พระชายาจี้ตกใจ และมองไปที่ประตู เห็นแค่เจ้าห้าที่ยืนพิงประตูด้วยท่าทางเศร้าสร้อย พระชายาจี้พูดจาเลิ่กลั่ก “กลับมาแล้วรึ? ข้าไม่ได้ว่าเจ้า ข้าแค่อยากบอกว่า ผู้ชายในโลกล้วนเปลี่ยนไปได้ ไม่ได้ว่าเจ้า” อวี่เหวินห่าวชำเลืองมองไปที่สัดส่วนในร่างกายตัวเอง และถอนหายใจเบา ๆ "พี่สะใภ้ใหญ่ สงสัยว่าข้าไม่ใช่ผู้ชายหรือ?" พระชายาจี้รีบโบกมือ "ไม่ ข้าไม่เคยพูดเช่นนั้น" "หมายถึงเรื่องนี้?" “ไม่ ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” พระชายาจี้ลำบากใจมาก มันน่าละอายจริง ๆ ที่ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา จึงรีบบอกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่บ้านและจากไป หมาป่าอวดหาง เพราะกลัวคนอื่นจะมองข้าม หรือมองไม่เห็นตน หยวนชิงหลิงหัวเราะ และมองอวี่เหวินห่าวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่หดหู่ "ท่านบอกสิว่านางทำอะไร? นางตั้งใจดีจริง ๆ ให้ข้าระวังสุนัขอวดหางอย่างพวกท่าน"“เหล่าหยวน” อวี่เหวินห่าวเข้ามาบีบแก้มนางและพูดอย่างชั่วร้าย “เป็นคนต้องมีมโนธรรม แล้วข้าเหมือนสุนัขอวดหางแบบนั้นรึ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าเป็นสุนัขหางสั้นอยู่ล้อมรอบตัวเจ้า และในท้องเจ้าอีกสามตัว แค่เห่าเรียกก็หันกลับมาแล้ว” หยวนชิงหลิงหัวเราะจนน้ำตาเล็ด
อวี่เหวินห่าวคิดว่านางแค่ล้อเล่น โรงเรียนแพทย์งั้นเหรอ? อะไรนั่น? สอนให้คนเรียนแพทย์รึ? สำหรับวิชาแพทย์ของนาง ไม่มีใครที่นี่สามารถเรียนรู้ได้ เพราะพวกเขาไม่มีสิ่งเหล่านี้ หยวนชิงหลิงนั้นจริงจังมาก นี่ไม่ใช่สิ่งที่เพิ่งคิดขึ้นมา ตั้งแต่ตอนที่ไปถนนคนเดินกับเขา แล้วได้เห็นแถวยาวเหยียดที่ทางเข้าโรงหมอ และถามเกี่ยวกับแนวทางการรักษาของที่นี่แล้ว นางก็มีความคิดขึ้นนี้มา แต่ในเวลานั้น ความคิดยังเป็นเพียงแค่ความคิด อย่างไรก็ตาม มันต้องใช้เงิน กำลังคน ทรัพยากรวัสดุ กระจายข่าวสาร และอย่างอื่นอีก หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว หยวนชิงหลิงก็พูดว่า "วันนี้พระชายาจี้บอกว่า นางสามารถช่วยท่าน สนับสนุนท่านขึ้นสู่ตำแหน่งรัชทายาทได้" อวี่เหวินห่าวส่ายหน้าเล็กน้อย "นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพูดแบบนั้น" "แล้วท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?" หยวนชิงหลิงนั่งลงที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และแต่งหน้าเอง เมื่อนางอยู่ในห้องกับเจ้าห้า นางแทบไม่ต้องให้ใครมาปรนนิบัติรับใช้แม้แต่น้อย อวี่เหวินห่าวกอดนางจากข้างหลังแล้วพูดว่า "เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?" "เครือข่ายของนางกว้างขวางมาก หากสามารถนำมาใช้ได้ มันจะเป็นประโยชน์กับท่านแ
"หยวนชิงหลิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก "ข้าไม่ได้รู้สึกแย่ ข้าไม่ได้คิดเรื่องหยุมหยิมพวกนั้น อย่าเห็นใจข้าไปเลย"อวี่เหวินห่าวรู้สึกผิดหวังนิดหน่อย "ทำไมเจ้าถึงไม่คิดกัน? ทำไมจะคิดไม่ได้ ข้ายังเคยถามกู้ซีเลย"หยวนชิงหลิงมองเหม่อไปที่เขา “ท่านถามกู้ซีไปทำอะไร? เขาเคยผ่านสาว ๆ มาเยอะอย่างนั้นรึ? แล้วท่านยังเคยเอาเรื่องลับ ๆ ในห้องของพวกเราไปคุยกับกู้ซีด้วยหรือ?”"ไม่ใช่แค่กับกู้ซี บางครั้งก็ยังคุยกับพวกถังหยางและจิ้งเหยียนด้วย”หยวนชิงหลิงโกรธเหลือเกิน และมองไปทางเขาก็รู้สึกว่าควรต้องนั่งคุยกันหน่อยแล้ว"เจ้าห้า นั่งลง ข้ามีเรื่องอยากคุยกับท่าน” หยวนชิงหลิงนั่งลงก่อนหยวนชิงหลิงมองไปที่เขา รู้สึกว่าคอนที่นางท้องอยู่นี้ ทำไมถึงเกิดเรื่องไม่หยุดหย่อนสงสัยต้องควบคุมความคิดเขาหน่อยแล้วหยวนชิงหลิงว่า “ต่อจากนี้ไป ไม่ว่าจะกู้ซีหรือใคร จะไปพูดเรื่องพวกนี้กับพวกเขาไม่ได้นะ”อวี่เหวินห่าวตกใจ “แต่ว่าพวกผู้ชายอยู่ด้วยกันแล้วคุยเรื่องอะไรได้อีกรึ? จะให้มาคุยถกขับบทกวีมันก็หาใช่ไม่”'อย่างอื่นเล่า? อย่างราชกิจ? การงาน?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า “เรื่องปกติพวกนี้ ไม่คุยกันเป็นการส่วนตัวหรอก”"งั้น
หยวนชิงหลิงรีบหยุดคุยหัวข้อนี้ไม่อยากคิดเลยเถิดไปไกลตอนออกจากบ้านพวกเขาก็ได้รับการตรวจสอบจากคนที่ส่งมาจากในวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางไทเฮาที่ให้องค์รักษ์คอยติดตามไปด้วยค่าใช้จ่ายทั้งของกินของใช้ของหยวนชิงหลิงในการออกไปข้างนอกล้วนแต่เป็นของไทเฮาที่จัดการให้อย่างเข้มงวด“อดทนหน่อยนะ” อวี่เหวินห่าวปลอบนาง และลดม่านในรถม้าลง “หลักจากคลอดแล้วเจ้าอาจรู้สึกไม่ได้รับการดูแลก็ได้”หยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ไม่หรอก พอสามแฝดเกิดมาแล้ว พวกเขาอาจถูกรุมล้อมจนแม่แท้ ๆ อย่างข้าไปแตะไม่ได้ด้วยซ้ำ”อวี่เหวินห่าวรู้สึกยินดีมาก “งั้นเยี่ยมเลย พวกเราไม่ต้องมาอุ้มเด็ก ๆ เอง ใช้ชีวิตตามสบายไม่ต้องมาเลี้ยงลูก”หยวนชิงหลิงขำออกมา คนผู้นี้จริง ๆ เลย...จุดนัดพบนั้นคือโรงเตี้ยมหวังเจียงชื่อนี้มักปรากฏอยู่ในนิยายยุทธจักรอยู่บ่อยครั้งหยวนชิงหลิงจินตนาการไปว่ามันต้องเป็นตึกโรงเตี้ยมสูงที่อยู่ริมแม่น้ำ ได้ชมวิวแม่น้ำอันสวยงามจากชั้นบน ลมหนาวพัดโชยมา ชาวยุทธคุยเรื่องวรยุทธ บัณทิตเพลิดเพลินกับการวาดภาพอย่างไรก็ตาม เมื่อมาถึงประตูของลานบ้านคนอื่น รถม้าก็หยุดลงอวี่เหวินห่าวช่วยประคองหยวนชิงหลิงลงมา หยวนชิงหลิ
