อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วเสี่ยวลั่วหมี่ก็ไม่เคยห่างนางเลยสักครั้ง ตอนนี้กลับถูกจิ้งโฮ่วลักพาตัวไป นางเองไม่รู้ว่าทำไมนางถึงกลัวได้มากมายขนาดนี้เขาขี้ตกใจ ขนาดตัวเองผายลมออกมาเอง ก็ยังทำให้ตัวเองตกใจจนร้องไห้ออกมาได้อวี่เหวินห่าวเห็นมือเท้านางเย็นแบบนี้ เขารู้ว่านางหวาดกลัวมาก ดังนั้นเขาจึงกอดนางและรับรองให้นางมั่นใจว่าทุกอย่างจะไม่เป็นไรหยวนชิงหลิงพยายามสงบสติอารมณ์และพูดว่า "หากมีข่าวอะไร ท่านต้องบอกข้าทันทีนะ อย่าปิดบังข้า"“แน่นอน ถ้ามีข่าว ย่อมต้องเป็นข่าวดีแน่นอน เชื่อข้าสิ” อวี่เหวินห่าวจูบหน้าผากนาง เห็นหน้าซีดเผือดของนาง เขารู้สึกทุกข์ใจยิ่งนัก “เจ้าพักผ่อนเถอะ วันนี้งดรับแขก ให้นางข้าหลวงสี่บอกข้างนอกว่าเจ้าปวดหัว"หยวนชิงหลิงพยักหน้าอย่างลังเลใจ “เข้าใจแล้ว”อวี่เหวินห่าวประคองหน้านางไว้ เขาเองก็นึกถึงความกังวลและความกดดันของนางได้อยู่ แม้ว่าเขาจะเตรียมการทุกอย่างแล้ว แต่เขากลับไม่อาจสงบใจได้เลย อกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดเวลาเขาไม่กล้าแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาต่อหน้านาง ไม่อย่างนั้นอาจทำให้นางตกใจตายได้จริง ๆเขาพูดอย่างยากลำบาก "หยวน ข้าขอโทษ เจ้าอยู่กับข้ามานาน แต่ข้
รอยยิ้มนี้ราวกับแสงอาทิตย์อันอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ ส่องเข้าไปถึงในหัวใจของจิ้งโฮ่วทันทีจิ้งโฮ่วสะเทือนใจและหันหน้าหนีทันที เขารู้สึกละอายใจจนไม่กล้ามองไปที่หลานที่เพิ่งครบเดือนได้ตรง ๆในใจของเขารู้สึกซับซ้อนเหลือเกินนี่คือหลานชายของเขา เขากำลังทำเรื่องบางอย่างที่พวกสวะเขาทำกันความรู้สึกละอายใจยังคงเพิ่มพูนขึ้นอยู่ในใจของเขาอย่างไรก็ตาม เขายังพยายามปลอบใจตัวเองซ้ำ ๆ ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขายลูกสาว เพื่อแลกตำแหน่งเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยยอมรับมาก่อน แต่เมื่อมองย้อนกลับไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา เขาขายศักดิ์ศรีไปได้อย่างไร เขาเคยละอายใจบ้างไหม?เขายังยินดีที่จะไปนอนกับผู้หญิงอย่างกู้จือ แล้วจะนับว่าเป็นอะไรได้?เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว เขาก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อยได้ยินเสียงของเกือกม้า หลังจากส่งตัวเสี่ยวลั่วหมี่แล้ว เขาจะรีบออกจากเมืองหลวงทันทีเขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว ถ้าเขาฟังคำแนะนำของลูกสาวและออกจากเมืองหลวงไป เขาจะไม่ลงเอยด้วยสถานการณ์ที่น่าสังเวชเช่นนี้เสี่ยวลั่วหมี่ตัวน้อยในอ้อมแขนของเขาขยับเล็กน้อย ศีรษะเล็ก ๆ ของเขาหันไปด้านข้าง ถูผ้าเช็ดหน้าห่อต
เขากำลังทำอะไรอยู่? เขาทำร้ายตัวเองและลูกสาวของเขา ตอนนี้แม้แต่หลานชายคนนี้ที่เพิ่งจะครบเดือนก็ยังจะเอาไปให้คนอื่นฆ่าอีก?เขานึกถึงแม่ของเขาที่มองเขาด้วยความเศร้าโศกและเกลียดชัง คำพูดที่เปล่งออกมาตามไรฟันของนาง ให้เขามีชีวิตให้สมกับเป็นคนหน่อยตอนนี้เขามันเป็นไอสารเลวเทียบกับสุนัขหรือสุกรไม่ได้ด้วยซ้ำแต่ชีวิตของเขายังอยู่ในมือของอ๋องอัน เขาจะทำอย่างไร?จิ้งโฮ่วต่อสู้กับจิตใจตัวเองอยู่นาน เขามองลงไปที่เสี่ยวลั่วหมี่และถอนหายใจออกมาอย่างหนัก "บอกข้าหน่อย ว่าถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับตา พ่อของเจ้าจะช่วยตาหรือไม่?"เขายิ้มเหมือนร้องไห้ "ไม่หรอก พวกเขาดูถูกตา แม้แต่แม่ของเจ้า ข้าจึงได้ขายเจ้า เจ้าเป็นหลานชายอ๋องอัน เขาจะไม่ทำร้ายเจ้า"เสี่ยวลั่วหมี่มองเขาตาโตและหยุดร้องไห้ ราวกับว่าเป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากจิ้งโฮ่วรู้สึกลังเลใจ เขาจึงขอให้คนขับรถม้าหยุดรถก่อน ให้เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้คนขับรถม้าจึงหยุดรถจอดที่ข้างถนนหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วเบาจากภายในม่าน "ไม่ไปซีซานแล้ว กลับไปกันเถอะ ไปที่จวนอ๋องฉู่"คนขับรถม้าเปิดม่านมองไปที่จิ้งโฮ่วและยิ้มเล็กน้อย "ท่านโฮ่ว ควรไปที่
จวนอ๋องฉู่วันนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวาจริง ๆแม้ว่าจะไม่ได้ติดต่อกับรัชทายาท แต่ในวันนี้ย่อมต้องมากันที่นี่คู่สามีภรรยาอ๋องอันและอ๋องซุนที่มาพร้อมกัน ของขวัญจากจวนอ๋องซุนได้ถูกส่งมาก่อนล่วงหน้าแล้ว ขณะที่อ๋องอันเข้ามา ได้ถือกล่องผ้ามายืนอยู่ตรงหน้าอวี่เหวินห่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม "น้องห้า เจ้านี่ถือว่าได้โชคมงคลสี่อย่างจริง ๆ?"อวี่เหวินห่าวไม่ได้พูดอะไร อ๋องซุนก็ถามข้าง ๆ เขาว่า "โชคมงคลสี่อย่าง อย่างไรกัน?"อ๋องอันพูดด้วยรอยยิ้ม "พี่รอง แฝดสามคือโชคสามอย่าง น้องห้าได้รับแต่งตั้งเป็นรัชทายาทถือเป็นโชคอีกอย่าง ถือเป็นโชคมงคลสี่อย่างไม่ใช่หรือ?"อ๋องซุนร้องอ๋อและเอ่ยอย่างขำขันว่า "จริงอยู่ แต่มีเรื่องดี ๆ ไม่มากไปหรอก และควรมีโชคมากกว่านี้ถึงจะดี"อ๋องอันหัวเราะเสียงดัง "ดูที่พี่รองพูดสิ หากว่ากันแล้วนั้น เขาได้ครองราชย์ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก พี่รองไม่ควรทำร้ายน้องห้า เขาจะไปกล้ามีความคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าคนนอกได้ยินคงไม่เข้าใจผิดกันหรอกหรือ?”อ๋องซุนรู้สึกงุนงง "ข้าพูดตอนไหนว่าเขาได้ครองราชย์ถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดีมาก? เสด็จพ่อยังอยู่ พูดแบบนี้ได้หรือ? น้องสี่ เจ้าทำร้ายน
อ๋องอันและอวี่เหวินห่าวยืนเผชิญหน้ากัน ภายใต้สีหน้าสงบที่ซ่อนแรงอาฆาตที่เดือดพล่านเอาไว้อ๋องอันยังรักษารอยยิ้มสุภาพอ่อนโยนจนกระทั่งอวี่เหวินห่าวเดินจากไปเพื่อทักทายแขก รอยยิ้มของเขาแข็งค้างไป และสายตาของเขาก็เย็นชาขึ้นมาบรรดาเจ้านายพระญาติได้เดินทางมาที่นี่เกือบทั้งหมดจวนอ๋องฉู่ก็คึกคักอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เมื่อมองไปรอบ ๆ ในลานมีแขกผู้มีเกียรติมากมายช่วงประมาณยามเซินบ่ายสามกว่ าๆ ว่าไปแล้วควรนำเด็ก ๆ ออกมาให้แขกเห็น แต่ตั้งนานแล้วก็ไม่พาออกมา มีคนพูดถึงเรื่องนี้ว่ารัชทายาทคุ้มกันลูกแฝดสามอย่างเข้มงวดในช่วงปลายยามเซินเกือบห้าโมงเย็นนั้น มหาเสนาบดีฉู่ได้มาร่วมงาน ทำให้แขกทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งรู้หรือไม่ว่า มหาเสนาบดีไม่ได้มาร่วมในงานครึ้กครื้นเช่นนี้มานานแล้วบุคคลสำคัญรวมตัวกัน และบรรยากาศยิ่งดูสูงส่งเป็นทางการมากขึ้นไปอีกดูเผิน ๆ บรรดาชินอ๋องของราชวงศ์ก็มาถึงแล้ว ขุนนางระดับหนึ่งและสองล้วนมากันครบไม่ขาด ไม่ว่าจริงใจหรือไม่ก็ตาม วันนี้จะร่วมแสดงความมายินดีหรือไม่นั้น เท่ากับได้ตัดสินใจขีดเส้นไปแล้ว ไม่ว่าจะคิดอย่างไรวันนี้คงไม่มาไม่ได้ในเวลานี้อ๋องอันก็มองไปที่
อ๋องอันหัวเราะอย่างใจเย็น "หลานชายของข้า จะไม่มองชัด ๆได้อย่างไร?"อันที่จริงอ๋องอันเองไม่แน่ใจนัก เขาอยู่ที่นี่มาตั้งนานแล้ว ยังไม่เห็นการเคลื่อนไหวของทหารและยามในจวนอ๋องฉู่เลยแม้แต่น้อย อวี่เหวินห่าวอยู่กับแขกตลอด ในจวนไม่มีคนรับใช้ที่แสดงท่าทีดูกระวนกระวายออกมาให้เห็นเลยสักนิดหากว่ากันแล้วตั้งแต่กลับจากบ้านแม่มาก็เป็นเวลานานพอสมควรแล้ว เด็ก ๆ น่าจะล้างหน้าจนเห็นหน้าที่ชัดเจน ต้องรู้ว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอนแต่ทำไมจวนอ๋องฉู่ถึงได้สงบขนาดนี้?เขาแอบคาดเดาอยู่ว่า คนเลวทรามอย่างจิ้งโฮ่วคนนี้จัดการเรื่องนี้ได้เรียบร้อยหรือไม่?แต่คิดว่าไม่น่าใช่ มีคนมารายงานแล้วว่าจิ้งโฮ่วลักพาตัวเด็กออกมา และเรียกรถม้าตรงไปที่ซีซาน และเขาก็ได้ลงมือไปแล้วหากจิ้งโฮ่วทำสำเร็จ ตอนนี้อวี่เหวินห่าวก็ไม่ควรนิ่งได้ขนาดนี้ เด็กสามคนนี้อุ้มออกมาแล้วหน้าตาไม่เหมือนกัน เขาจะอธิบายได้อย่างไร?ความโกลาหลนี้เขาจะหยุดมันไว้ได้หรือ?ขณะที่เขากำลังคิด เขาก็เห็นถังหยางพาแม่นมอุ้มเด็ก ๆ ออกมาเนื่องจากเป็นเดือนพฤษภาคม หลังเที่ยงไปแล้วอากาศจะอุ่นขึ้นมาก เด็ก ๆ ที่พาออกมาจึงไม่ได้ห่อด้วยผ้าห่อตัว แต่สวมชุด
เพราะเด็ก ๆ น่ารักมากจริง ๆ และเมื่อเห็นมหาเสนาบดีฉู่อุ้มอยู่แบบนี้พอดี ทุกคนจึงอยากลองอุ้มให้เป็นสิริมงคลดูบ้างด้วยเหตุนี้ ในห้องโถงใหญ่ขนาดใหญ่ ราวกับว่ามีการแข่งขันวิ่งผลัด พวกเด็ก ๆ ต่างถูกผลัดกันอุ้มทีละคนว่าไปก็น่าแปลกใจ พวกเด็ก ๆ ไม่ชอบให้ใครแตะต้องสักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะเสี่ยวลั่วหมี่ที่จุกจิกเป็นพิเศษและร้องไห้ง่ายเมื่อเจอคนไม่คุ้นเคย แต่วันนี้เขาไว้หน้าพ่อของจริง ๆ ระหว่างนั้นไม่ร้องไห้เลย ยิ้มหัวเราะ ยิ้มจนใจผู้คนละลายหมดแล้ว?เสี่ยวลั่วหมี่ถูกพามาถึงด้านข้างอ๋องอันรุ่ยชิงอ๋องเป็นคนอุ้มมาให้รุ่งชิงอ๋องหลงเหลนมาก อุ้มไว้ไม่อยากปล่อยไปเลย เมื่อเห็นว่าอ๋องอันไม่รับไปอุ้มแบบนี้ เขาจึงพูดว่า "ถ้าเจ้าไม่อุ้ม ข้าจะอุ้มต่ออีกหน่อย"ทุกคนมองไปที่อ๋องอัน วันนี้เป็นวันมงคลฉลองครบเดือน ในฐานะเสด็จลุง ทำไมถึงไม่อุ้มเขากันอ๋องอันอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ท่ามกลายสายตาคนมากมายสายตาของอวี่เหวินห่าวกลายเป็นเย็นชาในทันที กล้ามเนื้อทั้งหมดในร่างกายหดเกร็งขึ้นมา ในขณะที่เขาจ้องมองไปที่อ๋องอันแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเขาจะไม่ทำอะไรกับเสี่ยวลั่วหมี่ในตอนนี้ แต่ลูกอยู่ในมือของเขา เขาก็รู้สึกกังวลข
หยวนชิงหลิงร้องไห้สะอื้นอย่างไม่มีเสียงอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ และซบอกอวี่เหวินห่าวร้องไห้ออกมาอวี่เหวินห่าวรู้สึกไม่สบายใจเช่นเดียวกัน ตอนนี้ลูกกลับมาอยู่ในมือของเขาแล้ว แต่ในความเป็นจริงลูกคนนี้ได้ประสบอันตรายถึงตายจากข้างนอกวันนี้“เสด็จพ่อได้สั่งให้เจ้าสี่เข้าวังแล้ว ไม่ต้องห่วง จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกในอนาคต” อวี่เหวินห่าวค่อย ๆ ลูบหลังนางเบา ๆ และปลอบนางอย่างอ่อนโยนหยวนชิงหลิงรับคำด้วยเสียงขึ้นจมูก และค่อย ๆ ถอยออก อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปจับใบหน้าของนาง และเช็ดน้ำตาด้วยความรู้สึกสงสารเสี่ยวลั่วหมี่กำปั้นของเขาแล้วชูขึ้นส่งเสียงอ้อแอ้ ดวงตากลมโตกลอกไปมา มองทางอวี่เหวินห่าวครั้งหนึ่งและหยวนชิงหลิงครั้งหนึ่ง ดูมีชีวิตชีวามากสุดที่รัก รักที่สุด ก็คือน้องคนสุดท้องที่มักทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นทุกข์อยู่เสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเสี่ยวลั่วหมี่เกิด เขาถูกสายสะดือพันรอบคอจนหายใจไม่ได้ และมีอาการตัวเหลืองเป็นอยู่นานไม่หายสักที เพิ่งครบเดือนแต่กลับเจอประสบการณ์เสี่ยงตายมาเช่นนี้ หยวนชิงหลิงและอวี่เหวินห่าวมองมาที่เขา และอดไม่ได้ที่จะรักและสงสารมากขึ้น"ไม่ดีเลย" อวี่เหวินห่าวถอนหาย
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม