กริ๊งงงงง
เสียงบอกเวลาหมดคาบเรียน และเข้าสู่ช่วงเวลาเลิกเรียนของโรงเรียนบ้านหนองนาน้อยนักเรียนต่างเก็บของแยกย้ายกันกลับบ้าน แต่สามสาวเพื่อนสนิทแห่งแก๊งนางฟ้ากลับควักกระเป๋าเครื่องสำอางขึ้นมาวางบนโต๊ะจัดการเติมแป้งแต่งหน้าตามกระแสที่นิยมในช่วงนี้ ใบหน้าจิ้มลิ้มทาแป้งขาวริมฝีปากแต่งแต้มด้วยอุทัยทิพย์สีแดง เขียนคิ้วสีดำเข้มเด่นชัด พร้อมกับใส่บิ๊กอายสีดำทำตากลมโต พร้อมจัดทรงผมสั้นเท่าติ่งหูให้ดูดี เอาผมทัดหูติดกิ๊บรูปหมีหลากสีให้ดูน่ารัก ปล่อยปอยหวานสองข้างพร้อมหวีหน้าม้าให้ไม่แตก
“จีจี้ ฉันดูดีหรือยัง” ยัยจี้จี้มองหน้าของเต้าหู้ซ้ายทีขวาที่ก่อนทำหน้ามั่นใจตอบ
“เพื่อนสาวสวยมากค่ะ เลิศที่สุด”
“ส้มลิ้มแกว่าไง”
“อืม ฉันว่าปากยังซีดไปเติมอุทัยทิพย์อีกหน่อย” ยัยส้มลิ้มตอบก่อนจะหันไปแต่งหน้าของตัวเองเหมือนกัน เต้าหู้ไม่รอช้าหยิบขวดน้ำสีแดงแต่งแต้มไปที่ริมฝีปากด้านใน ส่วนด้านนอกออกซีดนิดหน่อยให้ดูเหมือนว่าปากบางเล็กดูน่ารัก
ทั้งสามคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่อยู่โรงเรียนอนุบาลเรียกได้ว่าเติบโตมาด้วยกันอยู่ด้วยกันในทุกช่วงเวลาของชีวิต ยัยกะเทยจีจี้เป็นลูกพ่อค้าแม่ค้าขายเนื้อหมูในตลาดส่วนส้มลิ้มนั้นเป็นลูกสาวเจ้าของค่ายมวย และส้มลิ้มก็เป็นนักมวยหญิงอันดับหนึ่งของค่ายชนะน็อกทุกรอบ และคนสุดท้ายคือเต้าหู้ ลูกเจ๊ศรีเจ้ามือหวยประจำอำเภอ
แม้รุ่นพี่บางคนไม่ชอบขี้หน้าทั้งสามคนเพราะทำตัวแก่แดดแต่งหน้าจัดมาตั้งแต่มอหนึ่งแต่ก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งหรือมีปัญหากับนางฟ้าแห่งบ้านหนองนาน้อยหรือที่คนอื่นเรียกว่าแก๊งสก๊อยหนองนาน้อย เพราะกลัวยัยส้มลิ้มใช้ท่าจระเข้ฟาดหางฟาดคอเข้าให้
หลังจากแต่งหน้าเสร็จทั้งสามสาวก็รีบวิ่งมานั่งที่ประจำใกล้กับทางออกของโรงเรียน แน่นอนว่าเป้าหมายหลักของทั้งสามสาวคือการมานั่งมองรุ่นพี่ที่แอบชอบก่อนกลับบ้าน จะเจอหน้าพวกพี่เขาได้แค่สามเวลาคือเข้าแถวหน้าเสาธงตอนเช้า กลางวันทานข้าวที่โรงอาหารและตอนนี้ก่อนกลับบ้าน
เพราะใกล้เวลาที่พี่มอหกจะเลิกเรียนพิเศษแล้ว และพี่ ภีม ประธานนักเรียนขวัญใจสาวๆก็จะต้องเดินผ่านมาทางนี้ทุกวัน
“อีหู้ พี่ภีมมาแล้ว” ส้มลิ้มที่เห็นรุ่นพี่ที่เพื่อนแอบชอบเดินมาก็รีบบอกทันที
“ไหนๆ” ชะเง้อคอมองก่อนจะเห็นออร่าความหล่อลอยเด่นมาแต่ไกล สาวน้อยหยิบกระจกออกมาเช็กเพื่อความมั่นใจ
“ฉันดูดีแล้วใช่ไหม” ถามให้แน่ใจอีกครั้ง
“ดีกว่านี้ก็ดาราแล้วค่ะ” จีจี้อวยเพื่อนอย่างหนัก
รุ่นพี่สุดหล่อเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งใกล้หัวใจของสาวน้อยแรกรุ่นยิ่งเต้นแรงเลยหยิบหนังสือขึ้นมาทำเป็นอ่าน และเหลือบมองคนที่ชอบเป็นระยะๆ
หนึ่งในเพื่อนของภีมสะกิดเขาให้มองมาที่พวกเธอทำให้เต้าหู้รีบยกหนังสือขึ้นบังหน้าด้วยความเขินไม่กล้าสบตาพี่เขาโดยตรง
“เพื่อนหนูชอบพี่ภีมนะคะ”
“เพื่อนหนูชื่อเต้าหู้ อยู่ม.3/8 ค่ะ ลูกเจ๊ศรีนะคะ”
จีจี้และส้มลิ้มแท็กทีมกันแซวทั้งเพื่อนและพี่เขา จนเต้าหู้อยากจะขุดดินเอาหน้ามุดไปเสียตอนนี้ แต่แวบหนึ่งเหมือนจะเห็นรอยยิ้มจากภีมก่อนที่เขาจะหันไปคุยกับเพื่อนต่อและเดินกลับบ้านไป
“พวกแกจะตะโกนทำไมเนี่ย” รีบเก็บหนังสือเข้ากระเป๋า
“พี่เขารู้แล้วแน่เลยว่าฉันชอบเขา”
“แหม มารอพี่เขากลับบ้านเขาตั้งแต่พี่เขาขึ้นม.4 พี่เขาคงไม่รู้เลยมั้ง” จีจี้กลอกตามองบนพร้อมเบะปากตอบ
“พวกแกว่าพี่เขาจะจำหน้าฉันได้ไหม”
“จำได้นะ แต่แกอย่าหน้าสดก็พอ” ส้มลิ้มว่าเสริม เพราะแต่งหน้าจัดเต็มมาโรงเรียนทุกวันจนฝ่ายปกครองยังยอมแพ้ไม่รู้จะลงโทษยังไงแล้ว ส้มลิ้มกลัวว่าวันไหนเพื่อนลบเครื่องสำอางพี่เขาอาจจะจำมันไม่ได้ พวกเธอด้วยเช่นกัน
Rrrrrrrr
ภายในกระเป๋าของสาวน้อยวัยว้าวุ่นอย่างเต้าหู้สั่นเครือ เพราะผู้เป็นแม่โทรเข้ามา
“ฮัลโหล ว่าไงคะคุณนายศรี” เพราะอยู่กับแม่มาเพียงลำพังพ่อเสียไปตั้งแต่เด็กแม่เลยเลี้ยงดูเธอด้วยตัวคนเดียวตั้งแต่นั้นมา เมื่อก่อนพ่อกับแม่ขายน้ำเต้าหู้ เธอเลยได้ชื่อว่าเต้าหู้ แต่พอพ่อเสียแม่ก็เลิกอาชีพนี้ไป แล้วหันมาขายหวย ตอนแรกก็รับเป็นคนส่งเลขบางเลขก็เก็บเองไม่ได้ส่งให้เจ้ามือ ถ้าเขาไม่ถูกแม่เธอก็ได้รับไปเต็มๆ แม่ทำแบบนี้อยู่หลายปี พอมีเงินเก็บมากหน่อยก็ขึ้นเป็นเจ้ามือเอง
เต้าหู้เลยสนิทกับแม่มากการพูดกันเลยจะเป็นเหมือนทั้งแม่และเพื่อนไปในเวลาเดียวกัน
(อยู่ไหนเนี่ยกลับบ้านหรือยัง)
“พึ่งเรียนเสร็จจะกลับแล้ว"
(แวะเก็บค่าหวยบ้านป้าหมอนให้หน่อยยอดสามพันห้า)
“โห แม่ไปเก็บเองไม่ได้เหรอหนูกลัวผี” เพราะสองข้างทางไปบ้านลูกค้าแม่นั้นเป็นป่าต้นยางทางถนนตรงนั้นยังเป็นดินลูกรังเพราะเป็นสวน แถมบ้านป้าหมอนแกอยู่แทบจะท้ายสวนเลยระหว่างทางก็หลอนเอาเรื่อง ยิ่งค่ำยิ่งเงียบสงัดเธอเคยไปคนเดียวครั้งหนึ่งปั่นจักรยานไปก็ลุ้นว่าจะมีพลังงานบางอย่างพุ่งออกมาจากสวนยางดักหน้ารถไหม แต่ก็โชคดีที่ไม่มีอะไร แต่ครั้นจะให้ไปคนเดียวอีกก็กระไรอยู่ วันนั้นไม่เจอวันนี้อาจเจอก็ได้ใครจะรู้
(ก็รีบไปตอนนี้จะได้ไม่มืดค่ำ แม่ก็มาเก็บค่าหวยบ้านอื่นอยู่เหมือนกัน)
(เจ๊ศรีรีบๆ เปิดไพ่สิ รอเจ๊คนเดียวเนี่ย) เสียงใครบางคนในสายก็ดังแทรกขึ้นมา ทำให้รู้เลยว่าแม่กำลังแข่งคณิตคิดเลขเร็วอยู่แน่นอน
“ไหนบอกเก็บค่าหวยไง ทำไมมีเปิดไพ่ด้วยหละคะเจ๊ ศรี~~”
(มาเก็บค่าหวยจริงๆ แต่เขาขาดขาพอดีเลยต้องช่วย)
“น้ำใจงามจริงๆ”
(สรุปแกจะไปไหมเนี่ย)
“ไปก็ได้ แต่แม่ต้องเพิ่มค่าขนมให้หนูนะ”
(ลูกคนนี้นี่ วานนิดวานหน่อยไม่ได้เลย คิดแต่เงินกับแม่ก็ไม่เว้น)
“ก็ทางไปบ้านป้าหมอนเนี่ยไม่ได้เรียกว่าแวะเลยนะ คนละทางกับบ้านเราเลยด้วย เปลี่ยวจะตายจะจ๊ะเอ๋กับผีตอนไหนก็ยังไม่รู้ งั้นแม่ไปเก็บเองไหมล่ะ”
(เออๆ เดี๋ยวให้ค่าขนมสามร้อย เพิ่มรายวันให้อีกยี่สิบรีบไปรีบกลับเดี๋ยวมันจะมืด)
“โอเคจ้ะ” ตอบตกลงอย่างไวเมื่อได้ยินว่าจะได้เงิน หลังจากวางสายแม่เสร็จก็หันไปทางเพื่อนเพื่อหาแนวร่วมในการไปเก็บค่าหวยบ้านป้าหมอน
“พวกแกไปเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ ไปเก็บค่าหวยบ้านป้าหมอน ฉันกลัวผี” คราวนี้ไม่ต้องปั่นจักรยานให้เสียเวลาเพราะมีมอเตอร์ไซค์ แม่ซื้อให้เพราะจะได้ไปโรงเรียนสะดวก
สามสาวแก๊งนางฟ้าไม่เคยปฏิเสธกันอยู่แล้ว หากปฏิเสธไปจีจี้กับส้มลิ้มต้องเดินกลับบ้านกันเอง เพราะทุกวันนี้ทั้งสามจะนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ของเต้าหู้มาด้วยกัน เต้าหู้ขับ ส้มลิ้มนั่งข้างหน้าหน้า จีจี้ซ้อนท้าย
มอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาในสวนของป้าหมอน สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นยางสูงชะลูดบดบังแสงอาทิตย์ยามเย็นจนทำให้ตลอดทางดูมืดกว่าที่ควรจะเป็น แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวสำหรับเต้าหู้เพราะพาเพื่อนสองคนมาด้วยเลยอุ่นใจ
แต่จู่ๆ ไฟหน้ารถก็สาดไปกระทบกับอะไรบางอย่างที่เหมือนกับคนนอนแน่นิ่งขวางทางอยู่
"ใครมานอนเล่นในสวนยางวะ" เต้าหู้เห็นเลยสงสัย
"ผัวป้าหมอนหรือเปล่าเมาแล้วคงเดินกลับไม่ไหว ลองบีบแตรดิ๊" พอบีบแตรร่างนั้นก็ไม่ไหวติง ส้มลิ้มที่นั่งด้านหน้าสุดเห็นว่าใบหน้าและเสื้อผ้าเขาชุ่มเลือดดังนั้นรีบตะโกนบอกคนขับทันที
“อีเต้าหู้ เบรก!!!” มือคนขับบีบเบรกอย่างแรงจนล้อรถด้านหน้าปัดไปกับก้อนกรวด
กรี๊ด!!!! เสียงกรีดร้องประสานดังไปทั่วสวนยาง รถล้มเทกระจาดสมาชิกแก๊งนางฟ้าไปคนละทิศละทาง สภาพแต่ละคนดูไม่จืดเลยทีเดียว กระโปรงนักเรียนหญิงถกขึ้นมากองบนเอว เสื้อสีขาวตอนนี้เปื้อนไปด้วยฝุ่นและดิน ส่วนจีจี้ก็พุ่งเข้าไปในพุ่มไม้
“โอ๊ย!!” คนมาเก็บค่าหวยพยุงตัวเองขึ้นนั่งก่อนจะมองไปตรงหน้าเห็นร่างชายฉกรรจ์ที่นอนแน่นิ่ง แถมใบหน้าปูดโปนเปื้อนไปด้วยเลือด มิหนำซ้ำหน้าท้องก็มีเลือดออกสภาพนี้ไม่โดนยิงก็โดนแทง
“ศพ!?"
“โดนโจรฆ่าตายหรือเปล่า” ส้มลิ้มคลานมานั่งข้างๆเต้าหู้ก่อนเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าสภาพนี้ยังไงก็ไม่น่ารอด
“แถวนี้มีโจรที่ไหน" ถ้านับแค่ไอ้พวกขโมยของเล็กน้อยๆมันก็มีบ้าง แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงถึงขั้นปล้นฆ่ากันแบบนี้
อีกอย่างคนๆ นี้ก็แต่งตัวดูดีไม่น้อย ดูก็รู้ว่าเสื้อผ้าเครื่องประดับราคาแพงเอาเรื่อง ถ้าโดนปล้นจริงๆ โจรจะทิ้งของพวกนี้ไว้ทำไม เว้นเสียแต่ว่าที่เขาใส่มันคือของปลอม
เด็กสาวชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งว่าตัวเองจะเข้าไปหรือไม่เข้าไปดี สุดท้ายความอยากรู้อยากเห็นก็พาตัวเธอมานั่งข้างๆ ชายปริศนาแล้ว
“เต้าหู้นั่นแกจะทำอะไร" ยัยจีจี้ที่ลุกออกมาจากพุ่มไม้กินคนเห็นว่าเพื่อนกำลังจะไปแตะตัวคนตาย
“จะดูว่าตายหรือยัง”
มือของเธอค่อยๆยื่น ไปอังที่จมูกของเขาเพื่อดูว่ายังหายใจอยู่ไหม ลมหายใจอุ่นๆ รินรดผ่านมือเล็กๆ นั้นแต่มันก็อ่อนมากๆ เธอตัดสินใจให้เพื่อนแจ้งกู้ภัยเพราะปล่อยไว้เขาอาจจะได้ตายจริงๆ
“พวกแกก็โทรแจ้งตำรวจกับกู้ภัยเลย” หันไปบอกเพื่อนทั้งสอง ก่อนจะหันกลับมาลองเรียกคนที่นอนสลบอยู่ตรงหน้า
"คุณคะ ได้ยินเสียงหนูไหม คุณคะ"
"อืม.." เสียงครางในลำคอหนา ดวงตาที่หลับสนิทมีการเคลื่อนไหว เปลือกตาเปิดขึ้นเล็กน้อย
"เห็นหนูไหมคะ" เธอโบกมือผ่านตาเขาไปมาดวงตาไม่ได้กลอกไปตามมือที่เคลื่อนไหว แต่ดูเหมือนว่าพยายามเพ่งมองมาที่ใบหน้าของเธอมากกว่าก่อนจะเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา
“นางฟ้า?”
"ว่าอะไรนะคะ พูดอีกทีสิคะ" หืมตะกี้เขาพูดว่าอะไรนะ นางฟ้าใช่ไหม หรือเธอหูฝาด
"ผมตายแล้วเหรอ ทำไมมีนางฟ้าอยู่ที่นี่" พอได้ยินแบบนั้นสาวน้อยถึงกับเขินจนตัวบิด นี่ขนาดเขาเจ็บจนลืมตาแทบไม่ขึ้นความสวยของเธอยังทะลุไปให้เขามองเห็นมันได้อีก เกิดเป็นคนสวยก็งี้แหละ ก่อนเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลพร้อมส่งยิ้มหวานรับบทเป็นนางฟ้าตามน้ำไปก่อน
"ใช่ค่ะ นี่คือนางฟ้าเอง อดทนไว้ก่อนนะคะ เดี๋ยวกู้ภัยก็มาแล้วค่ะ"
หลายวันผ่านไป หลังจากที่ชาวบ้านหนองนาน้อยได้รู้ข่าวเรื่องที่ว่ามีคนถูกทำร้ายร่างกายแล้วนำไปทิ้งไว้ที่สวนยางของป้าหมอน ชาวบ้านก็ลือกันไปต่างๆ นาๆ ว่า คนที่โดนทำร้ายวันนั้นตายหลังจากที่ถูกส่งตัวไปถึงโรงพยาบาล บ้างก็ว่าตายตั้งแต่ระหว่างทางตอนอยู่บนรถกู้ภัย แถมยังมีคนบอกว่าพบเห็นดวงวิญญาณยังคงวนเวียนอยู่บริเวณสวนยางนั้นเพื่อรอแก้แค้นคนที่ทำร้ายตนจนชาวบ้านไม่กล้าย่างกรายเข้าไปแม้กระทั่งเจ้าของสวนเองยังเจอเงาดำตะคุ่มๆ แถวๆ สวนยางในคืนเกิดเหตุ ก็คิดว่าเป็นผีเลยกลัวเหมือนกันจนต้องซื้อที่ปลูกบ้านใหม่แล้วย้ายออกจากบ้านสวน ส่วนต้นยางก็ไม่กรีดเองก็จ้างเขามากรีดยางเก็บยางให้แทน ตึก ตึก ตึก เต้าหู้วิ่งลงมาจากชั้นสองของบ้าน พร้อมแต่งตัวสวยเสื้อยืดสีขาวกางเกงยีนส์ขาสั้น แม้วันนี้จะเป็นวันหยุด แต่ก็มีนัดกับเพื่อนสาวอีกสองคนไปกินส้มตำไก่ย่างร้านโปรด แม่ที่กำลังนั่งจดเลขที่เขาว่าดังในช่วงนี้เอาไว้ เพื่อทำเลขอั้นส่งเข้ากรุ๊ปลูกค้าหวยขาประจำ และให้กับกลุ่มคนที่มาส่งเลขให้กับแม่ เลขอั้นจะจ่ายแค่ครึ่งหนึ่งของรางวัลที่จะต้องได้ตามปกติเท่านั้น คนซื้อก็รู้ข้อนี้กันดี
ตำหนักร่างทรงเจ้าพ่อหนองนาน้อย หลังพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเสร็จสิ้น เจ้าพ่อก็เปิดให้บูชาน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีเพื่อให้ชาวบ้านเอาไปประพรมทั่วบ้านและผสมน้ำอาบให้เป็นสิริมงคล ขวดละเก้าสิบเก้าบาท ก่อนกลับเจ้าพ่อได้จุดธูปตัวเลข เอาไว้ คนที่มาร่วมพิธีก็จะได้เห็นและเอาเลขไปเสี่ยงโชคกัน หลังจากนั้นทุกคนก็กราบลาเจ้าพ่อ เสร็จก็แยกย้ายกันกลับ เหลือเพียงสามสาวแก๊งนางฟ้าที่ยังต้องอยู่ต่อ เพราะผีดันชี้หน้าเลือกเต้าหู้คนสวยไปอยู่ด้วย นี่ไหมที่เขาเรียกปากพาซวย “เจ้าพ่อคะ จะทำยังไงได้บ้างคะหนูยังไม่อยากตายตอนนี้” พอมานั่งนับความดีตั้งแต่เกิดมา ทำไปไม่กี่อย่าง แถมสมุดที่ครูให้มาบันทึกทำความดีก็โกหกทั้งนั้น ตายตอนนี้ไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอน “ไม่ต้องห่วง เอาน้ำมนต์พ่อไปผสมน้ำอาบ เจ็ดวัน วันละขวด แล้วก็เอาผ้ายันต์ไปแปะตามประตูเข้าบ้าน มันก็ทำอะไรเอ็งไม่ได้แล้ว” เจ้าพ่อหยิบพานที่ใส่ของตามที่ได้กล่าวเอาไว้ มาวางด้านหน้าของตน พอเต้าหู้เห็นเลยคิดว่าเจ้าพ่อให้เลยจะหยิบ แต่เจ้าพ่อก็ดึงให้ห่างจากมือของเธอ “แต่ของพวกนี้ ให้ฟรีๆ กันไม่ได้ ต้องมีค่าครู”
ตลาดสดหนองนาน้อย ช่วงเช้าในวันหยุดเจ๊ศรีชวนลูกสาวอย่างเต้าหู้มาจ่ายตลาดด้วยกันเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่แถมยังเป็นวันหวยออกด้วย เจ๊ศรีคิดเอาไว้ว่าจะซื้อของเพื่อเตรียมไปทำบุญชุดใหญ่ที่วัดในช่วงเช้า เพื่อเสริมสิริมงคล เพื่อเตรียมรับเงินเข้ากระเป๋าแบบไม่ต้องได้จ่ายออก ลูกสาวที่ตื่นเช้าทำหน้าบูดเป็นตูดลิง วันหยุดทั้งทีแทนที่จะได้ตื่นสาย ต้องมาตื่นตีสี่ตีห้าจ่ายตลาดกับแม่ แถมอาบน้ำแต่งตัวยังไม่ทันจะได้แต่งหน้าแม่ก็ลากออกจากบ้านแล้ว บอกว่าเดี๋ยวไปสายของดีๆ จะหมดเสียก่อน เต้าหู้เลยต้องหน้าสดแข่งกับปลาที่ตลาด คนสวยเบื่อ “ทำหน้าให้สวยๆ หน่อย นี่มาซื้อของเตรียมไปทำบุญนะ เดี๋ยวชาติหน้าก็เกิดมาขี้เหร่หรอก” “ชาตินี้สวยมากแล้ว ชาติหน้าขี้เหร่บ้างก็ได้ไม่เป็นไร” “เฮ้อ เบื่อคนสวยจริงๆ” ขณะที่เจ๊ศรีกำลังจะเดินไปทางเขียงหมูของพ่อจีจี้ ก็เห็นว่ามีชายชุดดำสองคนยังใช้ไม้ค้ำยันเพราะขาที่ยังใส่เฝือกเดินแจกใบปลิวอะไรสักอย่าง ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจ คนอะไรใส่แว่นดำมาเดินตลาดช่วงเช้ามืด มีคนปกติที่ไหนเขาทำกัน พอเห็นว่าผู้ชายสองคนนั้นเดินจากไป
ระหว่างที่คนเจ็บยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนเกือบจะหายดี ก็มีญาติ พี่น้อง และเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเพื่อนอย่างไอ้ ฟีนิกซ์ ที่แวะเวียนมานั่งเล่นด้วยแทบทุกวันหรือไม่ก็มาเช็กว่าเขาตายหรือยัง วันนี้มันก็มาอีกไม่รู้ว่าไม่มีงานการทำกันหรือยังไง แถมยังไปพาพระทิศเหนือ เพื่อนซึ่งกำลังบวชอยู่มาด้วย พอเห็นเพื่อนที่เป็นพระเฉินก็รีบยกมือไหว้ มีแค่ตอนนี้แหละที่เพื่อนดูน่าเคารพที่สุด ก่อนจะบวชทำแต่เรื่องไม่ดีมาด้วยกันมาก็เยอะ จนกระทั่งทิศเหนือถูกเมียทิ้งเรียกได้ว่าเพื่อนเสียใจจนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม เพื่อสงบจิตใจ "นมัสการครับหลวงเพื่อน" "เจริญพรเถอะโยมเฉิน" “แล้วพระมายังไงครับ” “โยมฟีนิกซ์ไปนิมนต์มา” “แล้วพระไม่ปฏิเสธล่ะครับ” “ไม่ได้หรอกโยม พระปฏิเสธไม่ได้” “ไอ้ฟีนิกซ์มึงไปพาพระมาด้วยทำไมเนี่ย รบกวนพระอีก” “กูเป็นห่วงมึงไง พาพระมาให้ศีลให้พรมึงถึงโรงพยาบาลเลยจะได้หายไวๆ หรือถ้าตายก็พร้อมสวดส่ง” นั่นปากคนหรือปากหมาไม่แน่ใจ จริงๆ คนอย่างไอ้ฟีนิกซ์นี่นรกอาจจะส่งมันมาเกิดพร้
สามปีต่อมา ชายหนุ่มวัยสามสิบพร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีกสองคน อย่างจ๊อดกับแจ๊ด เดินทางไปเยี่ยมปู่ที่กำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะพึ่งผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบไปเมื่อคืน ขณะที่กำลังนั่งรถไปนั้น ลูกน้องก็ได้รายงานความคืบหน้าเรื่องของเจ๊ศรีลูกหนี้ที่ไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาที่ให้เอาไว้ ไม่จ่ายมาประมาณสามเดือนแล้ว และยังมีแนวโน้มขอผ่อนผันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะได้คืนตอนไหน "เจ๊ศรีมันหนีเหรอ ทำไมไม่จ่ายมาสามเดือนแล้ว" เฉินเปิดดูสมุดบันทึกการจ่ายหนี้ของเจ๊ศรีเห็นว่า สามเดือนที่ผ่านมารายการชำระนิ่งสนิทมีเพียงแค่ดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้น จากที่กู้ไปแค่หนึ่งล้านบาท ทบไปทบมาตอนนี้ยอดเกือบสิล้านได้ เพียงแค่สามเดือน แน่นอนว่า ดอกเบี้ยพวกนี้เก็บเป็นรายวันไม่เหมือนกับของทางธนาคาร คนกู้ก็ต้องยอมรับข้อตกลงส่วนนี้ด้วย "สามเดือนมานี้ แกให้ลูกสาวมารับหน้าตลอดเลย แล้วก็บอกว่าเจ๊ยังป่วยอยู่ครับ" "แล้วป่วยจริงหรือแกล้งพวกมึงดูดีๆ หรือยัง" "เดือนก่อนผมก็ไปครับ สภาพเจ๊แกก็โทรม ผอมๆ คิดว่าน่าจะป่วยจริงครับลูกพี่" จ๊อดบอกในสิ่งที่ไปเห็นมาตอนไปเก็บเงิน
รถยนต์หรูมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่านั่งชมวิวข้างทางจะทำให้ใจเย็นลงบ้าง สรุปโมโหกว่าเดิม เมื่อเจอคนขับรถปาดซ้ายปาดขวา จนเฉินต้องปล่อยสัตว์หลากหลายชนิดมาตลอดทาง เหี้ยบ้าง ควายบ้าง จ๊อดแจ๊ดทำได้เพียงนั่งเงียบๆ ขืนปริปากพูดอะไรไม่เข้าหูคงถูกด่าไปด้วย หลายชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือบ้านของเจ๊ศรีเจ้ามือหวยที่บ้านหนองนาน้อย ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเกือบสามทุ่มแต่กลับไม่มีใครอยู่ที่บ้านไฟก็ไม่เปิด มีเพียงแสงไฟกิ่งหน้าบ้านที่สาดส่องไปบนถนนเท่านั้น แถวนี้แทบจะอยู่ในตัวเมืองปกติก็ไม่น่าจะหลับกันเร็วขนาดนี้บ้านอื่นก็เปิดไฟกันปกติมีแต่บ้านที่ที่มืดสนิท จ๊อดกับแจ๊ดลงจากรถพยายามกดกริ่งที่หน้าบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเจ๊ศรี อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมีแต่เสียงหมาในซอยที่เห่าเพราะพวกเขาทำเสียงดัง เฉินที่นั่งรอในรถพอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหหนัก เลยออกไปจัดการเขกกบาลลูกน้องคนละที เพราะคิดว่าลูกหนี้อย่างเจ๊ศรีคงหนีไปอย่างที่เขาคาดการเอาไว้แน่ๆ “พวกมึงไม่ได้เรื่องจริงๆ กูจะหักเงินเดือนของมึงสองคน ให้เท่ากับเงินที่เจ๊ศรีติดหนี้กูตอนนี
“คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้านเธอ พอดีไม่ได้จองโรงแรมไว้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม” ใบหน้าของเต้าหู้เต็มไปด้วยความงุนงง ไม่ต่างจากลูกน้องอีกสองคนที่ไม่เข้าใจเจ้านายว่าพูดแบบนั้นทำไม ทั้งๆ ที่พี่แกมีบ้านพักตากอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขับรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจองโรงแรมเลย หรือนี่จะเป็นข้ออ้างขอค้างบ้านผู้หญิง “คิดอะไรกับหนูปะเนี่ย” จู่ๆ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ทำทีจะมาขอนอนที่บ้านด้วย รู้อยู่ว่าเธอสวยคงจะมีแต่คนหมายปอง ถึงเจ้าหนี้คนนี้จะหล่อก็เถอะ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงจะให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับผู้ชายมันก็จะดูไม่งามเอานะ “หรือจะให้หนูขัดดอก บังคับขืนใจให้เป็นนางบำเรอ ก็พวกคุณสามคนตัวโตอย่างกับยักษ์อุ้มปิดปากหนูก็ทำได้สบาย เพราะหนูไม่มีทางสู้อยู่แล้ว” เคยอ่านหนังสือเคยดูละครมาเยอะ ถ้านางเอกติดหนี้ไม่มีเงินจ่ายจะต้องเอาตัวเองไปขัดดอกเพื่อใช้หนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะให้เธอทำแบบนั้น “แค่มองเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว ไม่ได้สวยขนาดนั้น” เอาจริงๆ ตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์กับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับเธอหรือกับใคร ไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้งานได้ตอนไหน หรืออาจต้องอยู่อย่างเหี่ย
เต้าหู้ และจ๊อดแจ๊ดที่ได้ยินทั้งเสียงโครมครามและเสียงร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือดังมาจากห้องที่เฉินนอนอยู่จึงรีบเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ห้องเธอไม่ได้ล็อกเอาไว้จึงเปิดเข้าไปได้ง่าย เต้าหู้เปิดไฟในห้องให้สว่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สภาพที่เห็นคือ เฉินกำลังกระทืบและบูมกับอาร์มสลับกัน จนสองคนนั้นอยู่ในสภาพที่เรียกว่าอ่วม เต้าหู้รีบเดินไปหยุดเฉินก่อนที่สองคนนั้นจะตายจริงๆ “ไอ้จ๊อดไอ้แจ๊ด จับพวกมันนั่งดีๆ ซิ” เฉินออกคำสั่งกับลูกน้องตน ทั้งสองก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบจับอาร์มและบูมที่นอนขดโอดครวญ ให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าเฉิน “นี่มันอะไรกันเนี่ย ไอ้บูม ไอ้อาร์ม พวกแกสองคนมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง” เต้าหู้ที่กำลังสับสนว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แล้วพวกมันเข้ามาทำอะไรในห้องของเธอ อีกอย่างเฉินทำร้ายสองคนนี้ทำไม หรือจะขึ้นมาขโมยของ แต่ก่อนหน้านี้บูมกับอาร์มก็ไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้เลย "เอ่อ..." ทั้งอารมณ์และบูมต่างไม่มีใครกล้าปริปากยอมรับความผิดในสิ่งที่คิดจะทำ จนเฉินชักจะมีน้ำโห "มึงจะให้กูใช้ตีนง้างปากพวกมึงให้พูดไหม ว่าพวกมึงวางแผนจะทำอะไรเต้าหู้" พึ
หลังจากเหตุการณ์นั้นตำรวจก็จับตัวของภีมไปรับโทษตามกฎหมาย และยังค้นพบหลักฐานที่ภีมและพ่อร่วมกันทำความผิด ปิดบัง อำพรางมาตลอดหลายปีอีกมากมาย ภาพที่เห็นว่าภีมนั้นเป็นสุภาพบุรุษไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหน หรือไม่เคยมีข่าวเสียหายเป็นเพราะว่าภีมมักจะอัดคลิปที่ตนมีอะไรกับผู้หญิงที่คบกันอยู่เอาไว้สำหรับข่มขู่หากพวกเธอคิดจะเปิดโปงเรื่องของเขาและเธอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปแพร่งพรายให้ใครรู้ หากคนไหนที่ยังรั้นและไม่ยอมทำตามก็จะถูกภีมและพ่อจัดการปิดปากพวกเธอ แถมภีมก็มีรสนิยมที่ชอบถ่ายคลิปเอาไว้เวลาที่ทรมานเหยื่อนั่นจึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ภีมจะได้รับโทษสถานหนัก เต้าหู้นั่งรอเฉินอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ไม่นานเขาก็ถูกนำตัวออกมาเข้าไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วย พอหมอบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้วเธอจึงโล่งใจและปล่อยให้เขาพักผ่อนเต็มที่ เธอจึงมีเวลาก็ไปดูอาการของเพื่อนอย่างพลอย พอไปถึงก็ได้ยินเสียงดังโวยวายดังมาจากข้างในห้อง “อีลูกไม่รักดี ฉันส่งแกมาเรียน ทำไมแกไม่เรียน ฉันทำงานเหนื่อยแทบตายหาเงินมาให้แกทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอ พลอยแก
ขณะที่ใจจะอยากยอมแพ้ แต่พอภีมจะขึ้นมาคร่อมตัวเธอบนโซฟา สองเท้าที่ไม่ได้ถูกมัดก็กระแทกแรงๆ ไปที่หน้าอกภีมจนเขาหงายหลังลงไปกับพื้น “อีเหี้ยเอ๊ย” เขาสบถคำออกมาเพราะแรงถีบที่รุนแรงจนจุก เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ขยับตัวยาก พอนั่งได้และเท้าแตะพื้นก็พยายามลุกขึ้นวิ่งหลบและคิดหาทางวิ่งไปทางประตูห้องเพื่อที่จะหนีเอาตัว “พวกมึงยืนโง่กันอยู่ทำไม ไปจับตัวมันสิวะ” ภีมเอ่ยด่าลูกน้องที่มัวแต่มองไม่ทำอะไร ลูกน้องของภีมก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ห้องมันไม่ได้กว้างพอที่จะให้เธอวิ่งไปมาได้มากนัก หนีได้ไม่นานสุดท้ายก็มาอยู่ที่มุมห้อง ภีมที่โมโหจึงเดินปรี่เข้ามาหา มือใหญ่คว้าใบหน้าของเธอจับบีบแก้มทั้งสองข้าอย่างแรง และใช้นิ้วกดลงที่แผลบนพวงแก้มที่เขาเป็นคนทำเธอทั้งเจ็บและแสบ “กูหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ ชอบความรุนแรงใช่ไหมงั้นก็โดนพร้อมกันหลายๆ อันมึงน่าจะชอบ” ก่อนจะหันหน้าไปทางลูกน้อง “จับมัน แล้วถอดเสื้อผ้ามันให้หมด เสื้อผ้าพวกมึงด้วย” ไอ้พวกลูกน้องผุ้ชายได้ยินคำสั่งก็ร
“วันนี้พลอยก็ไม่มาอีกแล้วนะ” เต้าหู้บ่นกับเพื่อนสาวสองคนเช่นเคยที่เพื่อนอย่างพลอยหายไปและไม่สามารถติดต่อได้จนน่าเป็นห่วง “โทรหาติดไหม” “ไม่เลยตั้งแต่ที่เจอเมื่อวานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก” “พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้แชทฉันหนักขวามากเลย พลอยไม่อ่านไม่ตอบเลย” "ยังไงวันนี้เราก็ต้องไปหาพลอยอีก" "โอเคไปกันเลยไหม" ระหว่างที่กำลังตกลงว่าจะไปหาพลอย เต้าหู้ก็สังเกตเห็นว่าภีมกำลังเดินสวนกับพวกเธอไป ใจจริงเธออยากจะเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของพลอยแต่ก็เห็นว่าเขาเดินไปไกลแล้ว อีกอย่างตอนนี้เฉินก็มารับเธอเสียก่อนทำให้เธอพลาดที่จะได้เข้าไปถามเขา เธอมองภีมเดินไปจนสุดลูกตา ทำให้เฉินต้องมองตามไปบ้างพอเห็นว่าเป็นภีมเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ “มีอะไรเหรอ” “เปล่าค่ะ เฮียเฉิน เดี๋ยวแวะไปที่คอนโดเพื่อนหนูแป๊บหนึ่งได้ไหม“ “ได้สิ แล้ววันนี้ไม่มีสอนพิเศษเหรอ” “วันนี้หนูลาค่ะ หนูเป็นห่วงพลอยช่วงนี้พลอยแปลกไป” ไม่นานเธอก็มาถึงที่คอนโดของพลอย และแน่นอนว่าทางรปภ.คอนโดของพลอยก็ยังยืนกรานไม่ให้ค
“เฮีย เฮีย” เต้าหู้ตะโกนเรียกเขาพร้อมน้ำตา ขณะที่มือเล็กๆนั้นก็เขย่าไปที่ตัวเขาอย่างแรงไม่หยุด เธอเงยหน้าขึ้นมอง จ๊อดกับแจ๊ดที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ทำอะไร “พี่จ๊อดพี่แจ๊ด เรียกรถพยาบาลเร็ว” ลูกน้องคนสนิทมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครหยิบมือถือหรือมีท่าที่เป็นเดือดเป็นร้อนกันสักคน “พี่จ๊อดพี่แจ๊ดเร็วสิ เฮียเฉินจะตายแล้วเนี่ย” เธอทั้งห่วงเขา และพาลโมโหที่จ๊อดแจ๊ดดูจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้แต่น้อยทั้งๆที่เห็นลูกพี่ตัวเองนอนสลบเหมือดไปต่อหน้าต่อตา ฝ่ามือเล็กที่วางบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมถี่ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามออกมาทำให้เธอต้องรีบกลับไปมองคนที่สภาพปางตายบนตักของเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาคมที่ปิดลงเมื่อครู่ตอนนี้ได้มองมาที่เธอพร้อมใบหน้าที่เจือรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ เต้าหู้พอรู้ว่าโดนแกล้งถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห “เฮียเฉิน!” จากมือที่ใช้เขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ตอนนี้กลับกำแน่น และทุบไปอย่างแรงบนอกแกร่งนั้นจนคนที่โดนถึงกับจุกเพราะเธอใส่มาเกือบเต็มแรง “โอ๊ย ตีเฮียทำไม เฮียเจ็บอยู่นะ” “แล้ว
หลายวันมานี้พลอยหยุดเรียนไปด้วยเหตุผลที่ว่าเธอนั้นไม่สบาย แถมในแชทกลุ่มเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ส่งข้อความหาเพื่อนก็ตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วก็หายไป โทรหาน้ำเสียงก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เต้าหู้กับเพื่อนอีกสองคนเลยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “แกสองคนได้คุยกับพลอยบ้างปะ” เต้าหู้ที่เป็นกังวลเอ่ยถามกับเพื่อนทั้งสองขณะที่กำลังนั่งรอเข้าเรียนในช่วงเช้า “ไม่นะ ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” ส้มลิ้มตอบ “ฉันก็รู้สึกเป็นห่วงพลอยอะ ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรกันแน่” สีหน้าเต้าหู้เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พลอยไม่ใช่คนที่จะโดดเรียนหรือหนีหายไปและโกหกว่าป่วยแน่นอน ตอนนี้เธอคงจะป่วยจริงๆ จนถึงขั้นมาเรียนไม่ไหว จีจี้ที่นั่งฟังอยู่เลยออกความเห็น “งั้นเราลองถามพลอยดีไหมว่าตอนนี้อยู่ไหน หลังเลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมพลอยกัน” ระหว่างที่กำลังจะกดโทรหาอยู่นั้น พวกเธอก็ได้เห็นพลอยก็กลับมาเรียนแต่พลอยกลับไม่เดินมาหาพวกเธอ แต่กลับรีบเดินเข้าห้องเรียนไปแถมยังไม่มานั่งรวมกับพวกเธออีกต่างหาก ไม่รู้ว่าพลอยมีปัญหาอะไรไหม พอจะถามพลอยก็ปลีกตัวไม่สุงสิงกับใครนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมา
วันกีฬามหาวิทยาลัย นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องวุ่นกับการทำหน้าที่ของตนเอง เต้าหู้ พลอย และจี้จี้ มีหน้าที่แปลกอักษร บนอัฒจันทร์พวกเธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อมาเตรียมความพร้อมก่อนงานจริงจะเริ่ม ส่วนส้มลิ้มก็มีแข่งชกมวยรอบชิงชนะเลิศอยู่ที่สนามและเธอจะมารับเหรียญในช่วงเย็น จนถึงเวลาพักทานข้าว รุ่นพี่ที่ดูแลได้นำอาหารและน้ำดื่มมาแจกให้กับพวกนักกีฬาและคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรม สามสาวก็มาหาที่ร่มๆ มานั่งทานข้าวและพักผ่อนก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมต่อในช่วงบ่าย สามสาวเปิดกล่องข้าวออกมากำลังจะเริ่มทานด้วยความหิวและความเหนื่อย แต่พลอยกลับทำหน้าพะอืดพะอม และรีบปิดกล่องข้าวลงทันที “พลอยเป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” “เรารู้สึกไม่ชอบกลิ่นหมูกระเทียมกล่องนี้เลย มันฉุน เราอยากอ้วก” พอพูดจบเธอก็รีบลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะรีบไปอ้วกในห้องน้ำใกล้ๆ เต้าหู้กับจีจี้ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน จึงวิ่งตามไปพอมาถึงก็เห็นว่าพลอยอยู่ข้างในนั้น เต้าหู้รีบช่วยลูบหลังเพื่อนให้ก่อนจะเอ่ยถาม “แกเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” “ไม่รู้สิ แต่สองสามวันมานี้ฉันเวียนหัวมา
ในช่วงกิจกรรมกีฬาของมหาลัย แน่นอนว่านักศึกษาปีที่หนึ่งของแต่ละคณะก็จะต้องมีการฝึกซ้อมเชียร์และกีฬากันอย่างหนัก แน่นอนแหละว่าคนสวยๆ แบบพวกเธอต้องได้รับหน้าที่แปลอักษรและนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์อยู่แล้ว “เดี๋ยวให้พักก่อนสามสิบนาทีนะครับน้องๆ อีกครึ่งชั่วโมงกลับมาประจำที่นะครับ พี่จะซ้อมเต็มอีกสักสองถึงสามรอบ หรือจนกว่าพวกเราจะคล่อง” รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้าที่คุมการซ้อมบอกให้พวกปีหนึ่งไปพัก แต่ตอนนี้อากาศร้อนมากทำให้แต่ละคนก็บ่นออกมาไม่เว้นแม้แต่พวกของแก๊งนางฟ้าเอง “ร้อนมาก ใครก็ได้เอาน้ำไปราดดวงอาทิตย์หน่อยซิ” เต้าหู้บ่น เพราะอัฒจันทร์ของคณะเธอดันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ก็เลยรับแสงแดดยามบ่ายกันอย่างเต็มที่ อย่างไม่ต้องการ กันแดดที่โบกมาอย่างหนาไม่รู้ว่าจะเอาอยู่ได้มากขนาดไหนรู้สึกว่าผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยหลังจบงานนี้คงต้องบำรุงกันยาวๆ “หิวน้ำจะตายอยู่ละ สต๊าฟอยู่ไหนกันหมดปกติต้องเอาน้ำมาแจกแล้วนะ” อยู่จี้ที่ใช้หมวกฟางพัดวีให้ตัวเองบ่นด้วยความเหนื่อย เพราะเธอต้องซ้อมกันในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ วันปกติก็เรียนแทบไม่ได้พักตอนเย็นของทุกวันและวันหยุดก็ต้องซ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว ส้มลิ้มและจีจี้มาด้วยหน้าตาที่สดใสเพราะได้กลับบ้านไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเปิดเทอมใหม่แล้ว อะไรบางอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป อย่างเช่นพลอยที่ปกติแล้วเธอจะมักจะใส่เสื้อผ้า ชุดนักศึกษาที่ดูเรียบร้อยและมิดชิดปิดไปแทบทุกสัดส่วน สวมแว่นตาหนา รวบผม ใบหน้าก็ไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่แต้ม แต่เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนอย่างที่เขาว่า เวลามีความรักอะไรมันก็ดูสวยงามไปหมด พอถอดแว่นตาแต่งตัวให้ดูเข้ากับรูปร่างตัวเอง และแต่งหน้าเพิ่มเพียงนิดหน่อย ก็ทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นมามากเลยทีเดียวอย่างกับเป็นคนละคน “ไม่บอกจริงๆ เหรอว่าแฟนแกเป็นใครน่ะพลอย” ส้มลิ้มที่อยากรู้อยากเห็นกว่าใครอดใจไม่ได้ที่จะต้องถาม “ยังบอกไม่ได้ตอนนี้น่ะ” พลอยหลุบใบหน้าแดงที่กำลังเขินอายลงไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าพลอยดูสดใสขึ้น “งั้นแก๊งเราก็เหลือคนโสดแค่ฉันกับแกแล้วสิส้มลิ้ม” จีจี้พูดพลางแกล้งทำหน้าเศร้าโผเข้ากอดส้มลิ้ม เพื่อนสาวที่ยังไม่มีแฟนอีกคน “ฉันน่ะโสดจริงแถมไม่เคยมีแฟนด้วย ส่วนของแกน่ะโสดไม่จริงค่ะ เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกอยู่นั่
เต้าหู้และเฉินนั่งอยู่ในโบสถ์และกำลังเข้าร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อนสนิทของเฉิน อย่าง อากิระและคนรักของเขาอย่างริบบิ้น โดยที่มีเด็กตัวน้อยยืนอยู่บนแท่นพิธีร่วมกับทั้งคู่ เด็กคนนั้นคือเรียวตะลูกชายของพวกเขาทั้งสองนั่นเอง คู่บ่าวสาวต่างปฏิญาณสาบานตนว่าจะรักและดูแลซึ่งกันและกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ในตอนเย็นก็มีพิธีฉลองมงคลสมรส จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของอากิระ หลังลงจากรถหรูเฉินยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นการบอกให้คนตัวเล็กที่ยืนข้างกันเดินคล้องเข้าไปในงานคืนนี้ พอเข้ามาหญิงสาวมองไปรอบๆ ตะลึงในความใหญ่โตและสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ยุโรปแห่งนี้ตกแต่งราวกับหลุดออกมาจากยุคกลาง ก่อนที่เฉินจะพาเธอเดินไปทักทายเพื่อนสนิทที่อยู่ในงานเลี้ยงอย่างคู่บ่าวสาว “ยินดีกับมึงด้วยนะเพื่อน” “เออ ขอบใจ” “เรียวตะหลานกู ไปไหนแล้วล่ะ” มองหาลูกชายของเพื่อที่ตอนนี้ไม่เห็นมาวิ่งเล่นในงาน “เล่นทั้งวันคงเหนื่อยก็เลยงอแง กูให้พี่เลี้ยงพาขึ้นไปนอนแล้ว” “เออจริงสิ ไอ้พี่อี้ใส่ซองมาให้ แล้วก็ฝากบอกยินดีกับริบบิ้นด้วย แล้วก็ฝากความคิดถึงเรียวตะ” เฉินหยิบซองด้