อวี่เหวินห่าวถูกปลุกให้ตื่นกลางดึกโดยคนจากจวนจิ้งเป่า เขาสวมเสื้อผ้าอย่างระมัดระวัง และรีบออกไปเพื่อไม่รบกวนที่หยวนชิงหลิงกำลังหลับลึกเมื่อรู้ว่าอ๋องฉีถูกลอบสังหาร อันดับแรกเขาสั่งให้คนปิดล้อมประตูเมือง และค้นหาอย่างละเอียดจากนั้นเขาก็พาซูยี่ ถังหยาง และหมอหลวงเฉาตรงไปยังเรือนของอ๋องฉีอ๋องฉีได้รับบาดเจ็บสาหัสจ บอกว่าเขาเกือบตายไปแล้วก็ย่อมได้ มีคนเข้าไปในวังขอยาจินจื่อจากองค์ชายแปด แต่เขายังไม่กลับมาหยวนหยงอี้มายืนอยู่ข้างเตียงด้วยขาที่ได้รับบาดเจ็บของตัวเอง นางร้องไห้จนน้ำตาไม่เหลือแล้ว อ๋องฉีนอนอยู่บนเตียงเหมือนร่างไร้ชีวิต น้ำร้อนสำหรับล้างแผลเข้ามา จนกลายเป็นอ่างเลือดออกไปเขาแทบจะไม่หายใจอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะยังมีชีพจร เขาแทบจะไม่พบสัญญาณของการมีชีวิตเลย“ท่านอ๋อง” หมอหลวงเฉาดึงเขาออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “อ๋องฉีถูกแทงที่ลำตัวแปดครั้ง ที่มือและที่ขาอย่างละสาม ที่ท้องและหน้าอกอย่างละแผล แผลที่หน้าอกนั้นไม่โดนหัวใจ นั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงยังรอดชีวิตมาจนถึงตอนนี้ แต่มีดทุกเล่มแทงตัดเข้ากระดูก สถานการณ์ในตอนนี้เลวร้ายมาก กระหม่อมทำอะไรไม่ได้แล้ว ไปเชิญพระชายามาที่นี่
อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย ลูกได้สั่งให้คนค้นทั่วเมืองแล้ว"จักรพรรดิหมิงหยวนพูดด้วยความโกรธ "เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกทำไม? นำกำลังคนออกไปค้นหามือสังหารเหล่านั้นซะ ข้าอยากเห็นมันแบบเป็น ๆ หากมันตายก็ต้องเห็นศพมัน"เดิมทีอวี่เหวินห่าวอยากรอให้หยวนชิงหลิงมาถึงก่อน แต่เสด็จพ่อทรงกริ้วเช่นนี้ เขาจึงไม่กล้าที่จะโต้แย้งเขาเหมือนเมื่อก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบออกคำสั่งพาถังหยางออกไปทันทีทางซูยี่ที่กลับมาที่จวน เขาขอให้หมานเอ๋อร์รีบไปปลุกหยวนชิงหลิงขึ้นมาทันทีหยวนชิงหลิงหลับอยู่ลุกขึ้นมาอย่างงุนงง และเมื่อได้ยินว่าอ๋องฉีถูกลอบสังหารและได้รับบาดเจ็บสาหัส นางก็รีบตื่นขึ้นทันที และเพิ่งได้รู้ว่าเจ้าห้าออกไปแล้วนางลากร่างของนางออกจากเตียงอย่างเงอะงะ สวมเสื้อผ้าหนา ๆ สองชั้นอย่างส่งเดช นางเปิดกล่องยาและตรวจสอบ พบว่าอุปกรณ์และยาทั้งหมดอยู่ครบ นางจึงให้หมานเอ๋อร์ถือกล่องยาแล้วออกเดินทางทันทีรถม้าพร้อมแล้ว ในคืนที่มืดมิดเช่นนี้ นอกจากลมหนาวแล้วยังมีเสียงสุนัขเห่ามาจากไกล ๆ ตัวเป่าเดินตามมาและกระโดดเข้าไปในรถม้าหยวนชิงหลิงเกลี้ยกล่อมให้มันลงไป แต่ตัวเป่าดื้อไม่ยอมไป หยวนชิงหลิงเสีย
