หยวนชิงหลิงพาโม่อี้ไปถึงที่ตำหนักเสี้ยวเยว่แล้วจึงปิดประตู และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปโม่อี้ดูประหม่ามาก และมองไปที่องค์หญิงรัชทายาทของเป่ยถังอย่างไม่สบายใจ“เชิญนั่ง!” หยวนชิงหลิงมองไปที่โม่อี้และพูดเสียงเบาโม่อี้นั่งลงและลูบมืออย่างประหม่า "สามสถานที่ที่คุณเพิ่งพูดถึง...คุณรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"หยวนชิงหลิงก็นั่งลงระงับความตื่นเต้นในใจตัวเอง และถามคำถามเป็นชุด "คุณอายุเท่าไหร่? มาที่นี่ได้อย่างไร? คุณบอกว่ากลับบ้านได้ จริงไหม?"โม่อี้ลังเลที่จะพูด ไม่กล้าพูดห้วน ๆ ไปตามตรง หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็พยักหน้าเบา ๆ "ทุกคนต้องอยากกลับบ้าน"หยวนชิงหลิงพูดอย่างเศร้าสร้อย "ฉันกลับไปไม่ได้แล้ว"โม่อี้มองเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ท่าทางได้แสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว"คุณ..." โม่อี้พูดตะกุกตะกัก เมื่อนึกถึงคำสั่งของผู้แทน เธอรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อพบคนบ้านเดียวกันที่นี่ ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว "คุณมาที่นี่ได้อย่างไร?"หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น "ไม่รู้เหมือนกัน ในยุคปัจจุบันเกิดเรื่องขึ้น และหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว จนตอนนี้ย
หยวนชิงหลิงไม่ได้คิดถึงคำถามนี้ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะกลับไปอย่างไร แต่ถ้าเธอให้เลือกจริง ๆ เธอจะกลับไปไหม?ถ้าความสัมพันธ์กับเจ้าห้าและเธอเป็นแบบเมื่อก่อน เธอคงฝันที่จะกลับไปแค่ว่าตอนนี้มีลูกแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ตัดกันไม่ขาด จะกลับไปได้อย่างไร?แต่พ่อแม่และครอบครัวล่ะ?ชั่วขณะนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่าง ๆ นานาโม่อี้ถามเบา ๆ "ถ้าเป็นห่วงครอบครัวของคุณ? งั้นฉันกลับไปแล้ว ให้ฉันส่งจดหมายครอบครัวคุณไหม?"หยวนชิงหลิงเองก็คิดเช่นนี้ "คุณโม่ ถ้าคุณยอมช่วยล่ะก็ ขอขอบคุณมากจริง ๆ ฉันจะให้พ่อแม่ของฉันจ่ายเงินให้คุณ"โม่อี้ยิ้มเขิน "ค่าตอบแทนไม่จำเป็น แค่ช่วยเรื่องค่าเดินทางไป-กลับให้ฉันก็พอ เพราะฉันอยู่ไกลจากกวางโจวนั่งเครื่องบินไปสามชั่วโมง เงินเดือนของฉันก็ปานกลาง แถมฉันมีน้องสาวที่อยู่ในโรงพยาบาล ค่ารักษาแพงมาก กระเป๋าเงินแทบฉีก"โม่อี้กล่าวออกมา ท่าทางดูละอายใจมากในสังคมของเธอ การพูดเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่มาถึงที่นี่แล้วแบกความหวังขององค์หญิงรัชทายาทเอาไว้ การพูดเรื่องเงินในตอนนี้ดูค่อนข้างเย็นชาไปสักหน่อยหยวนชิงหลิงขอบคุณเธอเป็นหมื่นครั้ง แค่มอง
หลังจากหยวนชิงหลิงจัดการบัญชีเรียบร้อยแล้ว จึงได้เช่าบ้านสองหลังมาก่อน ในขณะเดียวกัน ที่ดินของจวนอ๋องฉู่ได้รับการจัดสรรออกมาส่วนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารเรียน และทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการพร้อมกันก็เป็นอันใช้ได้แล้วบ้านเช่าสองหลังอยู่ติดกัน ดังนั้นจึงสะดวกมาก หลังจากถังหยางจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยวนชิงหลิงต้องเตรียมงานส่วนอื่น ๆ และสิ่งที่ยากที่สุดคือการหาอาจารย์แน่นอนว่าการเรียนการสอนก็คือการสอนแพทย์แผนจีน ดังที่อวี่เหวินห่าวพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้ หมอส่วนใหญ่ที่จบการศึกษาจากอาจารย์แล้วจะตั้งโรงหมอเป็นของตนเอง และ "คนไข้มีเงินก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ" หากหยวนชิงหลิงต้องการจ้างพวกเขา ก็ต้องจ่ายเงินจำนวนมากอย่างไรก็ตาม เงินจำนวนมากเป็นเรื่องรอง พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเชิญพวกเขาให้ฝึกอบรมหมอชาวบ้านมาเพื่อแข่งขันทางธุรกิจกับพวกเขาในอนาคตหรอก ดังนั้นนี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่านั้นหากจะสอนก็ย่อมต้องหาหมอที่มีคุณธรรมสูงส่ง และทักษะทางการแพทย์ที่เป็นเลิศตอนนี้นางมีหมอที่ยืมตัวมาเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือหมอหลวงเฉา แต่ถ้านางใช้เขาก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธสาธารณะเรื่องที่ต้องกังวลก็มากพออย
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