หลังจากดื่มไปสองชามใหญ่อ๋องฉีรู้สึกเวียนหัวตลอดทั้งคืนหยวนหยงอี้ช่วยประคองเขาเข้าไปในรถม้าและพูดว่า "นั่งลง ข้าจะไปขี่ม้า" ส่วนใหญ่เวลาพวกเขาออกไปข้างนอก นางชอบขี่ม้า ไม่ชอบอยู่อุดอู้ในรถม้าที่คับแคบตอนที่นางเปิดม่าน จู่ ๆ อ๋องฉีก็คว้าข้อมือนางไว้ "เดี๋ยวก่อน"หยวนหยงอี้หันหน้ามา "มีอะไรรึ?"นางมองย้อนแสงไป จึงมองไม่เห็นใบหน้าอย่างชัดเจน มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกายวิบวับ ความกล้าหาญที่เขารวบรวมมาทั้งหมดก็สลายหายไปอย่างกะทันหัน "ไม่ ข้าแค่รู้สึกเวียนหัวนิดหน่อย"หยวนหยงอี้หัวเราะ "ใครบอกให้ท่านดื่มเยอะขนาดนั้นกัน? มาถึงก็คารวะเหล้าให้เขาตั้งสามชาม ถ้าข้าไม่ดื่มให้ท่านสักชาม คืนนี้ท่านได้ถูกหามกลับจวนแล้ว""ทำไมเจ้าถึงช่วยข้าดื่มกัน?" อ๋องฉีจ้องนางและถามหยวนหยงอี้ผายมือของนาง "แค่เห็นท่านเมาไม่ได้ เห็นอยู่ชัดเจนว่าท่านไม่ใช่คู่ต่อสู้แม่ทัพเฉิน"อ๋องฉีโกรธ "ทำไมเจ้าถึงดูถูกข้าอยู่ตลอด?"หยวนหยงอี้ตกใจ "งั้นหรือ? ข้าดูถูกท่านตอนไหนกัน?"“เจ้าไม่ได้ดูถูกงั้นรึ?” อ๋องฉีถามกลับหยวนหยงอี้กล่าวว่า "ไม่แน่นอน ข้าจะดูถูกท่านได้อย่างไร? ทำไมท่านถึงมีความคิดเช่นนี้?"อ๋องฉีตบท
หยวนหยงอี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มองใบหน้าร้อนเห่อของนางด้วยหัวใจที่เต้นแรงนางถอนหายใจเบา ๆ แล้วลูบหน้าตัวเอง ทั้งที่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้อะไรใจเต้นแบบนี้เป็นแค่ความรู้สึกชั่ววูบ ซึ่งนางไม่อยากรู้สึกเช่นนี้ว่าไปแล้วตอนที่นางแต่งงานกับเขา นางช่างไร้เดียงสาเหลือเกิน คิดว่าหลังจากจบเรื่องนี้แล้ว นางจะสามารถโบยบินไปสุดขอบโลก ใช้ชีวิตตามที่นางต้องการได้ แต่ตอนนี้นางได้ผ่านอะไรมากมายกับเขา ความคิดของนางจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปไม่ใช่ว่านางอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ แต่สิ่งที่นางต้องการคือหลักประกันที่มั่นคง และความรักที่จริงใจฉู่หมิงชุ่ยทิ้งปัญหาใหญ่ไว้ให้พวกเขาคน ๆ นี้ไม่เคยห่างหายจากใจไปเช่นกันนางยอมรับว่าตัวนางเองก็ประทับใจเขาแต่นางก็มีเหตุผลเช่นกัน แค่ใจเต้นแรงไม่ได้หมายความว่านางจะต้องทนอยู่แบบนี้ตลอดไป แต่นี่เป็นเรื่องของทั้งชีวิตนางโหยหาความสัมพันธ์อย่างพี่หยวนกับองค์รัชทายาท พวกเขามีเพียงกันและกันในใจ และไม่มีที่ว่างให้สำหรับคนอื่นนางหวังว่าความสัมพันธ์และการแต่งงานของนางจะเหมือนเดิมอยู่เช่นนั้น แม้ว่าในใจของเขาจะมีฉู่หมิงชุ่ยอย่างเงียบ ๆ แต่นั้นเห็นทีคงจะไม่ได้ความรั
หยวนหยงอี้ว้าวุ่นใจจนแทบไม่ได้นอนทั้งคืน และหลับไปด้วยความสะลึมสะลือในตอนเช้าเท่านั้นอย่างไรก็ตาม วันนี้นางสัญญาว่าจะไปเที่ยวกับพี่หยวน ดังนั้นนางจึงตื่นแต่เช้าแม้จะง่วงมากก็ตามอาไฉ่เข้ามารับใช้นาง นางรู้สึกประหลาดใจมากและพูดว่า "วันนี้ท่านอ๋องตื่นเช้ามาก และตอนนี้กำลังฝึกซ้อมอยู่ที่ลานด้วยเพคะ"เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนหยงอี้ก็หัวเราะ "ดูสิว่าเขาจะทำได้สักกี่วัน ถ้าเขาทำได้สักสามวัน ข้าจะถือว่าเขาเป็นผู้ชนะ"ไม่ใช่ว่านางประเมินเขาต่ำไป แต่เขาไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อฝึกวรยุทธ์ เขากินอะไรไม่ค่อยได้ และยังเหนื่อยง่าย ให้เขาอ่านหนังสือ เขียนบทกวี หรือวาดภาพทิวทัศน์สักภาพ ยังง่ายกว่าให้เขาฝึกวรยุทธ์ไปตลอดชีวิตหลังจากที่หยวนหยงอี้เปลี่ยนเสื้อผ้าและออกไปแล้ว ก็เห็นอ๋องฉีกำลังฝึกหมัดอยู่ในลานบ้านดูเหมือนว่าเขาจะฝึกฝนมาสักพักหนึ่งแล้ว ร่างกายของเขาเปียกโชก เม็ดเหงื่อก็หยดลงมาจากหน้าผากของเขาสะท้อนแสงเป็นประกายระยิบระยับเขาต่อยอย่างแรง และมีเสียงปึงปังเมื่อเขาชกเสา กำปั้นและข้อของเขาบวมเล็กน้อย แดงและฟกช้ำ ดูลำบากยิ่งนักเมื่อเห็นหยวนหยงอี้ออกมา เขาก็ยิ้มให้หยวนหยงอี้ เหงื่อไหลลงมาตามใบ
วันนี้อาซื่อไม่ได้มาด้วย นางได้พาอวี่เหวินห่าวและแม่ทัพเฉินจิ้งถิงไปที่ตระกูลหยวนเพื่อเยี่ยมเยียน นางเองไม่ค่อยได้ไปเยี่ยมบ้าน ดังนั้นจึงพาแม่ทัพเฉินจิ้งถิงไปด้วยกันหยวนชิงหลิงคิดว่า แม้ว่าจวิ้นจู่จะเกิดมาเป็นแม่ทัพ แต่ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็ชื่นชอบเครื่องประดับ ดังนั้นจึงพานางและโม่อี้ไปที่ร้านขายเครื่องประดับเจ้าของร้านทักทายอย่างอบอุ่น มองไปที่สินค้าแวววาวสีทองอร่าม หยวนชิงหลิงไม่รู้จะเลือกอย่างไร จึงมองไปที่เฉินจิ้งหนิงและพูดว่า "จวิ้นจู่ชอบอันไหน?"ดูออกเลยว่าเฉินจิ้งหนิงไม่คุ้นเคยกับการซื้อของ นางเหม่อมองสักพักก่อนที่จะหยิบสร้อยข้อมือขึ้นมาหยวนชิงหลิงจ่ายเงินซื้อมัน แถมเขายังลดราคาจากหนึ่งร้อยตำลึงเป็นเก้าสิบห้าตำลึง อย่างไรก็ตาม หลังจากที่จวิ้นจู่ออกไปได้สักพัก เจ้าของร้านก็คิดเงินนางเพียงห้าสิบตำลึง ซึ่งน่าแปลกมากจริง ๆนางรู้สึกอายมากกับความรู้ตื้นเขินของนาง บังเอิญว่านางได้ยินโม่อี้คุยเฉินจิ้งหนิงว่านางต่อราคาไม่เป็นนั้น นางหูดีมาก พวกเขาพูดกระซิบเสียงเบา นางก็ได้ยินและยิ่งอายขึ้นไปอีกเดินไปจนสุดทาง ได้ยินโม่อี้บอกว่าจะไปดูเครื่องลายครามและนางก็พึมพำเบา ๆ ว่า "หลังจากที่ฉ
หยวนชิงหลิงพาโม่อี้ไปถึงที่ตำหนักเสี้ยวเยว่แล้วจึงปิดประตู และไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปโม่อี้ดูประหม่ามาก และมองไปที่องค์หญิงรัชทายาทของเป่ยถังอย่างไม่สบายใจ“เชิญนั่ง!” หยวนชิงหลิงมองไปที่โม่อี้และพูดเสียงเบาโม่อี้นั่งลงและลูบมืออย่างประหม่า "สามสถานที่ที่คุณเพิ่งพูดถึง...คุณรู้ใช่ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น?"หยวนชิงหลิงก็นั่งลงระงับความตื่นเต้นในใจตัวเอง และถามคำถามเป็นชุด "คุณอายุเท่าไหร่? มาที่นี่ได้อย่างไร? คุณบอกว่ากลับบ้านได้ จริงไหม?"โม่อี้ลังเลที่จะพูด ไม่กล้าพูดห้วน ๆ ไปตามตรง หลังจากครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วก็พยักหน้าเบา ๆ "ทุกคนต้องอยากกลับบ้าน"หยวนชิงหลิงพูดอย่างเศร้าสร้อย "ฉันกลับไปไม่ได้แล้ว"โม่อี้มองเธอโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ท่าทางได้แสดงออกชัดเจนอยู่แล้ว"คุณ..." โม่อี้พูดตะกุกตะกัก เมื่อนึกถึงคำสั่งของผู้แทน เธอรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นเมื่อพบคนบ้านเดียวกันที่นี่ ตอนนี้เธอไม่สนใจอะไรแล้ว "คุณมาที่นี่ได้อย่างไร?"หยวนชิงหลิงยิ้มอย่างขมขื่น "ไม่รู้เหมือนกัน ในยุคปัจจุบันเกิดเรื่องขึ้น และหลังจากที่ฉันตื่นขึ้นมาก็มาอยู่ที่นี่แล้ว จนตอนนี้ย
หยวนชิงหลิงไม่ได้คิดถึงคำถามนี้ เพราะเธอไม่รู้ว่าจะกลับไปอย่างไร แต่ถ้าเธอให้เลือกจริง ๆ เธอจะกลับไปไหม?ถ้าความสัมพันธ์กับเจ้าห้าและเธอเป็นแบบเมื่อก่อน เธอคงฝันที่จะกลับไปแค่ว่าตอนนี้มีลูกแล้ว และความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาก็ตัดกันไม่ขาด จะกลับไปได้อย่างไร?แต่พ่อแม่และครอบครัวล่ะ?ชั่วขณะนั้นเต็มไปด้วยความวิตกกังวลต่าง ๆ นานาโม่อี้ถามเบา ๆ "ถ้าเป็นห่วงครอบครัวของคุณ? งั้นฉันกลับไปแล้ว ให้ฉันส่งจดหมายครอบครัวคุณไหม?"หยวนชิงหลิงเองก็คิดเช่นนี้ "คุณโม่ ถ้าคุณยอมช่วยล่ะก็ ขอขอบคุณมากจริง ๆ ฉันจะให้พ่อแม่ของฉันจ่ายเงินให้คุณ"โม่อี้ยิ้มเขิน "ค่าตอบแทนไม่จำเป็น แค่ช่วยเรื่องค่าเดินทางไป-กลับให้ฉันก็พอ เพราะฉันอยู่ไกลจากกวางโจวนั่งเครื่องบินไปสามชั่วโมง เงินเดือนของฉันก็ปานกลาง แถมฉันมีน้องสาวที่อยู่ในโรงพยาบาล ค่ารักษาแพงมาก กระเป๋าเงินแทบฉีก"โม่อี้กล่าวออกมา ท่าทางดูละอายใจมากในสังคมของเธอ การพูดเรื่องเงินเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แต่มาถึงที่นี่แล้วแบกความหวังขององค์หญิงรัชทายาทเอาไว้ การพูดเรื่องเงินในตอนนี้ดูค่อนข้างเย็นชาไปสักหน่อยหยวนชิงหลิงขอบคุณเธอเป็นหมื่นครั้ง แค่มอง
หลังจากหยวนชิงหลิงจัดการบัญชีเรียบร้อยแล้ว จึงได้เช่าบ้านสองหลังมาก่อน ในขณะเดียวกัน ที่ดินของจวนอ๋องฉู่ได้รับการจัดสรรออกมาส่วนหนึ่งเพื่อสร้างอาคารเรียน และทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินการพร้อมกันก็เป็นอันใช้ได้แล้วบ้านเช่าสองหลังอยู่ติดกัน ดังนั้นจึงสะดวกมาก หลังจากถังหยางจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยวนชิงหลิงต้องเตรียมงานส่วนอื่น ๆ และสิ่งที่ยากที่สุดคือการหาอาจารย์แน่นอนว่าการเรียนการสอนก็คือการสอนแพทย์แผนจีน ดังที่อวี่เหวินห่าวพูดถึงเมื่อก่อนหน้านี้ หมอส่วนใหญ่ที่จบการศึกษาจากอาจารย์แล้วจะตั้งโรงหมอเป็นของตนเอง และ "คนไข้มีเงินก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ" หากหยวนชิงหลิงต้องการจ้างพวกเขา ก็ต้องจ่ายเงินจำนวนมากอย่างไรก็ตาม เงินจำนวนมากเป็นเรื่องรอง พวกเขาไม่เต็มใจที่จะเชิญพวกเขาให้ฝึกอบรมหมอชาวบ้านมาเพื่อแข่งขันทางธุรกิจกับพวกเขาในอนาคตหรอก ดังนั้นนี่เป็นสถานการณ์ที่ยากลำบากยิ่งกว่านั้นหากจะสอนก็ย่อมต้องหาหมอที่มีคุณธรรมสูงส่ง และทักษะทางการแพทย์ที่เป็นเลิศตอนนี้นางมีหมอที่ยืมตัวมาเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นคือหมอหลวงเฉา แต่ถ้านางใช้เขาก็ถือได้ว่าเป็นอาวุธสาธารณะเรื่องที่ต้องกังวลก็มากพออย
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม