บทที่ 7 วันแรกของการไปเรียน
วันนี้คือวันเปิดเรียนวันแรก โรงเรียนที่เยว่หรูเรียนตั้งอยู่ในเขตตัวเมือง ระยะทางระหว่างหมู่บ้านกับโรงเรียนอยู่ไม่ห่างกันมากนัก ต้องบอกว่าหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ใกล้ตัวเมืองก็ว่าได้ และโชคดีที่ว่าสถานที่ตั้งของโรงเรียนนี้อยู่แถวชานเมือง เยว่หรูสามารถเดินเท้าไปเรียนได้ แต่เธอก็ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อที่จะได้ไปทันเข้าเรียน
เยว่หรูอยู่ในเครื่องแบบนักเรียนที่ทางโรงเรียนมีให้ ซึ่งอุปกรณ์การเรียนทุกอย่างรวมอยู่ในค่าเทอมทั้งหมดแล้ว พ่อเป็นคนเดินไปเอาชุดนักเรียนมาให้ก่อนเปิดเรียนเพียงไม่กี่วัน หากไม่บอกเรื่องเปิดเรียน เยว่หรูก็ไม่รู้เลย ต้องบอกว่านิยายที่เธออ่านนั้นไม่ได้บอกรายละเอียดขนาดนั้น บทนางเอกปลอม ๆ ของเธอจะมีบทบาทมากขึ้นก็ตอนที่เธอย้ายไปอยู่กับพ่อที่แท้จริงนั่นแหละ
ช่วงเวลาที่เยว่หรูอยู่กับแม่นั้นจึงไม่มีรายละเอียดมากนัก บอกแค่อยู่อย่างยากลำบาก เยว่หรูเป็นคนที่ต้องการและโหยหาความรัก และคิดว่าการที่แม่แต่งงานใหม่จะทำให้แม่รักเธอน้อยลง จะโทษเยว่หรูทั้งหมดก็ไม่ได้เพราะไม่มีใครพูดให้เธอรู้และเข้าใจ แล้วเด็กที่เคยอยู่อย่างสุขสบาย แต่ต้องมาอยู่อย่างยากลำบาก มันเลยง่ายที่จะทำให้เด็กคนหนึ่งเข้าใจไปแบบนั้น
"เดี๋ยวพ่อเดินไปส่ง" จางหยวนพูดขึ้นหลังจากที่เห็นลูกสาวกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว
"ไปส่งหนูแค่วันนี้ก็พอค่ะ วันหลังหนูไปเองได้ พ่อจะได้ไม่ต้องเดินไปเดินกลับให้เหนื่อย" ที่ให้พ่อไปส่งเพราะเธอไปไม่ถูก และที่ต้องพูดอธิบายให้พ่อเข้าใจนั้นเพื่อที่จะได้ไม่คิดว่าลูกสาวรังเกียจไม่อยากให้พ่อไปส่ง ลูกสาวอายคนอื่นหรือเปล่าที่มีพ่อจน... สารพัดที่พ่อคนนี้จะคิดได้ เยว่หรูเลยเลือกที่จะพูดทุกอย่างออกไป เพื่อแก้ปัญหาเรื่องที่ชอบคิดไปเอง
"ได้ ๆ แต่หากวันไหนอยากให้พ่อไปส่ง บอกได้เลย... พ่อไม่เหนื่อย" จางหยวนหัวเราะที่เห็นลูกสาวที่ตอนนี้ชอบพูดชอบคุยบอกเล่าทุกเรื่อง จากแต่ก่อนไม่ค่อยคุย ในตอนแรกจางหยวนเริ่มคิดว่าเพราะอะไรลูกถึงไม่อยากให้ไปส่ง แต่พอลูกสาวพูดออกมาก็ทำให้เขาดีใจที่ลูกสาวเป็นห่วงกลัวเหนื่อยแค่นั้นเอง ไม่ได้รังเกียจพ่ออย่างเขา ลูกสาวของเขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ
"หนูไปก่อนนะแม่... วันแรกหนูไม่รู้เขาจะให้เลิกตอนไหน" เยว่หรูมองหน้าแม่พร้อมกับขมวดคิ้ว เอาจริง ๆ แล้วก็สงสัยหลายอย่างแต่ก็ปล่อยไปก่อน ถึงเยว่หรูจะบอกว่าเพราะครอบครัวนี้มีอะไรไม่พูดตรง ๆ เลยทำให้มีปัญหา แต่เยว่หรูก็ยังเก็บบางเรื่องเอาไว้ไม่พูดออกไป เพราะถ้าพูดหรือถามออกไปอาจทำให้พวกเขาสงสัยได้... อย่างเช่นชุดนักเรียนของเก่าไปไหนหมด หากถามไปนี่งานเข้าแน่ ๆ
"ดูซื้อสิ่งของที่ต้องใช้... หากพ่อกับแม่กลับมาบ้านแล้วยังไม่เห็นลูกกลับมา แม่จะให้พ่อไปรับ" ลู่หลินยื่นเงินสามหยวนให้ลูกสาว ตอนนี้เธอก็เริ่มที่จะพูดคุยบอกกล่าวมากกว่าเดิม อาจเพราะเห็นว่าลูกสาวชอบคุยชอบพูดเลยทำให้เธอกล้าที่จะพูดเหมือนกัน
"ขอบคุณค่ะ... ไปกันพ่อ" เยว่หรูรับเงินจากมารดามาเก็บแล้วหันไปเรียกพ่อ แล้วพากันออกจากบ้านทันที
ลู่หลินมองตามลูกสาวและสามีด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม เหมือนตอนนี้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น ลูกสาวเริ่มเปิดใจพูดคุยกับเธอมากขึ้น จากแต่ก่อนที่ลูกสาวจะนิ่งเงียบกับทุกคนเลย ตอนนี้พูดกับครอบครัวบ่อยขึ้น แต่กับคนอื่นก็ยังเหมือนเดิม ไม่ค่อยคุย แต่ก่อนพอโดนญาติสามีต่อว่าหรือพูดจาถากถาง เยว่หรูจะโต้กลับบ้างเป็นบางครั้ง แต่ตอนนี้ลูกสาวของเธอจะเฉยมากกว่า
ใบหน้าขาว ๆ เล็ก ๆ จิ้มลิ้ม ปากนิด จมูกหน่อย ของลูกสาวชวนมองมากกว่าเดิม เวลาที่มีรอยยิ้มสดใสประดับอยู่บนใบหน้า ใครเห็นก็ต้องยิ้มตามทั้งนั้น ต้องบอกว่าลูกสาวของเธอเป็นคนที่น่ารักมาก ๆ หากโตไปก็ต้องสวยมากแน่ ๆ ผิวขาวสวยทั้งที่ไม่ต้องทำอะไร ส่วนนี้ได้มาจากพ่อที่แท้จริงของเยว่หรู ไม่ว่าลูกสาวจะตากแดดนานแค่ไหนก็ไม่มีรอยดำด่าง ลู่หลินกลัวว่าสักวันหนึ่งสามีจะอยากรับลูกสาวไปอยู่ด้วย เพราะจากนิสัยของเขาแล้ว... มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องกลับมาพาลูกสาวไปอยู่ด้วยเพื่อใช้ประโยชน์จากความสวย ความน่ารักของลูก เพื่อช่วยให้หน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าและมั่นคงแน่ ๆ เพราะคนคนนั้นไม่รู้จักพอ... พอคิดแบบนั้นแล้วลู่หลินก็ได้แต่ถอนหายใจ
ทางด้านสองพ่อลูกที่เดินมาด้วยกันก็พูดคุยหัวเราะกันตลอดทาง เยว่หรูต้องจดจำเส้นทางให้ดีเพราะเธอต้องเดินทางมาเองในวันต่อ ๆ ไป และชวนพ่อคุยเรื่องราวต่าง ๆ เพื่อที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องราวของที่นี่ แต่ดูเหมือนพ่อก็ไม่รู้อะไรมากนัก รู้แต่เรื่องปลูกข้าว ปลูกผัก และเรื่องในไร่และนาเพียงเท่านั้น
"พ่อมีอะไรจะพูดกับหนูหรือเปล่าคะ" เยว่หรูถามพ่อออกไป เพราะดูเหมือนเขาอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ยังอ้ำอึ้งอยู่
"หากลูกอยากนั่งรถไปกลับ พ่อจะไปคุยกับหัวหน้าหมู่บ้านให้" เพราะต้องเดินไกล ลูกสาวเขาตัวเล็กนิดเดียว แล้วเวลาเลิกเรียนกลับบ้านก็ต้องเดินตากแดดกลับอีก
"พ่อบอกเองว่ามันไม่ไกล" ดูจากท่าทางของพ่อแล้ว การไปคุยก็ต้องมีสินน้ำใจหรือค่าใช้จ่ายด้วยนั่นแหละ เงินก็ใช่ว่าจะมีเยอะแยะ ที่แม่ให้มานี่ก็น่าจะไม่เหลือแล้ว อยู่มาเดือนกว่าแล้วรู้เลยว่าบ้านเธอยากจนมาก
"สำหรับพ่อมันไม่ไกล... แต่สำหรับลูกมันไกล" จางหยวนก้มมองหน้าน้อย ๆ แดง ๆ ของลูกสาว ตอนเช้าอากาศเย็นจัด กลางวันแดดแรง โรงเรียนมีเรียนเพียงครึ่งวัน ช่วงเวลาที่เลิกเรียนนั้นแดดแรงยิ่งกว่าเวลาอื่นเสียอีก
"พ่อบอกว่าเรามาทางลัด เดินลัดท้องนาไม่ใช่เหรอ" เยว่หรูพูดพร้อมกับกระตุกแขนเสื้อให้พ่อพาเดินต่อ แต่ก่อนเยว่หรูคงนั่งรถมาเรียนแน่ ๆ เพราะพ่อพูดเหมือนเธอเพิ่งเดินมาเรียนเป็นครั้งแรก
เส้นทางที่ใช้เดินมานั้นลัดเลาะมาตามท้องนา ต้องบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีอากาศที่ทำให้สดชื่นมาก ถึงแม้ว่าอากาศจะหนาวแต่มันก็สดชื่น สองข้างทางเต็มไปด้วยท้องนาที่ต้นกล้าเริ่มงอกออกมา อากาศแบบนี้เยว่หรูชอบมากเพราะเธอเป็นคนขี้ร้อน นิดหน่อยเหงื่อก็ออก พอมาอยู่เมืองหนาวแล้ว... รู้สึกสวยโดยไม่ต้องทำอะไรเลย...
"ไม่ให้พ่อมารับจริง ๆ เหรอ" จางหยวนส่งลูกสาวถึงห้องเรียนเลยทีเดียว ประโยคที่ถามลูกสาวนั้นค่อนข้างเบาหวิว เนื่องจากครั้งแรกที่เขามีโอกาสมาส่งลูกสาวถึงห้องเรียน และสายตาของเด็กทุกคนมองมาที่เขาและลูกสาวอย่างไม่กะพริบตาเลยทีเดียว
"ไม่เป็นไรค่ะพ่อ หนูกลับได้" เยว่หรูพูดพร้อมกับยิ้มจนแก้มทั้งสองข้างเกิดรอยบุ๋ม ลักยิ้มทั้งสองข้างยิ่งทำให้น่ามองยิ่งขึ้น เรื่องนี้อีกเรื่องที่ต้องรีบแก้ พวกเขาคิดว่าเธอยังเด็กหรือยังไงถึงต้องมารับมาส่ง...
