เหมยและเธอ แต่เพราะงานมันอันตราย เขาเลยต้องบอกพี่เหมยแบบนั้น เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้กลับมาไหม"นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนต้องพูดคุยกัน อย่าคิดไปเอง" เยว่หรูพูดขึ้นมาทำลายความเงียบพร้อมกับโอบกอดพี่สาวเหมยที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ "ไม่ต้องห่วง ผมแจ้งเรื่องเข้าไปที่หน่วยงานเก่าเรียบร้อยแล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาเพราะมันมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และผมได้ส่งคนไปช่วยงานอีกหลายสิบคนแล้ว" หานหรงอี้พูดปลอบทั้งสองคน ที่คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้ อีกคนก็แยกเขี้ยวใส่เขาทั้งที่เขาก็ยอมตอบทุกคำถามแล้วหานหรงอี้ทำตามที่รับปากคนสนิทไว้ เขาค่อนข้างลำบากใจในเรื่องนี้ ยอมรับว่าหากภรรยาอยากรู้หรือมาบังคับให้เขาตอบ ให้ตายยังไงเขาก็ขัดภรรยาไม่ได้ แต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดไม่ได้บอกนั้น เพราะภรรยาเขาถามไม่ได้บีบบังคับเอาคำตอบแบบวันนี้ ไม่รู้เพราะอะไร เขาไม่เคยขัดภรรยาได้เลย..."พ่อฉันทำคนเดียวหรือว่าทั้งครอบครั