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นหยวนชิงหลิง รอยยิ้มของพวกเขาค่อย ๆ จืดเจื่อนลงจากท่าทีที่พวกเขามีต่อหยวนชิงหลิง เห็นได้ชัดเลยว่าหยวนชิงหลิงคนเก่านั้นน่ารังเกียจเพียงใดยิ่งกว่านั้น วันนี้นางออกมาเป็นคนกลุ่มใหญ่ มีคนมากมายอยู่ข้างหลังนางอวี่เหวินห่าวจูงมือนางเดินไป ชายสามคนและผู้หญิงหนึ่งคนทำความเคารพหยวนชิงหลิง "คารวะพระชายาฉู่""ตามสบาย!" หยวนชิงหลิงไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเจ้าห้า แต่พวกเขาไม่ค่อยดีใจนักที่ได้เห็นนาง ดังนั้นนางจึงลังเลเล็กน้อยว่าจะไปหรืออยู่ต่อดีอวี่เหวินห่าวดึงให้นางนั่งลง และรับคำนับทีละคน ผู้หญิงพูดขึ้นมาคนแรกว่า "ท่านนี้คือเซียวหงเฉิน อย่ามองว่านางอ่อนแอและบอบบาง ถ้าหากทะเลาะกันขึ้นมาจริง ๆ ซูยี่สองคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง และนางเป็นหัวหน้าของพรรคหงเหม่ย”หยวนชิงหลิงชื่นชมคนที่มีความสามารถ และรีบทำความเคารพ "คารวะผู้นำเซียว!"เซียวหงเฉินฝืนยิ้มอย่างแข็งทื่อให้หยวนชิงหลิง "หม่อมฉันไม่กล้ารับเพคะ"จากนั้นเขาก็แนะนำชายรูปงามทางด้านซ้าย ซึ่งสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน คือชายรูปงามที่พูดกับอวี่เหวินห่าวเมื่อครู่นี้ว่า "นี่คือซูหลง เป
หยวนชิงหลิงชำเลืองมองพวกเขาทั้งสี่คน และเห็นความไม่พอใจในสายตาพวกเขามองไปทางอวี่เหวินห่าวอีกครั้ง เขามีใบหน้าที่ดูกระตือรือร้น ราวกับว่าเขามองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของทุกคนเลยหยวนชิงหลิงนั่งลงอีกครั้ง เพราะความกระตือรือร้นในสายตาของเจ้าห้าทั้งสี่คนพยายามหัวเราะ ในสายตาของหยวนชิงหลิงดูแล้วมันช่างฝืนใจเหลือเกินพี่ซูกล่าวว่า "หากพระชายาไม่ชอบหัวข้อที่น่าเบื่อของเรา โปรดนั่งลงและดื่มชากับพวกเราเถอะ"หยวนชิงหลิงอยากจะดื่มชา แต่นางดื่มชาที่นี่ไม่ได้ อย่างน้อยคนที่ไทเฮาส่งมาก็ไม่อนุญาตให้ดื่มเป็นแน่หลังจากอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว และยกจัดแจงอาหารสักพักเห็นว่าบนโต๊ะมีของกินและเครื่องดื่ม แต่เป็นของหยวนชิงหลิงเท่านั้นทุกคนอึ้ง มองไปที่อวี่เหวินห่าวด้วยความลำบากใจแต่อวี่เหวินห่าวเกลี้ยกล่อมหยวนชิงหลิงเหมือนเด็ก "กินเถอะ กินอะไรสักหน่อย อย่ากินข้าวเย็นเร็วเกินไป อย่าเพิ่งหิวนะ หมอหลวงบอกว่าเจ้าต้องกินวันละห้ามื้อ"หยวนชิงหลิงกำลังดื่มโจ๊กรังนก จากนั้นเห็นแม่ทัพลู่หม่าดึงตัวอวี่เหวินห่าวออกไป เสียงนั้นดังมาก จนยวนชิงหลิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป? ท่านพานางมาที่นี่ทำไม? ท