"พ่อกลับก่อน ตั้งใจเรียนนะลูก" จางหยวนพูดพร้อมกับยิ้มตามลูกสาวทันที รอยยิ้มแบบนี้ใครเห็นก็ต้องยิ้มตาม
"พ่อกลับดี ๆ นะคะ" เยว่หรูโบกมือลาพ่อ ก่อนที่จะเข้าไปเลือกนั่งเก้าอี้ภายในห้องที่ตอนนี้มีนักเรียนบางคนเริ่มจับจองที่นั่งแล้ว
วันแรกของการเปิดเรียนไม่รู้ต้องเรียนอะไร และที่สำคัญเธออยู่ชั้นไหนยังไม่รู้เลย ต้องปั้นหน้านิ่งเพราะกลัวคนอื่นมาถาม หน้าห้องก็ไม่มีป้ายติดบอกระดับชั้นเลย... จะถามพ่อก็กลัวพ่อสงสัย หากเทียบอายุกับโลกเดิมก็ต้องเรียนอยู่ประมาณมัธยมศึกษาตอนต้น แต่นี่คือโลกนิยายที่ใช้การอ้างอิงเพียงเท่านั้น เลยไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเรียนอยู่ชั้นอะไร...
บทที่ 8 นี่คงเป็นข้อดีของการเป็นนางเอกเยว่หรูนั่งรอเวลา... แต่สายตาของเธอก็มองสิ่งต่าง ๆ รอบตัวไปด้วย เธอมองไปทางด้านนอกหน้าต่าง เห็นหลังคาน่าจะเป็นอาคารขนาดใหญ่ แต่เธอมองไม่เห็นทั้งหมดเพราะมีกำแพงกั้นอยู่ หากในยุคนี้มีกำแพงรั้วรอบขอบชิด นั่นหมายถึงสถานที่แห่งนี้น่าจะสำคัญหรือไม่ก็บ้านตระกูลใหญ่ ๆ ส่วนมากคนที่นี่ทำกำแพงบ้านด้วยไม้กันทั้งนั้น แต่เท่าที่ดูก็น่าจะเป็นดินหรือไม่ก็อิฐบล็อก ทุกอย่างที่บอกนั้นเดาล้วน ๆไม่มีอะไรแน่นอนในนิยายเรื่องนี้เลย เดาอีกอย่างกลับเป็นอีกอย่าง อยู่มาเดือนกว่า เรียนรู้มาพอสมควร และจะให้หมอแผนจีนไปมองว่าบ้านนี่ทำด้วยอิฐหรือดินจบเลย เพราะเคยลองแล้ว บ้านทำด้วยอิฐแต่เอาดินมาทาเหมือนฉาบปูนไว้ก็มี อย่าเดาเกี่ยวกับอะไรในนิยายเรื่องนี้เลย..."นักเรียนทุกคนมาเข้าแถวหน้าห้องก่อน ครูจะได้ตรวจนับและแจกสมุดหนังสือ" ชายสูงวัยที่แทนตัวเองว่าครู เรียกนักเรียนที่อยู่ในห้องทั้งหมดให้ออกไปหน้าห้องเยว่หรูลุกขึ้นยืน กระชับกระเป๋าผ้าสะพายบ่าเดินออกไปตามที่ครูเรียก กระเป๋าที่เธอมีนั้นน่าจะมาจากพ่อที่แท้จริงซื้อให้ มันยังดูดีถึงแม้มันจะเก่าแล้ว แล้วเยว่หรูคนเก่าเก็บไว้ในตู้เสื
บทที่ 9 มองหาลู่ทาง"ครูคะ... หนูมีเรื่องอยากถามและขอคำแนะนำจากครู" เยว่หรูถามขึ้น... ตอนที่ครูเริ่มปล่อยนักเรียนให้ออกจากห้องเรียนเพื่อให้นักเรียนไปเบิกอุปกรณ์การเรียนและไปรับอาหารกลางวัน เนื่องจากวันนี้ไม่ได้มีการเรียนการสอน เลยปล่อยให้นักเรียนกลับบ้านเร็ว หากเปรียบเทียบกับโลกเดิม... เหมือนมาฟังครูแนะแนว ซื้ออุปกรณ์การเรียน จ่ายค่าเทอม เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเรียนในวันถัดไป "มีปัญหาอะไรหรือเปล่าเยว่หรู" ครูถามกลับพร้อมกับยิ้มอย่างเอ็นดู น้อยนักที่จะมีนักเรียนหญิงมาเรียน และที่สำคัญ เขามองเยว่หรูแล้ว... ทำให้นึกถึงลูกสาวของเขาที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับ... เลยทำให้เอ็นดูเยว่หรูพอสมควร"คือหนูไม่รู้ว่าชั้นเรียนนี้ต้องทำอะไรบ้าง... แบ่งเวลาแบบไหน แล้วถ้าหนูอยากรู้เรื่องการเมือง การเงิน การปกครอง ข้อห้าม ข้อบังคับต่าง ๆ หนูสามารถหาคำตอบได้จากที่ไหนคะ มีหนังสือให้หนูอ่านไหมคะ" เมื่อครูเปิดโอกาสให้ถาม... เยว่หรูก็ไม่รอช้า หากอยากลืมตาอ้าปากได้เร็ว อย่างแรกที่ต้องมีคือข้อมูล สิ่งไหนที่พวกเขาห้ามทำ ผิดกฎหรืออะไรยังไง... จะได้รู้ว่าตัวเองจะทำอะไรได้บ้างในนิยายเรื่องนี้ที่เธอเข้ามาอยู่ อ้
บทที่ 10 ทุกอย่างคือการลงทุนเยว่หรูมาเรียนได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว ได้เรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่าง ได้เรียนรู้แนวทางที่เธอจะเรียนเกี่ยวกับแพทย์แผนโบราณของที่นี่ จะต้องเรียนจบอะไร แล้วไปต่อที่ไหน มันดีตรงที่ว่าในนิยายเรื่องนี้สามารถสอบเทียบได้ ไม่ต้องเรียนตรงตามเวลาที่ทางโรงเรียนกำหนดก็ได้ แค่สอบผ่านระดับตามที่ทางโรงเรียนกำหนดก็พอ การเรียนในมหาวิทยาลัยก็เช่นกัน สามารถสอบเทียบได้ ทุกวันก่อนกลับบ้าน เยว่หรูจะหิ้วปิ่นโตใส่อาหารกลับไปด้วย อาหารที่ได้มาก็คืออาหารที่เธอใช้คูปองที่คุณครู หมิงเว่ย ให้มาและนำไปยื่นที่โรงอาหาร เธอก็ได้ปิ่นโตใส่อาหารหนึ่งเถากลับบ้าน ในปิ่นโตจะมีข้าวและกับข้าวหนึ่งอย่าง บางวันอาจมีผลไม้เพิ่มให้หนึ่งอย่าง แต่ไม่ได้มีทุกวัน อาหารที่ได้ไม่ได้เยอะมากนัก แต่มันสามารถทำให้ครอบครัวของเธอประหยัดขึ้นและมีอาหารกินเพิ่มขึ้น พอเช้าวันต่อมาค่อยเอาปิ่นโตเปล่ามาส่งที่โรงอาหาร เยว่หรูทำแบบนี้ติดต่อกันตั้งแต่วันแรกที่มาเรียนแล้วเยว่หรูเริ่มปรับตัวได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเรื่องการเรียน การใช้ชีวิต วางแผนเพื่อที่จะเรียนในด้านที่ตัวเองถนัด วางแผนเรื่องช่วยเหลือครอบครัวเพื่อให้มีชีวิตดีขึ้นต
บทที่ 11 ลงทุนเพื่อหวังผลกำไรเพียะ!! เมื่อหลิวเจียอิงไม่สามารถยั้งอารมณ์กรุ่นโกรธได้ก็ลงมือตบตีทันที"มึงอย่าอยู่เลยอีนังกาฝาก เลวทั้งแม่ทั้งลูก!! สารเลวทั้งครอบครัว!! " นางหลิวไม่สนใจสิ่งใด ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่สนใจว่ามีคนกำลังเดินเข้ามา ไม่ใช่แค่คนงาน ยังมีกลุ่มคุณครูของเยว่หรูเดินมาด้วยเมื่อทุกคนเห็นภาพตรงหน้า ต่างวิ่งเข้ามาช่วยแยกนางหลิวออกจากเยว่หรูทันที เยว่หรูโดนดึงเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของใครก็ไม่รู้เพราะมันชุลมุนวุ่นวายไปหมด "เจ็บไหมลูก" เสียงสั่นเครือของมารดาสอบถาม พร้อมกับจับลูกหันซ้ายหันขวาตรวจดูว่าบาดเจ็บตรงไหนบ้าง"เจ็บ... ข้าวเราหกหมดเลย" เยว่หรูตอบพร้อมกับเม้มปากแน่น... แล้วชี้นิ้วไปทางปิ่นโตที่นอนแอ้งแม้งที่พื้น อาหารกลางวันของเธอกระจัดกระจายเต็มพื้น"ช่างมันลูก เยว่หรูเจ็บตรงไหนบ้าง" จางหยวนและภรรยาคือคนที่วิ่งมาดึงตัวลูกสาวออกมาตั้งแต่แรก จางหยวนผลักแม่เลี้ยงออกไปให้ห่างจากลูกสาวของเขาอย่างไม่สนใจหากเป็นแต่ก่อนเขาก็ยังพอที่จะพูดจาและไว้หน้าอยู่บ้าง ถึงจะไม่ชอบ แต่เห็นแก่พ่อของเขาเลยไม่สนใจแม่เลี้ยงมากนัก แต่ครั้งนี้ เขาเห็นแม่เลี้ยงทำร้ายลูกสาวต่อหน้าต่อตา ทั้งที่
บทที่ 12 ผลกำไรที่ได้รับเยว่หรูรดน้ำผักอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าข้างหนึ่งจะบวมเป่งจากการถูกยัยป้าข้างบ้านตบ ไม่สิ... ป้าข้างบ้านไม่กล้าขนาดนี้ ส่วนมากแค่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นมากกว่า บางทีก็มีประโยชน์ เหมือนมีกล้องวงจรปิดประจำบ้านให้ด้วย แขกไปใครมาสามารถรู้หมด ไม่ต้องเสียเงินติดตั้งด้วย แถมรายงานผลรวดเร็วทันใจอีกต่างหากเมื่อรดน้ำผักเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เดินเก็บใบไม้แห้งทั้งหลายมาโยนใส่หลุมไว้ทำปุ๋ยใบไม้แห้ง ทำงานไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี... ไม่ว่าเสียงร้องจะเหิน สำเนียงจะเพี้ยนแค่ไหนก็ยังร้องอย่างอารมณ์ดี...การลงทุนของเยว่หรูนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทุกคนในหมู่บ้านเข้าข้างเธอเพียงแค่เห็นยัยป้านั่นด่าทอบ่อย ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่เธอไม่ตอบโต้ไม่พูดไม่เถียง เพื่อทำให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ยัยป้าทำ แต่พอเจอวันที่เธอเอาคืน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการยั่วยุให้ยัยป้าโดดลงมาทำร้ายเธอเลยทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่ยัยป้าพูดถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่หากไม่ทำแบบนั้นเธอจะเอาอะไรไปสู้ ตบตีไม่มีทางชนะเพราะตัวเธอเล็กนิดเดียว จากที่ใช้สมองอันน้อยนิดคิดก็มีแต่เรื่องน
บทที่ 13 เข้าเมืองคนเดียวเยว่หรูเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้างแล้ว ตอนเช้าจะช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยพ่อรดน้ำผัก เริ่มทดลองปลูกสมุนไพรที่ทางการอนุญาตให้ปลูกได้ เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามเดือนแล้ว หมดหวังเรื่องมิติวิเศษเหมือนในนิยายที่ตัวเองชอบอ่าน... สามเดือนแล้วคงไม่มีมาแล้ว...เรื่องยัยป้ามหาภัยนั่นเริ่มดีขึ้น อาจเพราะยังไม่ได้เจอกัน... เลยยังไม่มีปัญหา และตั้งแต่ที่เธอพูดกับพ่อเมื่อวันนั้น พ่อก็พูดกับปู่ในวันที่ปู่เรียกพ่อไปหาอีกครั้ง ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมปู่ถึงชอบเรียกพ่อไปที่บ้านนั้นบ่อย ๆ ทำไมไม่มาดูบ้างว่าพ่ออยู่ยังไง แต่พอแม่บอกว่า... เพราะปู่ต้องการให้พ่อรู้ว่าที่นั่นก็คือครอบครัวพ่อเหมือนกันไม่รู้ว่าพวกเขานิยามคำว่าครอบครัวแบบไหน พ่อลำบากกว่าลูกคนอื่น ๆ อยากให้มาดูบ้านพ่อ ที่อยู่ที่นอนของพ่อเหลือเกิน หากเปรียบกับพวกเขาแล้ว แตกต่างกันอย่างมากยังดีที่ตอนนี้ครอบครัวของเธอได้เสื้อผ้ามาจากคุณครูที่โรงเรียนเอามาให้ เลยมีเสื้อผ้าใส่เปลี่ยนหลายชุด ภรรยาของคุณครูหมิงเว่ยก็เอาชุดที่ไม่ได้ใส่แล้วมาให้แม่ของเธอด้วย พ่อของเธอก็ได้เสื้อผ้าบางตัวของคุณครูหมิงเว่ย แต่แค่บางตั
บทที่ 14 เริ่มทำแบบทดสอบแบบทดสอบที่เยว่หรูได้รับมีทั้งหมดสองฉบับ... หนึ่งฉบับเป็นแบบทดสอบเกี่ยวกับความรู้สมุนไพรเบื้องต้น แบบที่สองคือการรักษาขั้นพื้นฐานของแพทย์แผนจีน... แบบทดสอบต้องตอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด หรือก็คืออัตนัยนั่นเอง...ถึงแม้ว่าเยว่หรูจะเป็นแพทย์แผนจีนมาก่อน แต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะสิ่งที่เธอถนัดและคุ้นเคยนั้น... เป็นความรู้และการรักษาแบบโลกเดิม คือปี 2020 มันคือการรักษาแบบประยุกต์ มีการรักษาแผนปัจจุบันเข้ามาร่วมด้วย หากทดสอบโดยให้รักษาจะไม่มีปัญหาเพราะเธอเคยทำมาแล้ว แต่การทดสอบตอนนี้นั้น... ต้องตอบตามแบบหนังสือ พลิกแพลงมากไม่ได้ เลยทำให้เยว่หรูใช้เวลาในการทดสอบเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรค่อนข้างนานทำแบบทดสอบได้... แต่ไม่รู้จะผ่านไหม ต้องรอดูอย่างเดียว มั่นใจมากไม่ดี... จงรู้ไว้ว่าในหนังสือเรียนกับสถานการณ์จริงแตกต่างกันมาก แล้วคนที่เรียนจบมาจนทำงานแล้วแบบเธอ... บางอย่างในหนังสือเรียนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็หลงลืมเป็นธรรมดา และที่สำคัญหนังสือเรียนแพทย์แผนจีนของที่นี่ก็ไม่ค่อยมีให้อ่านมากนัก"เสร็จแล้วค่ะ" เยว่หรูยื่นเอกสารให้คุณตา ก่อนจะมานั่งรอและมองทุกอย่างรอบ ๆ ตัว เหมือนที่นี
บทที่ 15 มาช้าดีกว่าไม่มาเยว่หรูเดินกลับบ้านในทิศทางเดิม เธอไม่ได้ออกนอกเส้นทางไปทางอื่นเลย มองเวลาแล้วเธอต้องรีบกลับ หากชักช้ามันอาจถึงบ้านมืดได้ เพราะตั้งใจเดินกลับบ้านเพื่อประหยัดเงิน"หนู ๆ ช่วยยายหน่อย" เสียงร้องเรียกใครไม่รู้ แต่เพราะมันเสียงดังเลยทำให้เยว่หรูที่กำลังรีบเดินกลับบ้านหันไปมองหาที่มาของเสียง"เรียกหนูเหรอคะ" เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตัวเธอเองก็หันไปถามคุณยาย"ใช่ ๆ พอดียายจะกลับบ้านแต่ของมันเยอะ ช่วยถือไปส่งหน่อยได้ไหม ไม่ไกล ๆ ซอยข้างหน้านี่เอง" เมื่อเห็นเด็กสาวหันมามองแล้วเลยขอความช่วยเหลือ"อ้อ... ได้ค่ะคุณยาย" เยว่หรูมองกระสอบที่วางอยู่ใกล้ ๆ เลยเข้าไปช่วยหิ้วทันที"ยายเดินนำ ตามมาเลย" บอกจบก็เดินนำหน้าเลยส่วนเยว่หรูที่อุ้มกระสอบก็สงสัยว่าคืออะไรอยู่ข้างใน มันไม่ได้หนักมาก จากที่สัมผัสดูเหมือนเป็นผ้าเลย มัวแต่มองสิ่งที่ตัวเองถือและเดินตามหลังคุณยายเลยไม่ได้สังเกตสิ่งที่อยู่รอบข้าง"ส่งถึงตรงนี้แหละหนู ขอบใจมาก อันนี้ยายให้เป็นค่าตอบแทน" บอกพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือมาให้"ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย แค่นี้เองค่ะ" เยว่หรูบอกพลางวางกระสอบก่อนที่จะมองรอบ ๆ ความสงสัยก็เกิดขึ้นทั
บทที่ 20 ความรู้สึกไม่ต่างกันเยว่หรูเดินตามมาที่ห้องพักที่แยกเป็นสัดส่วนค่อนข้างเป็นส่วนตัว ส่วนมากมีแต่ญาติของคนไข้ที่เฝ้าอยู่เพียงเท่านั้น พอเยว่หรูมาถึงอาจารย์ก็เริ่มสอนสิ่งต่าง ๆ โดยที่สอนตรวจคนไข้ว่าควรตรวจแบบไหน เพื่อประหยัดเวลาและได้ผลที่แม่นยำทุกอย่างดำเนินไปอย่างดี เนื่องจากคนไข้ยอมให้ตรวจดี ๆ นอนมองนิ่ง ๆ เพียงเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไล่หมอพยาบาลออกไปทั้งหมด แต่เขากลับให้ลูกศิษย์กับอาจารย์สองคนทั้งจับพลิกดูตามร่างกายได้ตามต้องการ"อาจารย์ จากที่หนูดูไม่ใช่แค่ร่างกายอย่างเดียว หนูคิดว่าน่าจะมาจากจิตใจและความคิดด้วย" เยว่หรูสังเกตคนไข้แล้วรู้สึกว่าช่างคุ้นเคยกับอาการนี้เหลือเกิน"มีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียว" อาจารย์ก็เห็นด้วยกับที่ลูกศิษย์คนล่าสุดบอกมา"เยว่หรูจะรักษาด้วยวิธีไหน เขียนรายงานมาด้วย รักษาแค่เบื้องต้นก่อน ส่วนต้องการเบิกอะไรก็สามารถใช้ญาติของคนไข้ไปจัดการได้เลย และนี่คือเอกสารที่ต้องเขียนรายละเอียดยื่นให้สมาพันธ์ มีเอกสารด้วย เตรียมมาให้พร้อมแล้วเอามาให้อาจารย์ เข้าใจไหม และหากรักษาเบื้องต้นเสร็จก็กลับบ้านได้เลย อาจารย์ต้องรีบไปประชุม" อาจารย์หม่าสั่งงาน
บทที่ 19 เรียกร้องในทุกเช้า เยว่หรูจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารบำรุงหลายอย่าง ต้มน้ำแกง ต้มยาสมุนไพรต่าง ๆ และทำอาหารหลากหลายเมนูเก็บไว้ ในทุกวันที่ไปเรียน เยว่หรูต้องเอาน้ำต้มสมุนไพรไปฝากคุณครูหมิงเว่ยเธอยังไม่สามารถให้อย่างอื่นเพื่อตอบแทนคุณครูได้ เพราะครูรู้ดีว่าครอบครัวของเธอยากจน การที่จะได้กินหรือมีสิ่งของดี ๆ นั้นมันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เมื่อมีโอกาสเธอต้องตอบแทนแน่นอนในระหว่างที่ตัวเองกำลังคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจ เหมือนคนไข้ที่ชื่อหานหรงอี้นั้นไม่เป็นอะไรเลย การไหลเวียนของเลือดมันไม่สมดุลและเหมือนร่างกายมีภาวะเย็นมากเกินไป แต่เธอไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เพราะการตรวจของเธอนั้นต้องยุติก่อนที่จะตรวจเสร็จ ยังไม่ได้ดู ดม และสอบถามเลย อาจารย์ก็บอกพอก่อนและให้เธอกลับมาทำรายงานส่งเยว่หรูมองไปที่สมุดรายงานของตัวเอง ก่อนที่จะจัดเตรียมอาหารให้เรียบร้อย เมื่อวานพ่อก็ต้องเดินไปรอรับ เพราะกว่าจะออกจากโรงพยาบาลก็เริ่มเย็นแล้ว แล้วที่นี่จะมืดเร็วเสียด้วย หกโมงเย็นนี่เริ่มมืดแล้ว ทั้งที่เธออยากให้พ่อแม่พักผ่อนแต่ต้องไปรับเธอกลับ คงต้องหาวิธีอื่นรอแล้ว ไม่
บทที่ 18 หานหรงอี้จางหยวนขอตัวจากกลุ่มคนมาใหม่และหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อจะได้รีบไปส่งลูกสาวแล้วไปทำธุระของเขาให้เรียบร้อย และที่เขารีบขอตัวออกมาเพราะเห็นกลุ่มคนมาใหม่มองลูกสาวของเขาไม่วางตาเลย ทั้งที่ลูกสาวเขายืนอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนก็ดูจะสนใจลูกสาวของเขา ทางที่ดีต้องรีบออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุดหานหรงอี้ มองตามคนตัวเล็กกับพ่อเดินไปจนสุดสายตา ทั้งที่คนตัวเล็กไม่ยอมหันมาทักทายหรือยิ้มแย้ม มันยิ่งทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเด็กสาวจะชอบคนที่มียศมีตำแหน่งหรอกหรือ การมาของพวกเขานั้นไม่ใช่ความลับ ยังไงสาวน้อยคงจะพอรู้ หากบอกว่าหลบเพราะเขินอายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสายตาที่ใช้มองพวกเขานั้นเหมือนรังเกียจมากกว่า"นายครับ เราต้องไปให้ทันเวลาหมอนัดนะครับ" ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาหานายที่ไม่สนใจจะไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัดเลย"จะรีบไปไหน โรงพยาบาลก็อยู่แค่นี้ ไม่ต้องตามกันมาเยอะแยะ กลับไปดูคนงานได้แล้ว" หานหรงอี้บอกลูกน้องที่ตามมาเป็นพรวน ทั้งที่อาการเขาดีขึ้นแล้ว เดินเหินได้เหมือนเดิม แต่คนพวกนี้ก็ยังจะตามติดเขาอยู่นั่นแหละ"นายมองสาวน้อยคนนั้นหรือกำลังชื่นชมธรรมชาติครับ" คนสนิทมองตามสายตาคนเป็นนาย
บทที่ 17 คนมาใหม่เมื่อคืนเยว่หรูเข้ามานอนในมิติบ้าน เพื่อเตรียมสิ่งของที่จะได้ทำอาหารในตอนเช้า เช้านี้เลยมีทั้งกับข้าวที่เป็นไข่ม้วน กับข้าวสวยร้อน ๆ และมีกระดูกหมูตุ๋นยาจีน เตรียมนมอุ่น ๆ และต้มยาสมุนไพรด้วย ตอนนี้ยังหาข้ออ้างไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะบอกว่าเอาสิ่งของพวกนี้มาจากไหน ต้องรอกลับจากโรงพยาบาลแล้วค่อยบอกเป็นค่าตอบแทน เพราะวันนี้เธอมีไปฝึกงานที่โรงพยาบาลส่วนมื้อเช้ามีแบบไหนก็คงต้องกินแบบนั้นไปก่อน ถึงจะอยากให้ทุกคนได้กินอาหารดี ๆ แต่หากไม่ระวัง... ความลับที่ต้องการปกปิดมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แล้วหากมันไม่ได้เป็นความลับ เรื่องที่เธอปิดบังทั้งหมดก็อาจถูกเปิดเผย... คนมีความลับเยอะอย่างเยว่หรูเลยต้องทำทุกอย่างให้แนบเนียน...ในโลกนี้ยุคนี้... กินดีอยู่ดีมากไปก็ไม่ดี... แต่หากหาที่มาที่ไปได้ก็ไม่มีปัญหา... รอให้เธอรู้ผลว่าผ่านการทดสอบเสียก่อน... เธอยังสามารถบอกว่าทุกอย่างที่ได้มาคือสิ่งของสนับสนุน แต่หากเธอไม่ผ่าน... ค่อยคิดหาวิธีอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร...เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เข้าไปอาบน้ำทาครีมบำรุง... ทำทุกอย่างแบบที่เคยทำในโลกเดิม ยังดีที่เครื่องสำอางที่ใช้..
บทที่ 16 ตอบแทนบุญคุณ... คนที่สมควรจะได้รับขอบคุณคุณยายที่มอบสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้หนู... ขอบคุณที่คุณยายยัดเยียดให้ทั้งที่ตอนแรกหนูปฏิเสธไปแล้ว ขอบคุณมาก ๆ นะคะเยว่หรูกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง หลังจากที่พิสูจน์ได้แล้วว่า... สร้อยข้อมือนี้คือมิติบ้านของเธอ... หากอยากเข้าหรือออกเพียงเอามือสัมผัสที่สร้อยข้อมือก็สามารถเข้าออกได้ตามที่ใจต้องการเยว่หรูสามารถหยิบสิ่งของออกมาข้างนอกได้... มันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านเจอ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งของที่เธอหยิบออกมาแล้วมันจะมีมาเติมให้ใหม่ไหม หรือว่าหมดแล้วหมดเลย เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาเป็นการพิสูจน์ "เอานมนี่แหละ... ลองก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจับเวลาว่าด้านนอกกับในมิติบ้านนี้เวลาแตกต่างกันไหม" เยว่หรูพึมพำพร้อมกับหยิบนาฬิกาจับเวลา เพื่อพิสูจน์ว่าด้านนอกและด้านในมีเวลาเท่ากันไหมส่วนอาหารที่เอาออกมาก็ยังเอาอะไรออกมามากไม่ได้ หากแตกต่างมาก เยว่หรูจะยังไม่เอาออกไปข้างนอก เพราะมันต้องมีคำถามตามมาแน่ ๆ เธอยังไม่อยากให้ใครรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้... ไม่รู้มีข้อห้ามอะไรไหม... หากบอกคนอื่นแล้วมิติบ้านหายไปล่ะ... เธอยังไม่อยากเสี่ยงในตอนนี้และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
บทที่ 15 มาช้าดีกว่าไม่มาเยว่หรูเดินกลับบ้านในทิศทางเดิม เธอไม่ได้ออกนอกเส้นทางไปทางอื่นเลย มองเวลาแล้วเธอต้องรีบกลับ หากชักช้ามันอาจถึงบ้านมืดได้ เพราะตั้งใจเดินกลับบ้านเพื่อประหยัดเงิน"หนู ๆ ช่วยยายหน่อย" เสียงร้องเรียกใครไม่รู้ แต่เพราะมันเสียงดังเลยทำให้เยว่หรูที่กำลังรีบเดินกลับบ้านหันไปมองหาที่มาของเสียง"เรียกหนูเหรอคะ" เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตัวเธอเองก็หันไปถามคุณยาย"ใช่ ๆ พอดียายจะกลับบ้านแต่ของมันเยอะ ช่วยถือไปส่งหน่อยได้ไหม ไม่ไกล ๆ ซอยข้างหน้านี่เอง" เมื่อเห็นเด็กสาวหันมามองแล้วเลยขอความช่วยเหลือ"อ้อ... ได้ค่ะคุณยาย" เยว่หรูมองกระสอบที่วางอยู่ใกล้ ๆ เลยเข้าไปช่วยหิ้วทันที"ยายเดินนำ ตามมาเลย" บอกจบก็เดินนำหน้าเลยส่วนเยว่หรูที่อุ้มกระสอบก็สงสัยว่าคืออะไรอยู่ข้างใน มันไม่ได้หนักมาก จากที่สัมผัสดูเหมือนเป็นผ้าเลย มัวแต่มองสิ่งที่ตัวเองถือและเดินตามหลังคุณยายเลยไม่ได้สังเกตสิ่งที่อยู่รอบข้าง"ส่งถึงตรงนี้แหละหนู ขอบใจมาก อันนี้ยายให้เป็นค่าตอบแทน" บอกพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือมาให้"ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย แค่นี้เองค่ะ" เยว่หรูบอกพลางวางกระสอบก่อนที่จะมองรอบ ๆ ความสงสัยก็เกิดขึ้นทั
บทที่ 14 เริ่มทำแบบทดสอบแบบทดสอบที่เยว่หรูได้รับมีทั้งหมดสองฉบับ... หนึ่งฉบับเป็นแบบทดสอบเกี่ยวกับความรู้สมุนไพรเบื้องต้น แบบที่สองคือการรักษาขั้นพื้นฐานของแพทย์แผนจีน... แบบทดสอบต้องตอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด หรือก็คืออัตนัยนั่นเอง...ถึงแม้ว่าเยว่หรูจะเป็นแพทย์แผนจีนมาก่อน แต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะสิ่งที่เธอถนัดและคุ้นเคยนั้น... เป็นความรู้และการรักษาแบบโลกเดิม คือปี 2020 มันคือการรักษาแบบประยุกต์ มีการรักษาแผนปัจจุบันเข้ามาร่วมด้วย หากทดสอบโดยให้รักษาจะไม่มีปัญหาเพราะเธอเคยทำมาแล้ว แต่การทดสอบตอนนี้นั้น... ต้องตอบตามแบบหนังสือ พลิกแพลงมากไม่ได้ เลยทำให้เยว่หรูใช้เวลาในการทดสอบเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรค่อนข้างนานทำแบบทดสอบได้... แต่ไม่รู้จะผ่านไหม ต้องรอดูอย่างเดียว มั่นใจมากไม่ดี... จงรู้ไว้ว่าในหนังสือเรียนกับสถานการณ์จริงแตกต่างกันมาก แล้วคนที่เรียนจบมาจนทำงานแล้วแบบเธอ... บางอย่างในหนังสือเรียนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็หลงลืมเป็นธรรมดา และที่สำคัญหนังสือเรียนแพทย์แผนจีนของที่นี่ก็ไม่ค่อยมีให้อ่านมากนัก"เสร็จแล้วค่ะ" เยว่หรูยื่นเอกสารให้คุณตา ก่อนจะมานั่งรอและมองทุกอย่างรอบ ๆ ตัว เหมือนที่นี
บทที่ 13 เข้าเมืองคนเดียวเยว่หรูเริ่มชินกับการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่บ้างแล้ว ตอนเช้าจะช่วยแม่ทำงานบ้าน ช่วยพ่อรดน้ำผัก เริ่มทดลองปลูกสมุนไพรที่ทางการอนุญาตให้ปลูกได้ เยว่หรูมาอยู่ที่นี่ได้เกือบสามเดือนแล้ว หมดหวังเรื่องมิติวิเศษเหมือนในนิยายที่ตัวเองชอบอ่าน... สามเดือนแล้วคงไม่มีมาแล้ว...เรื่องยัยป้ามหาภัยนั่นเริ่มดีขึ้น อาจเพราะยังไม่ได้เจอกัน... เลยยังไม่มีปัญหา และตั้งแต่ที่เธอพูดกับพ่อเมื่อวันนั้น พ่อก็พูดกับปู่ในวันที่ปู่เรียกพ่อไปหาอีกครั้ง ในตอนแรกเธอไม่เข้าใจว่าทำไมปู่ถึงชอบเรียกพ่อไปที่บ้านนั้นบ่อย ๆ ทำไมไม่มาดูบ้างว่าพ่ออยู่ยังไง แต่พอแม่บอกว่า... เพราะปู่ต้องการให้พ่อรู้ว่าที่นั่นก็คือครอบครัวพ่อเหมือนกันไม่รู้ว่าพวกเขานิยามคำว่าครอบครัวแบบไหน พ่อลำบากกว่าลูกคนอื่น ๆ อยากให้มาดูบ้านพ่อ ที่อยู่ที่นอนของพ่อเหลือเกิน หากเปรียบกับพวกเขาแล้ว แตกต่างกันอย่างมากยังดีที่ตอนนี้ครอบครัวของเธอได้เสื้อผ้ามาจากคุณครูที่โรงเรียนเอามาให้ เลยมีเสื้อผ้าใส่เปลี่ยนหลายชุด ภรรยาของคุณครูหมิงเว่ยก็เอาชุดที่ไม่ได้ใส่แล้วมาให้แม่ของเธอด้วย พ่อของเธอก็ได้เสื้อผ้าบางตัวของคุณครูหมิงเว่ย แต่แค่บางตั
บทที่ 12 ผลกำไรที่ได้รับเยว่หรูรดน้ำผักอย่างอารมณ์ดี ถึงแม้ใบหน้าข้างหนึ่งจะบวมเป่งจากการถูกยัยป้าข้างบ้านตบ ไม่สิ... ป้าข้างบ้านไม่กล้าขนาดนี้ ส่วนมากแค่ชอบถาม อยากรู้อยากเห็นมากกว่า บางทีก็มีประโยชน์ เหมือนมีกล้องวงจรปิดประจำบ้านให้ด้วย แขกไปใครมาสามารถรู้หมด ไม่ต้องเสียเงินติดตั้งด้วย แถมรายงานผลรวดเร็วทันใจอีกต่างหากเมื่อรดน้ำผักเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เดินเก็บใบไม้แห้งทั้งหลายมาโยนใส่หลุมไว้ทำปุ๋ยใบไม้แห้ง ทำงานไปด้วยร้องเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี... ไม่ว่าเสียงร้องจะเหิน สำเนียงจะเพี้ยนแค่ไหนก็ยังร้องอย่างอารมณ์ดี...การลงทุนของเยว่หรูนั้นถือว่าประสบผลสำเร็จเป็นอย่างมาก ทุกคนในหมู่บ้านเข้าข้างเธอเพียงแค่เห็นยัยป้านั่นด่าทอบ่อย ๆ นี่คือเหตุผลหนึ่งที่ตลอดระยะเวลาเดือนกว่าที่เธอไม่ตอบโต้ไม่พูดไม่เถียง เพื่อทำให้ทุกคนได้เห็นในสิ่งที่ยัยป้าทำ แต่พอเจอวันที่เธอเอาคืน ไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการยั่วยุให้ยัยป้าโดดลงมาทำร้ายเธอเลยทำให้คนไม่เชื่อในสิ่งที่ยัยป้าพูดถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่หากไม่ทำแบบนั้นเธอจะเอาอะไรไปสู้ ตบตีไม่มีทางชนะเพราะตัวเธอเล็กนิดเดียว จากที่ใช้สมองอันน้อยนิดคิดก็มีแต่เรื่องน