บทที่ 14 เริ่มทำแบบทดสอบ
แบบทดสอบที่เยว่หรูได้รับมีทั้งหมดสองฉบับ... หนึ่งฉบับเป็นแบบทดสอบเกี่ยวกับความรู้สมุนไพรเบื้องต้น แบบที่สองคือการรักษาขั้นพื้นฐานของแพทย์แผนจีน... แบบทดสอบต้องตอบเป็นข้อเขียนทั้งหมด หรือก็คืออัตนัยนั่นเอง...
ถึงแม้ว่าเยว่หรูจะเป็นแพทย์แผนจีนมาก่อน แต่ก็ยังไม่วางใจ เพราะสิ่งที่เธอถนัดและคุ้นเคยนั้น... เป็นความรู้และการรักษาแบบโลกเดิม คือปี 2020 มันคือการรักษาแบบประยุกต์ มีการรักษาแผนปัจจุบันเข้ามาร่วมด้วย หากทดสอบโดยให้รักษาจะไม่มีปัญหาเพราะเธอเคยทำมาแล้ว แต่การทดสอบตอนนี้นั้น... ต้องตอบตามแบบหนังสือ พลิกแพลงมากไม่ได้ เลยทำให้เยว่หรูใช้เวลาในการทดสอบเรื่องการรักษาด้วยสมุนไพรค่อนข้างนาน
ทำแบบทดสอบได้... แต่ไม่รู้จะผ่านไหม ต้องรอดูอย่างเดียว มั่นใจมากไม่ดี... จงรู้ไว้ว่าในหนังสือเรียนกับสถานการณ์จริงแตกต่างกันมาก แล้วคนที่เรียนจบมาจนทำงานแล้วแบบเธอ... บางอย่างในหนังสือเรียนที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็หลงลืมเป็นธรรมดา และที่สำคัญหนังสือเรียนแพทย์แผนจีนของที่นี่ก็ไม่ค่อยมีให้อ่านมากนัก
"เสร็จแล้วค่ะ" เยว่หรูยื่นเอกสารให้คุณตา ก่อนจะมานั่งรอและมองทุกอย่างรอบ ๆ ตัว เหมือนที่นี่ไม่ค่อยมีคนมากนัก หรืออาจไปประจำตามโรงพยาบาล ตามคลินิกแพทย์ของคอมมูน หรืออีกชื่อหนึ่งที่คนเรียกคือสถานีแพทย์ เพราะนโยบายของรัฐบาลจะต้องมีสถานีแพทย์ประจำคอมมูน ประจำโรงงานอุตสาหกรรม ต้องบอกว่าทุกสถานที่ต้องมีสถานีแพทย์
"ทำไมถึงเลือกมาสมัครเป็นผู้ช่วย หากพอรู้เรื่องสมุนไพรและการรักษาบ้างสามารถฝึกเป็นหมอเท้าเปล่าได้เลย หากทำงานก็สามารถมีเงินเดือนได้เลย การมาเป็นผู้ช่วยไม่ใช่ว่าจะได้เงินเดือนเลย" เขามองเด็กสาวที่ตัวเล็กและดูเด็กกว่าอายุที่แจ้งมาเสียอีก จากการที่ตรวจดูกระดาษคำตอบคร่าว ๆ ต้องยอมรับว่าเด็กคนนี้มีความรู้มากพอสมควร เหลือแค่ทดสอบภาคปฏิบัติเท่านั้นที่ยังไม่รู้ว่าจะทำออกมาได้หรือเปล่า
"เพราะหนูอยากมีใบประกอบวิชาชีพจากสมาพันธ์ค่ะ มันง่ายต่อการทำงานไม่ว่าจะย้ายไปอยู่ไหน หนูก็ยังสามารถทำงานนี้ได้โดยไม่ต้องยื่นขอใหม่ค่ะ" เยว่หรูตอบไปตามความจริง การสมัครเป็นผู้ช่วยคือก้าวแรกเพียงเท่านั้น ในเมื่อยังไม่ถึงเวลาการสอบชิงทุน ก็มาฝึกมือและมาเพื่อที่จะได้โอกาสด้วยเช่นกัน
"หากเข้าใจไม่ผิด... นี่คือก้าวแรก จริง ๆ แล้วหนูอยากเป็นหมอใช่ไหม" พอจะรู้แต่ก็ถามเพื่อที่จะพาไปทดสอบภาคปฏิบัติว่าควรพาไปที่ไหน ทดสอบแบบใด
"ใช่ค่ะ แต่หนูไม่รู้ว่าตอนนี้การเรียนหรือการรักษานั้นเขาใช้แบบผสมหรือว่ายังใช้แบบดั้งเดิม" เยว่หรูพอรู้ว่ายุคนี้แพทย์แผนปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทแล้ว แต่ไม่รู้ว่าพวกเขาใช้การรักษาแบบไหน
"ตอนนี้ก็เริ่มมีการรักษาแบบผสม ส่วนมากคือการฝังเข็มให้ชาแทนการวางยาสลบ ต้องทำงานร่วมกันแพทย์แผนปัจจุบัน และเริ่มมีหลักสูตรนี้เปิดสอนแล้ว" คุณตายังคงบอกเล่า แต่ก็อ่านกระดาษคำตอบของเด็กสาวไปด้วย ยิ่งอ่านยิ่งน่าสนใจ เพราะนี่คือการรักษาที่สามารถนำไปใช้แบบเรียนและการรักษาแบบใหม่
"หากหนูผ่านและได้เป็นผู้ช่วย หนูจะมีโอกาสนั้นไหมคะ" เยว่หรูถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่ในใจกลับกรีดร้องด้วยความดีใจ มันคือการรักษาแบบที่เธอถนัดเลยแหละ ในตอนแรกไม่ค่อยมั่นใจเรื่องการรักษา แต่พอไปถามที่โรงพยาบาลมา เธอก็พอได้คำตอบจากการสอบถามหลาย ๆ คน แต่ไม่รู้ว่ารัฐบาลให้มีหลักสูตรการเรียนการสอนแบบนี้แล้วด้วย
"อาจไม่ต้องเป็นผู้ช่วย หากเจ้าผ่านการทดสอบ แต่การทดสอบนี้ต้องใช้เวลานานพอสมควร ต้องไปทดสอบของจริงเลย นั่นคือ... ไปที่โรงพยาบาล" หากอยากรู้ว่าความสามารถมีจริงไหม สามารถควบคุมความกดดันและตื่นเต้นได้จะถือว่าดีเลยแหละ เมื่ออยากรู้ก็ต้องพาไปพบผู้ป่วยจริง!!
"เมื่อไหร่คะ" เยว่หรูตอบกลับ เธอนั้นพร้อมมาก ทดสอบได้เลยขอแค่โอกาสเท่านั้น เธอจะทำอย่างสุดความสามารถเลยแหละ
"หากนัดวันหลังได้ไหม เพราะวันนี้ตาต้องออกไปข้างนอก" วันนี้คือวันที่ไม่มีคนอยู่ที่สมาพันธ์ ต่างคนต่างมีงานกันทั้งนั้น และที่สำคัญเขาอยากไปเห็นการทดสอบด้วยตาของเขาด้วยเช่นกัน
ต้องบอกว่าแต่ละจังหวัดหรือเมืองจะมีสมาพันธ์แพทย์แผนโบราณอยู่ทุกเมือง แต่พวกเขาไม่ได้เปิดเพื่อรับการรักษา เขาเปิดเพื่อให้คำปรึกษา แพทย์ที่อยู่ในสังกัดของสมาพันธ์นั้นต้องไปประจำตามสถานที่ต่าง ๆ ที่ทางสมาพันธ์และรัฐบาลเป็นคนระบุ พวกเขาจะได้เงินเดือนจากทางรัฐบาลโดยตรง แต่หากเป็นหมอเท้าเปล่า พวกเขาจะได้จากหน่วยชุมชนหรือคอมมูน
"หากเป็นเสาร์อาทิตย์ หนูสะดวกทั้งวัน แต่หากเป็นวันธรรมดาหนูต้องไปเรียนในช่วงเช้า แต่หากคุณตาจะทดสอบในช่วงวันธรรมดาก็ได้ค่ะ หนูจะลาคุณครูมาทดสอบ" เยว่หรูตอบไปตามตรง เพราะในใบแนะนำตัวนั้นระบุแล้วว่าเธอยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
"โรงเรียนของหนูอยู่ไม่ห่างจากโรงพยาบาลประจำจังหวัดใช่ไหม" เพราะไม่แน่ใจว่าใช่ที่เดียวกันไหมเลยต้องสอบถามให้แน่นอน
"ใช่ค่ะ" เยว่หรูตอบ แต่ในใจก็อยากทดสอบพรุ่งนี้เลยเสียด้วยซ้ำ
"ถ้าอย่างนั้นเอาเป็นวันจันทร์หลังเลิกเรียน เจอกันที่โรงพยาบาล ส่วนวันพรุ่งนี้ให้ทดลองทำงานเป็นผู้ช่วยที่โรงพยาบาลก่อน แล้วให้เขียนรายงานมาส่งในวันจันทร์" เมื่อเจอคนที่สามารถส่งเสริมได้ต้องรีบคว้าไว้ก่อนที่หน่วยงานอื่นจะมาแย่งตัวไป หากเก่งจริงก็ส่งเสริม แต่หากที่เขียนมาทั้งหมดคือการท่องจำแล้วนำมาเขียน ก็ค่อยว่ากันอีกที เมื่อคิดได้แบบนั้นเลยตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเอาใบส่งตัวมอบให้เด็กสาว
"เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะคุณตา" เยว่หรูกล่าวขอบคุณพร้อมกับอ่านรายละเอียดในกระดาษ
"รายละเอียดมีบอกไว้หมดแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนได้ เจอกันวันจันทร์" คุณตาเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้ม
"ค่ะ ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะ" เยว่หรูกล่าวขอบคุณอีกครั้งพร้อมกับเก็บเอกสารในกระเป๋าให้เรียบร้อย ก่อนที่จะเดินยิ้มออกไปด้วยความสุขใจ
ทางด้านคุณตาที่อยู่ในสมาพันธ์มองตามเด็กสาว พร้อมกับก้มลงมองกระดาษคำตอบ เรื่องนี้มันน่าแปลกมาก แต่แนวทางการรักษาที่เด็กสาวเขียนมานั้นมันคือการรักษาแบบใหม่ที่กำลังจะเปิดเป็นหลักสูตรให้เรียนในปีการศึกษาหน้า ยังไม่มีการเปิดเผย ยังไม่มีหนังสือออกมา แล้วเด็กคนนั้นเอาแนวทางนี้มาจากไหน
"กลับมาแล้วครับอาจารย์ ขอโทษที่ต้องให้อาจารย์มาเฝ้าสมาพันธ์แทนครับ" เด็กหนุ่มวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาในสมาพันธ์ รีบกล่าวขอโทษขออภัยอาจารย์ผู้เป็นประธานของสมาพันธ์แพทย์แผนโบราณประจำจังหวัด เพราะมีเรื่องเขาเลยต้องขอออกมาไปทำธุระสำคัญ ปกติจะมีคนอยู่ที่สมาพันธ์ตลอด แต่วันนี้ทุกคนล้วนมีงานล้นมือจนต้องเดือดร้อนถึงอาจารย์หม่าประธานสมาพันธ์ ดีที่ท่านเป็นคนใจดี ไม่อย่างนั้นคงต้องปิดทำการในวันนี้แล้ว
"ธุระเรียบร้อยดีไหม" อาจารย์หม่าถามเด็กที่เขาให้มาช่วยงาน แต่สายตาเขายังจับจ้องอยู่ที่กระดาษคำตอบของเด็กสาว... อยากให้ถึงวันจันทร์เร็ว ๆ อยากดูฝีมือของเด็กคนนี้จริง ๆ
ทางด้านเยว่หรูเดินออกมาแล้วก็มองดูบ้านของคนในเมือง ผู้คนไม่ได้พลุกพล่านมากนัก อาจเพราะตรงนี้ไม่ใช่แหล่งชุมชน ไม่ได้มีห้างหรือสถานที่สำคัญมากนัก การซื้อขายทุกอย่างก็ต้องใช้ตั๋วใช้คูปอง มีเงินอย่างเดียวซื้อไม่ได้ คิดถึงตลาดมืดตามหนังสือที่เคยอ่านทันที อยากไปแต่ไม่มีเงิน อยากขายแต่ไม่รู้จะเอาอะไรไปขาย...
เดินไปด้วยปลงไปด้วย เคยอยู่ในโลกที่เสรี... มีกิจการเป็นของตัวเอง พอเจออะไรที่เหมือนโดนบังคับ ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งคนอื่น เลยทำให้เธอไม่ชอบสักเท่าไหร่ แต่เธอไม่มีทางเลือกมากนัก บางครั้งคนเราก็ต้องเลือกทำในสิ่งที่ไม่ชอบ... เพื่อไม่ให้ตัวเองอดตาย... เพื่อชีวิตครอบครัวดีขึ้น ตราบใดที่ไม่ได้ทำร้ายคนอื่น... เยว่หรูก็สามารถทำสิ่งที่ไม่ชอบได้
การจะมีกิจการหรือมีธุรกิจเป็นของตัวเองนั้นคงอีกนาน เพราะเธอมาอยู่ในยุค 60 ซึ่งกว่าจะมีการเปิดการค้าเสรี ยกเลิกการใช้ตั๋วหรือคูปอง... ก็ประมาณปี 80 ซึ่งอีกนานเลยทีเดียว เธอไม่สามารถรอเปิดร้านค้าขายหรือรอเปิดคลินิกเป็นของตัวเองได้
ต้องหาทางทำงานในโรงพยาบาลของรัฐบาล เพราะว่ามีสวัสดิการดีกว่าอย่างอื่น ต้องค่อย ๆ ขยับขยายไปเรื่อย ๆ ยังไม่รู้เลยว่า... จะมีชีวิตอยู่ถึงตอนที่เปิดการค้าเสรีหรือเปล่า อาจอดตายก่อนก็ได้หากไม่ดิ้นรน
หากตามโลกเดิมที่เคยรู้ ในปี 60 นี้ต้องเจอกับภัยธรรมชาติ น้ำท่วม ภัยแล้ง รวมถึงปัญหาทางการเมืองและวัฒนธรรม แต่ก็อีกนั่นแหละ ไม่รู้นักเขียนนิยายเรื่องนี้จะอ้างอิงและหยิบยกเอาอะไรมาบ้าง แต่เหตุการณ์พวกนั้นคือเหตุการณ์ที่หนักมาก มีความเป็นไปได้ว่านักเขียนจะหยิบยกมา ทางที่ดีต้องเตรียมตัวให้พร้อมรับมือเสมอ...
บทที่ 15 มาช้าดีกว่าไม่มาเยว่หรูเดินกลับบ้านในทิศทางเดิม เธอไม่ได้ออกนอกเส้นทางไปทางอื่นเลย มองเวลาแล้วเธอต้องรีบกลับ หากชักช้ามันอาจถึงบ้านมืดได้ เพราะตั้งใจเดินกลับบ้านเพื่อประหยัดเงิน"หนู ๆ ช่วยยายหน่อย" เสียงร้องเรียกใครไม่รู้ แต่เพราะมันเสียงดังเลยทำให้เยว่หรูที่กำลังรีบเดินกลับบ้านหันไปมองหาที่มาของเสียง"เรียกหนูเหรอคะ" เมื่อไม่เห็นใครนอกจากตัวเธอเองก็หันไปถามคุณยาย"ใช่ ๆ พอดียายจะกลับบ้านแต่ของมันเยอะ ช่วยถือไปส่งหน่อยได้ไหม ไม่ไกล ๆ ซอยข้างหน้านี่เอง" เมื่อเห็นเด็กสาวหันมามองแล้วเลยขอความช่วยเหลือ"อ้อ... ได้ค่ะคุณยาย" เยว่หรูมองกระสอบที่วางอยู่ใกล้ ๆ เลยเข้าไปช่วยหิ้วทันที"ยายเดินนำ ตามมาเลย" บอกจบก็เดินนำหน้าเลยส่วนเยว่หรูที่อุ้มกระสอบก็สงสัยว่าคืออะไรอยู่ข้างใน มันไม่ได้หนักมาก จากที่สัมผัสดูเหมือนเป็นผ้าเลย มัวแต่มองสิ่งที่ตัวเองถือและเดินตามหลังคุณยายเลยไม่ได้สังเกตสิ่งที่อยู่รอบข้าง"ส่งถึงตรงนี้แหละหนู ขอบใจมาก อันนี้ยายให้เป็นค่าตอบแทน" บอกพร้อมกับยื่นสร้อยข้อมือมาให้"ไม่เป็นไรค่ะคุณยาย แค่นี้เองค่ะ" เยว่หรูบอกพลางวางกระสอบก่อนที่จะมองรอบ ๆ ความสงสัยก็เกิดขึ้นทั
บทที่ 16 ตอบแทนบุญคุณ... คนที่สมควรจะได้รับขอบคุณคุณยายที่มอบสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้หนู... ขอบคุณที่คุณยายยัดเยียดให้ทั้งที่ตอนแรกหนูปฏิเสธไปแล้ว ขอบคุณมาก ๆ นะคะเยว่หรูกล่าวขอบคุณอย่างสุดซึ้ง หลังจากที่พิสูจน์ได้แล้วว่า... สร้อยข้อมือนี้คือมิติบ้านของเธอ... หากอยากเข้าหรือออกเพียงเอามือสัมผัสที่สร้อยข้อมือก็สามารถเข้าออกได้ตามที่ใจต้องการเยว่หรูสามารถหยิบสิ่งของออกมาข้างนอกได้... มันเหมือนในนิยายที่เคยอ่านเจอ แต่ไม่รู้ว่าสิ่งของที่เธอหยิบออกมาแล้วมันจะมีมาเติมให้ใหม่ไหม หรือว่าหมดแล้วหมดเลย เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาเป็นการพิสูจน์ "เอานมนี่แหละ... ลองก่อนเป็นอย่างแรก แล้วจับเวลาว่าด้านนอกกับในมิติบ้านนี้เวลาแตกต่างกันไหม" เยว่หรูพึมพำพร้อมกับหยิบนาฬิกาจับเวลา เพื่อพิสูจน์ว่าด้านนอกและด้านในมีเวลาเท่ากันไหมส่วนอาหารที่เอาออกมาก็ยังเอาอะไรออกมามากไม่ได้ หากแตกต่างมาก เยว่หรูจะยังไม่เอาออกไปข้างนอก เพราะมันต้องมีคำถามตามมาแน่ ๆ เธอยังไม่อยากให้ใครรับรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้... ไม่รู้มีข้อห้ามอะไรไหม... หากบอกคนอื่นแล้วมิติบ้านหายไปล่ะ... เธอยังไม่อยากเสี่ยงในตอนนี้และที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
บทที่ 17 คนมาใหม่เมื่อคืนเยว่หรูเข้ามานอนในมิติบ้าน เพื่อเตรียมสิ่งของที่จะได้ทำอาหารในตอนเช้า เช้านี้เลยมีทั้งกับข้าวที่เป็นไข่ม้วน กับข้าวสวยร้อน ๆ และมีกระดูกหมูตุ๋นยาจีน เตรียมนมอุ่น ๆ และต้มยาสมุนไพรด้วย ตอนนี้ยังหาข้ออ้างไม่ได้ ยังไม่รู้ว่าจะบอกว่าเอาสิ่งของพวกนี้มาจากไหน ต้องรอกลับจากโรงพยาบาลแล้วค่อยบอกเป็นค่าตอบแทน เพราะวันนี้เธอมีไปฝึกงานที่โรงพยาบาลส่วนมื้อเช้ามีแบบไหนก็คงต้องกินแบบนั้นไปก่อน ถึงจะอยากให้ทุกคนได้กินอาหารดี ๆ แต่หากไม่ระวัง... ความลับที่ต้องการปกปิดมันจะไม่เป็นความลับอีกต่อไป แล้วหากมันไม่ได้เป็นความลับ เรื่องที่เธอปิดบังทั้งหมดก็อาจถูกเปิดเผย... คนมีความลับเยอะอย่างเยว่หรูเลยต้องทำทุกอย่างให้แนบเนียน...ในโลกนี้ยุคนี้... กินดีอยู่ดีมากไปก็ไม่ดี... แต่หากหาที่มาที่ไปได้ก็ไม่มีปัญหา... รอให้เธอรู้ผลว่าผ่านการทดสอบเสียก่อน... เธอยังสามารถบอกว่าทุกอย่างที่ได้มาคือสิ่งของสนับสนุน แต่หากเธอไม่ผ่าน... ค่อยคิดหาวิธีอีกครั้งว่าจะทำอย่างไร...เมื่อทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เยว่หรูก็เข้าไปอาบน้ำทาครีมบำรุง... ทำทุกอย่างแบบที่เคยทำในโลกเดิม ยังดีที่เครื่องสำอางที่ใช้..
บทที่ 18 หานหรงอี้จางหยวนขอตัวจากกลุ่มคนมาใหม่และหัวหน้าหมู่บ้านเพื่อจะได้รีบไปส่งลูกสาวแล้วไปทำธุระของเขาให้เรียบร้อย และที่เขารีบขอตัวออกมาเพราะเห็นกลุ่มคนมาใหม่มองลูกสาวของเขาไม่วางตาเลย ทั้งที่ลูกสาวเขายืนอยู่ด้านหลัง แต่ทุกคนก็ดูจะสนใจลูกสาวของเขา ทางที่ดีต้องรีบออกจากที่นั่นให้เร็วที่สุดหานหรงอี้ มองตามคนตัวเล็กกับพ่อเดินไปจนสุดสายตา ทั้งที่คนตัวเล็กไม่ยอมหันมาทักทายหรือยิ้มแย้ม มันยิ่งทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิม ไม่ใช่ว่าเด็กสาวจะชอบคนที่มียศมีตำแหน่งหรอกหรือ การมาของพวกเขานั้นไม่ใช่ความลับ ยังไงสาวน้อยคงจะพอรู้ หากบอกว่าหลบเพราะเขินอายก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสายตาที่ใช้มองพวกเขานั้นเหมือนรังเกียจมากกว่า"นายครับ เราต้องไปให้ทันเวลาหมอนัดนะครับ" ลูกน้องคนสนิทเดินเข้ามาหานายที่ไม่สนใจจะไปโรงพยาบาลตามที่หมอนัดเลย"จะรีบไปไหน โรงพยาบาลก็อยู่แค่นี้ ไม่ต้องตามกันมาเยอะแยะ กลับไปดูคนงานได้แล้ว" หานหรงอี้บอกลูกน้องที่ตามมาเป็นพรวน ทั้งที่อาการเขาดีขึ้นแล้ว เดินเหินได้เหมือนเดิม แต่คนพวกนี้ก็ยังจะตามติดเขาอยู่นั่นแหละ"นายมองสาวน้อยคนนั้นหรือกำลังชื่นชมธรรมชาติครับ" คนสนิทมองตามสายตาคนเป็นนาย
บทที่ 19 เรียกร้องในทุกเช้า เยว่หรูจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อทำอาหารบำรุงหลายอย่าง ต้มน้ำแกง ต้มยาสมุนไพรต่าง ๆ และทำอาหารหลากหลายเมนูเก็บไว้ ในทุกวันที่ไปเรียน เยว่หรูต้องเอาน้ำต้มสมุนไพรไปฝากคุณครูหมิงเว่ยเธอยังไม่สามารถให้อย่างอื่นเพื่อตอบแทนคุณครูได้ เพราะครูรู้ดีว่าครอบครัวของเธอยากจน การที่จะได้กินหรือมีสิ่งของดี ๆ นั้นมันแทบไม่มีทางเป็นไปได้ แต่เมื่อมีโอกาสเธอต้องตอบแทนแน่นอนในระหว่างที่ตัวเองกำลังคิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ก็ทำให้เธอค่อนข้างแปลกใจ เหมือนคนไข้ที่ชื่อหานหรงอี้นั้นไม่เป็นอะไรเลย การไหลเวียนของเลือดมันไม่สมดุลและเหมือนร่างกายมีภาวะเย็นมากเกินไป แต่เธอไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ เพราะการตรวจของเธอนั้นต้องยุติก่อนที่จะตรวจเสร็จ ยังไม่ได้ดู ดม และสอบถามเลย อาจารย์ก็บอกพอก่อนและให้เธอกลับมาทำรายงานส่งเยว่หรูมองไปที่สมุดรายงานของตัวเอง ก่อนที่จะจัดเตรียมอาหารให้เรียบร้อย เมื่อวานพ่อก็ต้องเดินไปรอรับ เพราะกว่าจะออกจากโรงพยาบาลก็เริ่มเย็นแล้ว แล้วที่นี่จะมืดเร็วเสียด้วย หกโมงเย็นนี่เริ่มมืดแล้ว ทั้งที่เธออยากให้พ่อแม่พักผ่อนแต่ต้องไปรับเธอกลับ คงต้องหาวิธีอื่นรอแล้ว ไม่
บทที่ 20 ความรู้สึกไม่ต่างกันเยว่หรูเดินตามมาที่ห้องพักที่แยกเป็นสัดส่วนค่อนข้างเป็นส่วนตัว ส่วนมากมีแต่ญาติของคนไข้ที่เฝ้าอยู่เพียงเท่านั้น พอเยว่หรูมาถึงอาจารย์ก็เริ่มสอนสิ่งต่าง ๆ โดยที่สอนตรวจคนไข้ว่าควรตรวจแบบไหน เพื่อประหยัดเวลาและได้ผลที่แม่นยำทุกอย่างดำเนินไปอย่างดี เนื่องจากคนไข้ยอมให้ตรวจดี ๆ นอนมองนิ่ง ๆ เพียงเท่านั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไล่หมอพยาบาลออกไปทั้งหมด แต่เขากลับให้ลูกศิษย์กับอาจารย์สองคนทั้งจับพลิกดูตามร่างกายได้ตามต้องการ"อาจารย์ จากที่หนูดูไม่ใช่แค่ร่างกายอย่างเดียว หนูคิดว่าน่าจะมาจากจิตใจและความคิดด้วย" เยว่หรูสังเกตคนไข้แล้วรู้สึกว่าช่างคุ้นเคยกับอาการนี้เหลือเกิน"มีความเป็นไปได้มากเลยทีเดียว" อาจารย์ก็เห็นด้วยกับที่ลูกศิษย์คนล่าสุดบอกมา"เยว่หรูจะรักษาด้วยวิธีไหน เขียนรายงานมาด้วย รักษาแค่เบื้องต้นก่อน ส่วนต้องการเบิกอะไรก็สามารถใช้ญาติของคนไข้ไปจัดการได้เลย และนี่คือเอกสารที่ต้องเขียนรายละเอียดยื่นให้สมาพันธ์ มีเอกสารด้วย เตรียมมาให้พร้อมแล้วเอามาให้อาจารย์ เข้าใจไหม และหากรักษาเบื้องต้นเสร็จก็กลับบ้านได้เลย อาจารย์ต้องรีบไปประชุม" อาจารย์หม่าสั่งงาน
บทที่ 21 การทำงานและการตอบแทนวันนี้ครบอาทิตย์หนึ่งแล้วที่เยว่หรูมีมิติบ้าน ของที่เอาออกมากินมาใช้ก็ไม่มีมาเพิ่ม หมดแล้วหมดเลย แต่สิ่งนี้ก็ยังไม่แน่นอน คงต้องรอดูกันก่อนว่าจะมีมาเพิ่มไหม... ขนาดบ้านมิติกว่าจะตามเธอมาก็ใช้เวลาสามเดือน... สิ่งของก็อาจมาช้าก็ได้ใครจะไปรู้..."อยากมีเวลาอยู่ในนี้นาน ๆ จังเลย... อยากทำอะไรหลาย ๆ อย่าง" เยว่หรูพึมพำไปด้วย รดน้ำผักผลไม้ในเรือนเพาะชำไปด้วยความลับก็ต้องปกปิด... แต่ก็อยากให้ครอบครัวได้กินของดี ๆ จะต้องงัดสารพัดข้ออ้างออกมา แต่พอถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ก็กินอาหารที่มีอยู่ในบ้าน ไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรเพราะไม่ได้ไปโรงเรียนยังดีที่ว่าในมิติบ้านมีอุปกรณ์เครื่องครัวหลากหลาย อะไรที่คนรีวิวว่าดี เยว่หรูก็รีบซื้อหามาทันที ติ๊กต๊อกว่าดี... เยว่หรูก็ว่าดี เครื่องปั่นละเอียดเตรียมเอาออกมาใช้งาน... ปั่นไก่ ปั่นหมู ให้ละเอียดจนมองไม่ออกว่าคืออะไร ข้าวต้มใส่หมูละเอียด โจ๊กใส่ไก่ละเอียด กระเทียมเจียวก็ตักใส่ข้าวต้มเยอะ ๆ จะได้ดับกลิ่นหมู ใช้ได้หรือเปล่าไม่รู้แต่ก็ต้องลอง สารพัดวิธีมาใช้เพื่อให้พ่อแม่อยู่ดีกินดี... ทุกอย่างก็ต้องพยายามทำให้แนบเนียนที่สุด...วันน
บทที่ 22 เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีวันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากวันเป็นเดือน... เยว่หรูก็ยังใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิม ตื่นเช้ามาทำงานทำงานบ้านช่วยแม่ ปลูกผักสมุนไพรในกระถาง ทำปุ๋ยหมักจากหญ้าและใบไม้แห้ง ตอนบ่ายไปทำงานที่โรงพยาบาล ตอนนี้เธอไม่ต้องไปเรียนในช่วงเช้าเหมือนแต่ก่อน เพราะเธอสอบเทียบจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว เยว่หรูไม่ลืมบุญคุณของคุณครูหมิงเว่ย เธอจะแวะเวียนเอาสิ่งของต่าง ๆ ไปให้คุณครู ไม่ว่าจะเป็นอาหารและยารักษาโรคต่าง ๆ ซึ่งเธอจะบอกว่าทุกอย่างที่ได้มานั้น... คือสวัสดิการที่ทางสมาพันธ์ให้มาเยว่หรูทำงานไร้ตำแหน่งมาเดือนหนึ่งแล้ว แต่เธอก็ได้ค่าตอบแทนจากทางสมาพันธ์เช่นกัน อาจารย์หม่ายังจ่ายเงินเดือนให้ แต่ยังไม่เท่าคนที่เป็นแพทย์เต็มตัว เงินเดือนแพทย์เริ่มต้นที่ 70 หยวนต่อเดือน แต่หากเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือศาสตราจารย์จะอยู่ที่ 280-380 หยวนต่อเดือน เงินเดือนจะลดหย่อนลงมาตามตำแหน่ง เดือนแรกเยว่หรูได้ 50 หยวน ซึ่งมันเป็นเงินจำนวนมากสำหรับเยว่หรู แล้วยังได้คูปองรายเดือนรายปีอีกด้วยเงินเดือนแพทย์ถือว่าสูงมาก หากเปรียบเทียบกับอาชีพอื่น ถึงขั้นถูกจัดให้อาชีพแพทย์ได้รับเงินเดือนอยู่ในขั้นสูงข
บทที่ 53 ตอนพิเศษ"หนิงหนิงต้องเดินตามตา เข้าใจไหมครับ" จางหยวนบอกหลานสาวสุดน่ารักของเขา ที่วันนี้แต่งตัวมาพร้อมเก็บใบชา มีตะกร้าใบเล็กสะพายอยู่ทางด้านหลัง พร้อมทำงานเป็นอย่างมาก"คุณตาเชื่อใจหนิงหนิงได้เลยค่ะ" หานเผยหนิงวัยห้าขวบที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนงานเก็บใบชาของคุณตาก็รับปากอย่างแข็งขัน"ยายว่ารอพี่ใหญ่กับพี่รองดีกว่าไหม" ลู่หลินที่มองหลานสาวก็อดเอ็นดูในความน่ารักไม่ได้ หลานสาวของเธอนั้นถอดแบบแม่มาแทบทั้งหมด มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ได้จากคนเป็นพ่อ นั่นยิ่งทำให้หลานสาวของเธอน่ารักน่ามองมากกว่าเดิม"ไม่ได้ค่ะคุณยาย หากพี่ใหญ่พี่รองมา หนิงหนิงก็สู้ไม่ได้" หนิงหนิงต้องเก็บได้เยอะกว่า งานนี้หนิงหนิงต้องชนะ!!"หากแม่มาเจอ โดนดุอย่าหาว่ายายไม่เตือน" ลู่หลินแกล้งขู่หลานสาวตัวน้อยที่ดูจะกลัวแม่มากกว่ากลัวพ่อ"ไม่ค่ะคุณยาย วันนี้คุณแม่มีงานที่โรงพยาบาล และตอนบ่ายคุณพ่อจะรับไปโรงงานค่ะ หนิงหนิงปลอดภัยแน่นอนค่ะ" หนิงหนิงรีบบอกคุณยายทันที เธอจำได้ ก้นเธอไม่เจ็บแน่นอนเพราะคุณแม่ไม่อยู่"ถ้าอย่างนั้นไปกันเลย" จางหยวนผู้ที่ตามใจหลานมากกว่าตามใจลูก มีหรือที่จะขัดใจหนิงหนิงตัวน้อยได้ เจอหลานออดอ้อนนิ
บทที่ 52 บทส่งท้าย ครอบครัววันเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ จากเคยนับวันว่ามาอยู่ที่นี่นานแล้วหรือยัง กลายเป็นว่าเลิกนับวันเวลาแล้ว ตอนนี้ที่นับคืออายุของลูก ๆ ของเธอที่กำลังโต ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมานั้นต้องบอกว่ายุ่งกับการทำงานและการเลี้ยงลูก ยังดีที่พ่อกับแม่ของเธอมาช่วยเลี้ยง ไม่อย่างนั้นบอกเลยว่าเธอกับสามีไม่น่าจะเลี้ยงแฝดสามได้ และด้วยความที่แทบไม่มีเวลาพัก สามีของเธอบอกเลยว่า... พอแล้ว... มีสามคนก็พอแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเข็ดที่ลูกซนหรือว่ายังไงเยว่หรูทำงานที่โรงพยาบาลและทำงานที่บ้านด้วย ที่ตอนนี้ขยับขยายให้เป็นโรงงานขนาดเล็กผลิตยาสมุนไพรส่งทางสาธารณสุข โดยมีสามีของเธอเป็นคนดูแลตรงนี้ ส่วนในเรื่องของโรงงานตระกูลหานนั้นก็จัดแบ่งให้คนสนิทมาช่วยงาน แต่เขาก็ยังเป็นคนตัดสินใจในทุกเรื่อง ดีที่ได้สามีของพี่เหมยมาช่วยงาน ทำให้ทุกอย่างไม่ยุ่งยากมากนักในส่วนเรื่องของพระเอกที่เยว่หรูกลัวนั้น ก็ยังได้ข่าวเขาบ้างบางครั้งจากอาจารย์หม่า หรือบางทีเขาก็มาหาสามีเธอ แต่ก็ยังไม่เห็นจะแต่งงานสักที เยว่หรูกับพี่เหมยลุ้นอยู่ว่าคนไหนคือนางเอกตัวจริงของนิยายเรื่องนี้ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นนางเอกเลยในส
บทที่ 51 วันที่รอคอย"คุณหมอคะ ไม่ต้องตื่นเต้นนะคะ" ลู่จิวหรือพี่เหมยเดินเข้ามาให้กำลังใจคุณหมอถึงหน้าห้องคลอดเลยทีเดียว"พี่เหมย... หมอกลัว" เยว่หรูบอกไปตามตรง เนื่องจากเธอท้องแฝด การคลอดเลยต้องผ่าคลอด และคนที่ติดต่อหมอต่างชาติให้มาทำคลอดให้เธอนั้นก็คืออาจารย์หม่านั่นเอง "อย่างน้อยก็ยังสามารถผ่าคลอดได้" ลู่จิวรู้ดีว่าคุณหมอกังวลเป็นอย่างมากเพราะทางการแพทย์ในสมัยนี้ยังไม่ก้าวหน้าเท่ายุคที่จากมา อุปกรณ์ต่าง ๆ ไม่พร้อม ยังดีที่อาจารย์หม่าคอยช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นเธอจะกังวลหนักมากกว่านี้แล้ว"แล้วพี่มาอยู่นี่ใครดูลูกชาย อย่าบอกนะว่าไปทำงานกับพ่ออีกแล้ว ลูกชายพี่ยังไม่สามเดือนเลยนะ" เยว่หรูถามหาหลานชายที่มีอายุเพียงสองเดือนกว่าพี่เหมยคลอดลูกในวันที่เยว่หรูจบการศึกษา ซึ่งได้ดั่งใจที่สามีพี่เหมยอยากได้ นั่นคือลูกชายตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ พี่ห่าวซวนนั้นหลงลูกมาก บางวันต้องหอบพาลูกไปทำงานที่โรงงานด้วย ตอนนี้พี่ห่าวซวนคือคนที่เข้าไปดูแลโรงงานของตระกูลหานแทนสามีของเยว่หรู เนื่องจากสามีของเยว่หรูต้องคอยดูแลเธอและดูแลโรงงานผลิตยาสมุนไพรส่งสาธารณสุขด้วย ทุกคนเลยต้องแบ่งงานกันทำ"สามีจะรออยู่ตรงนี้ ไม่
บทที่ 50 เรียนจบวันนี้คือวันที่ทางสมาพันธ์จะมอบใบประกาศสำเร็จการศึกษาให้แก่เยว่หรู ซึ่งเร็วกว่าที่กำหนดไว้ เพราะตอนที่อาจารย์หม่าเคยแจ้งนั้นบอกว่าหลังกลับจากค่ายแรงงานประมาณสามเดือน แต่นี่เพิ่งจะสองเดือนก็มีหนังสือรับรองออกมาแล้ว จึงทำให้วันนี้ครอบครัวเยว่หรูทุกคนมารวมตัวกันอยู่ที่สมาพันธ์วันนี้แม่ของเยว่หรูอยู่ในชุดกี่เพ้าสีเหลือง ทำให้ขับผิวขาว ๆ ของแม่ดูสวยดูดีจนพ่อนั่งยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ส่วนพ่อเลี้ยงนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตและกางเกงขากระบอก รองเท้าหนังอย่างดี ทุกอย่างที่ใส่มานั้นเป็นเยว่หรูจัดเตรียมไว้ให้ น้อยคนนักที่จะได้ใส่แบบนี้ ยิ่งทำให้พ่อเลี้ยงนั้นแทบไม่กล้าเดินไปไหนเลยทีเดียวส่วนสามีของเยว่หรูนั้นไม่ต้องจัดให้ เขาก็สามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีอยู่แล้ว วันนี้อาจารย์หมิงเว่ยมาร่วมแสดงความยินดีด้วย ซึ่งเยว่หรูนับถืออาจารย์หมิงเว่ยมาก เขาคือคนที่คอยช่วยเหลือตั้งแต่ที่เธอยังไม่ค่อยรู้อะไรมากนักส่วนพี่สาวหลิงฟางก็มีเพียงจดหมายส่งหากันเท่านั้น เพราะพี่สาวหลิงฟางย้ายไปอยู่เมืองอื่น เยว่หรูทำได้เพียงส่งยาสมุนไพรและสิ่งของไปให้ ยังไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเลย ต้องบอกว่าเยว่หรูตอบแทนทุกค
บทที่ 49 จุดไต้ตำตอเยว่หรูอยู่ค่ายจนถึงวันทำงานวันสุดท้าย ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่าสามีไม่ได้ตามมาอย่างที่เคยบอกไว้ เยว่หรูคิดว่าเขาคงจัดการเรื่องงานไม่เรียบร้อย ซึ่งมันดี... เพราะเยว่หรูไม่อยากให้เขาตามมาสักเท่าไหร่"ทำเหมือนคนนอนไม่พอเลยนะเยว่หรู" อาจารย์หม่าถือชามอาหารมานั่งข้าง ๆ ลูกศิษย์"เมื่อคืนหนูฝันค่ะ เลยทำให้ตื่นกลางดึก พอตื่นแล้วนอนไม่ค่อยหลับเลยค่ะ" เยว่หรูบอกไปตามความจริง"หากวันนี้ไม่ไหวก็ไม่ต้องทำอะไรมากเข้าใจไหม" วันนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากนักเพราะเป็นวันสุดท้ายของการเรียนรู้แล้ว"แล้วเรื่องที่อาจารย์รักษาคุณโจวละคะ ยังต้องทำต่อเนื่องไหม" เยว่หรูถามเรื่องการบำบัดคนที่เครียดสะสมอย่างพระเอก ในตอนแรกอาจารย์บอกให้เธอลองรักษาด้วยตัวเอง แต่เธอไม่อยากทำก็อ้างว่าโน่นนี่นั่นไม่ค่อยสะดวกมากนัก ซึ่งอาจารย์หม่าก็ไม่ว่าอะไร"เยว่เยว่" เสียงเรียกดังมาจากทางประตู ทำให้เยว่หรูต้องหันไปมองทันที"อาจารย์บอกแล้ว เขามาแน่... ไม่ช้าก็เร็ว" อาจารย์หม่าบอกลูกศิษย์ตัวน้อยที่กำลังนั่งกลอกตาไปมา"พรุ่งนี้ก็กลับแล้วนะคะ" ความหมายของเธอชัดเจนคือ ...จะมาทำไม..."ไม่เจอกันตั้งหลายวัน พูดแบบนี้กับสามีได
บทที่ 48 เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตรเยว่หรูเรียนรู้แล้วว่าคนที่อยู่ที่นี่ส่วนมากจะมีภาวะหยินหยางไม่สมดุล พอไม่สมดุลก็นำพาไปสู่การเจ็บป่วยได้ง่าย เยว่หรูทำงานร่วมกับอาจารย์หม่าและมีหมอเท้าเปล่าที่คอยแนะนำสิ่งต่าง ๆ "เยว่หรูไปพักก่อนก็ได้" อาจารย์ที่รับปากครอบครัวของลูกศิษย์ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่อย่างที่ตัวเองรับปากแล้ว เพราะเยว่หรูนั้นทำงานทุกอย่าง ช่วยทุกคนที่สามารถเข้าไปช่วยได้ ทำงานหนักกว่านักศึกษาคนอื่นเสียอีกทั้งที่ตัวเองท้องอยู่"ยังทำไหวค่ะอาจารย์ ไม่ได้เหนื่อยอะไร" เยว่หรูบอกไปตามความจริง ความรู้ทั้งนั้น เรียนรู้ไว้ไม่เสียหาย "ทำเท่าที่ไหว เข้าใจไหม" หากเป็นอะไรขึ้นมาแล้วรับรองเลยว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างแน่นอนเยว่หรูทำงานจนเรียบร้อยทั้งหมด พอถึงเวลาที่เธอเองออกมานั่งพักผ่อนมองดูผู้คนที่อยู่ในค่าย มีทั้งทหารและยังมีนักโทษที่มาใช้แรงงานกำลังทยอยกลับค่ายกัน กลุ่มคนชุดนี้จะถูกตรวจสุขภาพในวันพรุ่งนี้ ต้องถือว่าค่ายแห่งนี้ถูกดูแลอย่างนี้ ไม่ได้กดขี่มากนัก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเป็นนักโทษ ต้องบอกว่าสถานที่กักกันหรือค่ายแรงงานจะแบ่งแยกนักโทษ "เป็นยังไงบ้างคุณหมอ" เสียงเรียกถามทำให้เยว่หร
บทที่ 47 พบเจอพระเอกผ่านมาหนึ่งคืนแล้วที่เยว่หรูมาอยู่ที่ค่ายแรงงานแห่งนี้ หลังจากที่รวมตัวกันเมื่อวาน เพื่อไปทำความรู้จักกับเจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำจุด ในตอนแรกเยว่หรูนึกว่าจะได้เจอกับพระเอกของนิยายเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยู่เลยไม่ได้เจอกัน แต่เยว่หรูรู้ดีว่ายังไงก็หนีไม่พ้นอย่างแน่นอน"เยว่หรู เดี๋ยวคอยตามอาจารย์มานะ" อาจารย์หม่า ผู้มีลูกศิษย์เป็นของตัวเองเพียงไม่กี่คน เขาเลยอยากดูแลและสอนด้วยตัวเอง ส่วนคนอื่น ๆ จะมีอาจารย์ท่านอื่นช่วยดูแลเช่นกันเยว่หรูเดินตามอาจารย์ไปพร้อมกับเพื่อนอีกสี่คนรวมเธอด้วยก็เป็นห้าคน ซึ่งกลุ่มเธอมีเธอเพียงคนเดียวที่ไม่ได้เข้าเรียนในห้องเรียนเหมือนคนอื่น ดีที่ว่าทุกคนนั้นไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นทำงานด้วยกันลำบากแน่ ๆ กลุ่มของเยว่หรูนั้นได้เดินดูงานก่อน เพราะที่ค่ายแห่งนี้มีเจ้าหน้าที่ที่คอยตรวจรักษาอยู่แล้ว เหมือนการเรียนรู้ก่อนที่จะเข้าไปตรวจจริง แต่ละคนจะได้รับมอบหมายว่าควรไปประจำอยู่จุดไหน ทุกคนได้รับมอบหมายจนหมด เหลือเยว่หรูเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังเดินตามอาจารย์หม่าเข้าไปที่พักด้านใน ซึ่งแยกออกจากสถานที่อื่น ลางสังหรณ์บ่งบอกว่าสถานที่แห่งนี้ค
บทที่ 46 ออกค่ายตั้งแต่วันที่บอกกับสามีเรื่องที่เธอท้อง ผ่านมาได้เกือบสามเดือนแล้ว ตอนนี้เยว่หรูท้องได้เกือบสี่เดือนแล้ว แต่ด้วยว่าท้องแรกยังมองเห็นไม่ชัดมากนัก หากใส่เสื้อผ้าปกปิดก็ไม่สามารถมองออกว่าเธอกำลังตั้งครรภ์ดีที่ว่าเธอไม่มีอาการแพ้ท้องเลย มีเพียงสามีของเธอเท่านั้นที่กินอาหารไม่ได้ พอกินอะไรเข้าไปก็อาเจียนออกมา และยังคงห่วงเธอมากกว่าตัวเองเสียอีก ทั้งที่เธอนั้นแข็งแรง กินอาหารได้ทุกอย่าง หากว่าเขาไม่มีแรงไปส่งเธอทำงานก็ต้องให้พ่อเป็นคนมารับไปส่ง ต้องบอกว่าทั้งสองคนพ่อตากับลูกเขยนั้นเห่อมาก คาดว่าพอคลอดมาแล้วน่าจะแย่งกันอย่างแน่นอนในส่วนของพี่เหมยที่ตอนนี้ท้องโตมาก เพราะพี่เหมยท้องได้เจ็ดเดือนแล้ว และที่น่ายินดีคือสามีของพี่เหมยกลับมาอยู่ด้วยกัน แต่กว่าจะได้คุยกันก็ร้องไห้กอดกันทั้งคู่ แต่เท่าที่ดู สามีพี่เหมยก็ดูจะรักและเอาใจใส่ดูแลพี่เหมยเป็นอย่างมาก มันเลยทำให้เธอรู้สึกดีไปด้วย"ดูแลตัวเองดี ๆ นะลูก" ลู่หลินเข้ามากอดลูกสาวพร้อมกับกำชับอย่างดี"ไม่ไหวก็ต้องบอกนะ อย่าทำเอง อย่ายกของหนัก" จางหยวนก็กำชับลูกสาวด้วยเช่นกัน"หมอคะ... ให้พี่ไปด้วยไหม มีอะไรจะได้ช่วย" ลู่จิวเดิน
บทที่ 45 เป็นคำตอบที่บีบหัวใจเยว่หรูนั่งเงียบทันทีที่ได้รับคำตอบของคำถามที่เธอสงสัย จะไม่ให้เงียบได้ยังไง ในเมื่อคุณห่าวซวนกลับไปทำงานต่อเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าคนพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับพี่เหมยและเธอ แต่เพราะงานมันอันตราย เขาเลยต้องบอกพี่เหมยแบบนั้น เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้กลับมาไหม"นี่คือเหตุผลว่าทำไมทุกคนต้องพูดคุยกัน อย่าคิดไปเอง" เยว่หรูพูดขึ้นมาทำลายความเงียบพร้อมกับโอบกอดพี่สาวเหมยที่กำลังร้องไห้อยู่ข้าง ๆ "ไม่ต้องห่วง ผมแจ้งเรื่องเข้าไปที่หน่วยงานเก่าเรียบร้อยแล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาเพราะมันมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และผมได้ส่งคนไปช่วยงานอีกหลายสิบคนแล้ว" หานหรงอี้พูดปลอบทั้งสองคน ที่คนหนึ่งก้มหน้าก้มตาร้องไห้ อีกคนก็แยกเขี้ยวใส่เขาทั้งที่เขาก็ยอมตอบทุกคำถามแล้วหานหรงอี้ทำตามที่รับปากคนสนิทไว้ เขาค่อนข้างลำบากใจในเรื่องนี้ ยอมรับว่าหากภรรยาอยากรู้หรือมาบังคับให้เขาตอบ ให้ตายยังไงเขาก็ขัดภรรยาไม่ได้ แต่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดไม่ได้บอกนั้น เพราะภรรยาเขาถามไม่ได้บีบบังคับเอาคำตอบแบบวันนี้ ไม่รู้เพราะอะไร เขาไม่เคยขัดภรรยาได้เลย..."พ่อฉันทำคนเดียวหรือว่าทั้งครอบครั