ตำหนักร่างทรงเจ้าพ่อหนองนาน้อย
หลังพิธีปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายเสร็จสิ้น เจ้าพ่อก็เปิดให้บูชาน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีเพื่อให้ชาวบ้านเอาไปประพรมทั่วบ้านและผสมน้ำอาบให้เป็นสิริมงคล ขวดละเก้าสิบเก้าบาท ก่อนกลับเจ้าพ่อได้จุดธูปตัวเลข เอาไว้ คนที่มาร่วมพิธีก็จะได้เห็นและเอาเลขไปเสี่ยงโชคกัน
หลังจากนั้นทุกคนก็กราบลาเจ้าพ่อ เสร็จก็แยกย้ายกันกลับ เหลือเพียงสามสาวแก๊งนางฟ้าที่ยังต้องอยู่ต่อ เพราะผีดันชี้หน้าเลือกเต้าหู้คนสวยไปอยู่ด้วย นี่ไหมที่เขาเรียกปากพาซวย
“เจ้าพ่อคะ จะทำยังไงได้บ้างคะหนูยังไม่อยากตายตอนนี้” พอมานั่งนับความดีตั้งแต่เกิดมา ทำไปไม่กี่อย่าง แถมสมุดที่ครูให้มาบันทึกทำความดีก็โกหกทั้งนั้น ตายตอนนี้ไม่ได้ไปสวรรค์แน่นอน
“ไม่ต้องห่วง เอาน้ำมนต์พ่อไปผสมน้ำอาบ เจ็ดวัน วันละขวด แล้วก็เอาผ้ายันต์ไปแปะตามประตูเข้าบ้าน มันก็ทำอะไรเอ็งไม่ได้แล้ว” เจ้าพ่อหยิบพานที่ใส่ของตามที่ได้กล่าวเอาไว้ มาวางด้านหน้าของตน พอเต้าหู้เห็นเลยคิดว่าเจ้าพ่อให้เลยจะหยิบ แต่เจ้าพ่อก็ดึงให้ห่างจากมือของเธอ
“แต่ของพวกนี้ ให้ฟรีๆ กันไม่ได้ ต้องมีค่าครู”
“ค่าครู? เจ้าพ่อยังเรียนอยู่เหรอคะ?” คำถามของเต้าหู้ทำเอาเจ้าพ่อถึงกับกรอกตามองบน
อะไรคือค่าครูเต้าหู้ไม่เข้าใจ หรือเจ้าพ่อแกจะหมายถึงค่าเทอม ที่แท้ก็เปิดตำหนักหาค่าเล่าเรียนนี่เอง นี่สินะที่เขาบอกว่าความรู้สำคัญมากจริงๆ
“ข้าหมายถึงค่าตอบแทนที่ทำพิธีให้ อย่าทำเป็นเล่นไปเดี๋ยวครูบาอาจารย์ข้าจะมาหักคอเอ็งหรอก” คำพูดของเจ้าพ่อทำเอาเต้าหู้รีบยกมือไหว้ขอโทษขอโพย
“ขอโทษค่ะ ก็หนูไม่รู้… แล้วค่าครูนี่….เท่าไหร่คะ”
“ทั้งหมดนี่ สามพัน แต่ข้าลดให้ เหลือเก้าร้อยเก้าสิบเก้า เพราะเห็นว่าเอ็งยังเด็ก” มือเธอล้วงไปในกระเป๋าควักแบงก์ยี่สิบที่พับออกมา นับดูตอนนี้เหลืออยู่หกสิบบาท เพราะแม่ให้มาร้อยเดียว กินส้มตำไปแล้วเลยเหลือแค่นี้ ตอนแรกแค่จะมาทานข้าวแล้วไปนั่งเล่นที่ค่ายมวยไปๆ มาๆ กลับโดนวิญญาณตามติดซะงั้น ก่อนจะหันไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนอีกสองคนพูดอย่างกระซิบกระซาบ
“พวกแกมีเงินคนละเท่าไหร่ ขอยืมก่อน” เพื่อนแต่ละคนก็เหลือเงินกันหลักสิบเหมือนกัน ก่อนจะหันหน้าสุมหัวรวบรวมความคิดว่าจะทำยังไงกันดี เพื่อไม่ให้เพื่อนสาวโดนวิญญาณเอาไปอยู่ด้วย
“ฉันว่า ไปขอน้ำมนต์ที่วัดดีกว่าไหมฟรีด้วย” น้ำส้มออกความคิดเห็น อย่างน้อยมันก็น้ำมนต์เหมือนกัน แถมได้ฟรีอีกเพราะรู้จักพระที่นั่นซึ่งเป็นลุงของเธอเอง ส่วนเต้าหู้เห็นว่า คราวนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ก็กลัวว่าเพียงอาบน้ำมนต์จะเอาไม่อยู่
“แค่น้ำมนต์จะพอเหรอ มันต้องมีของขลังด้วยนะ เดี๋ยวผีไม่กลัว”
“แกก็ขอพระหลวงพ่อสิ ที่วัดมีเยอะจะตาย ของสักองค์น่าจะได้อยู่” จีจี้เสนอ
“เอางั้นเหรอ”
“อืม หรือแกจะไปขอเงินแม่ล่ะ”
“คงให้หรอก เงินก็ไม่ได้แถมโดนด่าอีก” แม่ยิ่งไม่ค่อยเชื่อเรื่องแบบนี้อยู่ พอตกลงกันได้ เต้าหู้จึงจะหันไปบอกเจ้าพ่อว่าเธอจะไปขอน้ำมนต์ที่วัดแทนเพราะตอนนี้เงินเธอก็คงไม่พอ
“เงิน มีเท่าไหร่ก็เอามาเท่านั้นแหละ” ยังไม่ทันจะปริปากพูดเจ้าพ่อก็ชิงตอบก่อนเลย ทำเอาพวกเธอสับสน อะไรมันจะง่ายปานนั้น ดูท่าเจ้าพอจะร้อนเงินนะเนี่ย แต่ถามว่าเต้าหู้จ่ายไหม ก็จ่ายเพื่อความสบายใจ
เต้าหู้กลับบ้านไปพร้อมกับขวดน้ำมนต์และของศักดิ์สิทธิ์อีกสองสามอย่างที่เจ้าพ่อให้มา แต่เธอก็จ่ายค่าครูไปทั้งหมด หนึ่งร้อยแปดสิบบาม พอมาถึงบ้าน ก็รีบอาบน้ำที่ผสมน้ำมนต์ เอายันติดประตูกันผี ขนเอาตุ๊กตามาวางให้พื้นที่บนเตียงไม่ให้มีที่ว่าง ก่อนพนมมือไหว้พระก่อนนอนพร้อมกับพูดเสียงดังให้ใครก็ไม่รู้ได้ยิน
“เต้าหู้เจ้าของห้องไม่อนุญาตให้ใครเข้ามานะคะ”
ก่อนจะนอนคลุมโปงพยายามข่มตานอน แต่ก็กลัวเกินกว่าจะนอนคนเดียวได้ ห้องนอนที่เคยนอนทุกวันทำไมวันนี้มันดูวังเวงแถมเสียงมันก็เงียบจนน่ากลัว ถ้าเป็นอย่างนี้คืนนี้ไม่ได้นอนแน่เลยขอเข้าไปนอนกับแม่อย่างน้อยถ้าเจอผีก็ไม่ได้เจอคนเดียวแม่ก็ยังเจอเป็นเพื่อน
เต้าหู้รีบลุกจากที่นอนอย่างไว หอบผ้าห่มและหมอนออกไปเคาะประตูห้องนอนของแม่ เพียงไม่นานเจ้าของห้องก็เป็นมาพร้อมกับใบหน้าที่บ่งบอกถึงความรำคาญ เพราะลูกสาวเล่นเคาะประตูรัวๆ จนเธอตื่น
“อะไร”
“แม่ หนูขอนอนด้วยสิ”
“กลับไปนอนห้องตัวเองเลย”
“นอนไม่ได้ กลัวผี”
“เลอะเทอะ ผีมีจริงที่ไหนกัน” ขณะที่พูดสายตาแม่ก็สอดส่องไปรอบบริเวณเหมือนกันเผื่อมีสิ่งไม่พึงประสงค์อยู่แถวนี้
“ผีมีจริงๆ นะแม่ วันนี้หนูเห็นคนโดนผีเข้าด้วย” เจ๊ศรีเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะขยับหน้าเข้าใกล้ถามลูกเสียงเบา
“ไปเห็นที่ไหนมา”
“ที่ตำหนักเจ้าพ่อหนองนาน้อยไง ผีที่เข้าก็เป็นผีคนที่พวกหนูไปเจอที่สวนยางป้าหมอนอะ ผีบอกว่าจะเอาหนูไปอยู่ด้วย”
“จริงเหรอ?”
“จริง เมื่อกี้หนูเอายันต์แปะประตูไว้แล้วผีคงเข้ามาไม่ได้ แต่ว่าหนูก็นอนคนเดียวไม่ได้อยู่ดี ขอนอนด้วยนะๆๆ”
“เออๆ เข้ามา” สุดท้ายเมื่อเห็นสีหน้าอ้อนๆ นั้นแล้วก็ยากจะปฏิเสธ ก่อนจะเปิดประตูห้องให้ลูกสาวที่หอบหมอนและผ้าห่มเข้ามานอนด้วย
“ห้องนี้เป็นห้องนอนของศรี ศรีไม่อนุญาตให้ใครเข้ามานอกจากลูกสาวที่ชื่อเต้าหู้เด้อ ถ้าใครฝ่าฝืนบอกไว้ก่อนว่ามีพระเด้อ” พร้อมกับหยิบพระที่ห้อยคอออกมาโชว์ให้อากาศดูแล้วจึงรีบปิดประตูห้องล็อกลอนอย่างแน่นหนา เต้าหู้เมื่อไม่เห็นแม่เดินตามมาเลยหันไปดู
“แม่ทำอะไรน่ะ” สองมือของเจ๊ศรียกขึ้นพนมหลับตาพร้อมกับทำปากขมุบขมิบท่องอะไรสักอย่าง
“ไม่มีอะไร รีบไปนอนสิ”
เต้าหู้รีบโยนหมอนลงบนเตียงให้ไวก่อนขึ้นไปนอนห่มผ้าด้วยความรู้สึกอุ่นใจอย่างน้อยถ้าเจอผีก็ไม่ได้เจอคนเดียวแล้ว แม่เดินไปปิดไฟในห้องเหลือเพียงโคมไฟที่หัวเตียงเอาไว้
“แม่ๆ”
“อะไร”
“หนูกลัวอะ แม่กอดหนูหน่อย”
“โตเป็นควายแล้วยังจะให้กอดอีก นอนๆ”
เต้าหู้เลยนอนตะแคงไปทางแม่เพื่อที่จะไปกอดแม่แทน แต่พอพลิกตัวมาได้ก็รู้เลยทำไมถึงกอดเธอไม่ได้ ก็เจ๊ศรีเล่นเอาผ้าห่มพันตัวตั้งแต่คอไปจนถึงปลายเท้าสภาพที่เห็นนึกว่าดักแด้ นี่เจ๊แกกะว่าจะไม่ให้ส่วนอื่นนอกจากหัวสัมผัสอากาสเลยใช่ไหม
“กลัวผีเหมือนกันเหรอ”
“เปล่า แค่หนาวเฉยๆ” เต้าหู้รู้นิสัยแม่ตัวเองดี ไม่ต้องสืบเรื่องกลัวผีได้ใครมา แต่แม่แค่ปากแข็งทำเหมือนว่าตัวเองไม่กลัวอะไร เพื่อเป็นตัวอย่างให้ลูก เธอคิดว่าอยากสอนให้ลูกเป็นคนที่ไม่หวาดหวั่นต่ออะไรง่ายๆ จึงทำเหมือนว่าตัวเองเข้มแข็ง แต่แท้จริงแล้วตัวเองก็กลัวเหมือนกัน
“เหรอ”
“เออ”
“จริงสิ วันนี้ได้เลขหวยมาด้วยนะแม่ ที่ตำหนักเจ้าพ่อน่ะแม่ไม่เอาใส่ไปในเลขอั้นเหรอ”
“เลขไม่ค่อยดังไม่เป็นไรหรอก”
“แต่เห็นว่าชาวบ้านจะซื้อเยอะเลยนะ”
“เออ รอให้งวดนี้มันถูกเลขที่เจ้าพ่อให้ก่อนเถอะ งวดหน้าค่อยอั้นเลขที่เจ้าพ่อให้” เพราะเจ๊ศรีก็ยังไม่ค่อยเชื่อเจ้าพ่อคนใหม่นี่เท่าไหร่ ไม่รู้ว่ามาจากไหน เธออยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีเจ้าพ่อหนองนาน้อยด้วย เลยไม่ได้รู้สึกเชื่อเต็มร้อย แต่ก็ไม่ได้คิดจะลบหลู่
.
.
เวลา 9.45 น.
ณ โรงพยาบาลซีอาร์เคหลังจากที่ถูกทำร้ายร่างกายจนปางตายชายถูกส่งตัวมารักษาต่อที่โรงพยาบาลในเครือธุรกิจของครอบครัว พอฟื้นขึ้นมาได้ลูกน้องที่ไปด้วยในวันนั้นอย่างไอ้จ๊อดไอแจ๊ดก็รีบมาหาเจ้านายด้วยวีลแชร์จากห้องพักผู้ป่วยเพื่อมาขอโทษขอโพยกันยกใหญ่ ที่ปล่อยให้เจ้านายตกอยู่ในอันตราย แต่สภาพพวกมันสองตัวก็ดูไม่จืดเหมือนกัน พอเห็นสภาพของมันสองคนเฉินก็ใจอ่อนปล่อยให้ไปพักรักษาตัวให้หายดี
"เรื่องที่ให้ไปจัดการเป็นไงบ้าง" เอ่ยถามกับลูกน้องถึงเรื่องที่เขาให้ไปจัดการคนที่ทำร้ายจนเขาเกือบตาย
"ไอ้เสี่ยทรงเกียรติมันไหวตัวทันครับลูกพี่ มันหนีไปที่อื่นแล้วครับ คืนที่ลูกพี่โดนมันทำร้ายมันก็ส่งคนไปดูที่สวนยางด้วยครับ"
"เหอะ แม่งไม่แน่จริงนี่หว่า ทำได้แค่ลอบกัดจริงๆ อย่าให้ได้เจอนะมึง" แค่นหัวเราะในลำคออย่างเจ็บใจ อย่าให้ได้เจอ รับรองจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอกให้สาสมเลย
"ตามหามันให้เจอ ยังไงมันก็ต้องได้รับสิ่งตอบแทนที่มันทำกับกู" ยังไงแค้นนี้ก็ต้องชำระ
"ลูกพี่ครับ ผมมีอีกเรื่องหนึ่งครับ" ก่อนจะยื่นมือถือให้เจ้านายดูสิ่งที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอนั้น เฉิน รับมือถือมาด้วยก่อนที่คิ้วเข้มจะขมวดเข้าหากันเกือบจะเป็นปม
"มึงเอาคลิปคนโดนผีเข้าให้กูดูทำไม มันใช่เวลามาดูเรื่องสยองตอนนี้ไหม"
"ผมแค่จะบอกว่าตอนนี้มีข่าวลือในบ้านหนองนาน้อยว่าลูกพี่ตายแล้วครับ แล้วผีที่เข้าผู้ชายคนนี้ก็เป็นลูกพี่นี่แหละครับ" คนยังไม่ตายจะไปสิ่งสู่ใครได้ที่ไหนกัน นี่มันละครปาหี่ชัดๆ
"มึงรู้ไหมใครมันเป็นคนต้นคิด"
"เจ้าพ่อหนองนาน้อยครับ" ถัดจากไอ้เสี่ยทรงเกียรติก็มีไอ้เจ้าพ่อนี่แหละที่ต้องโดนจัดการเป็นรายต่อไป กล่าวหาว่าตายยังไม่พอ ยังจะให้เป็นผีไปเข้าสิงคนอื่นอีก แล้วไอ้คนที่โดนเข้าก็แสดงซะไม่เหลือมาดความเป็นมาเฟียผู้น่าเกรงขามเลย ตรงนี้แหละที่น่าโมโหที่สุด
ตลาดสดหนองนาน้อย ช่วงเช้าในวันหยุดเจ๊ศรีชวนลูกสาวอย่างเต้าหู้มาจ่ายตลาดด้วยกันเพราะพรุ่งนี้เป็นวันพระใหญ่แถมยังเป็นวันหวยออกด้วย เจ๊ศรีคิดเอาไว้ว่าจะซื้อของเพื่อเตรียมไปทำบุญชุดใหญ่ที่วัดในช่วงเช้า เพื่อเสริมสิริมงคล เพื่อเตรียมรับเงินเข้ากระเป๋าแบบไม่ต้องได้จ่ายออก ลูกสาวที่ตื่นเช้าทำหน้าบูดเป็นตูดลิง วันหยุดทั้งทีแทนที่จะได้ตื่นสาย ต้องมาตื่นตีสี่ตีห้าจ่ายตลาดกับแม่ แถมอาบน้ำแต่งตัวยังไม่ทันจะได้แต่งหน้าแม่ก็ลากออกจากบ้านแล้ว บอกว่าเดี๋ยวไปสายของดีๆ จะหมดเสียก่อน เต้าหู้เลยต้องหน้าสดแข่งกับปลาที่ตลาด คนสวยเบื่อ “ทำหน้าให้สวยๆ หน่อย นี่มาซื้อของเตรียมไปทำบุญนะ เดี๋ยวชาติหน้าก็เกิดมาขี้เหร่หรอก” “ชาตินี้สวยมากแล้ว ชาติหน้าขี้เหร่บ้างก็ได้ไม่เป็นไร” “เฮ้อ เบื่อคนสวยจริงๆ” ขณะที่เจ๊ศรีกำลังจะเดินไปทางเขียงหมูของพ่อจีจี้ ก็เห็นว่ามีชายชุดดำสองคนยังใช้ไม้ค้ำยันเพราะขาที่ยังใส่เฝือกเดินแจกใบปลิวอะไรสักอย่าง ท่าทางดูไม่น่าไว้ใจ คนอะไรใส่แว่นดำมาเดินตลาดช่วงเช้ามืด มีคนปกติที่ไหนเขาทำกัน พอเห็นว่าผู้ชายสองคนนั้นเดินจากไป
ระหว่างที่คนเจ็บยังพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลจนเกือบจะหายดี ก็มีญาติ พี่น้อง และเพื่อนแวะเวียนมาเยี่ยมไม่ขาดสาย โดยเฉพาะเพื่อนอย่างไอ้ ฟีนิกซ์ ที่แวะเวียนมานั่งเล่นด้วยแทบทุกวันหรือไม่ก็มาเช็กว่าเขาตายหรือยัง วันนี้มันก็มาอีกไม่รู้ว่าไม่มีงานการทำกันหรือยังไง แถมยังไปพาพระทิศเหนือ เพื่อนซึ่งกำลังบวชอยู่มาด้วย พอเห็นเพื่อนที่เป็นพระเฉินก็รีบยกมือไหว้ มีแค่ตอนนี้แหละที่เพื่อนดูน่าเคารพที่สุด ก่อนจะบวชทำแต่เรื่องไม่ดีมาด้วยกันมาก็เยอะ จนกระทั่งทิศเหนือถูกเมียทิ้งเรียกได้ว่าเพื่อนเสียใจจนต้องหันหน้าเข้าทางธรรม เพื่อสงบจิตใจ "นมัสการครับหลวงเพื่อน" "เจริญพรเถอะโยมเฉิน" “แล้วพระมายังไงครับ” “โยมฟีนิกซ์ไปนิมนต์มา” “แล้วพระไม่ปฏิเสธล่ะครับ” “ไม่ได้หรอกโยม พระปฏิเสธไม่ได้” “ไอ้ฟีนิกซ์มึงไปพาพระมาด้วยทำไมเนี่ย รบกวนพระอีก” “กูเป็นห่วงมึงไง พาพระมาให้ศีลให้พรมึงถึงโรงพยาบาลเลยจะได้หายไวๆ หรือถ้าตายก็พร้อมสวดส่ง” นั่นปากคนหรือปากหมาไม่แน่ใจ จริงๆ คนอย่างไอ้ฟีนิกซ์นี่นรกอาจจะส่งมันมาเกิดพร้
สามปีต่อมา ชายหนุ่มวัยสามสิบพร้อมกับลูกน้องคนสนิทอีกสองคน อย่างจ๊อดกับแจ๊ด เดินทางไปเยี่ยมปู่ที่กำลังนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเพราะพึ่งผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบไปเมื่อคืน ขณะที่กำลังนั่งรถไปนั้น ลูกน้องก็ได้รายงานความคืบหน้าเรื่องของเจ๊ศรีลูกหนี้ที่ไม่ได้ชำระหนี้ตามสัญญาที่ให้เอาไว้ ไม่จ่ายมาประมาณสามเดือนแล้ว และยังมีแนวโน้มขอผ่อนผันไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะได้คืนตอนไหน "เจ๊ศรีมันหนีเหรอ ทำไมไม่จ่ายมาสามเดือนแล้ว" เฉินเปิดดูสมุดบันทึกการจ่ายหนี้ของเจ๊ศรีเห็นว่า สามเดือนที่ผ่านมารายการชำระนิ่งสนิทมีเพียงแค่ดอกเบี้ยที่เพิ่มมากขึ้น จากที่กู้ไปแค่หนึ่งล้านบาท ทบไปทบมาตอนนี้ยอดเกือบสิล้านได้ เพียงแค่สามเดือน แน่นอนว่า ดอกเบี้ยพวกนี้เก็บเป็นรายวันไม่เหมือนกับของทางธนาคาร คนกู้ก็ต้องยอมรับข้อตกลงส่วนนี้ด้วย "สามเดือนมานี้ แกให้ลูกสาวมารับหน้าตลอดเลย แล้วก็บอกว่าเจ๊ยังป่วยอยู่ครับ" "แล้วป่วยจริงหรือแกล้งพวกมึงดูดีๆ หรือยัง" "เดือนก่อนผมก็ไปครับ สภาพเจ๊แกก็โทรม ผอมๆ คิดว่าน่าจะป่วยจริงครับลูกพี่" จ๊อดบอกในสิ่งที่ไปเห็นมาตอนไปเก็บเงิน
รถยนต์หรูมุ่งหน้าสู่ต่างจังหวัด ตอนแรกคิดว่านั่งชมวิวข้างทางจะทำให้ใจเย็นลงบ้าง สรุปโมโหกว่าเดิม เมื่อเจอคนขับรถปาดซ้ายปาดขวา จนเฉินต้องปล่อยสัตว์หลากหลายชนิดมาตลอดทาง เหี้ยบ้าง ควายบ้าง จ๊อดแจ๊ดทำได้เพียงนั่งเงียบๆ ขืนปริปากพูดอะไรไม่เข้าหูคงถูกด่าไปด้วย หลายชั่วโมงผ่านไปก็มาถึงจุดหมายปลายทางคือบ้านของเจ๊ศรีเจ้ามือหวยที่บ้านหนองนาน้อย ตอนนี้เป็นเวลาสองทุ่มเกือบสามทุ่มแต่กลับไม่มีใครอยู่ที่บ้านไฟก็ไม่เปิด มีเพียงแสงไฟกิ่งหน้าบ้านที่สาดส่องไปบนถนนเท่านั้น แถวนี้แทบจะอยู่ในตัวเมืองปกติก็ไม่น่าจะหลับกันเร็วขนาดนี้บ้านอื่นก็เปิดไฟกันปกติมีแต่บ้านที่ที่มืดสนิท จ๊อดกับแจ๊ดลงจากรถพยายามกดกริ่งที่หน้าบ้านพร้อมกับตะโกนเรียกชื่อของเจ๊ศรี อยู่นานสองนานแต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับมีแต่เสียงหมาในซอยที่เห่าเพราะพวกเขาทำเสียงดัง เฉินที่นั่งรอในรถพอเห็นแบบนั้นก็ยิ่งโมโหหนัก เลยออกไปจัดการเขกกบาลลูกน้องคนละที เพราะคิดว่าลูกหนี้อย่างเจ๊ศรีคงหนีไปอย่างที่เขาคาดการเอาไว้แน่ๆ “พวกมึงไม่ได้เรื่องจริงๆ กูจะหักเงินเดือนของมึงสองคน ให้เท่ากับเงินที่เจ๊ศรีติดหนี้กูตอนนี
“คืนนี้ฉันจะนอนที่บ้านเธอ พอดีไม่ได้จองโรงแรมไว้ คงไม่เป็นไรใช่ไหม” ใบหน้าของเต้าหู้เต็มไปด้วยความงุนงง ไม่ต่างจากลูกน้องอีกสองคนที่ไม่เข้าใจเจ้านายว่าพูดแบบนั้นทำไม ทั้งๆ ที่พี่แกมีบ้านพักตากอากาศที่อยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ขับรถไปไม่นานก็ถึงแล้ว ไม่มีเหตุผลที่จะต้องจองโรงแรมเลย หรือนี่จะเป็นข้ออ้างขอค้างบ้านผู้หญิง “คิดอะไรกับหนูปะเนี่ย” จู่ๆ ผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้ ทำทีจะมาขอนอนที่บ้านด้วย รู้อยู่ว่าเธอสวยคงจะมีแต่คนหมายปอง ถึงเจ้าหนี้คนนี้จะหล่อก็เถอะ แต่เธอก็เป็นผู้หญิงจะให้อยู่ใต้ชายคาเดียวกับผู้ชายมันก็จะดูไม่งามเอานะ “หรือจะให้หนูขัดดอก บังคับขืนใจให้เป็นนางบำเรอ ก็พวกคุณสามคนตัวโตอย่างกับยักษ์อุ้มปิดปากหนูก็ทำได้สบาย เพราะหนูไม่มีทางสู้อยู่แล้ว” เคยอ่านหนังสือเคยดูละครมาเยอะ ถ้านางเอกติดหนี้ไม่มีเงินจ่ายจะต้องเอาตัวเองไปขัดดอกเพื่อใช้หนี้ อย่าบอกนะว่าเขาจะให้เธอทำแบบนั้น “แค่มองเธอฉันก็หมดอารมณ์แล้ว ไม่ได้สวยขนาดนั้น” เอาจริงๆ ตอนนี้ เขาก็ไม่มีอารมณ์กับใครทั้งนั้นแหละ ไม่ว่ากับเธอหรือกับใคร ไม่รู้ว่าจะกลับมาใช้งานได้ตอนไหน หรืออาจต้องอยู่อย่างเหี่ย
เต้าหู้ และจ๊อดแจ๊ดที่ได้ยินทั้งเสียงโครมครามและเสียงร้องโอดครวญขอความช่วยเหลือดังมาจากห้องที่เฉินนอนอยู่จึงรีบเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ห้องเธอไม่ได้ล็อกเอาไว้จึงเปิดเข้าไปได้ง่าย เต้าหู้เปิดไฟในห้องให้สว่างเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น สภาพที่เห็นคือ เฉินกำลังกระทืบและบูมกับอาร์มสลับกัน จนสองคนนั้นอยู่ในสภาพที่เรียกว่าอ่วม เต้าหู้รีบเดินไปหยุดเฉินก่อนที่สองคนนั้นจะตายจริงๆ “ไอ้จ๊อดไอ้แจ๊ด จับพวกมันนั่งดีๆ ซิ” เฉินออกคำสั่งกับลูกน้องตน ทั้งสองก็ทำตามอย่างไม่อิดออดรีบจับอาร์มและบูมที่นอนขดโอดครวญ ให้นั่งคุกเข่าต่อหน้าเฉิน “นี่มันอะไรกันเนี่ย ไอ้บูม ไอ้อาร์ม พวกแกสองคนมาอยู่ในห้องฉันได้ยังไง” เต้าหู้ที่กำลังสับสนว่านี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้น แล้วพวกมันเข้ามาทำอะไรในห้องของเธอ อีกอย่างเฉินทำร้ายสองคนนี้ทำไม หรือจะขึ้นมาขโมยของ แต่ก่อนหน้านี้บูมกับอาร์มก็ไม่เคยทำพฤติกรรมแบบนี้เลย "เอ่อ..." ทั้งอารมณ์และบูมต่างไม่มีใครกล้าปริปากยอมรับความผิดในสิ่งที่คิดจะทำ จนเฉินชักจะมีน้ำโห "มึงจะให้กูใช้ตีนง้างปากพวกมึงให้พูดไหม ว่าพวกมึงวางแผนจะทำอะไรเต้าหู้" พึ
เฉินตื่นมาในเช้าอันสดใสพร้อมกับรอยยิ้ม ที่เมื่อคืนมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง แม้ว่ามันจะตื่นตัวได้พักหนึ่งแล้วก็กลับสภาพเดิม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี เขาเจอผู้หญิงมามากมายแต่ร่างกายก็ไม่ตอบสนองกับใครเลย จนกระทั่งมาเจอ เต้าหู้ เขาจึงเกิดสนใจในตัวเธอขึ้นมา และต้องการพิสูจน์ให้แน่ใจว่ามันเป็นเพราะเธอจริงๆ หรือเปล่า แต่จะให้บุ่มบ่ามไม่ได้เพราะเธออาจจะกลัว อีกอย่างถ้าผู้หญิงไม่ยินยอมเขาเองก็ไม่ทำ เขาเริ่มสำรวจไปรอบๆ ห้องนอนสีชมพูหวานแหววของเธอ ก่อนหันไปเห็นรูปที่ติดบนบอร์ดเล็กๆ ใกล้กับโต๊ะเขียนหนังสือ บนนั้นมีรูปที่เธอถ่ายกับครอบครัว ถ่ายกับเพื่อนแปะอยู่ ทุกอย่างก็ดูปกติดีจนกระทั่ง ไปสะดุดกับรูปผู้ชายคนหนึ่งในชุดนักเรียนถือพวกช่อดอกไม้ มีพวงมาลัยคล้องคอ จากการคาดเดาน่าจะเป็นรูปในวันปัจฉิม บนรูปเขียนไว้ว่า พี่ภีม พร้อมกับวาดรูปหัวใจสีแดงเอาไว้ โคตรรู้สึกไม่ถูกชะตาไอ้ขี้เก๊กนี่เอาซะเลย แล้วมันเป็นใครวะ? แฟนเต้าหู้เหรอ? เลิกกันหรือยังวะ? หรือคบกันอยู่? คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวเต็มไปหมด ไม่รู้ว่ามันเป็นยังไง แต่ที่รู้คือ ไม่ชอบขี้หน้าไอ้คนนี้ไม่ได้การจะต้องสืบให้
ในเย็นวันที่เผาศพแม่ของเต้าหู้ เฉินบอกว่าเขามีธุระด่วนจะต้องรีบไปจัดการเลยไม่ได้อยู่ค้างต่อที่บ้านของเต้าหู้อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ ใบหน้าหล่อแสดงออกถึงความเสียดาย แต่ถ้าไม่ไปจัดการด้วยตัวเองมันก็ไม่มีความหมาย เพราะเขาเองก็รอเวลานี้มาถึงสามปีแล้วเมื่อลูกน้องแจ้งมาว่าเจอเสี่ยทรงเกียรติแล้ว แต่ถึงตัวเองไม่อยู่ ก็ยังคงให้ลูกน้องอย่างจ๊อดกับแจ๊ดคอยเฝ้าเวรยามที่หน้าบ้านให้ตอนกลางคืนคอยดูแลเรื่องความปลอดภัย หลายวันต่อมาเต้าหู้สอบปลายภาคเสร็จแล้ว และเรียนจบมัธยมปลายอย่างสมบูรณ์ เหลือเพียงแค่รอฟังประกาศผลการสอบเข้ามหาลัยที่เธอกับเพื่อนๆ ตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก คือการสอบเข้าไปเรียนบัญชี ในคณะบริหารในมหาลัยเดียวกันกับรุ่นพี่ที่เธอเคยแอบชอบและปลื้มมากๆ อย่าง ภีม ส่วนเฉินที่ยังไม่กลับมาก็ให้จ๊อดกับแจ๊ดคอยอยู่ดูแลเต้าหู้ คอยซื้อข้าวมาให้เธอตลอดเวลาเธอจะทำอาหารกินเองจ๊อดกับแจ๊ดนั้นจะมาขัดตลอด ไม่รู้ทำไมสรุปวันนั้นเธอทำอร่อยจริงไหม แล้วไอ้รสชาติที่เข้มข้นนั้นมันรสชาติยังไง ระหว่างนี้เธอก็ไม่ได้อยู่เฉยออกไปหางานทำเก็บเงิน เพราะตอนนี้ทุกนาทีมีค่า
หลังจากเหตุการณ์นั้นตำรวจก็จับตัวของภีมไปรับโทษตามกฎหมาย และยังค้นพบหลักฐานที่ภีมและพ่อร่วมกันทำความผิด ปิดบัง อำพรางมาตลอดหลายปีอีกมากมาย ภาพที่เห็นว่าภีมนั้นเป็นสุภาพบุรุษไม่ยุ่งกับผู้หญิงคนไหน หรือไม่เคยมีข่าวเสียหายเป็นเพราะว่าภีมมักจะอัดคลิปที่ตนมีอะไรกับผู้หญิงที่คบกันอยู่เอาไว้สำหรับข่มขู่หากพวกเธอคิดจะเปิดโปงเรื่องของเขาและเธอ จึงไม่มีใครกล้าปริปากเอาเรื่องความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไปแพร่งพรายให้ใครรู้ หากคนไหนที่ยังรั้นและไม่ยอมทำตามก็จะถูกภีมและพ่อจัดการปิดปากพวกเธอ แถมภีมก็มีรสนิยมที่ชอบถ่ายคลิปเอาไว้เวลาที่ทรมานเหยื่อนั่นจึงเป็นหลักฐานชั้นดีที่ทำให้ภีมจะได้รับโทษสถานหนัก เต้าหู้นั่งรอเฉินอยู่ที่หน้าห้องผ่าตัด ไม่นานเขาก็ถูกนำตัวออกมาเข้าไปพักฟื้นที่ห้องพักผู้ป่วย พอหมอบอกว่าเขาพ้นขีดอันตรายแล้วเธอจึงโล่งใจและปล่อยให้เขาพักผ่อนเต็มที่ เธอจึงมีเวลาก็ไปดูอาการของเพื่อนอย่างพลอย พอไปถึงก็ได้ยินเสียงดังโวยวายดังมาจากข้างในห้อง “อีลูกไม่รักดี ฉันส่งแกมาเรียน ทำไมแกไม่เรียน ฉันทำงานเหนื่อยแทบตายหาเงินมาให้แกทำตัวเหลวไหลแบบนี้เหรอ พลอยแก
ขณะที่ใจจะอยากยอมแพ้ แต่พอภีมจะขึ้นมาคร่อมตัวเธอบนโซฟา สองเท้าที่ไม่ได้ถูกมัดก็กระแทกแรงๆ ไปที่หน้าอกภีมจนเขาหงายหลังลงไปกับพื้น “อีเหี้ยเอ๊ย” เขาสบถคำออกมาเพราะแรงถีบที่รุนแรงจนจุก เธอพยายามพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล เพราะมือที่ถูกมัดไว้ด้านหลังทำให้ขยับตัวยาก พอนั่งได้และเท้าแตะพื้นก็พยายามลุกขึ้นวิ่งหลบและคิดหาทางวิ่งไปทางประตูห้องเพื่อที่จะหนีเอาตัว “พวกมึงยืนโง่กันอยู่ทำไม ไปจับตัวมันสิวะ” ภีมเอ่ยด่าลูกน้องที่มัวแต่มองไม่ทำอะไร ลูกน้องของภีมก็วิ่งเข้ามาล้อมหน้าล้อมหลัง ห้องมันไม่ได้กว้างพอที่จะให้เธอวิ่งไปมาได้มากนัก หนีได้ไม่นานสุดท้ายก็มาอยู่ที่มุมห้อง ภีมที่โมโหจึงเดินปรี่เข้ามาหา มือใหญ่คว้าใบหน้าของเธอจับบีบแก้มทั้งสองข้าอย่างแรง และใช้นิ้วกดลงที่แผลบนพวงแก้มที่เขาเป็นคนทำเธอทั้งเจ็บและแสบ “กูหมดความอดทนกับมึงแล้วนะ ชอบความรุนแรงใช่ไหมงั้นก็โดนพร้อมกันหลายๆ อันมึงน่าจะชอบ” ก่อนจะหันหน้าไปทางลูกน้อง “จับมัน แล้วถอดเสื้อผ้ามันให้หมด เสื้อผ้าพวกมึงด้วย” ไอ้พวกลูกน้องผุ้ชายได้ยินคำสั่งก็ร
“วันนี้พลอยก็ไม่มาอีกแล้วนะ” เต้าหู้บ่นกับเพื่อนสาวสองคนเช่นเคยที่เพื่อนอย่างพลอยหายไปและไม่สามารถติดต่อได้จนน่าเป็นห่วง “โทรหาติดไหม” “ไม่เลยตั้งแต่ที่เจอเมื่อวานก็ไม่ได้คุยอะไรกันอีก” “พวกเราจะทำยังไงดีล่ะ ตอนนี้แชทฉันหนักขวามากเลย พลอยไม่อ่านไม่ตอบเลย” "ยังไงวันนี้เราก็ต้องไปหาพลอยอีก" "โอเคไปกันเลยไหม" ระหว่างที่กำลังตกลงว่าจะไปหาพลอย เต้าหู้ก็สังเกตเห็นว่าภีมกำลังเดินสวนกับพวกเธอไป ใจจริงเธออยากจะเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของพลอยแต่ก็เห็นว่าเขาเดินไปไกลแล้ว อีกอย่างตอนนี้เฉินก็มารับเธอเสียก่อนทำให้เธอพลาดที่จะได้เข้าไปถามเขา เธอมองภีมเดินไปจนสุดลูกตา ทำให้เฉินต้องมองตามไปบ้างพอเห็นว่าเป็นภีมเขาก็รู้สึกไม่สบายใจ “มีอะไรเหรอ” “เปล่าค่ะ เฮียเฉิน เดี๋ยวแวะไปที่คอนโดเพื่อนหนูแป๊บหนึ่งได้ไหม“ “ได้สิ แล้ววันนี้ไม่มีสอนพิเศษเหรอ” “วันนี้หนูลาค่ะ หนูเป็นห่วงพลอยช่วงนี้พลอยแปลกไป” ไม่นานเธอก็มาถึงที่คอนโดของพลอย และแน่นอนว่าทางรปภ.คอนโดของพลอยก็ยังยืนกรานไม่ให้ค
“เฮีย เฮีย” เต้าหู้ตะโกนเรียกเขาพร้อมน้ำตา ขณะที่มือเล็กๆนั้นก็เขย่าไปที่ตัวเขาอย่างแรงไม่หยุด เธอเงยหน้าขึ้นมอง จ๊อดกับแจ๊ดที่ได้แต่ยืนนิ่งไม่ทำอะไร “พี่จ๊อดพี่แจ๊ด เรียกรถพยาบาลเร็ว” ลูกน้องคนสนิทมองหน้ากันแต่ก็ไม่มีใครหยิบมือถือหรือมีท่าที่เป็นเดือดเป็นร้อนกันสักคน “พี่จ๊อดพี่แจ๊ดเร็วสิ เฮียเฉินจะตายแล้วเนี่ย” เธอทั้งห่วงเขา และพาลโมโหที่จ๊อดแจ๊ดดูจะไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไรแม้แต่น้อยทั้งๆที่เห็นลูกพี่ตัวเองนอนสลบเหมือดไปต่อหน้าต่อตา ฝ่ามือเล็กที่วางบนอกแกร่งรู้สึกได้ถึงแรงกระเพื่อมถี่ๆ ก่อนจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆตามออกมาทำให้เธอต้องรีบกลับไปมองคนที่สภาพปางตายบนตักของเธอว่าเกิดอะไรขึ้น ดวงตาคมที่ปิดลงเมื่อครู่ตอนนี้ได้มองมาที่เธอพร้อมใบหน้าที่เจือรอยยิ้มอันแสนเจ้าเล่ห์ เต้าหู้พอรู้ว่าโดนแกล้งถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห “เฮียเฉิน!” จากมือที่ใช้เขย่าตัวเขาเพื่อเรียกสติ ตอนนี้กลับกำแน่น และทุบไปอย่างแรงบนอกแกร่งนั้นจนคนที่โดนถึงกับจุกเพราะเธอใส่มาเกือบเต็มแรง “โอ๊ย ตีเฮียทำไม เฮียเจ็บอยู่นะ” “แล้ว
หลายวันมานี้พลอยหยุดเรียนไปด้วยเหตุผลที่ว่าเธอนั้นไม่สบาย แถมในแชทกลุ่มเธอก็ไม่มีความเคลื่อนไหว ส่งข้อความหาเพื่อนก็ตอบกลับเพียงสั้นๆ แล้วก็หายไป โทรหาน้ำเสียงก็ไม่ค่อยสู้ดีนัก เต้าหู้กับเพื่อนอีกสองคนเลยอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “แกสองคนได้คุยกับพลอยบ้างปะ” เต้าหู้ที่เป็นกังวลเอ่ยถามกับเพื่อนทั้งสองขณะที่กำลังนั่งรอเข้าเรียนในช่วงเช้า “ไม่นะ ไม่ได้คุยอะไรกันเลย เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน” ส้มลิ้มตอบ “ฉันก็รู้สึกเป็นห่วงพลอยอะ ไม่รู้ว่าป่วยเป็นอะไรกันแน่” สีหน้าเต้าหู้เป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด พลอยไม่ใช่คนที่จะโดดเรียนหรือหนีหายไปและโกหกว่าป่วยแน่นอน ตอนนี้เธอคงจะป่วยจริงๆ จนถึงขั้นมาเรียนไม่ไหว จีจี้ที่นั่งฟังอยู่เลยออกความเห็น “งั้นเราลองถามพลอยดีไหมว่าตอนนี้อยู่ไหน หลังเลิกเรียนแล้วไปเยี่ยมพลอยกัน” ระหว่างที่กำลังจะกดโทรหาอยู่นั้น พวกเธอก็ได้เห็นพลอยก็กลับมาเรียนแต่พลอยกลับไม่เดินมาหาพวกเธอ แต่กลับรีบเดินเข้าห้องเรียนไปแถมยังไม่มานั่งรวมกับพวกเธออีกต่างหาก ไม่รู้ว่าพลอยมีปัญหาอะไรไหม พอจะถามพลอยก็ปลีกตัวไม่สุงสิงกับใครนั่นยิ่งทำให้น่าเป็นห่วงมา
วันกีฬามหาวิทยาลัย นักศึกษาแต่ละคนก็ต้องวุ่นกับการทำหน้าที่ของตนเอง เต้าหู้ พลอย และจี้จี้ มีหน้าที่แปลกอักษร บนอัฒจันทร์พวกเธอต้องตื่นตั้งแต่ตีสามตีสี่เพื่อมาเตรียมความพร้อมก่อนงานจริงจะเริ่ม ส่วนส้มลิ้มก็มีแข่งชกมวยรอบชิงชนะเลิศอยู่ที่สนามและเธอจะมารับเหรียญในช่วงเย็น จนถึงเวลาพักทานข้าว รุ่นพี่ที่ดูแลได้นำอาหารและน้ำดื่มมาแจกให้กับพวกนักกีฬาและคนอื่นๆ ที่ทำกิจกรรม สามสาวก็มาหาที่ร่มๆ มานั่งทานข้าวและพักผ่อนก่อนจะกลับไปทำกิจกรรมต่อในช่วงบ่าย สามสาวเปิดกล่องข้าวออกมากำลังจะเริ่มทานด้วยความหิวและความเหนื่อย แต่พลอยกลับทำหน้าพะอืดพะอม และรีบปิดกล่องข้าวลงทันที “พลอยเป็นอะไร ไม่หิวเหรอ” “เรารู้สึกไม่ชอบกลิ่นหมูกระเทียมกล่องนี้เลย มันฉุน เราอยากอ้วก” พอพูดจบเธอก็รีบลุกจากที่นั่งเพื่อที่จะรีบไปอ้วกในห้องน้ำใกล้ๆ เต้าหู้กับจีจี้ด้วยความที่เป็นห่วงเพื่อน จึงวิ่งตามไปพอมาถึงก็เห็นว่าพลอยอยู่ข้างในนั้น เต้าหู้รีบช่วยลูบหลังเพื่อนให้ก่อนจะเอ่ยถาม “แกเป็นอะไร ไม่สบายเหรอ” “ไม่รู้สิ แต่สองสามวันมานี้ฉันเวียนหัวมา
ในช่วงกิจกรรมกีฬาของมหาลัย แน่นอนว่านักศึกษาปีที่หนึ่งของแต่ละคณะก็จะต้องมีการฝึกซ้อมเชียร์และกีฬากันอย่างหนัก แน่นอนแหละว่าคนสวยๆ แบบพวกเธอต้องได้รับหน้าที่แปลอักษรและนั่งร้องเพลงเชียร์อยู่บนอัฒจันทร์อยู่แล้ว “เดี๋ยวให้พักก่อนสามสิบนาทีนะครับน้องๆ อีกครึ่งชั่วโมงกลับมาประจำที่นะครับ พี่จะซ้อมเต็มอีกสักสองถึงสามรอบ หรือจนกว่าพวกเราจะคล่อง” รุ่นพี่ปีสี่ที่ทำหน้าที่คุมการซ้อมบอกให้พวกปีหนึ่งไปพัก แต่ตอนนี้อากาศร้อนมากทำให้แต่ละคนก็บ่นออกมาไม่เว้นแม้แต่พวกของแก๊งนางฟ้าเอง “ร้อนมาก ใครก็ได้เอาน้ำไปราดดวงอาทิตย์หน่อยซิ” เต้าหู้บ่น เพราะอัฒจันทร์ของคณะเธอดันหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ก็เลยรับแสงแดดยามบ่ายกันอย่างเต็มที่ อย่างไม่ต้องการ กันแดดที่โบกมาอย่างหนาไม่รู้ว่าจะเอาอยู่ได้มากขนาดไหนรู้สึกว่าผิวคล้ำขึ้นเล็กน้อยหลังจบงานนี้คงต้องบำรุงกันยาวๆ “หิวน้ำจะตายอยู่ละ สต๊าฟอยู่ไหนกันหมดปกติต้องเอาน้ำมาแจกแล้วนะ” อยู่จี้ที่ใช้หมวกฟางพัดวีให้ตัวเองบ่นด้วยความเหนื่อย เพราะเธอต้องซ้อมกันในช่วงวันเสาร์อาทิตย์ วันปกติก็เรียนแทบไม่ได้พักตอนเย็นของทุกวันและวันหยุดก็ต้องซ
ตอนนี้ก็ถึงเวลาเปิดเทอมแล้ว ส้มลิ้มและจีจี้มาด้วยหน้าตาที่สดใสเพราะได้กลับบ้านไปพักผ่อนอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเปิดเทอมใหม่แล้ว อะไรบางอย่างก็ดูจะเปลี่ยนไป อย่างเช่นพลอยที่ปกติแล้วเธอจะมักจะใส่เสื้อผ้า ชุดนักศึกษาที่ดูเรียบร้อยและมิดชิดปิดไปแทบทุกสัดส่วน สวมแว่นตาหนา รวบผม ใบหน้าก็ไร้ซึ่งเครื่องสำอางแต่แต้ม แต่เวลาเปลี่ยนคนเราก็เปลี่ยนอย่างที่เขาว่า เวลามีความรักอะไรมันก็ดูสวยงามไปหมด พอถอดแว่นตาแต่งตัวให้ดูเข้ากับรูปร่างตัวเอง และแต่งหน้าเพิ่มเพียงนิดหน่อย ก็ทำให้เธอดูโดดเด่นขึ้นมามากเลยทีเดียวอย่างกับเป็นคนละคน “ไม่บอกจริงๆ เหรอว่าแฟนแกเป็นใครน่ะพลอย” ส้มลิ้มที่อยากรู้อยากเห็นกว่าใครอดใจไม่ได้ที่จะต้องถาม “ยังบอกไม่ได้ตอนนี้น่ะ” พลอยหลุบใบหน้าแดงที่กำลังเขินอายลงไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่าพลอยดูสดใสขึ้น “งั้นแก๊งเราก็เหลือคนโสดแค่ฉันกับแกแล้วสิส้มลิ้ม” จีจี้พูดพลางแกล้งทำหน้าเศร้าโผเข้ากอดส้มลิ้ม เพื่อนสาวที่ยังไม่มีแฟนอีกคน “ฉันน่ะโสดจริงแถมไม่เคยมีแฟนด้วย ส่วนของแกน่ะโสดไม่จริงค่ะ เดี๋ยวคบเดี๋ยวเลิกอยู่นั่
เต้าหู้และเฉินนั่งอยู่ในโบสถ์และกำลังเข้าร่วมพิธีแต่งงานของเพื่อนสนิทของเฉิน อย่าง อากิระและคนรักของเขาอย่างริบบิ้น โดยที่มีเด็กตัวน้อยยืนอยู่บนแท่นพิธีร่วมกับทั้งคู่ เด็กคนนั้นคือเรียวตะลูกชายของพวกเขาทั้งสองนั่นเอง คู่บ่าวสาวต่างปฏิญาณสาบานตนว่าจะรักและดูแลซึ่งกันและกันจนกว่าชีวิตจะหาไม่ ในตอนเย็นก็มีพิธีฉลองมงคลสมรส จัดขึ้นที่คฤหาสน์ของอากิระ หลังลงจากรถหรูเฉินยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นการบอกให้คนตัวเล็กที่ยืนข้างกันเดินคล้องเข้าไปในงานคืนนี้ พอเข้ามาหญิงสาวมองไปรอบๆ ตะลึงในความใหญ่โตและสวยงามของคฤหาสน์สไตล์ยุโรปแห่งนี้ตกแต่งราวกับหลุดออกมาจากยุคกลาง ก่อนที่เฉินจะพาเธอเดินไปทักทายเพื่อนสนิทที่อยู่ในงานเลี้ยงอย่างคู่บ่าวสาว “ยินดีกับมึงด้วยนะเพื่อน” “เออ ขอบใจ” “เรียวตะหลานกู ไปไหนแล้วล่ะ” มองหาลูกชายของเพื่อที่ตอนนี้ไม่เห็นมาวิ่งเล่นในงาน “เล่นทั้งวันคงเหนื่อยก็เลยงอแง กูให้พี่เลี้ยงพาขึ้นไปนอนแล้ว” “เออจริงสิ ไอ้พี่อี้ใส่ซองมาให้ แล้วก็ฝากบอกยินดีกับริบบิ้นด้วย แล้วก็ฝากความคิดถึงเรียวตะ” เฉินหยิบซองด้