หยวนชิงหลิงที่พักผ่อนในห้องด้านข้างกับพระชายาจี้และพระชายาซุนคู่สามีภรรยาอ๋องอันเข้าไปข้างในและทักทายทุกคนอ๋องอันมองหยวนชิงหลิงและถามว่า "พระชายาฉู่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าได้เจอกับมือสังหารเช่นกัน เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?"หยวนชิงหลิงมองอ๋องอันและส่ายหน้าพร้อมพูดว่า "ไม่เป็นไรเพคะ ขอบคุณสำหรับความห่วงใยเพคะ พี่สี่"อ๋องอันทำทีสงสาร "ข้าไม่คิดว่าจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นในช่วงวันส่งท้ายปีเก่า ข้าไม่รู้ว่าใครเป็นคนส่งมือสังหารมา แต่เขาต้องเป็นคนชั่วร้ายมากยิ่งนัก"พระชายาซุนกล่าวด้วยความประหลาดใจ "เจ้าสี่ เจ้าไม่รู้หรือ ฝ่าบาทสั่งให้จับกุมอ๋องจี้แล้ว"อ๋องอันตกตะลึง "อะไรนะ พี่ใหญ่เป็นคนทำ? เป็นไปได้อย่างไรกัน?"เขาหันมองไปทางพระชายาจี้ทันทีด้วยสายตาที่ตกตะลึงพระชายาจี้เหลือบมองเขาอย่างเงียบ ๆ และหลุบตาลงพระชายาซุนพูดเสียดสี "ข้าหวังว่าจะไม่ใช่เขา ไม่อย่างนั้นคงเสียใจน่าดูที่เห็นพี่น้องห่ำหั่นกันเช่นนี้"อ๋องอันตกตะลึงอย่างมาก ตาเขาเบิกกว้าง "ไม่ใช่พี่ใหญ่ ข้าไม่เชื่อ"หยวนชิงหลิงมองไปที่อ๋องอันและอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อ๋องอันเอ๋ย ใครจะยอมรับการฆ่ากันเองได้? นางมองไปทางพระชายาอ
"พระชายาฉู่ ระวัง!" อ๋องอันดูเหมือนจะตกใจ เขารีบยื่นมือไปช่วยและพูดขอโทษว่า "ข้าขอโทษ ข้าแค่จะเข้าห้องน้ำ ข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในนั้น”เมื่อเห็นว่าใบหน้าของเขาซีดเซียวและดวงตาของเขายังคงเศร้าสร้อย อาจเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของอ๋องฉี ดังนั้นนางจึงไม่คิดอะไรมาก และพูดว่า "ไม่เป็นไร ท่านเข้าเถอะ"เมื่อเห็นว่าอ๋องอันยังคงจับข้อศอกนางอยู่ นางจึงรีบถอยออกไปอย่างไม่รู้ตัว แต่คาดไม่ถึงว่าอ๋องอันคิดว่านางจะสะดุดล้ม ขาจึงตกใจมากยื่นมือไปโอบนางไว้ทันที "พระชายาฉู่ ระวังด้วย!"หยวนชิงหลิงที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้กลิ่นไม้กฤษณาจากร่างเขาลอยโชยเข้ามา นางผลักเขาออกไปและถามอย่างเคร่งเครียดว่า "พี่สี่ ท่านทำอะไร?"อ๋องอันถอยหลังทันที ใบหน้าของเขาดูเขินอายเล็กน้อย "ข้าขอโทษ ข้าแค่คิดว่าเจ้าจะล้ม เฮ้อ วันนี้เกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่? เหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลย พระชายาฉู่รีบกลับไปเถอะ"แม้ว่าหยวนชิงหลิงจะสับสน แต่ท่าทางที่แปลกไปของอ๋องอันก็ทำให้นางฉุกคิดสังเกตขึ้นมาแม้ว่าเขาจะร้อนรนแค่ไหน เขาน่าจะเห็นว่านางไม่ได้จะสะดุดล้ม แม้ว่านางจะสะดุดล้ม เขาก็แค่ดึงแขนนางไว้ก็ได้ ทำไมเขา
ทางด้านอ๋องฉีที่มีหยวนหยงอี้กับฮองเฮาอยู่เฝ้า และอาซื่อก็อยู่ที่นั่นด้วยเจ้าอาวาสได้เชิญลงไปดื่มชาแล้ว มีหมอหลวงหลายคนรอรับใช้อยู่ใกล้ ๆ“พี่หยวน เขาจะฟื้นไหม?” หยวนหยงอี้ร้องไห้จนตาบวม นางจับมือหยวนชิงหลิงและถามออกมาฮองเฮาที่ได้ยิน ก็รีบมองไปที่หยวนชิงหลิงอย่างกระตือรือร้นหยวนชิงหลิงยกยิ้มปลอบใจ "คนดีฟ้าคุ้มครอง ต้องไม่เป็นไรแน่"คำพูดแบบนี้เป็นคำปลอบโยนที่จืดชืดที่สุด แต่เพราะหยวนชิงหลิงพูดออกมา หยวนหยงอี้จึงรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก"เสด็จแม่ไปพักสักหน่อยเถอะเพคะ" หยวนชิงหลิงเห็นว่านางนั่งสัปผงกเล็กน้อยและดูเหมือนกำลังจะเป็นลมได้ทุกเมื่อฮองเฮาโบกพระหัตถ์มองลูกชายที่เหมือนสำลีขาดรุ่งริ่ง นางอดไม่ได้ที่จะร้องไห้อีกครั้ง "ไม่ ข้าจะเฝ้าเขา"หลังจากผ่านสถานการณ์ความเป็นความตายของลูกชายมาสองครั้งติดต่อกัน ฮองเฮาก็เข้าใจทุกอย่างอย่างถ่องแท้ไม่ว่าบัลลังก์จักรพรรดิจะดีแค่ไหน ถ้าหากเขาไม่มีชีวิตแล้ว จะไปมีประโยชน์อะไร?ดังนั้นนางจึงมีทัศนคติใหม่ต่อหยวนชิงหลิง อย่างน้อยกับเจ้าแปดในครั้งนี้ นางยืนหยัดขึ้นโดยไม่ลังเล และถูกลอบสังหารด้วยซ้ำนางพูดกับหยวนชิงหลิง "มีหมอหลวงเฝ้าอยู่
เจ้าอาวาสกล่าวว่า "ที่จริงแล้วสภาพแวดล้อมคงรับประกันไม่ได้ว่าจะปลอดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์"หยวนชิงหลิงกล่าวว่า "คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่เท่านั้น"เจ้าอาวาสพยักหน้า “นี่ถือเรื่องใหญ่ ในเมื่อรุ่นพี่ถามอาตมา อาตมาก็ย่อมจะช่วยเหลือเป็นธรรมดา”“ข้าจะสั่งให้คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ คนที่เข้าไปในห้องผ่าตัดล้วนแต่เป็นคนสนิทของข้า ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหลุดออกไปจะกระทบชื่อเสียงท่านได้”ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นเจ้าอาวาสวัดฮูกั๋ว ซึ่งไม่ต่างอะไรจากราชครูของประเทศนี้ ถ้ารู้ว่าเขามาทำคลอดให้ผู้หญิง มันจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหายแน่นอนเจ้าอาวาสหัวเราะ "ทำไมเล่า การให้ทารกได้กำเนิดมาอย่างปลอดภัยก็เพื่อช่วยสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าของเราย่อมส่งเสริม"หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินเช่นนี้“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ คาดว่าหลายคนจะจับจ้องข้าทั้งก่อนและหลังคลอด ท่านคืออาวุธลับสุดท้ายของข้า นอกจากข้ากับท่านแล้ว ข้าจะไม่บอกคนอื่น อย่างท่านอ๋องเองข้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับชั่วคราว”ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้าห้าจะหลุดพูดออกมา แต่เจ้าห้าเ
เจ้าอาวาสถามว่า "รุ่นพี่ สมองของร่างกายนี้ถูกท่านควบคุมอย่างสมบูรณ์ แต่ท่านยังสามารถควบคุมกล่องยาได้ ท่านรู้ไหมว่าทำไม?"หยวนชิงหลิงจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปวัดฮูกั๋ว และไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก ครั้งล่าสุดนั้นที่เขาเอาเรื่องเทววิทยากับงานวิจัยของเขาเองมาผสมกัน ทำให้นางตกใจจริง ๆ“เพราะอะไรกัน?” หยวนชิงหลิงถามถ้วยค่อย ๆ ตกลงบนหลังนาง นางหยิบมันและวางลงบนโต๊ะ แล้วมองไปที่เจ้าอาวาสเจ้าอาวาสกล่าวว่า “เพราะในที่ ๆ ท่านเคยอาศัยอยู่ อาจมีคนคนหนึ่งที่มีจิตสำนึกของท่านเชื่อมอยู่ถึงกันด้วย แต่ท่านยังไม่รู้ตัวเท่านั้น”หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ท่านหมายถึงว่า การวิจัยของข้าประสบความสำเร็จแล้วใช่ไหม? ยาที่ข้าพัฒนาขึ้นได้ถูกนำไปใช้ในภายหลังใช่ไหม?"“แผนการวิจัยของท่านถูกระงับไว้ และไม่มีใครทำวิจัยแบบเดียวกันนี้อีก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครเผยแพร่งานวิจัยต่อสาธารณะ เพราะมนุษยชาติฉลาดพออยู่แล้ว” เจ้าอาวาสกล่าว“ดังนั้นท่านทำวิจัยเป็นการส่วนตัวอยู่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงถามดวงตาของเจ้าอาวาสยังคงเต็มไปด้วยไฟแห่งความรักในการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ “ใช่แล้ว ข้าศึกษาเรื่องของท่านตั้งแต่อา
เมื่อคนเราเกิดมาจะเป็นตัวกำหนดจำนวนเซลล์สมองที่มีอยู่ หลังจากอายุสิบแปดปี เซลล์สมองจะลดลงและตายทุกปีงานวิจัยของหยวนชิงหลิงเองนั้นเริ่มต้นจากการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดเซลล์ประสาท ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการวิจัยว่าเซลล์ประสาท สามารถถูกกระตุ้นให้สร้างความแตกต่าง และสร้างเซลล์ต้นกำเนิดจากระบบประสาทขึ้นใหม่ได้แต่การสร้างเซลล์ประสาทนี้จำกัดอยู่เพียงสองบริเวณคือระบบประสาทส่วนกลาง และใยประสาทที่นำกระแสเข้าสู่ตัวเซลล์ภายในฮิปโปแคมปัส การวิจัยของนางอยู่นอกเหนือขอบเขตที่จะกล่าวว่าเซลล์สมองสามารถแบ่งตัวและงอกใหม่ได้จึงไม่เก็บเอาคำของเจ้าอาวาสมาใส่ใจอย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าแม้การสนทนาของนางกับเจ้าอาวาสจะน่าตื่นเต้น แต่นี่เป็นสนามที่คุ้นเคยมิใช่การแย่งตำแหน่งรัชทายาท มิใช่การวิวาท มิใช่อุบายการโต้เถียงกันในโลกวิชาการแม้จะดุเดือดและเฉียบคม ก็ไม่ทำให้ผู้คนเบื่อหน่าย แต่จะยิ่งทำให้ผู้คนตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นมันยิ่งทำให้นางมุ่งมั่นที่จะเปิดโรงเรียนแพทย์สถานการณ์ของอ๋องฉียังคงไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ดังนั้นแม้ว่าฟ้าจะมืดแล้ว แต่หยวนชิงหลิงก็ยังกลับไปไม่ได้วันนี้จึงอยู่ค้างคืนต่อที่นี่เจ้าห้ายั
อวี่เหวินห่าวรับคำสั่งและกำลังไป มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขา หากเป็นเจ้าสี่ การเคลื่อนไหวนี้ได้ถูกวางแผนไว้นานแล้วรอจนกว่าเขาจะกลับไปที่จวนจิ้งเป่าก่อนแล้วค่อยลงมือ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเขาฆ่าน้องเจ็ดใส่ร้ายพี่ใหญ่ ในท้ายที่สุด เขาซึ่งเป็นผู้ว่าจวนจิ้เงป่าถูกปลดออกอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีความสามรถเพียงพอในการจับกุมผู้ลอบสังหารวางแผนได้เยี่ยมจริง ๆในความเป็นจริงอวี่เหวินห่าวได้ป้องกันเขาอย่างลับ ๆ แต่เขาไม่มีทางโจมตีก่อนตอนนี้เขาได้พยายามสะสมการติดต่อมากมาย แต่สถานการณ์ของเหล่าหยวนนั้นสะดุดตาเกินไป เขาทำอะไรก็มีผู้คนเฝ้าจับตาดู หากเขาก้าวพลาดไปก้าวเดียว หรือหากมีพฤติกรรมผิดปกติในจวนอ๋องฉู่ เสด็จพ่อก็จะเข้ามาจัดการเขาทันทีเสด็จพ่อ พระองค์รู้ไหมว่าความสนใจของพระองค์มันบีบคันข้าจริง ๆ? มันบีบคั้นจนข้าได้แต่ถูกล้อมรุมทุบตีแบบนี้อวี่เหวินห่าวขึ้นหลังม้าอย่างเหน็ดเหนื่อย นึกได้ว่าตั้งแต่เหล่าหยวนถูกโจมตีนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางเลยเหล่าหยวนนั้นขี้น้อยใจ ครั้งนี้จะตกใจจนรับไม่ไหวหรือไม่?ขอบตาอวี่เหวินห่าวแดงก่ำ เขาไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อนจวนอ๋องอันธูปถูกจุด
ในตอนบ่ายอาการอ๋องฉีค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นแม้ว่าการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตจะยังไม่ปกติ แต่ก็มีความคืบหน้ามากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนหยวนชิงหลิงอยากกลับไปที่จวนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า นางข้าหลวงสี่จึงสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าเอาไว้รถม้าพร้อมแล้ว นางข้าหลวงสี่ช่วยประคองหยวนชิงหลิงไปที่รถม้า จากนั้นก็กลับไปช่วยพยุงหมานเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเมื่อหยวนชิงหลิงเข้าไปในรถม้า ล้อของรถม้าก็หลุดออกไปจู่ ๆ รถม้าก็ทรุดลงและเอียงตะแคง ซึ่งทำให้ทหารองค์รักษ์ตกใจเป็นอย่างมากโชคดีที่หยวนชิงหลิงไม่ล้มลงไป แต่ศีรษะไปกระแทกกับคานของรถม้าไม่เจ็บอะไรมากนักนางข้าหลวงสี่จึงช่วยประคองนางลงจากรถม้า และพูดด้วยความโกรธว่า "พวกบ่าวในเรือนอ๋องฉีนี่มันอย่างไรกัน รถม้าพังทำไมไม่ซ่อม""ช่างเถอะ ดูสักหน่อยว่ามีรถม้าคันอื่นพอใช้ได้ไหม?" หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่สบายใจหลังจากเกิดเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงอยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุดทหารองค์รักษ์เข้าไปถามและบอกว่ามีรถม้าเพียงสองคันภายในจวน และหนึ่งในนั้นออกไปทำธุระแล้วหยวนชิงหลิงจึงเอ่ยว่า "งั้นรอสักครู่ก่อนเถอะ"ขณะที่นางคิดจะกลับเข้าไป ก็เหลือบไปเห็นรถม้าขอ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม