ตลาดสดหนองนาน้อย
ช่วงเช้าในวันหยุดเจ๊ศรีชวนลูกสาวอย่างเต้าหู้มาจ่ายตลาดด้วยกันเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่แถมยังเป็นวันหวยออกด้วย เจ๊ศรีคิดเอาไว้ว่าจะซื้อของเพื่อเตรียมไปทำบุญชุดใหญ่ที่วัดในช่วงเช้า เพื่อเสริมสิริมงคล เพื่อเตรียมรับเงินเข้ากระเป๋าแบบไม่ต้องได้จ่ายออก
ลูกสาวที่ตื่นเช้าทำหน้าบูดเป็นตูดลิง วันหยุดทั้งทีแทนที่จะได้ตื่นสาย ต้องมาตื่นตีสี่ตีห้าจ่ายตลาดกับแม่ แถมอาบน้ำแต่งตัวยังไม่ทันจะได้แต่งหน้าแม่ก็ลากออกจากบ้านแล้ว บอกว่าเดี๋ยวไปสายของดีๆ จะหมดเสียก่อน เต้าหู้เลยต้องหน้าสดแข่งกับปลาที่ตลาด คนสวยเบื่อ
“ทำหน้าให้สวยๆ หน่อย นี่มาซื้อของเตรียมไปทำบุญนะ เดี๋ยวชาติหน้าก็เกิดมาขี้เหร่หรอก”
“ชาตินี้สวยมากแล้ว ชาติหน้าขี้เหร่บ้างก็ได้ไม่เป็นไร”
“เฮ้อ เบื่อคนสวยจริงๆ”
ขณะที่เจ๊ศรีกำลังจะเดินไปทางเขียงหมูของพ่อจีจี้ ก็เห็นว่ามีชายชุดดำสองคนยังใช้ไม้ค้ำยันเพราะขาที่ยังใส่เฝือกเดินแจกใบปลิวอะไรสักอย่าง ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจ คนอะไรใส่แว่นดำมาเดินตลาดช่วงเช้ามืด มีคนปกติที่ไหนเขาทำกัน พอเห็นว่าผู้ชายสองคนนั้นเดินจากไปแล้ว ด้วยความอยากรู้เจ๊ศรีเลยเดินเข้าไปซื้อหมูพร้อมกับถาม เฮียเกียง พ่อของจีจี้
“เฮียๆ ผู้ชายสองคนก่อนหน้า เป็นใครเหรอ”
“อ๋อ พวกปล่อยเงินกู้ ถ้าสนใจจะเอาใบปลิวไว้ไหม เฮียได้มาสองใบ”
“ไม่เอาดีกว่าเฮีย เอามาก็ไม่รู้ว่าจะกู้เงินไปทำอะไร แถมดอกพวกนี้ก็รู้ๆ กันอยู่ ว่าโหดแค่ไหน” พวกปล่อยกู้นอกระบบนั้นคิดดอกเบี้ยที่แพงกว่าธนาคารอยู่แล้ว ถึงสะดวกกว่าที่ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรให้ยุ่งยาก แต่ว่าถ้าเกิดไม่มีจ่ายขึ้นมาจริงๆพวกมันก็ตามทวงตามราวีไม่หยุดแน่นอน เห็นหลายคนแล้วที่ถึงขั้นต้องย้ายบ้านหนีเจ้าหนี้ก็มี
“จริงด้วย อย่างเจ๊ศรีมีเงินเยอะอยู่แล้ว คงไม่ต้องกู้หรอก”
“ไม่ได้เยอะอะไรหรอก ก็พอมีพอใช้แหละเฮีย”
“ระดับเจ้ามือหวยแล้วคงไม่ใช่มีแค่พอใช้มั้ง วันหลังก็ปล่อยกู้ดูบ้างสิ” เฮียเกียงลองเสนอการหารายได้ทางอื่นให้กับเจ๊ศรี ตอนแรกเธอก็มีคิดอยู่บ้างว่าจะทำปล่อยกู้แล้วคอยนั่งกินดอกเบี้ยไปวันๆ แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า
“ไม่เอาล่ะ แค่คนยืมไม่คืนทุกวันนี้ก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้วเฮีย ตอนมายืมนี่ร้องไห้แทบกราบฉัน พอไปทวงกลายเป็นฉันจะกราบมันแทน” เจ๊ศรีก็คุยและบ่นไปตามประสาของแก มีคนชอบมายืมเงินตลอดถามว่าให้ไหมก็ให้ เพราะเจ๊ศรีเป็นคนที่ขี้สงสารคนอื่น พอเห็นคนเดือดเนื้อร้อนใจก็อดไม่ได้ที่จะต้องเข้าไปช่วย ถึงแม้ว่าสุดท้ายจะโดนหักหลัง หรือโดนโกงเจ๊แกก็หาได้สนใจเจ็บแล้วก็จำจะไม่ช่วยคนเดิมที่ทำไม่ดีเท่านั้นเอง
สิ่งที่เต้าหู้เบื่อที่สุดในการมาตลาดกับแม่ก็คือ การที่แม่เม้าท์มอยกับพ่อค้าแม่ค้าในตลาดนี่แหละ แวะร้านไหน ก็ชวนคุยตลอด จากที่จะได้กลับบ้านเร็วๆ กลายเป็นว่าออกบ้านเช้ามืดกลับบ้านอีกทีก็ฟ้าสาง นี่เจ๊แกมาจ่ายตลาดหรือมาหาเพื่อนคุย แต่คุยไปคุยมาก็ได้นู่นนี่นั่นแถมมาด้วยตลอดหรือนี่จะเป็นแผนของเจ๊ศรีตั้งแต่แรกก็ไม่แน่ใจ
หลังจากที่ซื้อของทุกอย่างเสร็จหมดแล้วทั้งสองแม่ลูกก็กลับบ้านเต้าหู้ก็ขึ้นไปแต่งหน้าให้สวย และเช่นเคยวันหยุดแบบนี้ก็มีนัดไปนั่งเล่นที่ค่ายมวยกับเพื่อนสาวตามเดิม
“มีอะไรดีนะไอ้ค่ายมวยเนี่ย ไปแทบทุกวัน ไปซ้อมมวยเหรอ เมื่อไหร่จะได้ขึ้นชก ฮะ?” แม่ที่รู้อยู่แล้วว่าลูกสาวจะออกไปไหนก็เอ่ยแซว แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรมากเพราะรู้ว่าลูกสาวนั้นติดเล่นกับเพื่อน และรู้ดีว่าลูกสาวนั้นเป็นคนแบบไหน เลยไม่ได้ห่วงเรื่องผู้ชายมาก เห็นแต่งหน้าแต่งตัวแต่ก็ไม่เคยมีเรื่องเสียหาย เพราะเลี้ยงมาแบบเหมือนเป็นเพื่อน พอมีเรื่องอะไรก็ไม่เคยปิดบัง คุยกันตลอด
“แค่ไปนั่งเล่นเฉยๆ สวยแบบนี้โดนต่อยมาตาเขียวไม่คุ้มค่ะ”
“จ้า แม่นางเต้าหู้คนงาม” ว่าเน้นเสียงอย่างหมั่นไส้ ไอ้ความมั่นนี้ลูกฉันได้แต่ใดมา
“วันนี้กลับมาเร็วหน่อยก็ดี มาช่วยทำกับข้าว ทำขนมไปทำบุญ”
“จ้าๆ” ก่อนจะไปก็ไม่วายแบมือขอตังค์เหมือนเดิม และเจ๊ศรีก็ควักให้ไปตามระเบียบ หลังรับเงินจากแม่มาได้ก็เอามอเตอร์ไซค์คู่ใจออกมาเตรียมขึ้นขี่ หูก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อ เสียงนี้มาอีกแล้วมาพร้อมกับเสียงน้ำที่เปิดรดต้นไม้
“เต้าหู้คนสวยจะไปไหนแต่เช้าเลย” ป้ามอย ฉายาป้าข้างบ้านที่แท้จริงเอ่ยเรียกแบบนี้ไม่ได้มีเรื่องดีๆ จะถามแน่นอน เอาล่ะเต้าหู้สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อตั้งสติเตรียมรับคำถามจากป้าข้างบ้านและหาทางตอบ
“ไปบ้านเพื่อนจ้ะ”
“ดีจังเลยเนาะ ได้เที่ยวได้เล่นไม่ต้องลำบากลำบนหาเงิน เนี่ยตอนป้าอายุเท่านี้ลำบากมากต้องช่วยพ่อช่วยแม่หาเงิน ไม่ได้มีเวลามาเที่ยวเล่นสบายยๆ แบบนี้หรอก” ดอกแรกมาแล้ว แต่มีเหรอที่คนอย่างเต้าหู้จะยอม
“โหจริงเหรอจ๊ะ ชีวิตป้ามอยนี่น่าสงสารมากเลยเนาะ ฉันเนี่ยโชคดีจริงๆ ที่แม่รวย เลยไม่ได้ลำบาก” ยัยป้ามอยเริ่มชักสีหน้าใส่ หึ เริ่มก่อนเองแท้ๆ พอโดนสวนกลับบ้างทำมาเป็นโกรธ สงครามยังไม่จบอย่าพึ่งนับศพทหารค่ะป้า
“แล้วนี่ไปบ้านเพื่อนที่ไหนล่ะ หรือว่าบ้านแฟน” นั่นป้ามอยเอาอีกแล้ว
“ป้าว่ายังเรียนอยู่เลยอย่าพึ่งรีบมีแฟนสิ เกิดท้องขึ้นมาก็เป็นภาระพ่อแม่อีกมันไม่คุ้มนะเต้าหู้” นี่ป้าเล่นแบบนี้เลยเหรอ คำพูดป้ามอยทำเอาเลือดนักสู้ในตัวมันพลุ่งพล่าน ไม่ได้ยกนี้เต้าหู้ต้องชนะ
“ตอนนี้ป้ามอยอายุเท่าไหร่จ๊ะ” เด็กสาวตีหน้าใสซื่อถามเรื่องอายุไป ทำเอาคนที่แก่กว่าถึงกับขมวดคิ้วงงว่าถามเรื่องนี้ทำไม
“สี่สิบสี่”
“แล้วลูกสาวคนโตอายุเท่าไหร่นะจ๊ะ”
“สามสิบ แล้วเอ็งจะถามไปทำไมรึเต้าหู้”
“อยากรู้น่ะสิว่าป้ามีลูกตอนเท่าไหร่” เต้าหู้นับนิ้วมือบวกลบอายุป้ามอยกับลูกสาวดูว่าห่างกันเท่าไหร่สรุปก็คือ
“โหป้า!! มีลูกตอนอายุสิบสี่เองเหรอเนี่ย ตอนป้ามอยมีลูกคนแรกนี่เด็กกว่าหนูอีกนะ!” ป้ามอยไม่พอใจเริ่มขึ้นเสียงทำหน้าไม่สบอารมณ์
“นั่นมันสมัยก่อน ไม่เหมือนกัน”
“แต่ลูกสาวป้าก็มีลูกแล้วไม่ใช่เหรอ แถมเป็นรุ่นพี่หนูอยู่ปีหนึ่งด้วยอายุก็น่าจะสิบหก สรุปก็คือ ลูกป้าก็มีลูกตอนสิบสี่เหมือนกันใช่ไหมจ๊ะ ว่าแต่ลูกสาวคนโตป้าไปไหนนะตั้งแต่หนูเกิดมายังไม่เคยเห็นหน้าเลย เห็นแต่หน้าหลานป้าเนี่ย” ทำตาแป๋วเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มที่ยียวนจนป้ามอยไม่ตอบพร้อมปิดประตูบ้านเข้าไป
หึ คิดจะมาสั่งสอนลูกคนอื่นเอาครอบตัวตัวเองให้รอดก่อนป้า
เมื่อสงครามฝีปากกับป้าข้างบ้านจบลงเต้าหู้ก็บึงมอเตอร์ไซค์ไปรับจีจี้เพื่อไปที่ค่ายมวย เสียเวลากับคนประสาทแดกหน่อยแต่ก็คุ้มเพราะเธอชนะ
.
.
รางวัลที่หนึ่งงวดวันที่ 16 เมษายน พุทธศักราช 25XX
เลขที่ออก…….
ระหว่างที่คนเจ็บยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนเกือบจะหายดี ก็มีญาติ พี่น้อง และเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเพื่อนอย่างไอ้ ฟีนิกซ์ ที่แวะเวียนมานั่งเล่นด้วยแทบทุกวันหรือไม่ก็มาเช็กว่าเขาตายหรือยัง วันนี้มันก็มาอีกไม่รู้ว่าไม่มีงานการทำกันหรือยังไง แถมยังไปพาพระทิศเหนือ เพื่อนซึ่งกำลังบวชอยู่มาด้วย พอเห็นเพื่อนที่เป็นพระเฉินก็รีบยกมือไหว้ มีแค่ตอนนี้แหละที่เพื่อนดูน่าเคารพที่สุด ก่อนจะบวชทำแต่เรื่องไม่ดีมาด้วยกันมาก็เยอะ จนกระทั่งทิศเหนือถูกเมียทิ้งเรียกได้ว่าเพื่อนเสียใจจนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม เพื่อสงบจิตใจ "นมัสการครับหลวงเพื่อน" "เจริญพรเถอะโยมเฉิน" “แล้วพระมายังไงครับ” “โยมฟีนิกซ์ไปนิมนต์มา” “แล้วพระไม่ปฏิเสธล่ะครับ” “ไม่ได้หรอกโยม พระปฏิเสธไม่ได้” “ไอ้ฟีนิกซ์มึงไปพาพระมาด้วยทำไมเนี่ย รบกวนพระอีก” “กูเป็นห่วงมึงไง พาพระมาให้ศีลให้พรมึงถึงโรงพยาบาลเลยจะได้หายไวๆ หรือถ้าตายก็พร้อมสวดส่ง” นั่นปากคนหรือปากหมาไม่แน่ใจ จริงๆ คนอย่างไอ้ฟีนิกซ์นี่นรกอาจจะส่งมันมาเกิดพร้
สามปีต่อมา ชายหนุ่มวัยสามสิบพร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีกสองคน อย่างจ๊อดกับแจ๊ด เดินทางไปเยี่ยมปู่ที่กำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะพึ่งผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบไปเมื่อคืน ขณะที่กำลังนั่งรถไปนั้น ลูกน้องก็ได้รายงานความคืบหน้าเรื่องของเจ๊ศรีลูกหนี้ที่ไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาที่ให้เอาไว้ ไม่จ่ายมาประมาณสามเดือนแล้ว และยังมีแนวโน้มขอผ่อนผันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะได้คืนตอนไหน "เจ๊ศรีมันหนีเหรอ ทำไมไม่จ่ายมาสามเดือนแล้ว" เฉินเปิดดูสมุดบันทึกการจ่ายหนี้ของเจ๊ศรีเห็นว่า สามเดือนที่ผ่านมารายการชำระนิ่งสนิทมีเพียงแค่ดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้น จากที่กู้ไปแค่หนึ่งล้านบาท ทบไปทบมาตอนนี้ยอดเกือบสิล้านได้ เพียงแค่สามเดือน แน่นอนว่า ดอกเบี้ยพวกนี้เก็บเป็นรายวันไม่เหมือนกับของทางธนาคาร คนกู้ก็ต้องยอมรับข้อตกลงส่วนนี้ด้วย "สามเดือนมานี้ แกให้ลูกสาวมารับหน้าตลอดเลย แล้วก็บอกว่าเจ๊ยังป่วยอยู่ครับ" "แล้วป่วยจริงหรือแกล้งพวกมึงดูดีๆ หรือยัง" "เดือนก่อนผมก็ไปครับ สภาพเจ๊แกก็โทรม ผอมๆ คิดว่าน่าจะป่วยจริงครับลูกพี่" จ๊อดบอกในสิ่งที่ไปเห็นมาตอนไปเก็บเงิน
รถยนต์หรูมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่านั่งชมวิวข้างทางจะทำให้ใจเย็นลงบ้าง สรุปโมโหกว่าเดิม เมื่อเจอคนขับรถปาดซ้ายปาดขวา จนเฉินต้องปล่อยสัตว์หลากหลายชนิดมาตลอดทาง เหี้ยบ้าง ควายบ้าง จ๊อดแจ๊ดทำได้เพียงนั่งเงียบๆ ขืนปริปากพูดอะไรไม่เข้าหูคงถูกด่าไปด้วย หลายชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือบ้านของเจ๊ศรีเจ้ามือหวยที่บ้านหนองนาน้อย ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเกือบสามทุ่มแต่กลับไม่มีใครอยู่ที่บ้านไฟก็ไม่เปิด มีเพียงแสงไฟกิ่งหน้าบ้านที่สาดส่องไปบนถนนเท่านั้น แถวนี้แทบจะอยู่ในตัวเมืองปกติก็ไม่น่าจะหลับกันเร็วขนาดนี้บ้านอื่นก็เปิดไฟกันปกติมีแต่บ้านที่ที่มืดสนิท จ๊อดกับแจ๊ดลงจากรถพยายามกดกริ่งที่หน้าบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเจ๊ศรี อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมีแต่เสียงหมาในซอยที่เห่าเพราะพวกเขาทำเสียงดัง เฉินที่นั่งรอในรถพอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหหนัก เลยออกไปจัดการเขกกบาลลูกน้องคนละที เพราะคิดว่าลูกหนี้อย่างเจ๊ศรีคงหนีไปอย่างที่เขาคาดการเอาไว้แน่ๆ “พวกมึงไม่ได้เรื่องจริงๆ กูจะหักเงินเดือนของมึงสองคน ให้เท่ากับเงินที่เจ๊ศรีติดหนี้กูตอนนี
“คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้านเธอ พอดีไม่ได้จองโรงแรมไว้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม” ใบหน้าของเต้าหู้เต็มไปด้วยความงุนงง ไม่ต่างจากลูกน้องอีกสองคนที่ไม่เข้าใจเจ้านายว่าพูดแบบนั้นทำไม ทั้งๆ ที่พี่แกมีบ้านพักตากอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขับรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจองโรงแรมเลย หรือนี่จะเป็นข้ออ้างขอค้างบ้านผู้หญิง “คิดอะไรกับหนูปะเนี่ย” จู่ๆ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ทำทีจะมาขอนอนที่บ้านด้วย รู้อยู่ว่าเธอสวยคงจะมีแต่คนหมายปอง ถึงเจ้าหนี้คนนี้จะหล่อก็เถอะ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงจะให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับผู้ชายมันก็จะดูไม่งามเอานะ “หรือจะให้หนูขัดดอก บังคับขืนใจให้เป็นนางบำเรอ ก็พวกคุณสามคนตัวโตอย่างกับยักษ์อุ้มปิดปากหนูก็ทำได้สบาย เพราะหนูไม่มีทางสู้อยู่แล้ว” เคยอ่านหนังสือเคยดูละครมาเยอะ ถ้านางเอกติดหนี้ไม่มีเงินจ่ายจะต้องเอาตัวเองไปขัดดอกเพื่อใช้หนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะให้เธอทำแบบนั้น “แค่มองเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว ไม่ได้สวยขนาดนั้น” เอาจริงๆ ตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์กับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับเธอหรือกับใคร ไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้งานได้ตอนไหน หรืออาจต้องอยู่อย่างเหี่ย
เต้าหู้ และจ๊อดแจ๊ดที่ได้ยินทั้งเสียงโครมครามและเสียงร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือดังมาจากห้องที่เฉินนอนอยู่จึงรีบเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ห้องเธอไม่ได้ล็อกเอาไว้จึงเปิดเข้าไปได้ง่าย เต้าหู้เปิดไฟในห้องให้สว่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สภาพที่เห็นคือ เฉินกำลังกระทืบและบูมกับอาร์มสลับกัน จนสองคนนั้นอยู่ในสภาพที่เรียกว่าอ่วม เต้าหู้รีบเดินไปหยุดเฉินก่อนที่สองคนนั้นจะตายจริงๆ “ไอ้จ๊อดไอ้แจ๊ด จับพวกมันนั่งดีๆ ซิ” เฉินออกคำสั่งกับลูกน้องตน ทั้งสองก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบจับอาร์มและบูมที่นอนขดโอดครวญ ให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าเฉิน “นี่มันอะไรกันเนี่ย ไอ้บูม ไอ้อาร์ม พวกแกสองคนมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง” เต้าหู้ที่กำลังสับสนว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แล้วพวกมันเข้ามาทำอะไรในห้องของเธอ อีกอย่างเฉินทำร้ายสองคนนี้ทำไม หรือจะขึ้นมาขโมยของ แต่ก่อนหน้านี้บูมกับอาร์มก็ไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้เลย "เอ่อ..." ทั้งอารมณ์และบูมต่างไม่มีใครกล้าปริปากยอมรับความผิดในสิ่งที่คิดจะทำ จนเฉินชักจะมีน้ำโห "มึงจะให้กูใช้ตีนง้างปากพวกมึงให้พูดไหม ว่าพวกมึงวางแผนจะทำอะไรเต้าหู้" พึ
เฉินตื่นมาในเช้าอันสดใสพร้อมกับรอยยิ้ม ที่เมื่อคืนมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้ว่ามันจะตื่นตัวได้พักหนึ่งแล้วก็กลับสภาพเดิม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขาเจอผู้หญิงมามากมายแต่ร่างกายก็ไม่ตอบสนองกับใครเลย จนกระทั่งมาเจอ เต้าหู้ เขาจึงเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมา และต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธอจริงๆ หรือเปล่า แต่จะให้บุ่มบ่ามไม่ได้เพราะเธออาจจะกลัว อีกอย่างถ้าผู้หญิงไม่ยินยอมเขาเองก็ไม่ทำ เขาเริ่มสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนสีชมพูหวานแหววของเธอ ก่อนหันไปเห็นรูปที่ติดบนบอร์ดเล็กๆ ใกล้กับโต๊ะเขียนหนังสือ บนนั้นมีรูปที่เธอถ่ายกับครอบครัว ถ่ายกับเพื่อนแปะอยู่ ทุกอย่างก็ดูปกติดีจนกระทั่ง ไปสะดุดกับรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนถือพวกช่อดอกไม้ มีพวงมาลัยคล้องคอ จากการคาดเดาน่าจะเป็นรูปในวันปัจฉิม บนรูปเขียนไว้ว่า พี่ภีม พร้อมกับวาดรูปหัวใจสีแดงเอาไว้ โคตรรู้สึกไม่ถูกชะตาไอ้ขี้เก๊กนี่เอาซะเลย แล้วมันเป็นใครวะ? แฟนเต้าหู้เหรอ? เลิกกันหรือยังวะ? หรือคบกันอยู่? คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ที่รู้คือ ไม่ชอบขี้หน้าไอ้คนนี้ไม่ได้การจะต้องสืบให้
ในเย็นวันที่เผาศพแม่ของเต้าหู้ เฉินบอกว่าเขามีธุระด่วนจะต้องรีบไปจัดการเลยไม่ได้อยู่ค้างต่อที่บ้านของเต้าหู้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ใบหน้าหล่อแสดงออกถึงความเสียดาย แต่ถ้าไม่ไปจัดการด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมาย เพราะเขาเองก็รอเวลานี้มาถึงสามปีแล้วเมื่อลูกน้องแจ้งมาว่าเจอเสี่ยทรงเกียรติแล้ว แต่ถึงตัวเองไม่อยู่ ก็ยังคงให้ลูกน้องอย่างจ๊อดกับแจ๊ดคอยเฝ้าเวรยามที่หน้าบ้านให้ตอนกลางคืนคอยดูแลเรื่องความปลอดภัย หลายวันต่อมาเต้าหู้สอบปลายภาคเสร็จแล้ว และเรียนจบมัธยมปลายอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่รอฟังประกาศผลการสอบเข้ามหาลัยที่เธอกับเพื่อนๆ ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก คือการสอบเข้าไปเรียนบัญชี ในคณะบริหารในมหาลัยเดียวกันกับรุ่นพี่ที่เธอเคยแอบชอบและปลื้มมากๆ อย่าง ภีม ส่วนเฉินที่ยังไม่กลับมาก็ให้จ๊อดกับแจ๊ดคอยอยู่ดูแลเต้าหู้ คอยซื้อข้าวมาให้เธอตลอดเวลาเธอจะทำอาหารกินเองจ๊อดกับแจ๊ดนั้นจะมาขัดตลอด ไม่รู้ทำไมสรุปวันนั้นเธอทำอร่อยจริงไหม แล้วไอ้รสชาติที่เข้มข้นนั้นมันรสชาติยังไง ระหว่างนี้เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยออกไปหางานทำเก็บเงิน เพราะตอนนี้ทุกนาทีมีค่า
“แก่แล้วก็ควรเข้าวัด แต่ถ้าอยากโดนซัดก็เข้ามา” สายตาเฉินดูเอาจริงทำให้เสี่ยแก่ไม่กล้ารั้งต่อ แถมจ๊อดกับแจ๊ดยังเข้ามาเป็นกำลังเสริมให้ดูน่ากลัวอีก มันเลยต้องยอมแพ้ไป เฉินถอดเสื้อโค้ตของตัวเองออกมาคลุมให้คนตัวเล็กเพราะชุดที่มันสั้นจนน่ารำคาญสำหรับเขา ก่อนจะอุ้มช้อนตัวของเธอขึ้น แล้วจึงพาเธอกลับไปที่บ้าน พอไปถึงบ้านเธอเกิดอยากอ้วกขึ้นมา หญิงสาวนั่งกอดคอชักโครกเอาสิ่งที่กินเข้าไปออกมาจนหมด โดยที่มีเจ้าหนี้คอยลูบหลังให้พร้อมคอยถามไถ่เป็นระยะ “ดีขึ้นไหม” เธอพยักหน้าก่อนจะล้างหน้าล้างตาบ้วนปากให้ตัวเองสดชื่นขึ้น แล้วจึงออกมานั่งพักที่โซฟา เฉินให้จ๊อดแจ๊ดแวะซื้อพวกเครื่องดื่มและยาที่ช่วยลดอาการแฮงค์มาให้ พร้อมกับที่เฉินก็ไล่สองคนนี้ไปนอนในสวนนอกบ้าน โทษฐานที่ปล่อยให้เธอเปลี่ยนตำแหน่งงานเป็นพีอาร์โดยไม่ช่วยกันห้าม “คุณไล่พี่จ๊อดกับพี่แจ๊ดออกไปนอนข้างนอกทำไมคะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดไม่สบายเอาหรอก” “ถ้าแค่กับยุงมันยังสู้ไม่ได้ ก็ให้มันลาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดไปซะ” ว่าพร้อมกับที่พยุงตัวเธอมาจนถึงโซฟาหน้าทีวีพอเต้าหู้ได้นั่งพักอาก
หลังจากเหตุการณ์นั้นตำรวจก็จับตัวของภีมไปรับโทษตามกฎหมาย และยังค้นพบหลักฐานที่ภีมและพ่อร่วมกันทำความผิด ปิดบัง อำพรางมาตลอดหลายปีอีกมากมาย ภาพที่เห็นว่าภีมนั้นเป็นสุภาพบุรุษไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหน หรือไม่เคยมีข่าวเสียหายเป็นเพราะว่าภีมมักจะอัดคลิปที่ตนมีอะไรกับผู้หญิงที่คบกันอยู่เอาไว้สำหรับข่มขู่หากพวกเธอคิดจะเปิดโปงเรื่องของเขาและเธอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปแพร่งพรายให้ใครรู้ หากคนไหนที่ยังรั้นและไม่ยอมทำตามก็จะถูกภีมและพ่อจัดการปิดปากพวกเธอ แถมภีมก็มีรสนิยมที่ชอบถ่ายคลิปเอาไว้เวลาที่ทรมานเหยื่อนั่นจึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ภีมจะได้รับโทษสถานหนัก เต้าหู้นั่งรอเฉินอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ไม่นานเขาก็ถูกนำตัวออกมาเข้าไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วย พอหมอบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้วเธอจึงโล่งใจและปล่อยให้เขาพักผ่อนเต็มที่ เธอจึงมีเวลาก็ไปดูอาการของเพื่อนอย่างพลอย พอไปถึงก็ได้ยินเสียงดังโวยวายดังมาจากข้างในห้อง “อีลูกไม่รักดี ฉันส่งแกมาเรียน ทำไมแกไม่เรียน ฉันทำงานเหนื่อยแทบตายหาเงินมาให้แกทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอ พลอยแก
ขณะที่ใจจะอยากยอมแพ้ แต่พอภีมจะขึ้นมาคร่อมตัวเธอบนโซฟา สองเท้าที่ไม่ได้ถูกมัดก็กระแทกแรงๆ ไปที่หน้าอกภีมจนเขาหงายหลังลงไปกับพื้น “อีเหี้ยเอ๊ย” เขาสบถคำออกมาเพราะแรงถีบที่รุนแรงจนจุก เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ขยับตัวยาก พอนั่งได้และเท้าแตะพื้นก็พยายามลุกขึ้นวิ่งหลบและคิดหาทางวิ่งไปทางประตูห้องเพื่อที่จะหนีเอาตัว “พวกมึงยืนโง่กันอยู่ทำไม ไปจับตัวมันสิวะ” ภีมเอ่ยด่าลูกน้องที่มัวแต่มองไม่ทำอะไร ลูกน้องของภีมก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ห้องมันไม่ได้กว้างพอที่จะให้เธอวิ่งไปมาได้มากนัก หนีได้ไม่นานสุดท้ายก็มาอยู่ที่มุมห้อง ภีมที่โมโหจึงเดินปรี่เข้ามาหา มือใหญ่คว้าใบหน้าของเธอจับบีบแก้มทั้งสองข้าอย่างแรง และใช้นิ้วกดลงที่แผลบนพวงแก้มที่เขาเป็นคนทำเธอทั้งเจ็บและแสบ “กูหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ ชอบความรุนแรงใช่ไหมงั้นก็โดนพร้อมกันหลายๆ อันมึงน่าจะชอบ” ก่อนจะหันหน้าไปทางลูกน้อง “จับมัน แล้วถอดเสื้อผ้ามันให้หมด เสื้อผ้าพวกมึงด้วย” ไอ้พวกลูกน้องผุ้ชายได้ยินคำสั่งก็ร
“วันนี้พลอยก็ไม่มาอีกแล้วนะ” เต้าหู้บ่นกับเพื่อนสาวสองคนเช่นเคยที่เพื่อนอย่างพลอยหายไปและไม่สามารถติดต่อได้จนน่าเป็นห่วง “โทรหาติดไหม” “ไม่เลยตั้งแต่ที่เจอเมื่อวานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก” “พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้แชทฉันหนักขวามากเลย พลอยไม่อ่านไม่ตอบเลย” "ยังไงวันนี้เราก็ต้องไปหาพลอยอีก" "โอเคไปกันเลยไหม" ระหว่างที่กำลังตกลงว่าจะไปหาพลอย เต้าหู้ก็สังเกตเห็นว่าภีมกำลังเดินสวนกับพวกเธอไป ใจจริงเธออยากจะเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของพลอยแต่ก็เห็นว่าเขาเดินไปไกลแล้ว อีกอย่างตอนนี้เฉินก็มารับเธอเสียก่อนทำให้เธอพลาดที่จะได้เข้าไปถามเขา เธอมองภีมเดินไปจนสุดลูกตา ทำให้เฉินต้องมองตามไปบ้างพอเห็นว่าเป็นภีมเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ “มีอะไรเหรอ” “เปล่าค่ะ เฮียเฉิน เดี๋ยวแวะไปที่คอนโดเพื่อนหนูแป๊บหนึ่งได้ไหม“ “ได้สิ แล้ววันนี้ไม่มีสอนพิเศษเหรอ” “วันนี้หนูลาค่ะ หนูเป็นห่วงพลอยช่วงนี้พลอยแปลกไป” ไม่นานเธอก็มาถึงที่คอนโดของพลอย และแน่นอนว่าทางรปภ.คอนโดของพลอยก็ยังยืนกรานไม่ให้ค
“เฮีย เฮีย” เต้าหู้ตะโกนเรียกเขาพร้อมน้ำตา ขณะที่มือเล็กๆนั้นก็เขย่าไปที่ตัวเขาอย่างแรงไม่หยุด เธอเงยหน้าขึ้นมอง จ๊อดกับแจ๊ดที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ทำอะไร “พี่จ๊อดพี่แจ๊ด เรียกรถพยาบาลเร็ว” ลูกน้องคนสนิทมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครหยิบมือถือหรือมีท่าที่เป็นเดือดเป็นร้อนกันสักคน “พี่จ๊อดพี่แจ๊ดเร็วสิ เฮียเฉินจะตายแล้วเนี่ย” เธอทั้งห่วงเขา และพาลโมโหที่จ๊อดแจ๊ดดูจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้แต่น้อยทั้งๆที่เห็นลูกพี่ตัวเองนอนสลบเหมือดไปต่อหน้าต่อตา ฝ่ามือเล็กที่วางบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมถี่ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามออกมาทำให้เธอต้องรีบกลับไปมองคนที่สภาพปางตายบนตักของเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาคมที่ปิดลงเมื่อครู่ตอนนี้ได้มองมาที่เธอพร้อมใบหน้าที่เจือรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ เต้าหู้พอรู้ว่าโดนแกล้งถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห “เฮียเฉิน!” จากมือที่ใช้เขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ตอนนี้กลับกำแน่น และทุบไปอย่างแรงบนอกแกร่งนั้นจนคนที่โดนถึงกับจุกเพราะเธอใส่มาเกือบเต็มแรง “โอ๊ย ตีเฮียทำไม เฮียเจ็บอยู่นะ” “แล้ว
หลายวันมานี้พลอยหยุดเรียนไปด้วยเหตุผลที่ว่าเธอนั้นไม่สบาย แถมในแชทกลุ่มเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ส่งข้อความหาเพื่อนก็ตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วก็หายไป โทรหาน้ำเสียงก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เต้าหู้กับเพื่อนอีกสองคนเลยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “แกสองคนได้คุยกับพลอยบ้างปะ” เต้าหู้ที่เป็นกังวลเอ่ยถามกับเพื่อนทั้งสองขณะที่กำลังนั่งรอเข้าเรียนในช่วงเช้า “ไม่นะ ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” ส้มลิ้มตอบ “ฉันก็รู้สึกเป็นห่วงพลอยอะ ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรกันแน่” สีหน้าเต้าหู้เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พลอยไม่ใช่คนที่จะโดดเรียนหรือหนีหายไปและโกหกว่าป่วยแน่นอน ตอนนี้เธอคงจะป่วยจริงๆ จนถึงขั้นมาเรียนไม่ไหว จีจี้ที่นั่งฟังอยู่เลยออกความเห็น “งั้นเราลองถามพลอยดีไหมว่าตอนนี้อยู่ไหน หลังเลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมพลอยกัน” ระหว่างที่กำลังจะกดโทรหาอยู่นั้น พวกเธอก็ได้เห็นพลอยก็กลับมาเรียนแต่พลอยกลับไม่เดินมาหาพวกเธอ แต่กลับรีบเดินเข้าห้องเรียนไปแถมยังไม่มานั่งรวมกับพวกเธออีกต่างหาก ไม่รู้ว่าพลอยมีปัญหาอะไรไหม พอจะถามพลอยก็ปลีกตัวไม่สุงสิงกับใครนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมา
วันกีฬามหาวิทยาลัย นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องวุ่นกับการทำหน้าที่ของตนเอง เต้าหู้ พลอย และจี้จี้ มีหน้าที่แปลกอักษร บนอัฒจันทร์พวกเธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อมาเตรียมความพร้อมก่อนงานจริงจะเริ่ม ส่วนส้มลิ้มก็มีแข่งชกมวยรอบชิงชนะเลิศอยู่ที่สนามและเธอจะมารับเหรียญในช่วงเย็น จนถึงเวลาพักทานข้าว รุ่นพี่ที่ดูแลได้นำอาหารและน้ำดื่มมาแจกให้กับพวกนักกีฬาและคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรม สามสาวก็มาหาที่ร่มๆ มานั่งทานข้าวและพักผ่อนก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมต่อในช่วงบ่าย สามสาวเปิดกล่องข้าวออกมากำลังจะเริ่มทานด้วยความหิวและความเหนื่อย แต่พลอยกลับทำหน้าพะอืดพะอม และรีบปิดกล่องข้าวลงทันที “พลอยเป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” “เรารู้สึกไม่ชอบกลิ่นหมูกระเทียมกล่องนี้เลย มันฉุน เราอยากอ้วก” พอพูดจบเธอก็รีบลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะรีบไปอ้วกในห้องน้ำใกล้ๆ เต้าหู้กับจีจี้ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน จึงวิ่งตามไปพอมาถึงก็เห็นว่าพลอยอยู่ข้างในนั้น เต้าหู้รีบช่วยลูบหลังเพื่อนให้ก่อนจะเอ่ยถาม “แกเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” “ไม่รู้สิ แต่สองสามวันมานี้ฉันเวียนหัวมา
ในช่วงกิจกรรมกีฬาของมหาลัย แน่นอนว่านักศึกษาปีที่หนึ่งของแต่ละคณะก็จะต้องมีการฝึกซ้อมเชียร์และกีฬากันอย่างหนัก แน่นอนแหละว่าคนสวยๆ แบบพวกเธอต้องได้รับหน้าที่แปลอักษรและนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์อยู่แล้ว “เดี๋ยวให้พักก่อนสามสิบนาทีนะครับน้องๆ อีกครึ่งชั่วโมงกลับมาประจำที่นะครับ พี่จะซ้อมเต็มอีกสักสองถึงสามรอบ หรือจนกว่าพวกเราจะคล่อง” รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้าที่คุมการซ้อมบอกให้พวกปีหนึ่งไปพัก แต่ตอนนี้อากาศร้อนมากทำให้แต่ละคนก็บ่นออกมาไม่เว้นแม้แต่พวกของแก๊งนางฟ้าเอง “ร้อนมาก ใครก็ได้เอาน้ำไปราดดวงอาทิตย์หน่อยซิ” เต้าหู้บ่น เพราะอัฒจันทร์ของคณะเธอดันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ก็เลยรับแสงแดดยามบ่ายกันอย่างเต็มที่ อย่างไม่ต้องการ กันแดดที่โบกมาอย่างหนาไม่รู้ว่าจะเอาอยู่ได้มากขนาดไหนรู้สึกว่าผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยหลังจบงานนี้คงต้องบำรุงกันยาวๆ “หิวน้ำจะตายอยู่ละ สต๊าฟอยู่ไหนกันหมดปกติต้องเอาน้ำมาแจกแล้วนะ” อยู่จี้ที่ใช้หมวกฟางพัดวีให้ตัวเองบ่นด้วยความเหนื่อย เพราะเธอต้องซ้อมกันในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ วันปกติก็เรียนแทบไม่ได้พักตอนเย็นของทุกวันและวันหยุดก็ต้องซ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว ส้มลิ้มและจีจี้มาด้วยหน้าตาที่สดใสเพราะได้กลับบ้านไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเปิดเทอมใหม่แล้ว อะไรบางอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป อย่างเช่นพลอยที่ปกติแล้วเธอจะมักจะใส่เสื้อผ้า ชุดนักศึกษาที่ดูเรียบร้อยและมิดชิดปิดไปแทบทุกสัดส่วน สวมแว่นตาหนา รวบผม ใบหน้าก็ไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่แต้ม แต่เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนอย่างที่เขาว่า เวลามีความรักอะไรมันก็ดูสวยงามไปหมด พอถอดแว่นตาแต่งตัวให้ดูเข้ากับรูปร่างตัวเอง และแต่งหน้าเพิ่มเพียงนิดหน่อย ก็ทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นมามากเลยทีเดียวอย่างกับเป็นคนละคน “ไม่บอกจริงๆ เหรอว่าแฟนแกเป็นใครน่ะพลอย” ส้มลิ้มที่อยากรู้อยากเห็นกว่าใครอดใจไม่ได้ที่จะต้องถาม “ยังบอกไม่ได้ตอนนี้น่ะ” พลอยหลุบใบหน้าแดงที่กำลังเขินอายลงไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าพลอยดูสดใสขึ้น “งั้นแก๊งเราก็เหลือคนโสดแค่ฉันกับแกแล้วสิส้มลิ้ม” จีจี้พูดพลางแกล้งทำหน้าเศร้าโผเข้ากอดส้มลิ้ม เพื่อนสาวที่ยังไม่มีแฟนอีกคน “ฉันน่ะโสดจริงแถมไม่เคยมีแฟนด้วย ส่วนของแกน่ะโสดไม่จริงค่ะ เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกอยู่นั่
เต้าหู้และเฉินนั่งอยู่ในโบสถ์และกำลังเข้าร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อนสนิทของเฉิน อย่าง อากิระและคนรักของเขาอย่างริบบิ้น โดยที่มีเด็กตัวน้อยยืนอยู่บนแท่นพิธีร่วมกับทั้งคู่ เด็กคนนั้นคือเรียวตะลูกชายของพวกเขาทั้งสองนั่นเอง คู่บ่าวสาวต่างปฏิญาณสาบานตนว่าจะรักและดูแลซึ่งกันและกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ในตอนเย็นก็มีพิธีฉลองมงคลสมรส จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของอากิระ หลังลงจากรถหรูเฉินยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นการบอกให้คนตัวเล็กที่ยืนข้างกันเดินคล้องเข้าไปในงานคืนนี้ พอเข้ามาหญิงสาวมองไปรอบๆ ตะลึงในความใหญ่โตและสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ยุโรปแห่งนี้ตกแต่งราวกับหลุดออกมาจากยุคกลาง ก่อนที่เฉินจะพาเธอเดินไปทักทายเพื่อนสนิทที่อยู่ในงานเลี้ยงอย่างคู่บ่าวสาว “ยินดีกับมึงด้วยนะเพื่อน” “เออ ขอบใจ” “เรียวตะหลานกู ไปไหนแล้วล่ะ” มองหาลูกชายของเพื่อที่ตอนนี้ไม่เห็นมาวิ่งเล่นในงาน “เล่นทั้งวันคงเหนื่อยก็เลยงอแง กูให้พี่เลี้ยงพาขึ้นไปนอนแล้ว” “เออจริงสิ ไอ้พี่อี้ใส่ซองมาให้ แล้วก็ฝากบอกยินดีกับริบบิ้นด้วย แล้วก็ฝากความคิดถึงเรียวตะ” เฉินหยิบซองด้