ผู้หญิงที่อยู่บนรถม้าก็ลงมาด้วย ผู้หญิงคนนั้นมีใบหน้าที่งดงามและห้าวหาญ สวมเสื้อผ้าแพรลายเมฆาหลวม ๆ เห็นได้ชัดว่านางมีท้องที่ใหญ่โต นางกระโดดออกจากรถม้าด้วยตัวเอง หลังจากที่นางลงจากรถแล้ว นางยังคงมองไปที่ท่านแม่ทัพด้วยความงุนงงอีกคนหนึ่งลงมาจากรถม้า เป็นผู้หญิงอายุประมาณยี่สิบปี มักผมหางม้า สวมเสื้อผ้าหลวม ๆ เปื้อนฝุ่นและดูเหนื่อยล้าหยวนชิงหลิงจับจ้องไปที่ใบหน้าของผู้หญิงอีกคน โดยเฉพาะเสื้อผ้าหน้าผมของนาง และท่าทางของนางขณะที่นางลงจากรถม้า นางเห็นรองเท้าของนาง เป็นรองเท้าหนังหัวแหลมคู่หนึ่งอยู่ใต้กระโปรงยาวเมื่อมองไปที่การแต่งตัวแบบนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกแปลกประหลาดใจ ดังนั้นนางจึงอดไม่ได้ที่จะมองอีกสักพักคนนี้แม้ไม่ได้งดงามมาก แต่ให้ความรู้สึกสบายใจกับผู้คนมาก แม้ว่าเฉินจิ้งหนิง ภรรยาของจิ้งถิงก็ให้ความรู้สึกคล้ายกัน แต่ก็แตกต่างกันเล็กน้อยรู้สึกคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก“เฉินจิ้งหนิง คารวะองค์หญิงรัชทายาทเพคะ!”นางที่ยังเหม่อไม่ได้สติ เมื่อเห็นเฉินจิ้งหนิงก้าวไปข้างหน้าเพื่อคำนับให้เช่นนี้ นางรีบคืนคำนับโดยจับมือของเฉินจิ้งหนิงเอาไว้ทันที "จวิ้นจู่อย่าเกรงใจไปเลย ระหว่างทางลำบา
"คนนั้นยังคงเป็นคน ๆ เดิม..." อวี่เหวินห่าวคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แต่ก็ไม่ใช่คนเดิมเช่นกัน"เฉินจิ้งถิงยิ้ม "พี่อวี่เหวิน เจ้าหมายความว่าอะไร?"อวี่เหวินห่าวยิ้มและโบกมือ "ไว้ข้าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังทีหลัง มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบลูกชายของข้า"เฉินจิ้งถิงดูสนใจมากและพูดอย่างมีความสุขว่า "ดี"ในอีกด้านหนึ่ง หยวนชิงหลิงก็พาเฉินจิ้งหนิงไปดูเด็ก ๆ พวกเขาทั้งสี่อยู่ด้วยกัน มองดูเด็กสามคนที่เหมือนกันยังกับแกะ คู่สามีภรรยาจากต้าโจวต่างก็อุทานออกมาด้วยความประหลาดใจสามแฝดมองผู้มาเยือนจากต้าโจวด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย เหมือนว่าจะชินกับอะไรเหล่านี้ไปแล้ว จึงไม่ได้ดูตื่นเต้นสักเท่าไหร่ในช่วงอาหารเย็น คู่สามีภรรยาอ๋องฉีก็มาเป็นเพราะหยวนหยงอี้อยากจะมา ดังนั้นอ๋องฉีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาหยวนหยงอี้ชื่นชมเฉินจิ้งหนิง นางจึงย่อมอยากพบเป็นธรรมดาหลังจากทำควารู้จักกันสักพัก หยวนหยงอี้ก็มองไปที่แม่ทัพจิ้งถิงและแอบพูดกับอ๋องฉีว่า "ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าแม่ทัพจิ้งจะยังหนุ่มและหล่อมากขนาดนี้ ในเป่ยถังของเราคงมีไม่กี่คนที่จะเทียบกับเขาได้? ท่านต้องคบเพื่อนแล้วล่ะ"อ๋องฉีโกรธจนปากเบี้ยว "ก
หลังจากอ๋องฉีมองมาอย่างยั่วยุเช่นนั้น เฉินจิ้งถิงก็ดื่มเหล้าจนหมดชามโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ราวกับกำลังดื่มน้ำเปล่าในชามอ๋องฉีกัดฟัน คิดว่าเขาเสแสร้ง แล้วเทเหล้าอีก “นี่เรียกว่าคารวะสามจอก มาอีก!”หลังจากพูดจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นดื่มไปอีกชามหนึ่งเฉินจิ้งถิงมองเขาอย่างชื่นชม "อ๋องฉีคอแข็งดีจริง ๆ!"อ๋องฉีเซไปสักพัก ดื่มเร็วเกินไปจนเริ่มเวียนหัว เขาชี้ไปที่เหล้าในชาม "ตาท่านแล้ว ท่านแม่ทัพอย่าได้เกรงใจ"“อ๋องฉีให้การต้อนรับอย่างดีเช่นนี้ ข้ามีหรือจะกล้าปฏิเสธ” เฉินจิ้งถิงดื่มเหล้าไปอีกชาม สีหน้าของเขายังคงไม่เปลี่ยน และเต็มไปด้วยรอยยิ้มตอนนี้อ๋องฉีรู้แล้วว่าตัวเองวู่วามไปแล้ว เขามุทะลุเกินไป คาดไม่ถึงว่าเขาจะคอแข็งขนาดนี้อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาสัญญาว่าจะดื่มสามชาม และยังเหลืออีกหนึ่งชาม ถ้าเขาดื่มชามนี้เขาจะต้องเมาแน่นอนเขาหันมอง ถึงจะเข้าตาจนแบบนี้แล้ว เขาก็ถอยไม่ได้ ต้องสู้ให้ถึงที่สุด และมองไปที่อวี่เหวินห่าวแล้วพูดว่า "พี่ห้า ยังมีอีกชามอยู่ ท่านคารวะท่านแม่ทัพสิ"ผลัดกันคารวะเขาแบบนี้ ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่เมาอวี่เหวินห่าวมีหรือจะไม่รู้แผนการในใจของเขา? จากนั้นเขาก็พูดอย่า
ยิ่งพูดก็ยิ่งออกรสขึ้นเรื่อย ๆ แต่ผู้ที่ฟัง ฟังจนหนอนจะขึ้นหูอยู่แล้วเฉินจิ้นหนิงพูดใจเย็นว่า "ในเมื่อไม่ได้เจอกันตั้งนาน ทำไมไม่ออกไปประลองยุทธ์กันสักตา จะได้หวนนึกถึงความรู้สึกในอดีตอีกครั้ง"หลังจากได้ยินเช่นนี้ อวี่เหวินห่าวและเฉินจิ้งถิงก็เห็นว่าเป็นข้อเสนอที่ดี ดังนั้นจึงรีบสั่งให้คนจัดการสนามให้เรียบร้อย และนำดาบยาวสองเล่มออกมา ออกไปสู้กันสักตาเพื่อรื้อฟื้นอดีตมีโคมไฟหลายดวงแขวนอยู่ในลาน ทำให้ลานนั้นส่องสว่างแบบสลัว ดูนุ่มนวลอวี่เหวินห่าวสวมชุดสีขาว และเฉินจิ้งถิงสวมชุดสีน้ำเงิน ทั้งสองคนทะยานขึ้นไป และดาบยาวก็ปะทะกันบนอากาศส่งเสียงไพเราะออกมา เพลงกระบี่งดงามเหมือนดอกไม้ ไร้ซึ่งจิตสังหาร มีเพียงความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้เท่านั้นหยวนชิงหลิงพูดด้วยเสียงต่ำ "พอแล้ว!"บังเอิญมองไปเฉินจิ้งหนิง หยวนชิงหลิงรู้สึกเขินอายขึ้นมาเล็กน้อย แต่เฉินจิ้งหนิงยิ้มให้อย่างรู้ใจ "พอแล้วจริง ๆ"อาซื่อและหยวนหยงอี้เฝ้าดูการบรรเลงเพลงดาบของพวกเขา เดิมทีคิดว่าจะได้ชมการประลองยุทธ์ที่สะเทือนเลือนลั่น คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนการร่ายรำที่สง่างาม และอดไม่ได้ที่จะเลิกสนใจในที่สุดเฉินจิ้งหนิงก็ท
หลังจากดื่มไปสองชามใหญ่อ๋องฉีรู้สึกเวียนหัวตลอดทั้งคืนหยวนหยงอี้ช่วยประคองเขาเข้าไปในรถม้าและพูดว่า "นั่งลง ข้าจะไปขี่ม้า" ส่วนใหญ่เวลาพวกเขาออกไปข้างนอก นางชอบขี่ม้า ไม่ชอบอยู่อุดอู้ในรถม้าที่คับแคบตอนที่นางเปิดม่าน จู่ ๆ อ๋องฉีก็คว้าข้อมือนางไว้ "เดี๋ยวก่อน"หยวนหยงอี้หันหน้ามา "มีอะไรรึ?"นางมองย้อนแสงไป จึงมองไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายวิบวับ ความกล้าหาญที่เขารวบรวมมาทั้งหมดก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน "ไม่ ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"หยวนหยงอี้หัวเราะ "ใครบอกให้ท่านดื่มเยอะขนาดนั้นกัน? มาถึงก็คารวะเหล้าให้เขาตั้งสามชาม ถ้าข้าไม่ดื่มให้ท่านสักชาม คืนนี้ท่านได้ถูกหามกลับจวนแล้ว""ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าดื่มกัน?" อ๋องฉีจ้องนางและถามหยวนหยงอี้ผายมือของนาง "แค่เห็นท่านเมาไม่ได้ เห็นอยู่ชัดเจนว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้แม่ทัพเฉิน"อ๋องฉีโกรธ "ทำไมเจ้าถึงดูถูกข้าอยู่ตลอด?"หยวนหยงอี้ตกใจ "งั้นหรือ? ข้าดูถูกท่านตอนไหนกัน?"“เจ้าไม่ได้ดูถูกงั้นรึ?” อ๋องฉีถามกลับหยวนหยงอี้กล่าวว่า "ไม่แน่นอน ข้าจะดูถูกท่านได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงมีความคิดเช่นนี้?"อ๋องฉีตบท
หยวนหยงอี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าร้อนเห่อของนางด้วยหัวใจที่เต้นแรงนางถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบหน้าตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรใจเต้นแบบนี้เป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ซึ่งนางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้ว่าไปแล้วตอนที่นางแต่งงานกับเขา นางช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน คิดว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว นางจะสามารถโบยบินไปสุดขอบโลก ใช้ชีวิตตามที่นางต้องการได้ แต่ตอนนี้นางได้ผ่านอะไรมากมายกับเขา ความคิดของนางจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปไม่ใช่ว่านางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ แต่สิ่งที่นางต้องการคือหลักประกันที่มั่นคง และความรักที่จริงใจฉู่หมิงชุ่ยทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้พวกเขาคน ๆ นี้ไม่เคยห่างหายจากใจไปเช่นกันนางยอมรับว่าตัวนางเองก็ประทับใจเขาแต่นางก็มีเหตุผลเช่นกัน แค่ใจเต้นแรงไม่ได้หมายความว่านางจะต้องทนอยู่แบบนี้ตลอดไป แต่นี่เป็นเรื่องของทั้งชีวิตนางโหยหาความสัมพันธ์อย่างพี่หยวนกับองค์รัชทายาท พวกเขามีเพียงกันและกันในใจ และไม่มีที่ว่างให้สำหรับคนอื่นนางหวังว่าความสัมพันธ์และการแต่งงานของนางจะเหมือนเดิมอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในใจของเขาจะมีฉู่หมิงชุ่ยอย่างเงียบ ๆ แต่นั้นเห็นทีคงจะไม่ได้ความรั
หยวนหยงอี้ว้าวุ่นใจจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน และหลับไปด้วยความสะลึมสะลือในตอนเช้าเท่านั้นอย่างไรก็ตาม วันนี้นางสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับพี่หยวน ดังนั้นนางจึงตื่นแต่เช้าแม้จะง่วงมากก็ตามอาไฉ่เข้ามารับใช้นาง นางรู้สึกประหลาดใจมากและพูดว่า "วันนี้ท่านอ๋องตื่นเช้ามาก และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่ลานด้วยเพคะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนหยงอี้ก็หัวเราะ "ดูสิว่าเขาจะทำได้สักกี่วัน ถ้าเขาทำได้สักสามวัน ข้าจะถือว่าเขาเป็นผู้ชนะ"ไม่ใช่ว่านางประเมินเขาต่ำไป แต่เขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อฝึกวรยุทธ์ เขากินอะไรไม่ค่อยได้ และยังเหนื่อยง่าย ให้เขาอ่านหนังสือ เขียนบทกวี หรือวาดภาพทิวทัศน์สักภาพ ยังง่ายกว่าให้เขาฝึกวรยุทธ์ไปตลอดชีวิตหลังจากที่หยวนหยงอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปแล้ว ก็เห็นอ๋องฉีกำลังฝึกหมัดอยู่ในลานบ้านดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนมาสักพักหนึ่งแล้ว ร่างกายของเขาเปียกโชก เม็ดเหงื่อก็หยดลงมาจากหน้าผากของเขาสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับเขาต่อยอย่างแรง และมีเสียงปึงปังเมื่อเขาชกเสา กำปั้นและข้อของเขาบวมเล็กน้อย แดงและฟกช้ำ ดูลำบากยิ่งนักเมื่อเห็นหยวนหยงอี้ออกมา เขาก็ยิ้มให้หยวนหยงอี้ เหงื่อไหลลงมาตามใบ
วันนี้อาซื่อไม่ได้มาด้วย นางได้พาอวี่เหวินห่าวและแม่ทัพเฉินจิ้งถิงไปที่ตระกูลหยวนเพื่อเยี่ยมเยียน นางเองไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมบ้าน ดังนั้นจึงพาแม่ทัพเฉินจิ้งถิงไปด้วยกันหยวนชิงหลิงคิดว่า แม้ว่าจวิ้นจู่จะเกิดมาเป็นแม่ทัพ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชื่นชอบเครื่องประดับ ดังนั้นจึงพานางและโม่อี้ไปที่ร้านขายเครื่องประดับเจ้าของร้านทักทายอย่างอบอุ่น มองไปที่สินค้าแวววาวสีทองอร่าม หยวนชิงหลิงไม่รู้จะเลือกอย่างไร จึงมองไปที่เฉินจิ้งหนิงและพูดว่า "จวิ้นจู่ชอบอันไหน?"ดูออกเลยว่าเฉินจิ้งหนิงไม่คุ้นเคยกับการซื้อของ นางเหม่อมองสักพักก่อนที่จะหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาหยวนชิงหลิงจ่ายเงินซื้อมัน แถมเขายังลดราคาจากหนึ่งร้อยตำลึงเป็นเก้าสิบห้าตำลึง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จวิ้นจู่ออกไปได้สักพัก เจ้าของร้านก็คิดเงินนางเพียงห้าสิบตำลึง ซึ่งน่าแปลกมากจริง ๆนางรู้สึกอายมากกับความรู้ตื้นเขินของนาง บังเอิญว่านางได้ยินโม่อี้คุยเฉินจิ้งหนิงว่านางต่อราคาไม่เป็นนั้น นางหูดีมาก พวกเขาพูดกระซิบเสียงเบา นางก็ได้ยินและยิ่งอายขึ้นไปอีกเดินไปจนสุดทาง ได้ยินโม่อี้บอกว่าจะไปดูเครื่องลายครามและนางก็พึมพำเบา ๆ ว่า "หลังจากที่ฉ