ในใจหยวนชิงหลิงตื่นตระหนกยิ่งนัก หลังจากที่ได้อยู่อย่างปลอดภัยและสงบสุขมาหนึ่งเดือน นางก็ผ่อนคลายลดความระมัดระวังตัวอยู่อย่างสบายใจ คิดว่าอยู่ห่างไกลจากอันตรายเหล่านั้น เมื่อนึกถึงอาวุธ นางเริ่มรื้อกล่องยาและพบขวดสเปรย์พริกไทยจึงหยิบมาถือไว้ ดีกว่าไม่มีอะไรเลยแม้ว่านางจะรู้ว่าข้างนอกนั้นอันตราย แต่ก็ยังแอบเปิดม่านมองออกไปด้านนอก มีเพียงโคมไฟที่แขวนส่องสว่างอยู่หน้ารถม้าเท่านั้น ด้านนอกแม้แต่แสงไปนี่ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี ในค่ำคืนที่มืดมิดดั่งน้ำหมึกเช่นนี้นางเห็นเพียงลูกธนูที่กระจัดกระจายพุ่งลงมาทั่วพื้น และทหารองครักษ์ที่ป้องกันพวกลูกธนูด้วยดาบทันใดนั้น จิตสังหารที่พุ่งเข้ามา ชายชุดดำหลายคนถือดาบสั้นทะยานลงมาบนท้องฟ้า“ปกป้องพระชายา!” ทหารองครักษ์ตะโกนด้วยน้ำเสียงดังทุ้ม แล้วพวกเขาก็พุ่งไปข้างหน้า เหลือสองคนและหมานเอ๋อร์เฝ้ารถม้าเอาไว้ชายในชุดดำนั้นโหดเหี้ยมมาก ลงมือโจมตีครั้งเดียวก็ฆ่าคนได้แล้ว หยวนชิงหลิงเห็นเลือดสาดกระจายไปทั่ว ไม่รู้ว่าใครทำร้ายใครกันแน่ชายในชุดดำโจมตีที่หน้ารถม้า หมานเอ๋อร์แทงด้วยดาบ จากนั้นสาดผงอะไรไม่รู้ไปหนึ่งกำ พยายามบังคับให้ชายในชุดดำถอยห่างออกไ
หยวนชิงหลิงสูดหายใจเข้าลึก ยื่นมือไปกุมท้องไว้ ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด "โม่โม่ ข้าเจ็บท้องมาก"โม่โม่ตกใจมาก "สวรรค์ เป็นอย่างไรบ้าง? ท้องเป็นอะไรไหมเพคะ?""ไม่ต้องกลัว..." หยวนชิงหลิงพิงกำแพง พยายามปรับลมหายใจช้า ๆ "ไม่...มันเจ็บมาก ข้าไปไม่ไหว โม่โม่รีบไปเถอะ"เสียงของดาบและอาวุธต่าง ๆของมือสังหารยังคงดังก้องมา กลิ่นเลือดที่ลอยไปตามลมก็ดูเหมือนจะอบอวลไปทั่วทั้งเมืองหลวงใบหน้านางข้าหลวงสี่ซีดเผือด นางย่อตัวลงจะแบกหยวนชิงหลิง แต่ท้องของหยวนชิงหลิงนั้นใหญ่มาก ถึงแม้ว่านางจะแบกได้ แต่มันก็อันตรายมากเช่นกันหมานเอ๋อร์ที่ได้รับบาดเจ็บรีบวิ่งเข้ามา ร่างกายของนางเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ได้กัดฟันฝืนทนไว้ นางกับนางข้าหลวงสี่พยุงหยวนชิงหลิงให้ล่าถอยในขณะนี้ได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นคนสามคนและสุนัขหนึ่งตัว ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่ ตัวเป่าตั้งท่าจะต่อสู้ และหมานเอ๋อร์เองถือดาบเพื่อขวางเอาไว้ทหารม้าเข้ามาหาพวกเขา มีคนมากกว่าสิบคนถือคบเพลิงและขี่ม้าเข้ามาทั้งสามคนมองและเห็นว่าผู้นำขบวนสวมเสื้อคลุมสีดำ ใบหน้าซีดผอมมือถือบังเหียนไว้และหยุดช้า ๆ ที่แท้คือพระชายาจี้ข
บาดแผลที่ท้องลึกและมีเลือดออกมากหากเสียเลือดมากเกินไป การถ่ายเลือดยังคงจำเป็นเพื่อช่วยชีวิต มิฉะนั้น เมื่อฤทธิ์ของยาจื่นจินหมดลง คนอาจไม่รอดก็ได้สำหรับสภาพร่างกายของหยวนชิงหลิงในตอนนี้ การถ่ายเลือดนั้นเป็นงานใหญ่เกินไปแต่เมื่อเทียบกับการเย็บบาดแผลกับการถ่ายเลือดถือเป็นงานง่าย ๆ เมื่อเทียบกับสภาพร่างกายนางบาดแผลที่ท้องนั้นจัดการได้ยากเป็นพิเศษ หลังจากยืนยันจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอวัยวะภายในอื่นเสียหาย จึงเริ่มเย็บแผลหลังจากเย็บชั้นแรกบนหน้าท้องเสร็จแล้ว นางรู้สึกว่าตากำลังจะบอดลง ดวงตานางแดงก่ำไปหมดสำหรับการยึดแผลที่หน้าท้องนั้น นางทำอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ จึงพูดกับจักรพรรดิหมิงหยวนว่า "เสด็จพ่อ โปรดไปเชิญเจ้าอาวาสวัดฮูกั๋วมาเถอะเพคะ"“เขารู้วิชาแพทย์ของเจ้าหรือไม่?” จักรพรรดิหมิงหยวนมองดูการเคลื่อนไหวของนาง และรู้สึกว่านางฝืนใช้แรงมากเกินไปหยวนชิงหลิงพูดอย่างเหนื่อยล้า "อย่างน้อย การเย็บแผลก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเพคะ"เขาเรียนหมอปริญญาเอกอยู่แล้วมิใช่หรือ? ดูเหมือนจะใช่ จำไม่ได้แล้ว แต่ไม่เป็นไร รุ่นน้อง คงต้องฝากนายแล้วล่ะ"เขา..." จักรพรรดิหมิงหยวนมองอ๋องฉีอย่างเคร่งเคร
มันไม่ง่ายเลยที่จะให้การสารภาพ ต้องทรมานอยู่นานเกือบตายกว่าจะยอมสารภาพได้ในขณะเดียวกัน พบจดหมายฉบับหนึ่ง และตั๋วหมื่นตำลึงในโรงเตี้ยมที่ทั้งคู่พักอยู่เป็นการชั่วคราวลายมือในจดหมายได้และตราประทับนั้นเป็นจดหมายที่อ๋องจี้เขียนด้วยตัวเองผลการสืบสวนของทหารองค์รักษ์ทั้งหมดถูกนำทูลเกล้าให้จักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนอ่านคำสารภาพและจดหมายที่มีตราประทับ พระพักตร์ของพระองค์ดำคล้ำจนเหมือนท้องฟ้ามืดครึ้มเพลิงโทสะปะทุในดวงตาของพระองค์ พระองค์สั่งการให้กู้ซีไปจับตัวอ๋องจี้มาขังไว้ก่อน และรอการลงโทษหลังจากอวี่เหวินห่าวกลับมาเพิ่งได้ทราบว่าหยวนชิงหลิงก็ถูกทำร้ายเช่นกัน เขาอยากรีบไปเจอหยวนชิงหลิง แต่ถูกจักรพรรดิหมิงหยวนสั่งให้ออกไปอีกครั้งเขาวางแนวป้องกันทั่วเมือง จัดพลลาดตระเวนตามล่าหาเบาะแสของมือสังหารคนอื่น ๆอวี่เหวินห่าวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรีบวิ่งไป โดยอ้างว่าดื่มน้ำ เมื่อเห็นว่านางปลอดภัยดี ไม่สนว่าพระชายาจี้จะอยู่ตรงนั้นหรือไม่ เขาก็กอดนางแน่น และจูบหน้าผากนางอยู่นานไม่ยอมปล่อยแม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่หยวนชิงหลิงก็เห็นทั้งความกังวลและความเจ็บปวดในแววตาของเขา เช่
หยวนชิงหลิงที่พักผ่อนในห้องด้านข้างกับพระชายาจี้และพระชายาซุนคู่สามีภรรยาอ๋องอันเข้าไปข้างในและทักทายทุกคนอ๋องอันมองหยวนชิงหลิงและถามว่า "พระชายาฉู่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เจอกับมือสังหารเช่นกัน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"หยวนชิงหลิงมองอ๋องอันและส่ายหน้าพร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไรเพคะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยเพคะ พี่สี่"อ๋องอันทำทีสงสาร "ข้าไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารมา แต่เขาต้องเป็นคนชั่วร้ายมากยิ่งนัก"พระชายาซุนกล่าวด้วยความประหลาดใจ "เจ้าสี่ เจ้าไม่รู้หรือ ฝ่าบาทสั่งให้จับกุมอ๋องจี้แล้ว"อ๋องอันตกตะลึง "อะไรนะ พี่ใหญ่เป็นคนทำ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?"เขาหันมองไปทางพระชายาจี้ทันทีด้วยสายตาที่ตกตะลึงพระชายาจี้เหลือบมองเขาอย่างเงียบ ๆ และหลุบตาลงพระชายาซุนพูดเสียดสี "ข้าหวังว่าจะไม่ใช่เขา ไม่อย่างนั้นคงเสียใจน่าดูที่เห็นพี่น้องห่ำหั่นกันเช่นนี้"อ๋องอันตกตะลึงอย่างมาก ตาเขาเบิกกว้าง "ไม่ใช่พี่ใหญ่ ข้าไม่เชื่อ"หยวนชิงหลิงมองไปที่อ๋องอันและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อ๋องอันเอ๋ย ใครจะยอมรับการฆ่ากันเองได้? นางมองไปทางพระชายาอ
"พระชายาฉู่ ระวัง!" อ๋องอันดูเหมือนจะตกใจ เขารีบยื่นมือไปช่วยและพูดขอโทษว่า "ข้าขอโทษ ข้าแค่จะเข้าห้องน้ำ ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในนั้น”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาซีดเซียวและดวงตาของเขายังคงเศร้าสร้อย อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของอ๋องฉี ดังนั้นนางจึงไม่คิดอะไรมาก และพูดว่า "ไม่เป็นไร ท่านเข้าเถอะ"เมื่อเห็นว่าอ๋องอันยังคงจับข้อศอกนางอยู่ นางจึงรีบถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่คาดไม่ถึงว่าอ๋องอันคิดว่านางจะสะดุดล้ม ขาจึงตกใจมากยื่นมือไปโอบนางไว้ทันที "พระชายาฉู่ ระวังด้วย!"หยวนชิงหลิงที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้กลิ่นไม้กฤษณาจากร่างเขาลอยโชยเข้ามา นางผลักเขาออกไปและถามอย่างเคร่งเครียดว่า "พี่สี่ ท่านทำอะไร?"อ๋องอันถอยหลังทันที ใบหน้าของเขาดูเขินอายเล็กน้อย "ข้าขอโทษ ข้าแค่คิดว่าเจ้าจะล้ม เฮ้อ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่? เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย พระชายาฉู่รีบกลับไปเถอะ"แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะสับสน แต่ท่าทางที่แปลกไปของอ๋องอันก็ทำให้นางฉุกคิดสังเกตขึ้นมาแม้ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาน่าจะเห็นว่านางไม่ได้จะสะดุดล้ม แม้ว่านางจะสะดุดล้ม เขาก็แค่ดึงแขนนางไว้ก็ได้ ทำไมเขา
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม