แต่เพื่อความรอบคอบนางข้าหลวงสี่ จึงให้คนสับเปลี่ยนกันไปกินข้าวตามลำดับ นางจะไปก่อน ให้แม่นมทั้งสามคนอยู่ในห้องกับบรรดาฮูหยินเพื่อดูแลเด็ก ๆ หลังจากที่นาง อาซื่อ และหมานเอ๋อร์ทานเสร็จแล้ว พวกเขาก็จะมาสับเปลี่ยนแทนกันนางข้าหลวงสี่กำชับพวกนาง ย้ำหนักหนาว่าอย่าปล่อยให้เด็ก ๆ คลาดสายตาเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม ข้างนอกนั้นมีคนของกู้ซีและซูยี่เฝ้าอยู่ แม้ว่าจะอุ้มเด็ก ๆ ออกไป ก็ไม่สามารถออกจากลานบ้านไปได้ด้วยวิธีนี้ พวกเขาก็สามารถสลับกันไปกินบะหมี่น้ำได้ อวี่เหวินห่าวก็ช่วยนำโต๊ะทำพิธีไปที่ศาลเจ้า ก็ถือเป็นอันเสร็จพิธีเรียบร้อยทางด้านนั้น หยวนชิงหลิงก็ออกมาหลังจากตรวจดูอาการฮูหยินเฒ่าและสั่งยา แม้ว่าอาการของฮูหยินเฒ่าจะสาหัส แต่โชคดีที่ตอนนี้ทุกอย่างคงที่ และไม่มีสัญญาณของการกำเริบครั้งที่สอง รออีกสักสองสามวันค่อยให้นางทำกายภาพบำบัดด้วยเหตุนี้ หลังจากทำการคารวะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่นมจึงอุ้มเด็ก ๆ และออกจากจวนจิ้งโฮ่วคนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในรถม้า เด็ก ๆ หลังจากงอแงกันแล้ว ทุกคนก็ผล็อยหลับไป ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนสีแดงและสีเหลือง จนแทบมองไม่เห็นใบหน้าของพวกเขา แต่ช่างน่าสนใจมากจริง ๆขณะที
“อ๋องอัน?” หยวนชิงหลิงตื่นตระหนก แต่เมื่อเห็นท่าทางมั่นใจของอวี่เหวินห่าว นางจึงสงบลง “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่านรู้ได้อย่างไร?”อวี่เหวินห่าวดึงนางนั่งลงและพูดว่า "วันนั้นจิ้งโฮ่วมาหาข้า และขอให้ข้าหาตำแหน่งขุนนางให้เขา แต่ข้าไม่เห็นด้วย หลังจากที่เขาลงจากรถม้า ข้าให้คนสะกดตามเขาไป พบว่าเขาได้ไปพบกับเจ้าสี่ แล้วเข้าไปในจวนของเจ้าสี่ด้วย แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังวางแผนอะไร แต่เพื่อความรอบคอบ ข้าจึงให้คนจับตาดูเขาไว้ เมื่อวานซืนนี้จวนจิ้งโฮ่วได้พาเด็กกลับมาแล้วซ่อนไว้ในจวน ข้าเดาว่าเมื่อถึงเวลานั้น เขาคงจะแอบสับเปลี่ยนเด็ก ดังนั้นข้าจึงปล่อยตามน้ำไป เรื่องนี้ข้าได้ปรึกษากับขุนพลหลัวแล้ว ถ้าเป็นเจ้าสี่ลักพาตัวลูกไปจริง ข้าจะจัดการเขาเอง”หยวนชิงหลิงโกรธจัด “ท่านใช้เสี่ยวลั่วหมี่เป็นเหยื่อล่อจริง ๆ งั้นหรือ? แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นมาล่ะ?”อวี่เหวินห่าวรู้ว่านางจะต้องโกรธ ดังนั้นเขาจึงเตรียมคำพูดของเขาแต่เนิ่น ๆ เอาไว้แล้ว "หากเจ้าสี่มีความคิดที่จะทำร้ายลูกของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ถ้าเขาล้มเหลวครั้งนี้ ครั้งหน้าเขาจะทำอีก ทางเดียวที่จะแก้ไขได้คือ ทำให้เรื่องนี้ให้กลายเป็นเรื่อ
อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเสี่ยวลั่วหมี่ก็ไม่เคยห่างนางเลยสักครั้ง ตอนนี้กลับถูกจิ้งโฮ่วลักพาตัวไป นางเองไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกลัวได้มากมายขนาดนี้เขาขี้ตกใจ ขนาดตัวเองผายลมออกมาเอง ก็ยังทำให้ตัวเองตกใจจนร้องไห้ออกมาได้อวี่เหวินห่าวเห็นมือเท้านางเย็นแบบนี้ เขารู้ว่านางหวาดกลัวมาก ดังนั้นเขาจึงกอดนางและรับรองให้นางมั่นใจว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรหยวนชิงหลิงพยายามสงบสติอารมณ์และพูดว่า "หากมีข่าวอะไร ท่านต้องบอกข้าทันทีนะ อย่าปิดบังข้า"“แน่นอน ถ้ามีข่าว ย่อมต้องเป็นข่าวดีแน่นอน เชื่อข้าสิ” อวี่เหวินห่าวจูบหน้าผากนาง เห็นหน้าซีดเผือดของนาง เขารู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก “เจ้าพักผ่อนเถอะ วันนี้งดรับแขก ให้นางข้าหลวงสี่บอกข้างนอกว่าเจ้าปวดหัว"หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างลังเลใจ “เข้าใจแล้ว”อวี่เหวินห่าวประคองหน้านางไว้ เขาเองก็นึกถึงความกังวลและความกดดันของนางได้อยู่ แม้ว่าเขาจะเตรียมการทุกอย่างแล้ว แต่เขากลับไม่อาจสงบใจได้เลย อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลาเขาไม่กล้าแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาต่อหน้านาง ไม่อย่างนั้นอาจทำให้นางตกใจตายได้จริง ๆเขาพูดอย่างยากลำบาก "หยวน ข้าขอโทษ เจ้าอยู่กับข้ามานาน แต่ข้
รอยยิ้มนี้ราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ส่องเข้าไปถึงในหัวใจของจิ้งโฮ่วทันทีจิ้งโฮ่วสะเทือนใจและหันหน้าหนีทันที เขารู้สึกละอายใจจนไม่กล้ามองไปที่หลานที่เพิ่งครบเดือนได้ตรง ๆในใจของเขารู้สึกซับซ้อนเหลือเกินนี่คือหลานชายของเขา เขากำลังทำเรื่องบางอย่างที่พวกสวะเขาทำกันความรู้สึกละอายใจยังคงเพิ่มพูนขึ้นอยู่ในใจของเขาอย่างไรก็ตาม เขายังพยายามปลอบใจตัวเองซ้ำ ๆ ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขายลูกสาว เพื่อแลกตำแหน่งเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับมาก่อน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาขายศักดิ์ศรีไปได้อย่างไร เขาเคยละอายใจบ้างไหม?เขายังยินดีที่จะไปนอนกับผู้หญิงอย่างกู้จือ แล้วจะนับว่าเป็นอะไรได้?เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยได้ยินเสียงของเกือกม้า หลังจากส่งตัวเสี่ยวลั่วหมี่แล้ว เขาจะรีบออกจากเมืองหลวงทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเขาฟังคำแนะนำของลูกสาวและออกจากเมืองหลวงไป เขาจะไม่ลงเอยด้วยสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้เสี่ยวลั่วหมี่ตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาขยับเล็กน้อย ศีรษะเล็ก ๆ ของเขาหันไปด้านข้าง ถูผ้าเช็ดหน้าห่อต
เขากำลังทำอะไรอยู่? เขาทำร้ายตัวเองและลูกสาวของเขา ตอนนี้แม้แต่หลานชายคนนี้ที่เพิ่งจะครบเดือนก็ยังจะเอาไปให้คนอื่นฆ่าอีก?เขานึกถึงแม่ของเขาที่มองเขาด้วยความเศร้าโศกและเกลียดชัง คำพูดที่เปล่งออกมาตามไรฟันของนาง ให้เขามีชีวิตให้สมกับเป็นคนหน่อยตอนนี้เขามันเป็นไอสารเลวเทียบกับสุนัขหรือสุกรไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ชีวิตของเขายังอยู่ในมือของอ๋องอัน เขาจะทำอย่างไร?จิ้งโฮ่วต่อสู้กับจิตใจตัวเองอยู่นาน เขามองลงไปที่เสี่ยวลั่วหมี่และถอนหายใจออกมาอย่างหนัก "บอกข้าหน่อย ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตา พ่อของเจ้าจะช่วยตาหรือไม่?"เขายิ้มเหมือนร้องไห้ "ไม่หรอก พวกเขาดูถูกตา แม้แต่แม่ของเจ้า ข้าจึงได้ขายเจ้า เจ้าเป็นหลานชายอ๋องอัน เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า"เสี่ยวลั่วหมี่มองเขาตาโตและหยุดร้องไห้ ราวกับว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากจิ้งโฮ่วรู้สึกลังเลใจ เขาจึงขอให้คนขับรถม้าหยุดรถก่อน ให้เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คนขับรถม้าจึงหยุดรถจอดที่ข้างถนนหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาจากภายในม่าน "ไม่ไปซีซานแล้ว กลับไปกันเถอะ ไปที่จวนอ๋องฉู่"คนขับรถม้าเปิดม่านมองไปที่จิ้งโฮ่วและยิ้มเล็กน้อย "ท่านโฮ่ว ควรไปที่
จวนอ๋องฉู่วันนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวาจริง ๆแม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกับรัชทายาท แต่ในวันนี้ย่อมต้องมากันที่นี่คู่สามีภรรยาอ๋องอันและอ๋องซุนที่มาพร้อมกัน ของขวัญจากจวนอ๋องซุนได้ถูกส่งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ขณะที่อ๋องอันเข้ามา ได้ถือกล่องผ้ามายืนอยู่ตรงหน้าอวี่เหวินห่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "น้องห้า เจ้านี่ถือว่าได้โชคมงคลสี่อย่างจริง ๆ?"อวี่เหวินห่าวไม่ได้พูดอะไร อ๋องซุนก็ถามข้าง ๆ เขาว่า "โชคมงคลสี่อย่าง อย่างไรกัน?"อ๋องอันพูดด้วยรอยยิ้ม "พี่รอง แฝดสามคือโชคสามอย่าง น้องห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทถือเป็นโชคอีกอย่าง ถือเป็นโชคมงคลสี่อย่างไม่ใช่หรือ?"อ๋องซุนร้องอ๋อและเอ่ยอย่างขำขันว่า "จริงอยู่ แต่มีเรื่องดี ๆ ไม่มากไปหรอก และควรมีโชคมากกว่านี้ถึงจะดี"อ๋องอันหัวเราะเสียงดัง "ดูที่พี่รองพูดสิ หากว่ากันแล้วนั้น เขาได้ครองราชย์ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก พี่รองไม่ควรทำร้ายน้องห้า เขาจะไปกล้ามีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าคนนอกได้ยินคงไม่เข้าใจผิดกันหรอกหรือ?”อ๋องซุนรู้สึกงุนงง "ข้าพูดตอนไหนว่าเขาได้ครองราชย์ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก? เสด็จพ่อยังอยู่ พูดแบบนี้ได้หรือ? น้องสี่ เจ้าทำร้ายน
อ๋องอันและอวี่เหวินห่าวยืนเผชิญหน้ากัน ภายใต้สีหน้าสงบที่ซ่อนแรงอาฆาตที่เดือดพล่านเอาไว้อ๋องอันยังรักษารอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนจนกระทั่งอวี่เหวินห่าวเดินจากไปเพื่อทักทายแขก รอยยิ้มของเขาแข็งค้างไป และสายตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมาบรรดาเจ้านายพระญาติได้เดินทางมาที่นี่เกือบทั้งหมดจวนอ๋องฉู่ก็คึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อมองไปรอบ ๆ ในลานมีแขกผู้มีเกียรติมากมายช่วงประมาณยามเซินบ่ายสามกว่ าๆ ว่าไปแล้วควรนำเด็ก ๆ ออกมาให้แขกเห็น แต่ตั้งนานแล้วก็ไม่พาออกมา มีคนพูดถึงเรื่องนี้ว่ารัชทายาทคุ้มกันลูกแฝดสามอย่างเข้มงวดในช่วงปลายยามเซินเกือบห้าโมงเย็นนั้น มหาเสนาบดีฉู่ได้มาร่วมงาน ทำให้แขกทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งรู้หรือไม่ว่า มหาเสนาบดีไม่ได้มาร่วมในงานครึ้กครื้นเช่นนี้มานานแล้วบุคคลสำคัญรวมตัวกัน และบรรยากาศยิ่งดูสูงส่งเป็นทางการมากขึ้นไปอีกดูเผิน ๆ บรรดาชินอ๋องของราชวงศ์ก็มาถึงแล้ว ขุนนางระดับหนึ่งและสองล้วนมากันครบไม่ขาด ไม่ว่าจริงใจหรือไม่ก็ตาม วันนี้จะร่วมแสดงความมายินดีหรือไม่นั้น เท่ากับได้ตัดสินใจขีดเส้นไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรวันนี้คงไม่มาไม่ได้ในเวลานี้อ๋องอันก็มองไปที่
อ๋องอันหัวเราะอย่างใจเย็น "หลานชายของข้า จะไม่มองชัด ๆได้อย่างไร?"อันที่จริงอ๋องอันเองไม่แน่ใจนัก เขาอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของทหารและยามในจวนอ๋องฉู่เลยแม้แต่น้อย อวี่เหวินห่าวอยู่กับแขกตลอด ในจวนไม่มีคนรับใช้ที่แสดงท่าทีดูกระวนกระวายออกมาให้เห็นเลยสักนิดหากว่ากันแล้วตั้งแต่กลับจากบ้านแม่มาก็เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เด็ก ๆ น่าจะล้างหน้าจนเห็นหน้าที่ชัดเจน ต้องรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอนแต่ทำไมจวนอ๋องฉู่ถึงได้สงบขนาดนี้?เขาแอบคาดเดาอยู่ว่า คนเลวทรามอย่างจิ้งโฮ่วคนนี้จัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยหรือไม่?แต่คิดว่าไม่น่าใช่ มีคนมารายงานแล้วว่าจิ้งโฮ่วลักพาตัวเด็กออกมา และเรียกรถม้าตรงไปที่ซีซาน และเขาก็ได้ลงมือไปแล้วหากจิ้งโฮ่วทำสำเร็จ ตอนนี้อวี่เหวินห่าวก็ไม่ควรนิ่งได้ขนาดนี้ เด็กสามคนนี้อุ้มออกมาแล้วหน้าตาไม่เหมือนกัน เขาจะอธิบายได้อย่างไร?ความโกลาหลนี้เขาจะหยุดมันไว้ได้หรือ?ขณะที่เขากำลังคิด เขาก็เห็นถังหยางพาแม่นมอุ้มเด็ก ๆ ออกมาเนื่องจากเป็นเดือนพฤษภาคม หลังเที่ยงไปแล้วอากาศจะอุ่นขึ้นมาก เด็ก ๆ ที่พาออกมาจึงไม่ได้ห่อด้วยผ้าห่อตัว แต่สวมชุด