เจ้าอาวาสกล่าวว่า "ที่จริงแล้วสภาพแวดล้อมคงรับประกันไม่ได้ว่าจะปลอดเชื้อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์"หยวนชิงหลิงกล่าวว่า "คงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เราต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่เท่านั้น"เจ้าอาวาสพยักหน้า “นี่ถือเรื่องใหญ่ ในเมื่อรุ่นพี่ถามอาตมา อาตมาก็ย่อมจะช่วยเหลือเป็นธรรมดา”“ข้าจะสั่งให้คนเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ คนที่เข้าไปในห้องผ่าตัดล้วนแต่เป็นคนสนิทของข้า ไม่ต้องกลัวว่าถ้าหลุดออกไปจะกระทบชื่อเสียงท่านได้”ท้ายที่สุดแล้ว เขาเป็นเจ้าอาวาสวัดฮูกั๋ว ซึ่งไม่ต่างอะไรจากราชครูของประเทศนี้ ถ้ารู้ว่าเขามาทำคลอดให้ผู้หญิง มันจะทำให้ชื่อเสียงของเขาเสียหายแน่นอนเจ้าอาวาสหัวเราะ "ทำไมเล่า การให้ทารกได้กำเนิดมาอย่างปลอดภัยก็เพื่อช่วยสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าของเราย่อมส่งเสริม"หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจหลังจากได้ยินเช่นนี้“อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ คาดว่าหลายคนจะจับจ้องข้าทั้งก่อนและหลังคลอด ท่านคืออาวุธลับสุดท้ายของข้า นอกจากข้ากับท่านแล้ว ข้าจะไม่บอกคนอื่น อย่างท่านอ๋องเองข้าจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับชั่วคราว”ไม่ใช่ว่ากลัวเจ้าห้าจะหลุดพูดออกมา แต่เจ้าห้าเ
เจ้าอาวาสถามว่า "รุ่นพี่ สมองของร่างกายนี้ถูกท่านควบคุมอย่างสมบูรณ์ แต่ท่านยังสามารถควบคุมกล่องยาได้ ท่านรู้ไหมว่าทำไม?"หยวนชิงหลิงจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ไปวัดฮูกั๋ว และไม่กล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก ครั้งล่าสุดนั้นที่เขาเอาเรื่องเทววิทยากับงานวิจัยของเขาเองมาผสมกัน ทำให้นางตกใจจริง ๆ“เพราะอะไรกัน?” หยวนชิงหลิงถามถ้วยค่อย ๆ ตกลงบนหลังนาง นางหยิบมันและวางลงบนโต๊ะ แล้วมองไปที่เจ้าอาวาสเจ้าอาวาสกล่าวว่า “เพราะในที่ ๆ ท่านเคยอาศัยอยู่ อาจมีคนคนหนึ่งที่มีจิตสำนึกของท่านเชื่อมอยู่ถึงกันด้วย แต่ท่านยังไม่รู้ตัวเท่านั้น”หยวนชิงหลิงคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ท่านหมายถึงว่า การวิจัยของข้าประสบความสำเร็จแล้วใช่ไหม? ยาที่ข้าพัฒนาขึ้นได้ถูกนำไปใช้ในภายหลังใช่ไหม?"“แผนการวิจัยของท่านถูกระงับไว้ และไม่มีใครทำวิจัยแบบเดียวกันนี้อีก อย่างน้อยที่สุดก็ไม่มีใครเผยแพร่งานวิจัยต่อสาธารณะ เพราะมนุษยชาติฉลาดพออยู่แล้ว” เจ้าอาวาสกล่าว“ดังนั้นท่านทำวิจัยเป็นการส่วนตัวอยู่หรือไม่?” หยวนชิงหลิงถามดวงตาของเจ้าอาวาสยังคงเต็มไปด้วยไฟแห่งความรักในการวิจัยค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ “ใช่แล้ว ข้าศึกษาเรื่องของท่านตั้งแต่อา
เมื่อคนเราเกิดมาจะเป็นตัวกำหนดจำนวนเซลล์สมองที่มีอยู่ หลังจากอายุสิบแปดปี เซลล์สมองจะลดลงและตายทุกปีงานวิจัยของหยวนชิงหลิงเองนั้นเริ่มต้นจากการศึกษาเกี่ยวกับการกำเนิดเซลล์ประสาท ซึ่งมีพื้นฐานมาจากการวิจัยว่าเซลล์ประสาท สามารถถูกกระตุ้นให้สร้างความแตกต่าง และสร้างเซลล์ต้นกำเนิดจากระบบประสาทขึ้นใหม่ได้แต่การสร้างเซลล์ประสาทนี้จำกัดอยู่เพียงสองบริเวณคือระบบประสาทส่วนกลาง และใยประสาทที่นำกระแสเข้าสู่ตัวเซลล์ภายในฮิปโปแคมปัส การวิจัยของนางอยู่นอกเหนือขอบเขตที่จะกล่าวว่าเซลล์สมองสามารถแบ่งตัวและงอกใหม่ได้จึงไม่เก็บเอาคำของเจ้าอาวาสมาใส่ใจอย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าแม้การสนทนาของนางกับเจ้าอาวาสจะน่าตื่นเต้น แต่นี่เป็นสนามที่คุ้นเคยมิใช่การแย่งตำแหน่งรัชทายาท มิใช่การวิวาท มิใช่อุบายการโต้เถียงกันในโลกวิชาการแม้จะดุเดือดและเฉียบคม ก็ไม่ทำให้ผู้คนเบื่อหน่าย แต่จะยิ่งทำให้ผู้คนตื่นเต้นมากขึ้นเท่านั้นมันยิ่งทำให้นางมุ่งมั่นที่จะเปิดโรงเรียนแพทย์สถานการณ์ของอ๋องฉียังคงไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ดังนั้นแม้ว่าฟ้าจะมืดแล้ว แต่หยวนชิงหลิงก็ยังกลับไปไม่ได้วันนี้จึงอยู่ค้างคืนต่อที่นี่เจ้าห้ายั
อวี่เหวินห่าวรับคำสั่งและกำลังไป มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขา หากเป็นเจ้าสี่ การเคลื่อนไหวนี้ได้ถูกวางแผนไว้นานแล้วรอจนกว่าเขาจะกลับไปที่จวนจิ้งเป่าก่อนแล้วค่อยลงมือ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัวเขาฆ่าน้องเจ็ดใส่ร้ายพี่ใหญ่ ในท้ายที่สุด เขาซึ่งเป็นผู้ว่าจวนจิ้เงป่าถูกปลดออกอีกครั้ง เนื่องจากไม่มีความสามรถเพียงพอในการจับกุมผู้ลอบสังหารวางแผนได้เยี่ยมจริง ๆในความเป็นจริงอวี่เหวินห่าวได้ป้องกันเขาอย่างลับ ๆ แต่เขาไม่มีทางโจมตีก่อนตอนนี้เขาได้พยายามสะสมการติดต่อมากมาย แต่สถานการณ์ของเหล่าหยวนนั้นสะดุดตาเกินไป เขาทำอะไรก็มีผู้คนเฝ้าจับตาดู หากเขาก้าวพลาดไปก้าวเดียว หรือหากมีพฤติกรรมผิดปกติในจวนอ๋องฉู่ เสด็จพ่อก็จะเข้ามาจัดการเขาทันทีเสด็จพ่อ พระองค์รู้ไหมว่าความสนใจของพระองค์มันบีบคันข้าจริง ๆ? มันบีบคั้นจนข้าได้แต่ถูกล้อมรุมทุบตีแบบนี้อวี่เหวินห่าวขึ้นหลังม้าอย่างเหน็ดเหนื่อย นึกได้ว่าตั้งแต่เหล่าหยวนถูกโจมตีนั้น เขาไม่ได้พูดอะไรกับนางเลยเหล่าหยวนนั้นขี้น้อยใจ ครั้งนี้จะตกใจจนรับไม่ไหวหรือไม่?ขอบตาอวี่เหวินห่าวแดงก่ำ เขาไม่เคยรู้สึกผิดแบบนี้มาก่อนจวนอ๋องอันธูปถูกจุด
ในตอนบ่ายอาการอ๋องฉีค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นแม้ว่าการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตจะยังไม่ปกติ แต่ก็มีความคืบหน้ามากเมื่อเทียบกับเมื่อก่อนหยวนชิงหลิงอยากกลับไปที่จวนเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า นางข้าหลวงสี่จึงสั่งให้คนไปเตรียมรถม้าเอาไว้รถม้าพร้อมแล้ว นางข้าหลวงสี่ช่วยประคองหยวนชิงหลิงไปที่รถม้า จากนั้นก็กลับไปช่วยพยุงหมานเอ๋อร์คาดไม่ถึงว่าเมื่อหยวนชิงหลิงเข้าไปในรถม้า ล้อของรถม้าก็หลุดออกไปจู่ ๆ รถม้าก็ทรุดลงและเอียงตะแคง ซึ่งทำให้ทหารองค์รักษ์ตกใจเป็นอย่างมากโชคดีที่หยวนชิงหลิงไม่ล้มลงไป แต่ศีรษะไปกระแทกกับคานของรถม้าไม่เจ็บอะไรมากนักนางข้าหลวงสี่จึงช่วยประคองนางลงจากรถม้า และพูดด้วยความโกรธว่า "พวกบ่าวในเรือนอ๋องฉีนี่มันอย่างไรกัน รถม้าพังทำไมไม่ซ่อม""ช่างเถอะ ดูสักหน่อยว่ามีรถม้าคันอื่นพอใช้ได้ไหม?" หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่สบายใจหลังจากเกิดเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ ดังนั้นนางจึงอยากกลับบ้านโดยเร็วที่สุดทหารองค์รักษ์เข้าไปถามและบอกว่ามีรถม้าเพียงสองคันภายในจวน และหนึ่งในนั้นออกไปทำธุระแล้วหยวนชิงหลิงจึงเอ่ยว่า "งั้นรอสักครู่ก่อนเถอะ"ขณะที่นางคิดจะกลับเข้าไป ก็เหลือบไปเห็นรถม้าขอ
หยวนชิงหลิงหยิบไม้เท้าจักรพรรดิในกระเป๋าแขนเสื้อนาง เมื่อรถม้าขับแล่นไป มันก็ไร้ประโยชน์สำหรับนางที่จะกรีดร้องอยู่ข้างในนี้การส่งเสียงตะโกนไม่ใช่อาวุธ“ท่านอ๋องวางแผนจับข้าเป็นตัวประกันหรือ?” หยวนชิงถามด้วยใบหน้าเย็นชาอ๋องอันหัวเราะเหอะ ๆ "ทำไมเจ้าถึงระแวดระวังจริง ข้าไม่กินเจ้าหรอก แค่จะส่งเจ้ากลับบ้านเท่านั้น"ประโยคที่ว่าจะไม่กินเจ้า ทำให้หยวนชิงหลิงนึกถึงวิธีการดมผ้าเช็ดหน้าแบบหยาบคายของเขา และอดไม่ได้ที่จะขนลุกไปทั้งตัวนางขยับไปด้านข้างเพื่อรักษาระยะห่างจากเขา แต่รถม้าไม่กว้างขวาง และเขาก็ตัวสูง ไม่ว่านางจะซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ความสูงของเขาที่บีบคั้นและกดดันนาง ทำให้นางรู้สึกหายใจไม่ออกหยวนชิงหลิงกลั้นอาการคลื่นไส้ของนาง "ถ้าอย่างนั้น ข้าคงไม่ต้องขอบคุณท่านอ๋องสินะ"อ๋องอันขยับไปข้าง ๆ นาง และกลิ่นของไม้กฤษณาโชยมา กลิ่นของไม้กฤษณานั้นหอมมาก แต่หยวนชิงหลิงที่รู้สึกอยากอาเจียนในตอนนี้ และไม่อยากได้กลิ่นนี้อีกในชีวิตนาง"ข้าได้ยินว่า" เขาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองตรงไปที่หยวนชิงหลิงด้วยสายตาที่ชั่วร้ายและเลวทราม "เจ้ากำลังตั้งท้องลูกแฝดสาม เจ้าบอกทีสิว่าทำไมดวงเจ้าถึงดีนัก"เขาเ
เมื่อเห็นอ๋องอันถูกตี สารถีก็โกรธมาก แต่หยวนชิงหลิงกระโดดลงมาอย่างมั่นคง ไม่มีล้ม จากนั้นใช้ไม้ฟาดไปที่ก้นม้าพร้อมตะโกนว่า "ไป!"ม้าเจ็บจึงลากรถวิ่งหนีไปข้างหลังนาง ทหารองค์รักษ์ที่ตามมามองไปที่หยวนชิงหลิงด้วยความประหลาดใจ "พระชายา เกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ? เกิดอะไรขึ้น?"หยวนชิงหลิงพยุงท้องนาง จากนั้นร่างนางก็สั่นสะท้าน ฟันก็สั่นกระทบกันบนถนนในฤดูหนาวนี้ช่างลมแรง แต่หยวนชิงหลิงกลับหน้าซีดและเหงื่อออกเป็นอย่างมากนางยืนพิงประตูร้านข้างถนน ทรุดตัวนั่งลงช้า ๆ หายใจเข้าลึก นางข้าหลวงสี่ที่ไล่ตามทันแล้ว นางจับมือของโม่โม่และบีบแน่น "กลับบ้าน กลับบ้านกันเถอะ"เมื่อเห็นนางเช่นนี้ นางข้าหลวงสี่รู้สึกตื่นตระหนกหวาดกลัว แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร ช่วยนางเข้าไปในรถม้าของพระชายาจี้ตอนที่นางช่วยหมานเอ๋อร์ออกมา นางเห็นว่ารถม้าของอ๋องอันออกไปแล้ว พระชายาจี้ที่ฟังนางเล่าจึงบอกให้นางขึ้นรถม้า และไล่ตามนางไปพระชายาจี้ที่อยู่ในรถม้า เห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา นางจึงปิดปากและหันหน้าหนีไปอีกทางหยวนชิงหลิงพูดอย่างอ่อนแรง "เจ้าไม่ต้องปิดหรอก โรคของเจ้าไม่แพร่เชื้อแล้ว"รถม้าไม่ใหญ่นัก นางข้าหลวงสี่นั่งด้วย
ใบหน้าของหยวนชิงหลิงเย็นชา และไม่ได้พูดอะไรสักคำพระชายาจี้ทำให้หัวใจของนางแข็งกระด้างเหมือนเหล็กกล้า และพูดอีกประโยคหนึ่งว่า "ใส่ร้ายว่าท่านอ๋องทำรุ่มร่าม นี่เป็นครั้งแรกสำหรับเจ้าใช่หรือไม่?"คำพูดเหล่านี้ทำลายหยวนชิงหลิงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย“ข้าไม่มีวันรอดพ้นคำสาปนี้ไปตลอดชีวิต” หยวนชิงหลิงกัดฟันพระชายาจี้พูดเบา ๆ "เจ้าทนได้เท่านั้น จนกว่าเจ้าจะคลอดลูก เจ้าห้าก็ต้องทนด้วย ถ้าข้าเดาถูก เสด็จพ่อจะลงโทษในครั้งนี้แน่ แต่พวกเจ้าไม่ต้องเสียใจไป ลูกชายของพระองค์ คนหนึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส และอีกคนหนึ่งถูกจำคุก เจ้าห้าเป็นผู้บริสุทธิ์ พระองค์ย่อมทรงทราบดี ตอนนี้พระองค์ต้องใช้แผนอะไรสักอย่างเพื่อปกป้องเจ้าห้าก่อน อ๋องอันเป็นคนฉลาดแกมโกง แต่ฝ่าบาทก็ฉลาดด้วยเช่นกัน”หลังจากได้ยินเช่นนี้แล้ว หยวนชิงหลิงนั้นรู้สึกเหนื่อยล้าทันที นางเป็นนักวิจัยทางการแพทย์ ไม่ใช่ยอดฝีมือด้านเกมการเมือง ดังนั้นนางจึงไม่อาจมองทะลุถึงความความซับซ้อนตรงนี้ได้แม้ว่านางจะบีบตัวเองให้ทำเรื่องที่ตัวเองไม่ทำ แต่นางก็ยังช้ากว่าคนอื่นครึ่งก้าวนางมองพระชายาจี้และพูดว่า "ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอบคุณที่ช่วยข้าไว้ถึงสองคร