รถยนต์หรูมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่านั่งชมวิวข้างทางจะทำให้ใจเย็นลงบ้าง สรุปโมโหกว่าเดิม เมื่อเจอคนขับรถปาดซ้ายปาดขวา จนเฉินต้องปล่อยสัตว์หลากหลายชนิดมาตลอดทาง เหี้ยบ้าง ควายบ้าง จ๊อดแจ๊ดทำได้เพียงนั่งเงียบๆ ขืนปริปากพูดอะไรไม่เข้าหูคงถูกด่าไปด้วย
หลายชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือบ้านของเจ๊ศรีเจ้ามือหวยที่บ้านหนองนาน้อย ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเกือบสามทุ่มแต่กลับไม่มีใครอยู่ที่บ้านไฟก็ไม่เปิด มีเพียงแสงไฟกิ่งหน้าบ้านที่สาดส่องไปบนถนนเท่านั้น แถวนี้แทบจะอยู่ในตัวเมืองปกติก็ไม่น่าจะหลับกันเร็วขนาดนี้บ้านอื่นก็เปิดไฟกันปกติมีแต่บ้านที่ที่มืดสนิท
จ๊อดกับแจ๊ดลงจากรถพยายามกดกริ่งที่หน้าบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเจ๊ศรี อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมีแต่เสียงหมาในซอยที่เห่าเพราะพวกเขาทำเสียงดัง
เฉินที่นั่งรอในรถพอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหหนัก เลยออกไปจัดการเขกกบาลลูกน้องคนละที เพราะคิดว่าลูกหนี้อย่างเจ๊ศรีคงหนีไปอย่างที่เขาคาดการเอาไว้แน่ๆ
“พวกมึงไม่ได้เรื่องจริงๆ กูจะหักเงินเดือนของมึงสองคน ให้เท่ากับเงินที่เจ๊ศรีติดหนี้กูตอนนี้เลยดีไหมเนี่ย โทษฐานที่ปล่อยปละละเลยหน้าที่” พอได้ยินว่าจะถูกหักเงินทั้งจ๊อดและแจ๊ดถึงกับเข่าอ่อน นั่งลงกอดขาลูกพี่หน้าหล่อกันคนละข้าง พูดอ้อนวอนไม่ให้โดนหักเงินเดือน ยกสารพัดปัญหาในชีวิตมาพูดให้ดูน่าสงสาร
“ลูกพี่จะลงโทษยังไงก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าหักเงินเลยนะครับ ลูกผมยังเล็กเมียก็ยังเด็กต้องเลี้ยงดูครับ” ไอ้แจ๊ดเปิดก่อนพร้อมยกเรื่องราวชีวิตที่คิดว่าน่าสงสารออกมาให้เจ้านายฟัง
“ใช่แล้วลูกพี่ ถ้าเมียผมเห็นว่าเงินได้น้อยมันเอาผมตายแน่ๆ มันคงคิดว่าผมเอาไปเลี้ยงสาวแน่ๆเลย” สภาพพวกมันสองคนน่าอนาถใจ มีเมียก็เหมือนโดนล่ามโซ่ไว้ จะทำอะไรก็เกรงใจเมียไปเสียทุกอย่าง ดีแล้วที่เขาไม่คิดจะมีเมียตอนนี้ หรือถ้ามีก็จะไม่ยอมให้เมียแบบพวกมันเด็ดขาด มันเสียฟอร์มคนหล่อเท่
“ได้ กูจะไม่หักเงิน แต่มึงต้องไปตามตัวเจ๊ศรีให้เจอแล้วเอาเงินมากู ให้เวลาหนึ่งเดือน ช้ากว่านี้หักเงินแน่”
“ขอบคุณครับลูกพี่” ลูกน้องขอบคุณเจ้านายพร้อมถูไถแก้มไปกับขายาวๆ ของเขา
“จะถูขากูหาเลขกันหรือไง ไปกลับ!!” ขณะที่กำลังหันหลังกลับนั้น ก็ตกตกใจตัวสะดุ้งโหยงจนอุทานออกมา
“เชี่ย!!” หญิงสาวผิวขาว ใบหน้าขาวซีดราวกับคนป่วย ขอบตาที่คล้ำที่เหมือนอดหลับอดนอน กำลังยืนมองทั้งสามคนอยู่ด้านหลัง มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนึกว่าผี ดีนะมือไม่ลั่นคงได้เสยปลายคางเข้าให้
“มาหาแม่หนูเหรอคะ” หญิงสาวใบหน้าจิ้มลิ้มเอ่ยถามกับเหล่าชายฉกรรจ์ที่มายืนอยู่ที่หน้ารั้วบ้านของเธอ
“แล้วแม่เธอเป็นใคร” แล้วเด็กนี่เป็นลูกเต้าเหล่าใครจู่ๆ ก็เข้ามาถามเขาแบบนี้ แล้วจะรู้ไหมว่าแม่เป็นใคร
“เดี๋ยวนะลูกพี่” จ๊อดเพ่งมองใบหน้าหญิงสาวผ่านแสงไฟกิ่งสลัว พอเห็นชัดเลยรู้ว่านี่คือเต้าหู้ลูกสาวของเจ๊ศรีที่พวกเขากำลังตามหาตัวอยู่
“อ๋อ นี่น้องเต้าหู้ลูกเจ๊ศรีครับ”
“พวกคุณคือเจ้าหนี้ของแม่ใช่ไหมคะ” เฉินกอดอกเชิดหน้าวางท่าใช้สายตาข่มขวัญคนที่อยู่ตรงหน้า ก่อนเสียงเข้มเอ่ยบอกสิ่งที่ต้องการ
“ใช่ มาก็ดีไปแล้ว ตามแม่เธอมาหน่อย”
เฉินคับคล้ายคับคลาใบหน้าหญิงสาวนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ก็ช่างเถอะตอนนี้ที่เขาต้องการคือเงิน เรื่องอื่นไม่สน
“แม่ไม่อยู่ที่บ้านหรอกค่ะ ตามมาสิคะ เดี๋ยวหนูพาไปหา แต่ไกลนิดนึงนะคะ” เธอเอ่ยก่อนจะเดินนำทาง เฉินเห็นว่าเธอจอดมอเตอร์ไซด์เอาไว้ใกล้
“เดี๋ยว มอเตอร์ไซค์มีทำไมไม่ขี่ไป” เห็นว่าเธอจอดมอเตอร์ไซค์เอาไว้
“น้ำมันหมดค่ะ” มิน่าหล่ะ เขาถึงไม่ได้เสียงรถเลยตอนที่เธอมาถึง
“หนูพึ่งเข็นมาถึงบ้านเหมือนกัน” เวรกรรมจริงๆ เกือบจะถึงน้ำมันก็มาหมดเสียก่อนแต่พอมาถึงบ้านก็เจอเจ้าหนี้มาเก็บเงินอีก
“ขึ้นรถสิ แล้วก็บอกทาง” เฉินเอ่ยบอกเด็กสาวให้นั่งรถไปด้วยกันโดยให้เธอเป็นคนบอกทาง อีกอย่างถ้าเจ๊ศรีมันคิดจะเล่นตุกติก ก็มีเด็กนี่เป็นตัวประกัน
ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปทางที่เต้าหู้ได้บอกทางจนกระทั่งมาถึงวัดหนองนาน้อย ดึกดื่นป่านนี้ เจ๊ศรีแกมาทำอะไรที่วัด จะบอกว่ามาเวียนเทียนก็ไม่ใช่ นี่ไม่ใช่ช่วงเข้าพรรษา ออกพรรษา หรือว่าเจ๊แกจะบวชชี เพื่อหนีหนี้ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ แต่ก็ไม่อยากคิดให้ปวดหัวเดี๋ยวเจอก็คงรู้เอง
พอลงจากรถได้หญิงสาวก็เดินนำทางชายทั้งสาวขึ้นไปยังศาลาวัดที่ยังเปิดไฟไว้อยู่ เฉินเดินตามมาเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นว่ามีอะไรบนศาลานั้น เต้าหู้ยืนด้านหน้าโลงศพก่อนจะหันมามองเจ้าหนีหน้าหล่อราวกับบอกเป็นนัยๆ เฉินไม่ได้เข้าใจอะไรยากขนาดนั้น เพียงแต่เดินเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดเท่านั้น พออ่านชื่อดูรูปก็รู้แล้วว่านี่คือเจ๊ศรี
"เชิญนั่งก่อนสิคะ" หญิงสาวเอ่ยเชิญเขานั่งตรงเก้าอี้ไม้ เพื่อพูดคุยเจรจา
“ขอโทษที่ไม่ได้ติดต่อแจ้งคุณไป คิดว่ารองานศพและเคลียร์เรื่องทุกอย่างเสร็จค่อยคุยกับคุณเรื่องหนี้สินที่ค้างไว้”
“แล้วแม่เสียเพราะอะไร”
“แม่ป่วยมะเร็งกระเพาะค่ะ เจออีกทีมันก็รักษาไม่ได้แล้ว” เพราะเจ๊ศรีคิดว่าเป็นอาการปวดท้องธรรมดา หรือเป็นโรคกระเพาะ พอเจ็บก็ทำเพียงซื้อยามากินเพื่อบรรเทาอาการเท่านั้น จนกระทั่งมันเริ่มหนักขึ้นเมื่อสามเดือนที่ผ่านมา กลายเป็นว่ารักษาไม่ได้แล้ว ทำเพียงฉีดยาลดอาการปวดเท่านั้น จนกระทั่งเจ๊ศรีก็ได้จากไปเมื่อสามวันก่อน
“แม่หนูคงหาเงินมาคืนคุณไม่ได้แล้วค่ะ”
ในตอนนั้นที่ชาวบ้านต่างพากันถูกหวย เรียกได้ว่าเจ๊ศรีต้องเอาเงินเก็บออกมาทั้งหมดเพื่อมาจ่าย แต่ถึงอย่างนั้น ก็ยังขาดเงินจำนวนหนึ่งอยู่ดี ถ้าจะให้กู้ธนาคารก็ทำไม่ได้ เพราะอาชีพเจ้ามือหวยไม่มีที่ไหนให้กู้ เลยต้องพึ่งเงินกู้นอกระบบ แต่ละเจ้าก็ดอกโหดๆ กันทั้งนั้น แถมเก็บเป็นรายวันอีก แต่เจ๊ศรีก็ไม่ได้มีความคิดจะชักดาบหอบเงินหนีไม่จ่ายค่าหวยชาวบ้านแน่นอน แม้ตัวไม่มีก็ต้องหามาจ่ายเพื่อแสดงความรับผิดชอบ
“แล้วพ่อเธอล่ะ อยู่ที่ไหน ญาติๆล่ะ”
“พ่อเสียไปตั้งแต่ตอนเด็กแล้วค่ะ ส่วนญาติก็ไม่มีค่ะ แต่ว่าไม่ต้องห่วงนะคะ อีกไม่กี่วันหนูก็จะเรียนจบแล้ว หนูจะทำงานหาเงินมาใช้หนี้คุณในส่วนที่ติดไว้ค่ะ” คนตัวโตมองหน้าหญิงสาว นัยน์ตาเธอแสนเศร้าเพราะคงเสียใจที่พึ่งเสียคนที่รักไป แต่ก็ยังคงแน่วแน่ที่จะใช้หนี้ เพราะแม่สอนว่าเป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ ให้นึกถึงวันที่ลำบากไปหาพึ่งใครไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนให้หยิบยืม อย่างน้อยก็ทำให้ผ่านช่วงเวลายากลำบากมาได้
เรื่องที่เธอจะใช้หนี้แทนแม่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขาอยู่แล้ว แต่เด็กนี่ยังไม่จบม.6ด้วย แล้วจะอยู่คนเดียวยังไง? ญาติพี่น้องก็ไม่มี
“อ้าว เต้าหู้ตะกี้เอ็งกลับบ้านไปแล้วไม่ใช่รึ บอกแล้วไงว่าไม่ต้องมานอนเฝ้าศาลาหรอก เดี๋ยวหลวงตาให้เด็กวัดมันนอนเฝ้าเอง” หลวงตาที่เห็นว่ามีคนขึ้นศาลา ก็เลยตามมาดู
“จ้ะหลวงตา แต่พอดีคนรู้จักของแม่มาจากต่างจังหวัดหนูก็เลยพามา”
“งั้นเหรอ เออเอ็งมาก็ดีเลย เดี๋ยวคุยเรื่องงานเผาแม่เอ็งวันพรุ่งนี้ด้วย ตอนสวดเสร็จเมื่อกี้ข้าเองก็ลืมคุยไปเลย”
เฉินปล่อยให้เต้าหู้คุยกับหลวงตาโดยที่มีลูกน้องอย่างไอ้จ๊อดไอ้แจ๊ดนั่งเฝ้าบนศาลา ก่อนจะลงมาหาที่เงียบๆ ครุ่นคิด นี่คงไม่ใช่กลอุบายหรือสร้างเรื่องตบคาแล้วล่ะ เฉินถอนหายใจไม่รู้ว่าควรทำยังไงต่อไปดี จะเรียกเก็บจากเด็กนี่คงไม่มีจ่ายเขาตอนนี้แน่ แล้วถ้าจะให้ออกทำงานด้วยวุฒิม.6 จะมีเงินจ่ายเขาได้แค่ไหนกัน ไม่ต้องทำงานใช้หนี้ไปทั้งชีวิตเลยหรือไง
ขณะที่กำลังเดินคิดอะไรไปเรื่อยๆ รู้ตัวอีกทีก็มาจนถึงกุฏิพระ จึงจะหันหลังกลับ แต่ก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยกัน มองไปก็เห็นรางๆ ว่าเป็นเด็กวัดกำนังนั่งเช็ดบาตรพระ แต่ที่ทำให้หยุดฟังคงเป็นประโยคที่ไอ้ผู้ชายคนสองคนนั้นกำลังพูดกันมากกว่า มันคุยกันแบบไม่เกรงกลัวว่าใครจะมาได้ยินเลย
“คืนนี้มึงจะขึ้นห้องเต้าหู้มันจริงๆ เหรอวะ”
“เออดิ ก็กูชอบมันมานานแล้ว อีกอย่างตอนนี้ เต้าหู้มันก็อยู่คนเดียว ไม่เอาตอนนี้ แล้วจะให้ไปเอาตอนไหน”
“มึงไม่กลัวผีเจ๊ศรีมาหลอกหรือไง จะไปข่มขืนลูกเขา”
“ไม่กลัว ดีเสียอีก เจ๊ศรีจะได้หมดห่วงที่มีคนดูแลลูกสาวแทนไง”
“มึงนี่แม่ง”
“เดี๋ยวรอดึกๆ หน่อย ค่อยย่องไป รอหลวงตา หลับก่อน”
ได้เด็กเวรพวกนี้ การที่มันเติบโตขึ้นมาในวัดไม่ได้ช่วยให้มันเป็นคนดีขึ้นเลยจริงๆ
เฉินเดินกลับไปทางศาลา เห็นว่าจ๊อดแจ๊ด และเต้าหู้ยืนรออยู่แล้ว หญิงสาวพึ่งคุยธุระกับหลวงตาเสร็จพอดี เลยพากันกลับ เฉินมาส่งเต้าหู้ที่บ้าน เธอกล่าวขอบคุณเขา
เฉินมองใบหน้าของเต้าหู้ ก่อนนึกถึงคำพูดของไอ้เด็กเปรตที่พึ่งได้ยินมา ไม่แปลกใจหรอกถ้ามันจะอยากได้เด็กสาวนี่เป็นเมีย เพราะหน้าตาของเธอก็ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่เลย ถ้าเติมแต่งเครื่องสำอางไม่ปล่อยตัวโทรมคงสวยมาก สวยจริงๆ ไม่ได้รู้สึกมองใครสวยแบบนี้มานานแล้วเหมือนกัน
พอเธอลงจากรถไปเพราะเป็นห่วง? หรือะะไรไม่รู้เหมือนกัน เขากลับไม่อยากปล่อยเธอไว้คนเดียว จึงรีบลงรถตามเธอไป
“เดี๋ยว”
“คะ?”
“คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้านเธอ พอดีไม่ได้จองโรงแรมไว้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม”
“คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้านเธอ พอดีไม่ได้จองโรงแรมไว้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม” ใบหน้าของเต้าหู้เต็มไปด้วยความงุนงง ไม่ต่างจากลูกน้องอีกสองคนที่ไม่เข้าใจเจ้านายว่าพูดแบบนั้นทำไม ทั้งๆ ที่พี่แกมีบ้านพักตากอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขับรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจองโรงแรมเลย หรือนี่จะเป็นข้ออ้างขอค้างบ้านผู้หญิง “คิดอะไรกับหนูปะเนี่ย” จู่ๆ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ทำทีจะมาขอนอนที่บ้านด้วย รู้อยู่ว่าเธอสวยคงจะมีแต่คนหมายปอง ถึงเจ้าหนี้คนนี้จะหล่อก็เถอะ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงจะให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับผู้ชายมันก็จะดูไม่งามเอานะ “หรือจะให้หนูขัดดอก บังคับขืนใจให้เป็นนางบำเรอ ก็พวกคุณสามคนตัวโตอย่างกับยักษ์อุ้มปิดปากหนูก็ทำได้สบาย เพราะหนูไม่มีทางสู้อยู่แล้ว” เคยอ่านหนังสือเคยดูละครมาเยอะ ถ้านางเอกติดหนี้ไม่มีเงินจ่ายจะต้องเอาตัวเองไปขัดดอกเพื่อใช้หนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะให้เธอทำแบบนั้น “แค่มองเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว ไม่ได้สวยขนาดนั้น” เอาจริงๆ ตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์กับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับเธอหรือกับใคร ไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้งานได้ตอนไหน หรืออาจต้องอยู่อย่างเหี่ย
เต้าหู้ และจ๊อดแจ๊ดที่ได้ยินทั้งเสียงโครมครามและเสียงร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือดังมาจากห้องที่เฉินนอนอยู่จึงรีบเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ห้องเธอไม่ได้ล็อกเอาไว้จึงเปิดเข้าไปได้ง่าย เต้าหู้เปิดไฟในห้องให้สว่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สภาพที่เห็นคือ เฉินกำลังกระทืบและบูมกับอาร์มสลับกัน จนสองคนนั้นอยู่ในสภาพที่เรียกว่าอ่วม เต้าหู้รีบเดินไปหยุดเฉินก่อนที่สองคนนั้นจะตายจริงๆ “ไอ้จ๊อดไอ้แจ๊ด จับพวกมันนั่งดีๆ ซิ” เฉินออกคำสั่งกับลูกน้องตน ทั้งสองก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบจับอาร์มและบูมที่นอนขดโอดครวญ ให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าเฉิน “นี่มันอะไรกันเนี่ย ไอ้บูม ไอ้อาร์ม พวกแกสองคนมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง” เต้าหู้ที่กำลังสับสนว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แล้วพวกมันเข้ามาทำอะไรในห้องของเธอ อีกอย่างเฉินทำร้ายสองคนนี้ทำไม หรือจะขึ้นมาขโมยของ แต่ก่อนหน้านี้บูมกับอาร์มก็ไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้เลย "เอ่อ..." ทั้งอารมณ์และบูมต่างไม่มีใครกล้าปริปากยอมรับความผิดในสิ่งที่คิดจะทำ จนเฉินชักจะมีน้ำโห "มึงจะให้กูใช้ตีนง้างปากพวกมึงให้พูดไหม ว่าพวกมึงวางแผนจะทำอะไรเต้าหู้" พึ
เฉินตื่นมาในเช้าอันสดใสพร้อมกับรอยยิ้ม ที่เมื่อคืนมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้ว่ามันจะตื่นตัวได้พักหนึ่งแล้วก็กลับสภาพเดิม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขาเจอผู้หญิงมามากมายแต่ร่างกายก็ไม่ตอบสนองกับใครเลย จนกระทั่งมาเจอ เต้าหู้ เขาจึงเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมา และต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธอจริงๆ หรือเปล่า แต่จะให้บุ่มบ่ามไม่ได้เพราะเธออาจจะกลัว อีกอย่างถ้าผู้หญิงไม่ยินยอมเขาเองก็ไม่ทำ เขาเริ่มสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนสีชมพูหวานแหววของเธอ ก่อนหันไปเห็นรูปที่ติดบนบอร์ดเล็กๆ ใกล้กับโต๊ะเขียนหนังสือ บนนั้นมีรูปที่เธอถ่ายกับครอบครัว ถ่ายกับเพื่อนแปะอยู่ ทุกอย่างก็ดูปกติดีจนกระทั่ง ไปสะดุดกับรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนถือพวกช่อดอกไม้ มีพวงมาลัยคล้องคอ จากการคาดเดาน่าจะเป็นรูปในวันปัจฉิม บนรูปเขียนไว้ว่า พี่ภีม พร้อมกับวาดรูปหัวใจสีแดงเอาไว้ โคตรรู้สึกไม่ถูกชะตาไอ้ขี้เก๊กนี่เอาซะเลย แล้วมันเป็นใครวะ? แฟนเต้าหู้เหรอ? เลิกกันหรือยังวะ? หรือคบกันอยู่? คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ที่รู้คือ ไม่ชอบขี้หน้าไอ้คนนี้ไม่ได้การจะต้องสืบให้
ในเย็นวันที่เผาศพแม่ของเต้าหู้ เฉินบอกว่าเขามีธุระด่วนจะต้องรีบไปจัดการเลยไม่ได้อยู่ค้างต่อที่บ้านของเต้าหู้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ใบหน้าหล่อแสดงออกถึงความเสียดาย แต่ถ้าไม่ไปจัดการด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมาย เพราะเขาเองก็รอเวลานี้มาถึงสามปีแล้วเมื่อลูกน้องแจ้งมาว่าเจอเสี่ยทรงเกียรติแล้ว แต่ถึงตัวเองไม่อยู่ ก็ยังคงให้ลูกน้องอย่างจ๊อดกับแจ๊ดคอยเฝ้าเวรยามที่หน้าบ้านให้ตอนกลางคืนคอยดูแลเรื่องความปลอดภัย หลายวันต่อมาเต้าหู้สอบปลายภาคเสร็จแล้ว และเรียนจบมัธยมปลายอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่รอฟังประกาศผลการสอบเข้ามหาลัยที่เธอกับเพื่อนๆ ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก คือการสอบเข้าไปเรียนบัญชี ในคณะบริหารในมหาลัยเดียวกันกับรุ่นพี่ที่เธอเคยแอบชอบและปลื้มมากๆ อย่าง ภีม ส่วนเฉินที่ยังไม่กลับมาก็ให้จ๊อดกับแจ๊ดคอยอยู่ดูแลเต้าหู้ คอยซื้อข้าวมาให้เธอตลอดเวลาเธอจะทำอาหารกินเองจ๊อดกับแจ๊ดนั้นจะมาขัดตลอด ไม่รู้ทำไมสรุปวันนั้นเธอทำอร่อยจริงไหม แล้วไอ้รสชาติที่เข้มข้นนั้นมันรสชาติยังไง ระหว่างนี้เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยออกไปหางานทำเก็บเงิน เพราะตอนนี้ทุกนาทีมีค่า
“แก่แล้วก็ควรเข้าวัด แต่ถ้าอยากโดนซัดก็เข้ามา” สายตาเฉินดูเอาจริงทำให้เสี่ยแก่ไม่กล้ารั้งต่อ แถมจ๊อดกับแจ๊ดยังเข้ามาเป็นกำลังเสริมให้ดูน่ากลัวอีก มันเลยต้องยอมแพ้ไป เฉินถอดเสื้อโค้ตของตัวเองออกมาคลุมให้คนตัวเล็กเพราะชุดที่มันสั้นจนน่ารำคาญสำหรับเขา ก่อนจะอุ้มช้อนตัวของเธอขึ้น แล้วจึงพาเธอกลับไปที่บ้าน พอไปถึงบ้านเธอเกิดอยากอ้วกขึ้นมา หญิงสาวนั่งกอดคอชักโครกเอาสิ่งที่กินเข้าไปออกมาจนหมด โดยที่มีเจ้าหนี้คอยลูบหลังให้พร้อมคอยถามไถ่เป็นระยะ “ดีขึ้นไหม” เธอพยักหน้าก่อนจะล้างหน้าล้างตาบ้วนปากให้ตัวเองสดชื่นขึ้น แล้วจึงออกมานั่งพักที่โซฟา เฉินให้จ๊อดแจ๊ดแวะซื้อพวกเครื่องดื่มและยาที่ช่วยลดอาการแฮงค์มาให้ พร้อมกับที่เฉินก็ไล่สองคนนี้ไปนอนในสวนนอกบ้าน โทษฐานที่ปล่อยให้เธอเปลี่ยนตำแหน่งงานเป็นพีอาร์โดยไม่ช่วยกันห้าม “คุณไล่พี่จ๊อดกับพี่แจ๊ดออกไปนอนข้างนอกทำไมคะ เดี๋ยวก็โดนยุงกัดไม่สบายเอาหรอก” “ถ้าแค่กับยุงมันยังสู้ไม่ได้ ก็ให้มันลาออกจากการเป็นบอดี้การ์ดไปซะ” ว่าพร้อมกับที่พยุงตัวเธอมาจนถึงโซฟาหน้าทีวีพอเต้าหู้ได้นั่งพักอาก
เจ้าของใบหน้าสวยลืมตาตื่นขึ้นบนเตียงนอนพร้อมกับอาการปวดหัว คงเป็นผลจากสิ่งที่กินเข้าไปเมื่อคืน นี่ขนาดอ้วกออกมาจนหมดกระเพาะแล้วนะยังจะเมาค้างได้อีก ก่อนจะตั้งใจไว้ว่าจะไม่ดื่มจนเมาแบบนั้นอีกแล้ว ไม่ว่าใครจะจ้างเท่าไหร่ก็ตาม เต้าหู้เปิดประตูออกมาเจอเข้ากับเฉินที่มายืนรออยู่ตรงหน้าประตูพร้อมกับส่งยิ้มหวานพาลให้ใจสั่น จะว่าไปแล้ว เขาหล่อมากแบบนี้เป็นปกติหรือเปล่า ทำไมวันนี้รู้สึกว่าเขาดูหล่อกว่าทุกวันกันนะ ก่อนที่ภาพทุกอย่างเมื่อคืนจะไหลเข้ามาในหัวเต็มไปหมด ไม่ใช่ว่าเราก็มีใจให้เขาแล้วเหรอ ไม่ได้ๆ พยายามห้ามใจไว้ เพราะเขาคือเจ้าหนี้ และเรายังไม่รู้จักเขาดีพอ “มีอะไรเหรอคะ” “อยากคุยเรื่องเมื่อคืน” หญิงสาวตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ความจริงแล้วเธอจำได้ทุกฉากทุกตอนจำได้แม้กระทั่งความรู้สึกที่กำลังถูกเขาสัมผัส บางทีถ้าทำเหมือนว่าลืมๆ ไปอาจจะเข้าหน้ากันง่ายกว่า “หนูเมามากหนูจำอะไรไม่ได้เลยค่ะ” เฉินถึงกับแค่นหัวเราะในลำคอ เขารู้ว่าเธอไม่ได้ลืมแต่แค่ทำเป็นจำไม่ได้สงสัยต้องหลอกล่อสักหน่อย “ก็เมื่อคืนฉันคุยเรื่องหนี้ จะใ
เฉินอุ้มเอาคนตัวเล็กที่เมาไม่ได้สติพาขึ้นรถกลับมาที่บ้าน หลังจากที่โชว์ห้าวดื่มเหล้าติดกันไปทั้งหมดเจ็ดซ็อตจนภาพตัด นอนหลับเอาหัวหนุนตักเขา เฉินนั่งดื่มรอกระทั่งร้านปิดจึงพาเธอขึ้นรถยนต์คันหรูกลับมาที่บ้าน “คืนนี้พวกมึงสองคนไปนอนบ้านนู้นแล้วกัน” บ้านที่เฉินซื้อไว้เป็นบ้านพักตากอากาศเวลาที่เขามาเก็บหนี้ หรือมาดูบ่อนใกล้ๆ แถวนี้ คืนนี้เลยให้พวกมันสองคนไปนอนที่นั่นตัดปัญญา เดี๋ยวเกิดปวดท้อง ปวดไส้ขึ้นมาอีก “ผมเอาใจช่วยลูกพี่นะครับ” จ๊อดกำมือสู้ๆ บอกเจ้านายแต่เหมือนเฉินยังเคืองที่ถูกขัดจังหวะเมื่อวานอยู่ “เมื่อวานเสียเรื่องเพราะมึงนั่นแหละ ไปไกลๆ เลยนะ คืนนี้มึงจะปวดห่าอะไรก็ปวดไป ไม่ต้องมาเคาะประตูบ้านเข้าใจไหม” จ๊อดทำหน้าจ๋อยเพราะวันนี้เฉินก็ตึงใส่ทั้งวัน เรียกว่าทำอะไรไปก็ขัดหูขัดตาเฉินไปหมด “ขอโทษครับ วันนี้ผมจะไม่กวนลูกพี่แล้วครับ” “ไม่ต้องดูเรื่องความปลอดภัยเหรอครับ” แจ๊ดถามเฉินถึงเรื่องความปลอดภัยเพราะไม่มีใครอยู่คอยเฝ้ายามให้กลัวว่าจะมีคนไม่หวังดีจะลอบทำร้าย “ไม่ต้อง ถ้ามีอะไรกูจัดการเองได้” “ครับล
เสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ประจำทำให้ร่างบางลืมตาตื่น ชายหนุ่มที่พึ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามาในห้องพร้อมพันผ้าเช็ดตัวพันเอวสอบไว้อย่างหลวมๆ ท่อนบนเปลือยเปล่าแต่ก็โชว์กล้ามเนื้อที่สวยได้รูป และรอยสักรูปมังกรที่พอเห็นแล้วก็ทำให้หวั่นไหวกับความเท่ เฉินเดินมานั่งลงบนเตียงที่เต้าหู้นอนอยู่เธอห่มผ้าจนถึงคอ เพราะต้องการปกปิดร่างกายยังคงเปลือยเปล่า แถมตอนนี้เธอยังรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว คล้ายจะเป็นไข้ และรู้สึกปวดหน่วงตรงท้องน้อย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเพราะอะไรพลางนึกในใจว่ากระแทกมาได้ไม่ออมแรงเลย นึกว่าจะตายซะแล้ว “ตื่นแล้วเหรอ หิวไหม? ถ้าหิวรอแป๊บหนึ่ง เฮียให้จ๊อดกับแจ๊ดซื้อข้าวมาให้แล้ว” “ทำไมเงียบ หรือว่าจำไม่ได้อีก เอาอีกรอบไหม จะได้ฟื้นความจำ” “ไม่ต้องแล้วค่ะ จำได้ค่ะ” จำได้แบบไม่ลืมเลยด้วย เขาพรากทั้งจูบแรกและพรากเยื่อพรหมจรรย์ไปจากเธออีกจะให้ลืมได้ยังไง อีกอย่างเมื่อคืนเธอก็ดันเป็นคนเริ่มเองอีก จะกล่าวหาว่าเขามอมเหล้าเธอจนเมาทำให้ขาดสติพลาดพลั้งไปมีอะไรกันก็ไม่ได้ เพราะอยากได้เงินเลยดื่มเข้าไปแบบไม่ยั้งคิด ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น
หลังจากเหตุการณ์นั้นตำรวจก็จับตัวของภีมไปรับโทษตามกฎหมาย และยังค้นพบหลักฐานที่ภีมและพ่อร่วมกันทำความผิด ปิดบัง อำพรางมาตลอดหลายปีอีกมากมาย ภาพที่เห็นว่าภีมนั้นเป็นสุภาพบุรุษไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหน หรือไม่เคยมีข่าวเสียหายเป็นเพราะว่าภีมมักจะอัดคลิปที่ตนมีอะไรกับผู้หญิงที่คบกันอยู่เอาไว้สำหรับข่มขู่หากพวกเธอคิดจะเปิดโปงเรื่องของเขาและเธอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปแพร่งพรายให้ใครรู้ หากคนไหนที่ยังรั้นและไม่ยอมทำตามก็จะถูกภีมและพ่อจัดการปิดปากพวกเธอ แถมภีมก็มีรสนิยมที่ชอบถ่ายคลิปเอาไว้เวลาที่ทรมานเหยื่อนั่นจึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ภีมจะได้รับโทษสถานหนัก เต้าหู้นั่งรอเฉินอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ไม่นานเขาก็ถูกนำตัวออกมาเข้าไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วย พอหมอบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้วเธอจึงโล่งใจและปล่อยให้เขาพักผ่อนเต็มที่ เธอจึงมีเวลาก็ไปดูอาการของเพื่อนอย่างพลอย พอไปถึงก็ได้ยินเสียงดังโวยวายดังมาจากข้างในห้อง “อีลูกไม่รักดี ฉันส่งแกมาเรียน ทำไมแกไม่เรียน ฉันทำงานเหนื่อยแทบตายหาเงินมาให้แกทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอ พลอยแก
ขณะที่ใจจะอยากยอมแพ้ แต่พอภีมจะขึ้นมาคร่อมตัวเธอบนโซฟา สองเท้าที่ไม่ได้ถูกมัดก็กระแทกแรงๆ ไปที่หน้าอกภีมจนเขาหงายหลังลงไปกับพื้น “อีเหี้ยเอ๊ย” เขาสบถคำออกมาเพราะแรงถีบที่รุนแรงจนจุก เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ขยับตัวยาก พอนั่งได้และเท้าแตะพื้นก็พยายามลุกขึ้นวิ่งหลบและคิดหาทางวิ่งไปทางประตูห้องเพื่อที่จะหนีเอาตัว “พวกมึงยืนโง่กันอยู่ทำไม ไปจับตัวมันสิวะ” ภีมเอ่ยด่าลูกน้องที่มัวแต่มองไม่ทำอะไร ลูกน้องของภีมก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ห้องมันไม่ได้กว้างพอที่จะให้เธอวิ่งไปมาได้มากนัก หนีได้ไม่นานสุดท้ายก็มาอยู่ที่มุมห้อง ภีมที่โมโหจึงเดินปรี่เข้ามาหา มือใหญ่คว้าใบหน้าของเธอจับบีบแก้มทั้งสองข้าอย่างแรง และใช้นิ้วกดลงที่แผลบนพวงแก้มที่เขาเป็นคนทำเธอทั้งเจ็บและแสบ “กูหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ ชอบความรุนแรงใช่ไหมงั้นก็โดนพร้อมกันหลายๆ อันมึงน่าจะชอบ” ก่อนจะหันหน้าไปทางลูกน้อง “จับมัน แล้วถอดเสื้อผ้ามันให้หมด เสื้อผ้าพวกมึงด้วย” ไอ้พวกลูกน้องผุ้ชายได้ยินคำสั่งก็ร
“วันนี้พลอยก็ไม่มาอีกแล้วนะ” เต้าหู้บ่นกับเพื่อนสาวสองคนเช่นเคยที่เพื่อนอย่างพลอยหายไปและไม่สามารถติดต่อได้จนน่าเป็นห่วง “โทรหาติดไหม” “ไม่เลยตั้งแต่ที่เจอเมื่อวานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก” “พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้แชทฉันหนักขวามากเลย พลอยไม่อ่านไม่ตอบเลย” "ยังไงวันนี้เราก็ต้องไปหาพลอยอีก" "โอเคไปกันเลยไหม" ระหว่างที่กำลังตกลงว่าจะไปหาพลอย เต้าหู้ก็สังเกตเห็นว่าภีมกำลังเดินสวนกับพวกเธอไป ใจจริงเธออยากจะเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของพลอยแต่ก็เห็นว่าเขาเดินไปไกลแล้ว อีกอย่างตอนนี้เฉินก็มารับเธอเสียก่อนทำให้เธอพลาดที่จะได้เข้าไปถามเขา เธอมองภีมเดินไปจนสุดลูกตา ทำให้เฉินต้องมองตามไปบ้างพอเห็นว่าเป็นภีมเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ “มีอะไรเหรอ” “เปล่าค่ะ เฮียเฉิน เดี๋ยวแวะไปที่คอนโดเพื่อนหนูแป๊บหนึ่งได้ไหม“ “ได้สิ แล้ววันนี้ไม่มีสอนพิเศษเหรอ” “วันนี้หนูลาค่ะ หนูเป็นห่วงพลอยช่วงนี้พลอยแปลกไป” ไม่นานเธอก็มาถึงที่คอนโดของพลอย และแน่นอนว่าทางรปภ.คอนโดของพลอยก็ยังยืนกรานไม่ให้ค
“เฮีย เฮีย” เต้าหู้ตะโกนเรียกเขาพร้อมน้ำตา ขณะที่มือเล็กๆนั้นก็เขย่าไปที่ตัวเขาอย่างแรงไม่หยุด เธอเงยหน้าขึ้นมอง จ๊อดกับแจ๊ดที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ทำอะไร “พี่จ๊อดพี่แจ๊ด เรียกรถพยาบาลเร็ว” ลูกน้องคนสนิทมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครหยิบมือถือหรือมีท่าที่เป็นเดือดเป็นร้อนกันสักคน “พี่จ๊อดพี่แจ๊ดเร็วสิ เฮียเฉินจะตายแล้วเนี่ย” เธอทั้งห่วงเขา และพาลโมโหที่จ๊อดแจ๊ดดูจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้แต่น้อยทั้งๆที่เห็นลูกพี่ตัวเองนอนสลบเหมือดไปต่อหน้าต่อตา ฝ่ามือเล็กที่วางบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมถี่ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามออกมาทำให้เธอต้องรีบกลับไปมองคนที่สภาพปางตายบนตักของเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาคมที่ปิดลงเมื่อครู่ตอนนี้ได้มองมาที่เธอพร้อมใบหน้าที่เจือรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ เต้าหู้พอรู้ว่าโดนแกล้งถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห “เฮียเฉิน!” จากมือที่ใช้เขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ตอนนี้กลับกำแน่น และทุบไปอย่างแรงบนอกแกร่งนั้นจนคนที่โดนถึงกับจุกเพราะเธอใส่มาเกือบเต็มแรง “โอ๊ย ตีเฮียทำไม เฮียเจ็บอยู่นะ” “แล้ว
หลายวันมานี้พลอยหยุดเรียนไปด้วยเหตุผลที่ว่าเธอนั้นไม่สบาย แถมในแชทกลุ่มเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ส่งข้อความหาเพื่อนก็ตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วก็หายไป โทรหาน้ำเสียงก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เต้าหู้กับเพื่อนอีกสองคนเลยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “แกสองคนได้คุยกับพลอยบ้างปะ” เต้าหู้ที่เป็นกังวลเอ่ยถามกับเพื่อนทั้งสองขณะที่กำลังนั่งรอเข้าเรียนในช่วงเช้า “ไม่นะ ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” ส้มลิ้มตอบ “ฉันก็รู้สึกเป็นห่วงพลอยอะ ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรกันแน่” สีหน้าเต้าหู้เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พลอยไม่ใช่คนที่จะโดดเรียนหรือหนีหายไปและโกหกว่าป่วยแน่นอน ตอนนี้เธอคงจะป่วยจริงๆ จนถึงขั้นมาเรียนไม่ไหว จีจี้ที่นั่งฟังอยู่เลยออกความเห็น “งั้นเราลองถามพลอยดีไหมว่าตอนนี้อยู่ไหน หลังเลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมพลอยกัน” ระหว่างที่กำลังจะกดโทรหาอยู่นั้น พวกเธอก็ได้เห็นพลอยก็กลับมาเรียนแต่พลอยกลับไม่เดินมาหาพวกเธอ แต่กลับรีบเดินเข้าห้องเรียนไปแถมยังไม่มานั่งรวมกับพวกเธออีกต่างหาก ไม่รู้ว่าพลอยมีปัญหาอะไรไหม พอจะถามพลอยก็ปลีกตัวไม่สุงสิงกับใครนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมา
วันกีฬามหาวิทยาลัย นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องวุ่นกับการทำหน้าที่ของตนเอง เต้าหู้ พลอย และจี้จี้ มีหน้าที่แปลกอักษร บนอัฒจันทร์พวกเธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อมาเตรียมความพร้อมก่อนงานจริงจะเริ่ม ส่วนส้มลิ้มก็มีแข่งชกมวยรอบชิงชนะเลิศอยู่ที่สนามและเธอจะมารับเหรียญในช่วงเย็น จนถึงเวลาพักทานข้าว รุ่นพี่ที่ดูแลได้นำอาหารและน้ำดื่มมาแจกให้กับพวกนักกีฬาและคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรม สามสาวก็มาหาที่ร่มๆ มานั่งทานข้าวและพักผ่อนก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมต่อในช่วงบ่าย สามสาวเปิดกล่องข้าวออกมากำลังจะเริ่มทานด้วยความหิวและความเหนื่อย แต่พลอยกลับทำหน้าพะอืดพะอม และรีบปิดกล่องข้าวลงทันที “พลอยเป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” “เรารู้สึกไม่ชอบกลิ่นหมูกระเทียมกล่องนี้เลย มันฉุน เราอยากอ้วก” พอพูดจบเธอก็รีบลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะรีบไปอ้วกในห้องน้ำใกล้ๆ เต้าหู้กับจีจี้ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน จึงวิ่งตามไปพอมาถึงก็เห็นว่าพลอยอยู่ข้างในนั้น เต้าหู้รีบช่วยลูบหลังเพื่อนให้ก่อนจะเอ่ยถาม “แกเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” “ไม่รู้สิ แต่สองสามวันมานี้ฉันเวียนหัวมา
ในช่วงกิจกรรมกีฬาของมหาลัย แน่นอนว่านักศึกษาปีที่หนึ่งของแต่ละคณะก็จะต้องมีการฝึกซ้อมเชียร์และกีฬากันอย่างหนัก แน่นอนแหละว่าคนสวยๆ แบบพวกเธอต้องได้รับหน้าที่แปลอักษรและนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์อยู่แล้ว “เดี๋ยวให้พักก่อนสามสิบนาทีนะครับน้องๆ อีกครึ่งชั่วโมงกลับมาประจำที่นะครับ พี่จะซ้อมเต็มอีกสักสองถึงสามรอบ หรือจนกว่าพวกเราจะคล่อง” รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้าที่คุมการซ้อมบอกให้พวกปีหนึ่งไปพัก แต่ตอนนี้อากาศร้อนมากทำให้แต่ละคนก็บ่นออกมาไม่เว้นแม้แต่พวกของแก๊งนางฟ้าเอง “ร้อนมาก ใครก็ได้เอาน้ำไปราดดวงอาทิตย์หน่อยซิ” เต้าหู้บ่น เพราะอัฒจันทร์ของคณะเธอดันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ก็เลยรับแสงแดดยามบ่ายกันอย่างเต็มที่ อย่างไม่ต้องการ กันแดดที่โบกมาอย่างหนาไม่รู้ว่าจะเอาอยู่ได้มากขนาดไหนรู้สึกว่าผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยหลังจบงานนี้คงต้องบำรุงกันยาวๆ “หิวน้ำจะตายอยู่ละ สต๊าฟอยู่ไหนกันหมดปกติต้องเอาน้ำมาแจกแล้วนะ” อยู่จี้ที่ใช้หมวกฟางพัดวีให้ตัวเองบ่นด้วยความเหนื่อย เพราะเธอต้องซ้อมกันในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ วันปกติก็เรียนแทบไม่ได้พักตอนเย็นของทุกวันและวันหยุดก็ต้องซ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว ส้มลิ้มและจีจี้มาด้วยหน้าตาที่สดใสเพราะได้กลับบ้านไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเปิดเทอมใหม่แล้ว อะไรบางอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป อย่างเช่นพลอยที่ปกติแล้วเธอจะมักจะใส่เสื้อผ้า ชุดนักศึกษาที่ดูเรียบร้อยและมิดชิดปิดไปแทบทุกสัดส่วน สวมแว่นตาหนา รวบผม ใบหน้าก็ไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่แต้ม แต่เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนอย่างที่เขาว่า เวลามีความรักอะไรมันก็ดูสวยงามไปหมด พอถอดแว่นตาแต่งตัวให้ดูเข้ากับรูปร่างตัวเอง และแต่งหน้าเพิ่มเพียงนิดหน่อย ก็ทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นมามากเลยทีเดียวอย่างกับเป็นคนละคน “ไม่บอกจริงๆ เหรอว่าแฟนแกเป็นใครน่ะพลอย” ส้มลิ้มที่อยากรู้อยากเห็นกว่าใครอดใจไม่ได้ที่จะต้องถาม “ยังบอกไม่ได้ตอนนี้น่ะ” พลอยหลุบใบหน้าแดงที่กำลังเขินอายลงไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าพลอยดูสดใสขึ้น “งั้นแก๊งเราก็เหลือคนโสดแค่ฉันกับแกแล้วสิส้มลิ้ม” จีจี้พูดพลางแกล้งทำหน้าเศร้าโผเข้ากอดส้มลิ้ม เพื่อนสาวที่ยังไม่มีแฟนอีกคน “ฉันน่ะโสดจริงแถมไม่เคยมีแฟนด้วย ส่วนของแกน่ะโสดไม่จริงค่ะ เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกอยู่นั่
เต้าหู้และเฉินนั่งอยู่ในโบสถ์และกำลังเข้าร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อนสนิทของเฉิน อย่าง อากิระและคนรักของเขาอย่างริบบิ้น โดยที่มีเด็กตัวน้อยยืนอยู่บนแท่นพิธีร่วมกับทั้งคู่ เด็กคนนั้นคือเรียวตะลูกชายของพวกเขาทั้งสองนั่นเอง คู่บ่าวสาวต่างปฏิญาณสาบานตนว่าจะรักและดูแลซึ่งกันและกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ในตอนเย็นก็มีพิธีฉลองมงคลสมรส จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของอากิระ หลังลงจากรถหรูเฉินยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นการบอกให้คนตัวเล็กที่ยืนข้างกันเดินคล้องเข้าไปในงานคืนนี้ พอเข้ามาหญิงสาวมองไปรอบๆ ตะลึงในความใหญ่โตและสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ยุโรปแห่งนี้ตกแต่งราวกับหลุดออกมาจากยุคกลาง ก่อนที่เฉินจะพาเธอเดินไปทักทายเพื่อนสนิทที่อยู่ในงานเลี้ยงอย่างคู่บ่าวสาว “ยินดีกับมึงด้วยนะเพื่อน” “เออ ขอบใจ” “เรียวตะหลานกู ไปไหนแล้วล่ะ” มองหาลูกชายของเพื่อที่ตอนนี้ไม่เห็นมาวิ่งเล่นในงาน “เล่นทั้งวันคงเหนื่อยก็เลยงอแง กูให้พี่เลี้ยงพาขึ้นไปนอนแล้ว” “เออจริงสิ ไอ้พี่อี้ใส่ซองมาให้ แล้วก็ฝากบอกยินดีกับริบบิ้นด้วย แล้วก็ฝากความคิดถึงเรียวตะ” เฉินหยิบซองด้