บทที่ 5 ป้าข้างบ้านทั้งหลาย
นับเป็นเวลาเกือบเดือนแล้วที่เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ คิดถึงบ้าน คิดถึงคลินิก คิดถึงอากง อาม่าทั้งหลายที่เป็นคนไข้ของเธอ คิดถึงพี่เหมยผู้ช่วยที่แสนดีที่คอยช่วยเหลือทุกอย่าง
เยว่หรูคนนี้อยากบอกพี่เหมยเหลือเกินว่า... อย่าอ่านนิยายก่อนนอน ยิ่งอ่านยิ่งลุ้น ลุ้นไปลุ้นมาได้เข้ามาอยู่ในนิยายเองเลย... และที่เสียดายมากกว่าอย่างอื่นคือ สิ่งของที่มือลั่นซื้อตอน 8 เดือน 8 ก็ยังไม่ได้เห็นเลยว่าตัวเองมือลั่นซื้ออะไรมาบ้าง ไหนจะของที่สั่งพี่เหมยซื้ออีก มาอยู่ที่แบบนี้น่าจะมีมิติมาให้บ้าง... หรือว่านักเขียนลืมเขียนให้เยว่หรูคนนี้...
เยว่หรูทำงานบ้านเรียบร้อยแล้ว เดินไปดูกระถางผักที่แขวนอยู่... ที่พ่อทำให้เธอลองปลูกผักจำนวนห้ากระถาง และสิ่งที่เธอลองปลูกคือผักบุ้ง เพราะเป็นผักที่ปลูกง่ายโตเร็ว จะได้มีผักกินเร็ว ๆ และสถานที่ปลูกผักของเธอก็ในครัวที่มีหลังคาคลุมเพียงเท่านั้น
เมื่อรดน้ำเรียบร้อยแล้ว เธอก็เข้าไปต้มน้ำขิงและใส่น้ำตาลกรวดนิดหนึ่ง สิ่งนี้เธอจะเอาไปส่งให้พ่อกับแม่เธอที่ฝ่ายผลิต ตอนนี้ในบ้านพอที่จะมีเครื่องปรุงบ้างแล้ว จากเงินในกระปุกที่เธอบอกให้พ่อผ่ามันออกมาแล้วนำไปซื้อข้าวสารและธัญพืชมาไว้ หากเธอไม่อ้างว่าซื้อของเกี่ยวกับเรื่องเรียน พ่อก็คงไม่ยอมผ่ากระปุกไม้แน่ ๆ
ถึงบ้านจะจนแต่เธอก็ได้เรียนหนังสือ มันเป็นข้อตกลงที่แม่กับพ่อตกลงร่วมกันว่าต้องให้เธอได้เรียนหนังสือ ค่าใช้จ่ายเรื่องเรียนทั้งหมดคือทางพ่อเป็นคนออก แต่เธอรู้ว่าจริง ๆ แล้วเป็นคุณปู่ของเธอต่างหากที่ส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ พ่อจริง ๆ ไม่ได้ออกให้เธอสักหยวน แต่อย่างว่าเพราะไม่มีใครพูดและคนที่ส่งเงินมาก็เป็นชื่อพ่อของเยว่หรู ทุกคนเลยคิดว่าพ่อนั้นแสนดี หย่ากันไปก็ยังส่งเสียลูกเรียนทั้งที่เป็นลูกสาว
ไหนเลยจะรู้ว่าค่าเรียนที่ได้มานั้นแทบไม่พอ ทั้งที่คุณปู่ส่งให้ปีละ 30 หยวน แต่เงินตกมาที่แม่เพียง 15 หยวน ในส่วนที่ขาด พ่อเลี้ยงของเธอคือคนที่หามาให้ ไม่แปลกที่เยว่หรูคนเก่าไม่รู้เพราะไม่มีคนพูดถึงเลย และนี่คือปัญหาของครอบครัวนี้ มีอะไรแล้วไม่พูด ต่างคนต่างเข้าใจกันไปคนละอย่าง...
ช่วงนี้เยว่หรูสามารถช่วยทำงานบ้านได้หลายอย่าง แต่พอเปิดเรียน เธอต้องไปเรียน ตอนนี้เธอวางแผนทำอะไรมากไม่ได้เพราะไม่มีเงิน ถึงมีเงินก็ค้าขายไม่ได้ มีกฎข้อห้ามมากมาย ที่ทำได้คือเรียนหาความรู้และมองหาโอกาสให้ตัวเอง ช่วยตัวเองก่อนเป็นอย่างแรก
โรงเรียนที่เยว่หรูไปเรียนนั้น ส่วนมากจะมีแต่เด็กนักเรียนชาย แทบไม่มีนักเรียนหญิงเลย เพราะที่นี่เน้นว่าต้องให้ผู้ชายเรียน ผู้หญิงเรียนไปก็ไม่มีประโยชน์ พอถึงเวลาก็แต่งออกไปอยู่ดี นี่แหละอีกหนึ่งเหตุผลที่จะขยับทางซ้ายก็กลัวผิด จะหันทางขวาก็กลัวทำไม่ถูกต้อง จนกว่าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับที่นี่ให้มากกว่านี้ เธอก็ทำได้แค่ช่วยงานในบ้านเพียงเท่านั้น
สองขาเรียวเล็กรีบย่างก้าวไปตามทางเดิน เพื่อให้ถึงที่หมายก่อนเวลาพักของพ่อแม่ ปกติแล้วเยว่หรูไม่มีเพื่อน ไม่ชอบคบหรือคุยกับคนอื่นมากนัก ต้องบอกว่าเธอไม่คบใครมากกว่า เพราะเธอคิดว่าคนที่นี่ยากจนเลยไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับใคร
"ดูลูกสาวบ้านจางสิ เดี๋ยวนี้รู้จักลงมาที่ฝ่ายผลิตแล้วรึ แต่ก่อนไม่เห็นมาเหยียบที่นี่เลย" เสียงพูดเหมือนจะถาม... แต่เหมือนจะต่อว่ามากกว่า และเสียงซุบซิบของชาวบ้านนั้นไม่ได้เบาเลย เหมือนต้องการให้เธอได้ยินในสิ่งที่พวกเขาพูดมากกว่า
เยว่หรูไม่ได้สนใจคนพวกนี้ ถึงเธอจะไม่ชอบนิสัยร่างเดิม แต่หากเปรียบเทียบแล้ว คนพวกนี้โตแล้ว ไม่น่าจะว่าร้ายหรือพูดจาแบบนี้กับเด็ก อยากบอกว่าเด็ก 14 ปีที่โลกเดิมยังพากันไปเที่ยวเล่นและเรียนอยู่เลย ไม่ได้โตขนาดนั้น... ถึงจะบอกว่ายุคจีนสมัยโบราณพวกเขาโตแล้ว แต่คงไม่ใช่กับทุกคน อย่าเอาพื้นฐานของตัวเองไปวัดกับพื้นฐานของคนอื่น เพราะมาตรฐานของคนเราไม่เท่ากัน...
"อย่าพูดถึงมาก เดี๋ยวก็ไม่กล้ามา เดี๋ยวก็ไปอาละวาดใส่พ่อแม่ก็ได้ใครจะไปรู้" ยังคงมีเสียงตะโกนดังมาให้ได้ยิน
"หุบปาก!! ใครมันเป็นคนพูด" จางหยวนที่เดินมารอลูกสาวได้ยินเข้าพอดี วันนี้ลูกสาวขอมาส่งอาหารเอง เขาก็เป็นห่วงเพราะลูกไม่เคยมา เลยเดินมาดู แต่สิ่งที่เห็นคือชาวบ้านพูดจาไม่ดีใส่ลูกสาวของเขา... มันเลยทำให้เขาโมโห
"มีลูกหลานกันทุกคนไม่ใช่รึ... ไปคุยกับลูกหลานของตัวเองโน่น ไม่ต้องมายุ่งกับลูกคนอื่น" จางหยวนไม่ไว้หน้าใครสักคน หากไม่ใช่ครอบครัวของเขา เขาก็ไม่สนใจคนที่พูดจาไม่ดีด้วย เพราะแบบนี้หรือเปล่า ลูกสาวเขาถึงไม่ชอบมาที่นี่ พอมาก็เจอกับอะไรแบบนี้
"พ่อคะ... ไปเถอะค่ะ" เยว่หรูเรียกพ่อให้เดินออกจากจุดนั้นทันที อย่าประสาทแดกกับคุณป้าข้างบ้าน เยว่หรูคนนี้ยังทนได้ แต่หากทนไม่ได้ขึ้นมาจริง ๆ เยว่หรูคนนี้จะอาสาถอนหงอกให้ป้าด้วยตัวเอง...
"ลูกทำเองทั้งหมดเลยเหรอ" ลู่หลินมองอาหารที่ลูกสาวเอามาให้
"ลูกสาวพ่อโตแล้ว ฮ่า ๆ " จางหยวนที่มองอาหารและมองลูกสาวก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
"กินข้าวกันก่อนค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยถอนหญ้า" เยว่หรูเอาอาหารออกมายื่นให้พ่อกับแม่ แล้วรีบเร่งให้พ่อกับแม่รีบกินจะได้มีเวลาพัก
"ไม่ต้องหรอกลูก พ่อกับแม่ทำเอง แค่นี้ก็ดีมากแล้ว" จางหยวนไม่อยากให้ลูกสาวต้องมาลงงานถอนหญ้าแบบนี้
"พ่อคะ... ให้หนูช่วยเถอะ... ให้หนูทำแค่ตอนที่พ่อกับแม่พักกินข้าวก็ยังดี" เยว่หรูพูดพร้อมกับเดินเข้าไปที่หน้างานที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก และค่อย ๆ ถอนหญ้าทีละนิด ในหัวก็คิดว่าพวกเขาเลี้ยงลูกตามใจ ห้ามทำงาน เหมือนพวกเขาคิดว่าเธอเหมือนเด็กยังไม่โต นี่หรือเปล่าที่เขาบอกรักแบบผิด ๆ ทั้งที่จะไม่มีข้าวกิน ยังไม่คิดที่จะให้ลูกทำงานเลย...
บทที่ 6 ครอบครัวของพ่อเลี้ยงเยว่หรูมองบริเวณรอบ ๆ ใช้ความคิดว่าเธอจะสามารถทำงานหาเงินอะไรได้บ้าง จะเอาอาชีพเดิมมาใช้ก็ยังไม่ได้ ทุกอย่างจะต้องศึกษาและหาทางก่อน และยังมีพ่อแม่ที่รักจนไม่ให้ทำงานอีกด้วย ปัญหานี้ก็ต้องแก้ด้วยเช่นกัน..."ตาย ๆ รู้จักมาช่วยงานพ่อแม่แล้วเหรอเยว่หรู" กำลังถอนหญ้าไปด้วยใช้ความคิดไปด้วย ก็ได้ยินเสียงแว่ว ๆ แหลม ๆ ดังอยู่ไม่ไกล"แม่อย่าพูดแบบนั้น" จางหยวนพูดเสียงเบา"ทำไม!! มันวิเศษมาจากไหน แกก็แค่พ่อเลี้ยง โง่ดักดาน มันก็แค่ลูกติดเมีย แค่มันเอาข้าวมาส่งหน่อยนี่ออกรับแทนทุกอย่าง เป็นขี้ข้ามันไปเถอะ ไอ้ลูกเนรคุณ!! " ประโยคนี้ไม่ใช่เบา ๆ คนที่อยู่ทั่วบริเวณนั้นได้ยินกันหมด ต่างพากันลอบมองว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นไหมเยว่หรูหันไปมอง แต่ไม่ได้ปริปากพูด เพราะตอนนี้มีสายตาหลายคู่มองมาที่ครอบครัวของเธอ หากพูดหรือแสดงท่าทางอะไรไป อาจทำให้พ่อแม่ของเธอเดือดร้อน เธอจึงได้แต่เงียบและก้มหน้าถอนหญ้าต่ออย่างไม่สนใจ"ดูสายตาลูกเลี้ยงของแก ดูที่มันมองฉันสิ!! " เมื่อเห็นว่านังเด็กกาฝากมันไม่มีท่าทีจะตอบโต้เหมือนแต่เก่าก็เริ่มจะโวยวายอีกรอบ หากเป็นแต่ก่อน ทุกครั้งที่พูดแบบนี้
บทที่ 7 วันแรกของการไปเรียนวันนี้คือวันเปิดเรียนวันแรก โรงเรียนที่เยว่หรูเรียนตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ระยะทางระหว่างหมู่บ้านกับโรงเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ต้องบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ตัวเมืองก็ว่าได้ และโชคดีที่ว่าสถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้อยู่แถวชานเมือง เยว่หรูสามารถเดินเท้าไปเรียนได้ แต่เธอก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ไปทันเข้าเรียนเยว่หรูอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนที่ทางโรงเรียนมีให้ ซึ่งอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างรวมอยู่ในค่าเทอมทั้งหมดแล้ว พ่อเป็นคนเดินไปเอาชุดนักเรียนมาให้ก่อนเปิดเรียนเพียงไม่กี่วัน หากไม่บอกเรื่องเปิดเรียน เยว่หรูก็ไม่รู้เลย ต้องบอกว่านิยายที่เธออ่านนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดนั้น บทนางเอกปลอม ๆ ของเธอจะมีบทบาทมากขึ้นก็ตอนที่เธอย้ายไปอยู่กับพ่อที่แท้จริงนั่นแหละช่วงเวลาที่เยว่หรูอยู่กับแม่นั้นจึงไม่มีรายละเอียดมากนัก บอกแค่อยู่อย่างยากลำบาก เยว่หรูเป็นคนที่ต้องการและโหยหาความรัก และคิดว่าการที่แม่แต่งงานใหม่จะทำให้แม่รักเธอน้อยลง จะโทษเยว่หรูทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครพูดให้เธอรู้และเข้าใจ แล้วเด็กที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย แต่ต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก มันเลยง่ายที
บทที่ 8 นี่คงเป็นข้อดีของการเป็นนางเอกเยว่หรูนั่งรอเวลา... แต่สายตาของเธอก็มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปด้วย เธอมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง เห็นหลังคาน่าจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่เธอมองไม่เห็นทั้งหมดเพราะมีกำแพงกั้นอยู่ หากในยุคนี้มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด นั่นหมายถึงสถานที่แห่งนี้น่าจะสำคัญหรือไม่ก็บ้านตระกูลใหญ่ ๆ ส่วนมากคนที่นี่ทำกำแพงบ้านด้วยไม้กันทั้งนั้น แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นดินหรือไม่ก็อิฐบล็อก ทุกอย่างที่บอกนั้นเดาล้วน ๆไม่มีอะไรแน่นอนในนิยายเรื่องนี้เลย เดาอีกอย่างกลับเป็นอีกอย่าง อยู่มาเดือนกว่า เรียนรู้มาพอสมควร และจะให้หมอแผนจีนไปมองว่าบ้านนี่ทำด้วยอิฐหรือดินจบเลย เพราะเคยลองแล้ว บ้านทำด้วยอิฐแต่เอาดินมาทาเหมือนฉาบปูนไว้ก็มี อย่าเดาเกี่ยวกับอะไรในนิยายเรื่องนี้เลย..."นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวหน้าห้องก่อน ครูจะได้ตรวจนับและแจกสมุดหนังสือ" ชายสูงวัยที่แทนตัวเองว่าครู เรียกนักเรียนที่อยู่ในห้องทั้งหมดให้ออกไปหน้าห้องเยว่หรูลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าผ้าสะพายบ่าเดินออกไปตามที่ครูเรียก กระเป๋าที่เธอมีนั้นน่าจะมาจากพ่อที่แท้จริงซื้อให้ มันยังดูดีถึงแม้มันจะเก่าแล้ว แล้วเยว่หรูคนเก่าเก็บไว้ในตู้เสื
บทที่ 9 มองหาลู่ทาง"ครูคะ... หนูมีเรื่องอยากถามและขอคำแนะนำจากครู" เยว่หรูถามขึ้น... ตอนที่ครูเริ่มปล่อยนักเรียนให้ออกจากห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนไปเบิกอุปกรณ์การเรียนและไปรับอาหารกลางวัน เนื่องจากวันนี้ไม่ได้มีการเรียนการสอน เลยปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านเร็ว หากเปรียบเทียบกับโลกเดิม... เหมือนมาฟังครูแนะแนว ซื้ออุปกรณ์การเรียน จ่ายค่าเทอม เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเยว่หรู" ครูถามกลับพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู น้อยนักที่จะมีนักเรียนหญิงมาเรียน และที่สำคัญ เขามองเยว่หรูแล้ว... ทำให้นึกถึงลูกสาวของเขาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... เลยทำให้เอ็นดูเยว่หรูพอสมควร"คือหนูไม่รู้ว่าชั้นเรียนนี้ต้องทำอะไรบ้าง... แบ่งเวลาแบบไหน แล้วถ้าหนูอยากรู้เรื่องการเมือง การเงิน การปกครอง ข้อห้าม ข้อบังคับต่าง ๆ หนูสามารถหาคำตอบได้จากที่ไหนคะ มีหนังสือให้หนูอ่านไหมคะ" เมื่อครูเปิดโอกาสให้ถาม... เยว่หรูก็ไม่รอช้า หากอยากลืมตาอ้าปากได้เร็ว อย่างแรกที่ต้องมีคือข้อมูล สิ่งไหนที่พวกเขาห้ามทำ ผิดกฎหรืออะไรยังไง... จะได้รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างในนิยายเรื่องนี้ที่เธอเข้ามาอยู่ อ้
บทที่ 10 ทุกอย่างคือการลงทุนเยว่หรูมาเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้เรียนรู้แนวทางที่เธอจะเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณของที่นี่ จะต้องเรียนจบอะไร แล้วไปต่อที่ไหน มันดีตรงที่ว่าในนิยายเรื่องนี้สามารถสอบเทียบได้ ไม่ต้องเรียนตรงตามเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดก็ได้ แค่สอบผ่านระดับตามที่ทางโรงเรียนกำหนดก็พอ การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน สามารถสอบเทียบได้ ทุกวันก่อนกลับบ้าน เยว่หรูจะหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลับไปด้วย อาหารที่ได้มาก็คืออาหารที่เธอใช้คูปองที่คุณครู หมิงเว่ย ให้มาและนำไปยื่นที่โรงอาหาร เธอก็ได้ปิ่นโตใส่อาหารหนึ่งเถากลับบ้าน ในปิ่นโตจะมีข้าวและกับข้าวหนึ่งอย่าง บางวันอาจมีผลไม้เพิ่มให้หนึ่งอย่าง แต่ไม่ได้มีทุกวัน อาหารที่ได้ไม่ได้เยอะมากนัก แต่มันสามารถทำให้ครอบครัวของเธอประหยัดขึ้นและมีอาหารกินเพิ่มขึ้น พอเช้าวันต่อมาค่อยเอาปิ่นโตเปล่ามาส่งที่โรงอาหาร เยว่หรูทำแบบนี้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนแล้วเยว่หรูเริ่มปรับตัวได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต วางแผนเพื่อที่จะเรียนในด้านที่ตัวเองถนัด วางแผนเรื่องช่วยเหลือครอบครัวเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้นต
บทที่ 11 ลงทุนเพื่อหวังผลกำไรเพียะ!! เมื่อหลิวเจียอิงไม่สามารถยั้งอารมณ์กรุ่นโกรธได้ก็ลงมือตบตีทันที"มึงอย่าอยู่เลยอีนังกาฝาก เลวทั้งแม่ทั้งลูก!! สารเลวทั้งครอบครัว!! " นางหลิวไม่สนใจสิ่งใด ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่แค่คนงาน ยังมีกลุ่มคุณครูของเยว่หรูเดินมาด้วยเมื่อทุกคนเห็นภาพตรงหน้า ต่างวิ่งเข้ามาช่วยแยกนางหลิวออกจากเยว่หรูทันที เยว่หรูโดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครก็ไม่รู้เพราะมันชุลมุนวุ่นวายไปหมด "เจ็บไหมลูก" เสียงสั่นเครือของมารดาสอบถาม พร้อมกับจับลูกหันซ้ายหันขวาตรวจดูว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง"เจ็บ... ข้าวเราหกหมดเลย" เยว่หรูตอบพร้อมกับเม้มปากแน่น... แล้วชี้นิ้วไปทางปิ่นโตที่นอนแอ้งแม้งที่พื้น อาหารกลางวันของเธอกระจัดกระจายเต็มพื้น"ช่างมันลูก เยว่หรูเจ็บตรงไหนบ้าง" จางหยวนและภรรยาคือคนที่วิ่งมาดึงตัวลูกสาวออกมาตั้งแต่แรก จางหยวนผลักแม่เลี้ยงออกไปให้ห่างจากลูกสาวของเขาอย่างไม่สนใจหากเป็นแต่ก่อนเขาก็ยังพอที่จะพูดจาและไว้หน้าอยู่บ้าง ถึงจะไม่ชอบ แต่เห็นแก่พ่อของเขาเลยไม่สนใจแม่เลี้ยงมากนัก แต่ครั้งนี้ เขาเห็นแม่เลี้ยงทำร้ายลูกสาวต่อหน้าต่อตา ทั้งที่
บทที่ 12 ผลกำไรที่ได้รับเยว่หรูรดน้ำผักอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าข้างหนึ่งจะบวมเป่งจากการถูกยัยป้าข้างบ้านตบ ไม่สิ... ป้าข้างบ้านไม่กล้าขนาดนี้ ส่วนมากแค่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นมากกว่า บางทีก็มีประโยชน์ เหมือนมีกล้องวงจรปิดประจำบ้านให้ด้วย แขกไปใครมาสามารถรู้หมด ไม่ต้องเสียเงินติดตั้งด้วย แถมรายงานผลรวดเร็วทันใจอีกต่างหากเมื่อรดน้ำผักเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เดินเก็บใบไม้แห้งทั้งหลายมาโยนใส่หลุมไว้ทำปุ๋ยใบไม้แห้ง ทำงานไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี... ไม่ว่าเสียงร้องจะเหิน สำเนียงจะเพี้ยนแค่ไหนก็ยังร้องอย่างอารมณ์ดี...การลงทุนของเยว่หรูนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทุกคนในหมู่บ้านเข้าข้างเธอเพียงแค่เห็นยัยป้านั่นด่าทอบ่อย ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่เธอไม่ตอบโต้ไม่พูดไม่เถียง เพื่อทำให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ยัยป้าทำ แต่พอเจอวันที่เธอเอาคืน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการยั่วยุให้ยัยป้าโดดลงมาทำร้ายเธอเลยทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่ยัยป้าพูดถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่หากไม่ทำแบบนั้นเธอจะเอาอะไรไปสู้ ตบตีไม่มีทางชนะเพราะตัวเธอเล็กนิดเดียว จากที่ใช้สมองอันน้อยนิดคิดก็มีแต่เรื่องน
บทที่ 13 เข้าเมืองคนเดียวเยว่หรูเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้างแล้ว ตอนเช้าจะช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยพ่อรดน้ำผัก เริ่มทดลองปลูกสมุนไพรที่ทางการอนุญาตให้ปลูกได้ เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามเดือนแล้ว หมดหวังเรื่องมิติวิเศษเหมือนในนิยายที่ตัวเองชอบอ่าน... สามเดือนแล้วคงไม่มีมาแล้ว...เรื่องยัยป้ามหาภัยนั่นเริ่มดีขึ้น อาจเพราะยังไม่ได้เจอกัน... เลยยังไม่มีปัญหา และตั้งแต่ที่เธอพูดกับพ่อเมื่อวันนั้น พ่อก็พูดกับปู่ในวันที่ปู่เรียกพ่อไปหาอีกครั้ง ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมปู่ถึงชอบเรียกพ่อไปที่บ้านนั้นบ่อย ๆ ทำไมไม่มาดูบ้างว่าพ่ออยู่ยังไง แต่พอแม่บอกว่า... เพราะปู่ต้องการให้พ่อรู้ว่าที่นั่นก็คือครอบครัวพ่อเหมือนกันไม่รู้ว่าพวกเขานิยามคำว่าครอบครัวแบบไหน พ่อลำบากกว่าลูกคนอื่น ๆ อยากให้มาดูบ้านพ่อ ที่อยู่ที่นอนของพ่อเหลือเกิน หากเปรียบกับพวกเขาแล้ว แตกต่างกันอย่างมากยังดีที่ตอนนี้ครอบครัวของเธอได้เสื้อผ้ามาจากคุณครูที่โรงเรียนเอามาให้ เลยมีเสื้อผ้าใส่เปลี่ยนหลายชุด ภรรยาของคุณครูหมิงเว่ยก็เอาชุดที่ไม่ได้ใส่แล้วมาให้แม่ของเธอด้วย พ่อของเธอก็ได้เสื้อผ้าบางตัวของคุณครูหมิงเว่ย แต่แค่บางตั
บทที่ 20 ความรู้สึกไม่ต่างกันเยว่หรูเดินตามมาที่ห้องพักที่แยกเป็นสัดส่วนค่อนข้างเป็นส่วนตัว ส่วนมากมีแต่ญาติของคนไข้ที่เฝ้าอยู่เพียงเท่านั้น พอเยว่หรูมาถึงอาจารย์ก็เริ่มสอนสิ่งต่าง ๆ โดยที่สอนตรวจคนไข้ว่าควรตรวจแบบไหน เพื่อประหยัดเวลาและได้ผลที่แม่นยำทุกอย่างดำเนินไปอย่างดี เนื่องจากคนไข้ยอมให้ตรวจดี ๆ นอนมองนิ่ง ๆ เพียงเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไล่หมอพยาบาลออกไปทั้งหมด แต่เขากลับให้ลูกศิษย์กับอาจารย์สองคนทั้งจับพลิกดูตามร่างกายได้ตามต้องการ"อาจารย์ จากที่หนูดูไม่ใช่แค่ร่างกายอย่างเดียว หนูคิดว่าน่าจะมาจากจิตใจและความคิดด้วย" เยว่หรูสังเกตคนไข้แล้วรู้สึกว่าช่างคุ้นเคยกับอาการนี้เหลือเกิน"มีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียว" อาจารย์ก็เห็นด้วยกับที่ลูกศิษย์คนล่าสุดบอกมา"เยว่หรูจะรักษาด้วยวิธีไหน เขียนรายงานมาด้วย รักษาแค่เบื้องต้นก่อน ส่วนต้องการเบิกอะไรก็สามารถใช้ญาติของคนไข้ไปจัดการได้เลย และนี่คือเอกสารที่ต้องเขียนรายละเอียดยื่นให้สมาพันธ์ มีเอกสารด้วย เตรียมมาให้พร้อมแล้วเอามาให้อาจารย์ เข้าใจไหม และหากรักษาเบื้องต้นเสร็จก็กลับบ้านได้เลย อาจารย์ต้องรีบไปประชุม" อาจารย์หม่าสั่งงาน
บทที่ 19 เรียกร้องในทุกเช้า เยว่หรูจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารบำรุงหลายอย่าง ต้มน้ำแกง ต้มยาสมุนไพรต่าง ๆ และทำอาหารหลากหลายเมนูเก็บไว้ ในทุกวันที่ไปเรียน เยว่หรูต้องเอาน้ำต้มสมุนไพรไปฝากคุณครูหมิงเว่ยเธอยังไม่สามารถให้อย่างอื่นเพื่อตอบแทนคุณครูได้ เพราะครูรู้ดีว่าครอบครัวของเธอยากจน การที่จะได้กินหรือมีสิ่งของดี ๆ นั้นมันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เมื่อมีโอกาสเธอต้องตอบแทนแน่นอนในระหว่างที่ตัวเองกำลังคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจ เหมือนคนไข้ที่ชื่อหานหรงอี้นั้นไม่เป็นอะไรเลย การไหลเวียนของเลือดมันไม่สมดุลและเหมือนร่างกายมีภาวะเย็นมากเกินไป แต่เธอไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เพราะการตรวจของเธอนั้นต้องยุติก่อนที่จะตรวจเสร็จ ยังไม่ได้ดู ดม และสอบถามเลย อาจารย์ก็บอกพอก่อนและให้เธอกลับมาทำรายงานส่งเยว่หรูมองไปที่สมุดรายงานของตัวเอง ก่อนที่จะจัดเตรียมอาหารให้เรียบร้อย เมื่อวานพ่อก็ต้องเดินไปรอรับ เพราะกว่าจะออกจากโรงพยาบาลก็เริ่มเย็นแล้ว แล้วที่นี่จะมืดเร็วเสียด้วย หกโมงเย็นนี่เริ่มมืดแล้ว ทั้งที่เธออยากให้พ่อแม่พักผ่อนแต่ต้องไปรับเธอกลับ คงต้องหาวิธีอื่นรอแล้ว ไม่
บทที่ 18 หานหรงอี้จางหยวนขอตัวจากกลุ่มคนมาใหม่และหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อจะได้รีบไปส่งลูกสาวแล้วไปทำธุระของเขาให้เรียบร้อย และที่เขารีบขอตัวออกมาเพราะเห็นกลุ่มคนมาใหม่มองลูกสาวของเขาไม่วางตาเลย ทั้งที่ลูกสาวเขายืนอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนก็ดูจะสนใจลูกสาวของเขา ทางที่ดีต้องรีบออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุดหานหรงอี้ มองตามคนตัวเล็กกับพ่อเดินไปจนสุดสายตา ทั้งที่คนตัวเล็กไม่ยอมหันมาทักทายหรือยิ้มแย้ม มันยิ่งทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเด็กสาวจะชอบคนที่มียศมีตำแหน่งหรอกหรือ การมาของพวกเขานั้นไม่ใช่ความลับ ยังไงสาวน้อยคงจะพอรู้ หากบอกว่าหลบเพราะเขินอายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสายตาที่ใช้มองพวกเขานั้นเหมือนรังเกียจมากกว่า"นายครับ เราต้องไปให้ทันเวลาหมอนัดนะครับ" ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาหานายที่ไม่สนใจจะไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัดเลย"จะรีบไปไหน โรงพยาบาลก็อยู่แค่นี้ ไม่ต้องตามกันมาเยอะแยะ กลับไปดูคนงานได้แล้ว" หานหรงอี้บอกลูกน้องที่ตามมาเป็นพรวน ทั้งที่อาการเขาดีขึ้นแล้ว เดินเหินได้เหมือนเดิม แต่คนพวกนี้ก็ยังจะตามติดเขาอยู่นั่นแหละ"นายมองสาวน้อยคนนั้นหรือกำลังชื่นชมธรรมชาติครับ" คนสนิทมองตามสายตาคนเป็นนาย
บทที่ 17 คนมาใหม่เมื่อคืนเยว่หรูเข้ามานอนในมิติบ้าน เพื่อเตรียมสิ่งของที่จะได้ทำอาหารในตอนเช้า เช้านี้เลยมีทั้งกับข้าวที่เป็นไข่ม้วน กับข้าวสวยร้อน ๆ และมีกระดูกหมูตุ๋นยาจีน เตรียมนมอุ่น ๆ และต้มยาสมุนไพรด้วย ตอนนี้ยังหาข้ออ้างไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะบอกว่าเอาสิ่งของพวกนี้มาจากไหน ต้องรอกลับจากโรงพยาบาลแล้วค่อยบอกเป็นค่าตอบแทน เพราะวันนี้เธอมีไปฝึกงานที่โรงพยาบาลส่วนมื้อเช้ามีแบบไหนก็คงต้องกินแบบนั้นไปก่อน ถึงจะอยากให้ทุกคนได้กินอาหารดี ๆ แต่หากไม่ระวัง... ความลับที่ต้องการปกปิดมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แล้วหากมันไม่ได้เป็นความลับ เรื่องที่เธอปิดบังทั้งหมดก็อาจถูกเปิดเผย... คนมีความลับเยอะอย่างเยว่หรูเลยต้องทำทุกอย่างให้แนบเนียน...ในโลกนี้ยุคนี้... กินดีอยู่ดีมากไปก็ไม่ดี... แต่หากหาที่มาที่ไปได้ก็ไม่มีปัญหา... รอให้เธอรู้ผลว่าผ่านการทดสอบเสียก่อน... เธอยังสามารถบอกว่าทุกอย่างที่ได้มาคือสิ่งของสนับสนุน แต่หากเธอไม่ผ่าน... ค่อยคิดหาวิธีอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร...เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เข้าไปอาบน้ำทาครีมบำรุง... ทำทุกอย่างแบบที่เคยทำในโลกเดิม ยังดีที่เครื่องสำอางที่ใช้..
บทที่ 16 ตอบแทนบุญคุณ... คนที่สมควรจะได้รับขอบคุณคุณยายที่มอบสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้หนู... ขอบคุณที่คุณยายยัดเยียดให้ทั้งที่ตอนแรกหนูปฏิเสธไปแล้ว ขอบคุณมาก ๆ นะคะเยว่หรูกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง หลังจากที่พิสูจน์ได้แล้วว่า... สร้อยข้อมือนี้คือมิติบ้านของเธอ... หากอยากเข้าหรือออกเพียงเอามือสัมผัสที่สร้อยข้อมือก็สามารถเข้าออกได้ตามที่ใจต้องการเยว่หรูสามารถหยิบสิ่งของออกมาข้างนอกได้... มันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านเจอ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งของที่เธอหยิบออกมาแล้วมันจะมีมาเติมให้ใหม่ไหม หรือว่าหมดแล้วหมดเลย เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาเป็นการพิสูจน์ "เอานมนี่แหละ... ลองก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจับเวลาว่าด้านนอกกับในมิติบ้านนี้เวลาแตกต่างกันไหม" เยว่หรูพึมพำพร้อมกับหยิบนาฬิกาจับเวลา เพื่อพิสูจน์ว่าด้านนอกและด้านในมีเวลาเท่ากันไหมส่วนอาหารที่เอาออกมาก็ยังเอาอะไรออกมามากไม่ได้ หากแตกต่างมาก เยว่หรูจะยังไม่เอาออกไปข้างนอก เพราะมันต้องมีคำถามตามมาแน่ ๆ เธอยังไม่อยากให้ใครรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้... ไม่รู้มีข้อห้ามอะไรไหม... หากบอกคนอื่นแล้วมิติบ้านหายไปล่ะ... เธอยังไม่อยากเสี่ยงในตอนนี้และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
บทที่ 15 มาช้าดีกว่าไม่มาเยว่หรูเดินกลับบ้านในทิศทางเดิม เธอไม่ได้ออกนอกเส้นทางไปทางอื่นเลย มองเวลาแล้วเธอต้องรีบกลับ หากชักช้ามันอาจถึงบ้านมืดได้ เพราะตั้งใจเดินกลับบ้านเพื่อประหยัดเงิน"หนู ๆ ช่วยยายหน่อย" เสียงร้องเรียกใครไม่รู้ แต่เพราะมันเสียงดังเลยทำให้เยว่หรูที่กำลังรีบเดินกลับบ้านหันไปมองหาที่มาของเสียง"เรียกหนูเหรอคะ" เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตัวเธอเองก็หันไปถามคุณยาย"ใช่ ๆ พอดียายจะกลับบ้านแต่ของมันเยอะ ช่วยถือไปส่งหน่อยได้ไหม ไม่ไกล ๆ ซอยข้างหน้านี่เอง" เมื่อเห็นเด็กสาวหันมามองแล้วเลยขอความช่วยเหลือ"อ้อ... ได้ค่ะคุณยาย" เยว่หรูมองกระสอบที่วางอยู่ใกล้ ๆ เลยเข้าไปช่วยหิ้วทันที"ยายเดินนำ ตามมาเลย" บอกจบก็เดินนำหน้าเลยส่วนเยว่หรูที่อุ้มกระสอบก็สงสัยว่าคืออะไรอยู่ข้างใน มันไม่ได้หนักมาก จากที่สัมผัสดูเหมือนเป็นผ้าเลย มัวแต่มองสิ่งที่ตัวเองถือและเดินตามหลังคุณยายเลยไม่ได้สังเกตสิ่งที่อยู่รอบข้าง"ส่งถึงตรงนี้แหละหนู ขอบใจมาก อันนี้ยายให้เป็นค่าตอบแทน" บอกพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือมาให้"ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย แค่นี้เองค่ะ" เยว่หรูบอกพลางวางกระสอบก่อนที่จะมองรอบ ๆ ความสงสัยก็เกิดขึ้นทั
บทที่ 14 เริ่มทำแบบทดสอบแบบทดสอบที่เยว่หรูได้รับมีทั้งหมดสองฉบับ... หนึ่งฉบับเป็นแบบทดสอบเกี่ยวกับความรู้สมุนไพรเบื้องต้น แบบที่สองคือการรักษาขั้นพื้นฐานของแพทย์แผนจีน... แบบทดสอบต้องตอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด หรือก็คืออัตนัยนั่นเอง...ถึงแม้ว่าเยว่หรูจะเป็นแพทย์แผนจีนมาก่อน แต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะสิ่งที่เธอถนัดและคุ้นเคยนั้น... เป็นความรู้และการรักษาแบบโลกเดิม คือปี 2020 มันคือการรักษาแบบประยุกต์ มีการรักษาแผนปัจจุบันเข้ามาร่วมด้วย หากทดสอบโดยให้รักษาจะไม่มีปัญหาเพราะเธอเคยทำมาแล้ว แต่การทดสอบตอนนี้นั้น... ต้องตอบตามแบบหนังสือ พลิกแพลงมากไม่ได้ เลยทำให้เยว่หรูใช้เวลาในการทดสอบเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรค่อนข้างนานทำแบบทดสอบได้... แต่ไม่รู้จะผ่านไหม ต้องรอดูอย่างเดียว มั่นใจมากไม่ดี... จงรู้ไว้ว่าในหนังสือเรียนกับสถานการณ์จริงแตกต่างกันมาก แล้วคนที่เรียนจบมาจนทำงานแล้วแบบเธอ... บางอย่างในหนังสือเรียนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็หลงลืมเป็นธรรมดา และที่สำคัญหนังสือเรียนแพทย์แผนจีนของที่นี่ก็ไม่ค่อยมีให้อ่านมากนัก"เสร็จแล้วค่ะ" เยว่หรูยื่นเอกสารให้คุณตา ก่อนจะมานั่งรอและมองทุกอย่างรอบ ๆ ตัว เหมือนที่นี
บทที่ 13 เข้าเมืองคนเดียวเยว่หรูเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้างแล้ว ตอนเช้าจะช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยพ่อรดน้ำผัก เริ่มทดลองปลูกสมุนไพรที่ทางการอนุญาตให้ปลูกได้ เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามเดือนแล้ว หมดหวังเรื่องมิติวิเศษเหมือนในนิยายที่ตัวเองชอบอ่าน... สามเดือนแล้วคงไม่มีมาแล้ว...เรื่องยัยป้ามหาภัยนั่นเริ่มดีขึ้น อาจเพราะยังไม่ได้เจอกัน... เลยยังไม่มีปัญหา และตั้งแต่ที่เธอพูดกับพ่อเมื่อวันนั้น พ่อก็พูดกับปู่ในวันที่ปู่เรียกพ่อไปหาอีกครั้ง ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมปู่ถึงชอบเรียกพ่อไปที่บ้านนั้นบ่อย ๆ ทำไมไม่มาดูบ้างว่าพ่ออยู่ยังไง แต่พอแม่บอกว่า... เพราะปู่ต้องการให้พ่อรู้ว่าที่นั่นก็คือครอบครัวพ่อเหมือนกันไม่รู้ว่าพวกเขานิยามคำว่าครอบครัวแบบไหน พ่อลำบากกว่าลูกคนอื่น ๆ อยากให้มาดูบ้านพ่อ ที่อยู่ที่นอนของพ่อเหลือเกิน หากเปรียบกับพวกเขาแล้ว แตกต่างกันอย่างมากยังดีที่ตอนนี้ครอบครัวของเธอได้เสื้อผ้ามาจากคุณครูที่โรงเรียนเอามาให้ เลยมีเสื้อผ้าใส่เปลี่ยนหลายชุด ภรรยาของคุณครูหมิงเว่ยก็เอาชุดที่ไม่ได้ใส่แล้วมาให้แม่ของเธอด้วย พ่อของเธอก็ได้เสื้อผ้าบางตัวของคุณครูหมิงเว่ย แต่แค่บางตั
บทที่ 12 ผลกำไรที่ได้รับเยว่หรูรดน้ำผักอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าข้างหนึ่งจะบวมเป่งจากการถูกยัยป้าข้างบ้านตบ ไม่สิ... ป้าข้างบ้านไม่กล้าขนาดนี้ ส่วนมากแค่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นมากกว่า บางทีก็มีประโยชน์ เหมือนมีกล้องวงจรปิดประจำบ้านให้ด้วย แขกไปใครมาสามารถรู้หมด ไม่ต้องเสียเงินติดตั้งด้วย แถมรายงานผลรวดเร็วทันใจอีกต่างหากเมื่อรดน้ำผักเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เดินเก็บใบไม้แห้งทั้งหลายมาโยนใส่หลุมไว้ทำปุ๋ยใบไม้แห้ง ทำงานไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี... ไม่ว่าเสียงร้องจะเหิน สำเนียงจะเพี้ยนแค่ไหนก็ยังร้องอย่างอารมณ์ดี...การลงทุนของเยว่หรูนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทุกคนในหมู่บ้านเข้าข้างเธอเพียงแค่เห็นยัยป้านั่นด่าทอบ่อย ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่เธอไม่ตอบโต้ไม่พูดไม่เถียง เพื่อทำให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ยัยป้าทำ แต่พอเจอวันที่เธอเอาคืน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการยั่วยุให้ยัยป้าโดดลงมาทำร้ายเธอเลยทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่ยัยป้าพูดถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่หากไม่ทำแบบนั้นเธอจะเอาอะไรไปสู้ ตบตีไม่มีทางชนะเพราะตัวเธอเล็กนิดเดียว จากที่ใช้สมองอันน้อยนิดคิดก็มีแต่เรื่องน