ไม่ยุติธรรม!ทางด้านอวี่เหวินห่าวปลอบใจแม่ทัพลู่หม่าและกลับเข้ามานั่งลง เห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างฝืดเฝื่อนและเย็นชาเล็กน้อย เขาก็รู้ว่าทุกคนไม่ชอบหยวนชิงหลิง ดังนั้นเขาจึงจับมือหยวนชิงหลิงและพูดว่า "ข้ารู้ ทุกคนไม่ชอบเหล่าหยวน มีเข้าใจผิดกันบ้าง แต่นางไม่เหมือนหยวนชิงหลิงคนก่อนจริง ๆ อยากให้ทุกคนลองคุยทำความรู้จักกันก่อนอาจเข้ากันได้”ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่าอ๋องฉู่โดนเล่นของใส่แล้วไม่มีใครตอบหัวข้อนี้ เซียวหงเฉินจึงถามท่านหวังเจียงว่า "อย่างไรก็ตาม เหล่าหวัง ท่านช่วยเล่าเรื่องราวของอีกาสามขาที่ท่านเขียนได้ไหม"เหล่าหวังยิ้มและโบกมือ "ไม่ได้ ๆ เป็นการสังเกตแบบผิวเผินเท่านั้น เขียนไม่ได้หรอก ข้ายังคงต้องสังเกตต่อไป""อีกาอะไรรึ?" อวี่เหวินห่าวไม่ได้คุยกับพวกเขามานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรเซียวหงเฉินกล่าวว่า "เหล่าหวังบอกว่าเขาสังเกตเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นแสงออกเป็นสีเหลือง มีจุดสีดำขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงเหมือนอีกาสามขา""โอ้ เรื่องดาราศาสตร์งั้นรึ" อวี่เหวินห่าวสนใจมาก "เป็นไปได้ไหมว่ามีอีกาสามขาอยู่บนดวงอาทิตย์จริง ๆ"เหล่าหวังโบกมือของเขาและ
อวี่เหวินห่าวคิดว่ามันเป็นการหัวเราะเยาะเย้ย เขาเหลือบมองผู้คนที่อยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ และพูดว่า "หากเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าค่อยเถียง มาหัวเราะเยาะกันแบบนี้ไม่ได้ ข้าจะโกรธเอาได้"พี่ซูจึงหยุดพูดหวังเจียงกล่าวว่า "ไม่ใช่การหัวเราะเยาะ แต่ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากพระชายา พระชายาศึกษามาดาราศาสตร์ด้วยอย่างนั้นหรือ?"หยวนชิงหลิงส่ายหน้า "ข้าไม่มีงานวิจัย แค่สนใจนิดหน่อยเท่านั้น"สำหรับนางแล้ว ดาราศาสตร์เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้น“จุดดับบนอาทิตย์ที่ท่านพูดถึงคือจุนวูใช่หรือไม่?” หวังเจียงถาม"คงใช่" หยวนชิงหลิงกล่าว“แล้วท่านรู้ไหมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ดวงตาของหวังเจียงเป็นประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยวนชิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "นี่เป็นการคาดเดาของข้า คิดว่าน่าจะเป็นเพราะสนามแม่เหล็กที่ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้ แล้วก่อตัวขึ้นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ จากตาเปล่าของเราดูเหมือนว่าจะเป็นวงกลม เปรียบเหมือนเราเอาเตามาจุดไฟ ในกองไฟบางส่วนเผาไม่ไหม้ พอดูแล้วมันดูสีเข้มขึ้นหรือไม่ จึงคาดเดาเอาว่าหลักการน่าจะเป็นอย่างนั้น”ทุกคนมองไปที่หยวนชิงหลิงแม้ว่าสิ่
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม