อย่างไรก็ตาม เมื่อได้เห็นหยวนชิงหลิง รอยยิ้มของพวกเขาค่อย ๆ จืดเจื่อนลงจากท่าทีที่พวกเขามีต่อหยวนชิงหลิง เห็นได้ชัดเลยว่าหยวนชิงหลิงคนเก่านั้นน่ารังเกียจเพียงใดยิ่งกว่านั้น วันนี้นางออกมาเป็นคนกลุ่มใหญ่ มีคนมากมายอยู่ข้างหลังนางอวี่เหวินห่าวจูงมือนางเดินไป ชายสามคนและผู้หญิงหนึ่งคนทำความเคารพหยวนชิงหลิง "คารวะพระชายาฉู่""ตามสบาย!" หยวนชิงหลิงไม่ใช่คนที่ไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นเจ้าห้า แต่พวกเขาไม่ค่อยดีใจนักที่ได้เห็นนาง ดังนั้นนางจึงลังเลเล็กน้อยว่าจะไปหรืออยู่ต่อดีอวี่เหวินห่าวดึงให้นางนั่งลง และรับคำนับทีละคน ผู้หญิงพูดขึ้นมาคนแรกว่า "ท่านนี้คือเซียวหงเฉิน อย่ามองว่านางอ่อนแอและบอบบาง ถ้าหากทะเลาะกันขึ้นมาจริง ๆ ซูยี่สองคนก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง และนางเป็นหัวหน้าของพรรคหงเหม่ย”หยวนชิงหลิงชื่นชมคนที่มีความสามารถ และรีบทำความเคารพ "คารวะผู้นำเซียว!"เซียวหงเฉินฝืนยิ้มอย่างแข็งทื่อให้หยวนชิงหลิง "หม่อมฉันไม่กล้ารับเพคะ"จากนั้นเขาก็แนะนำชายรูปงามทางด้านซ้าย ซึ่งสวมเสื้อผ้าสีน้ำเงิน คือชายรูปงามที่พูดกับอวี่เหวินห่าวเมื่อครู่นี้ว่า "นี่คือซูหลง เป
หยวนชิงหลิงชำเลืองมองพวกเขาทั้งสี่คน และเห็นความไม่พอใจในสายตาพวกเขามองไปทางอวี่เหวินห่าวอีกครั้ง เขามีใบหน้าที่ดูกระตือรือร้น ราวกับว่าเขามองไม่เห็นสายตาไม่พอใจของทุกคนเลยหยวนชิงหลิงนั่งลงอีกครั้ง เพราะความกระตือรือร้นในสายตาของเจ้าห้าทั้งสี่คนพยายามหัวเราะ ในสายตาของหยวนชิงหลิงดูแล้วมันช่างฝืนใจเหลือเกินพี่ซูกล่าวว่า "หากพระชายาไม่ชอบหัวข้อที่น่าเบื่อของเรา โปรดนั่งลงและดื่มชากับพวกเราเถอะ"หยวนชิงหลิงอยากจะดื่มชา แต่นางดื่มชาที่นี่ไม่ได้ อย่างน้อยคนที่ไทเฮาส่งมาก็ไม่อนุญาตให้ดื่มเป็นแน่หลังจากอาหารขึ้นโต๊ะแล้ว และยกจัดแจงอาหารสักพักเห็นว่าบนโต๊ะมีของกินและเครื่องดื่ม แต่เป็นของหยวนชิงหลิงเท่านั้นทุกคนอึ้ง มองไปที่อวี่เหวินห่าวด้วยความลำบากใจแต่อวี่เหวินห่าวเกลี้ยกล่อมหยวนชิงหลิงเหมือนเด็ก "กินเถอะ กินอะไรสักหน่อย อย่ากินข้าวเย็นเร็วเกินไป อย่าเพิ่งหิวนะ หมอหลวงบอกว่าเจ้าต้องกินวันละห้ามื้อ"หยวนชิงหลิงกำลังดื่มโจ๊กรังนก จากนั้นเห็นแม่ทัพลู่หม่าดึงตัวอวี่เหวินห่าวออกไป เสียงนั้นดังมาก จนยวนชิงหลิงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน“ท่านอ๋อง ท่านเป็นอะไรไป? ท่านพานางมาที่นี่ทำไม? ท
ไม่ยุติธรรม!ทางด้านอวี่เหวินห่าวปลอบใจแม่ทัพลู่หม่าและกลับเข้ามานั่งลง เห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างฝืดเฝื่อนและเย็นชาเล็กน้อย เขาก็รู้ว่าทุกคนไม่ชอบหยวนชิงหลิง ดังนั้นเขาจึงจับมือหยวนชิงหลิงและพูดว่า "ข้ารู้ ทุกคนไม่ชอบเหล่าหยวน มีเข้าใจผิดกันบ้าง แต่นางไม่เหมือนหยวนชิงหลิงคนก่อนจริง ๆ อยากให้ทุกคนลองคุยทำความรู้จักกันก่อนอาจเข้ากันได้”ทุกคนต่างมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่าอ๋องฉู่โดนเล่นของใส่แล้วไม่มีใครตอบหัวข้อนี้ เซียวหงเฉินจึงถามท่านหวังเจียงว่า "อย่างไรก็ตาม เหล่าหวัง ท่านช่วยเล่าเรื่องราวของอีกาสามขาที่ท่านเขียนได้ไหม"เหล่าหวังยิ้มและโบกมือ "ไม่ได้ ๆ เป็นการสังเกตแบบผิวเผินเท่านั้น เขียนไม่ได้หรอก ข้ายังคงต้องสังเกตต่อไป""อีกาอะไรรึ?" อวี่เหวินห่าวไม่ได้คุยกับพวกเขามานานแล้ว ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดถึงเรื่องอะไรเซียวหงเฉินกล่าวว่า "เหล่าหวังบอกว่าเขาสังเกตเห็นว่าพระอาทิตย์ขึ้นแสงออกเป็นสีเหลือง มีจุดสีดำขนาดใหญ่เท่าเหรียญทองแดงเหมือนอีกาสามขา""โอ้ เรื่องดาราศาสตร์งั้นรึ" อวี่เหวินห่าวสนใจมาก "เป็นไปได้ไหมว่ามีอีกาสามขาอยู่บนดวงอาทิตย์จริง ๆ"เหล่าหวังโบกมือของเขาและ
อวี่เหวินห่าวคิดว่ามันเป็นการหัวเราะเยาะเย้ย เขาเหลือบมองผู้คนที่อยู่ตรงนั้นเงียบ ๆ และพูดว่า "หากเจ้าไม่เห็นด้วย เจ้าค่อยเถียง มาหัวเราะเยาะกันแบบนี้ไม่ได้ ข้าจะโกรธเอาได้"พี่ซูจึงหยุดพูดหวังเจียงกล่าวว่า "ไม่ใช่การหัวเราะเยาะ แต่ข้าอยากจะขอคำแนะนำจากพระชายา พระชายาศึกษามาดาราศาสตร์ด้วยอย่างนั้นหรือ?"หยวนชิงหลิงส่ายหน้า "ข้าไม่มีงานวิจัย แค่สนใจนิดหน่อยเท่านั้น"สำหรับนางแล้ว ดาราศาสตร์เป็นนิยายวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจเท่านั้น“จุดดับบนอาทิตย์ที่ท่านพูดถึงคือจุนวูใช่หรือไม่?” หวังเจียงถาม"คงใช่" หยวนชิงหลิงกล่าว“แล้วท่านรู้ไหมว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ดวงตาของหวังเจียงเป็นประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นหยวนชิงหลิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า "นี่เป็นการคาดเดาของข้า คิดว่าน่าจะเป็นเพราะสนามแม่เหล็กที่ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนออกไปได้ แล้วก่อตัวขึ้นบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ จากตาเปล่าของเราดูเหมือนว่าจะเป็นวงกลม เปรียบเหมือนเราเอาเตามาจุดไฟ ในกองไฟบางส่วนเผาไม่ไหม้ พอดูแล้วมันดูสีเข้มขึ้นหรือไม่ จึงคาดเดาเอาว่าหลักการน่าจะเป็นอย่างนั้น”ทุกคนมองไปที่หยวนชิงหลิงแม้ว่าสิ่
คำพูดแค่คำสองคำเช่นนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกว่าขาดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ เช่นเดียวกับการรีบตัดสินใจออกไปเที่ยวในวันพรุ่งนี้ ดูเลอะเทอะเสียจริงไม่ต้องถามเหตุผล ไม่ต้องสนใจสถานการณ์ ไม่ต้องวิเคราะห์โอกาสว่าจะชนะหรือไม่ แค่ลงมือทำเท่านั้นหัวข้อนี้เป็นอันจบลงที่นี่หวังเจียงหันกลับมาถามนางว่า "พระชายาได้ศึกษาดวงดาวอื่น ๆ ด้วยหรือไม่? อย่างพวกดวงจันทร์?"เซียวหงเฉินหัวเราะออกมา "พระชายาต้องรู้ว่ามีอู่กัง ฉางเอ๋อร์ กระต่ายอ้วนและต้นหอมหมื่นลี้บนดวงจันทร์ใช่ไหม?"ยังคงเต็มไปด้วยการประชดประชันเสียดสีอวี่เหวินห่าวไม่พอใจ จึงพูดกับหยวนชิงหลิงว่า "บอกพวกเขาไปสิว่าดาวประกายพรึกอยู่ห่างไกลจากเราแค่ไหน"อวี่เหวินห่าวไม่เคยลืมคำพูดที่ทำให้ประหลาดใจเป็นครั้งคราวของหยวนชิงหลิงเลยดวงตาของหวังเจียงเป็นประกาย "พระชายาได้ศึกษาเรื่องดาวประกายพรึกด้วยหรือ?"เห็นแววตาที่ลุกโชนเป็นประกายของอวี่เหวินห่าว หยวนชิงหลิงรู้ว่าวันนี้เขาพาตัวเองมาพบกับคนเหล่านี้ และคนเหล่านี้ต้องการร่วมงานกับเขา เขาต้องการพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่านางไม่ใช่หยวนชิงหลิงคนเดิมแม้ว่าจะเป็นการเปลี่ยนมุมมองเล็กน้อย แต่ก็ดีกว่าความรั
อ๋องจี้สูญเสียไปมาก แต่เขาก็สงบขึ้นมากเช่นกันไม่กี่วันต่อมา พระชายาจี้มาพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา อาซื่อบอกว่าเขากำลังหยุดสถานการณ์วุ่นวายไว้ พระชายาจี้บอกให้หยวนชิงหลิงสบายใจได้ เขาหยุดสถานการณ์วุ่นวายไม่ได้ เพราะเขายุ่งจนไม่สนหัวสนหางแล้วเกี่ยวกับการเรื่องตุ๊กตาสาปแช่ง แม้ว่าพระชายาจี้จะมอบเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้เขา เพื่อแลกกับความสงบสุขชั่วคราว แต่พระชายาจี้ก็เริ่มติดต่อกับผู้คนอย่างลับ ๆ และไม่สนใจอ๋องจี้อีกต่อไปอ๋องจี้ทุ่มเทไปให้ฉู่หมิงหยาง โดยหวังว่าฉู่หมิงหยางจะสามารถทำให้ตระกูลฉู่ทำการสนับสนุนเขาได้"ฉู่หมิงหยาง? ตระกูลฉู่จะไม่ฟังฉู่หมิงหยางน่ะสิ" หยวนชิงหลิงหัวเราะพระชายาจี้ก็หัวเราะ "เมื่อเป็นคน การเต็มไปด้วยความหวังเป็นเรื่องดี ในเมื่อเขาต้องการการสนับสนุนจากตระกูลฉู่ ก็ให้เขาพยายามเพื่อมันสักหน่อย อย่างน้อยมันก็ทำให้เรามีเวลาว่าง แล้วตัวเขาเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากมายในช่วงไม่กี่ปีมานี้ อย่างมากสุดก็ใช้ฐานะความดีความชอบเป็นหลักประกัน แต่ของเหล่านั้นเทียบไม่ได้เลย เมื่อเทียบกับความผิดของเขา ตรงกันข้ามเจ้าห้าของเจ้านั้นมีความดีความชอบจริง แต่ความเข้าใจผิดทั้งหลายนั้นล้วนเกิดจา
เขาหันกลับมาและรีบวิ่งเข้าไปทันที หมานเอ๋อร์และนางข้าหลวงสี่กำลังช่วยนวดขาให้นาง นางร้องไห้น้ำตาไหลบนหน้าบวม ๆ เหมือนขนมปัง สภาพดูน่าสงสารยิ่งนักอวี่เหวินห่าวรีบเข้าไปกอดปลอบนาง "ไม่เป็นไร ๆ ข้าอยู่นี่"หยวนชิงหลิงพยายามยอมรับความจริงเรื่องตั้งครรภ์ของตัวเอง นางไม่เคยบอกว่าอยากมีลูก แต่ครั้งนี้นางรู้สึกลำบากทรมานมากทั้งกายใจ นางร้องไห้และพูดว่า "เจ้าห้า หลังคลอดแล้ว ข้าไม่ต้องการมีลูกอีก ถ้าให้ข้าคลอดลูกอีก ข้ายอมตายเสียดีกว่า”อวี่เหวินห่าวพูดปลอบนางว่า "ได้ ๆ พวกเราจะไม่คลอดลูกแล้ว ไม่เอาอีก ใครคลอดลูกอีกเป็นคนงี่เง่านะ"เขาคุกเข่าลงเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของนาง จ้องมองใบหน้ากลม ๆ ของนาง ซึ่งแท้จริงแล้วไม่ได้อ้วนขึ้นเลย แค่บวมขึ้นเล็กน้อยเท่านั้นหยวนชิงหลิงหันหน้าหนี "อย่ามองนะ ตอนนี้ข้าน่าเกลียดจะมาก" "ไม่ขี้เหร่เลย ตอนนี้เป็นตอนที่เจ้าสวยที่สุดเลยนะ" อวี่เหวินห่าวปลอบโยนนางหยวนชิงหลิงไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าตัวเองไม่ได้ส่องกระจกสักหน่อยนางผลักเขา “ท่านเข้าวังคนเดียวเถอะ ข้าไม่ไป”อวี่เหวินห่าวกอดนางอีกครั้ง "ถ้าเจ้าไม่ไป ข้าก็ไม่ไปเหมือนกัน ไปฉลองปีใหม่ที่บ้านกันเถอะ"
รถม้าถูกทำขึ้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะ มีเบาะนุ่ม ๆ อยู่ข้างใน หลังจากที่หยวนชิงหลิงขึ้นไปแล้ว นางก็นอนเอนหลังอยู่ในอ้อมแขนของอวี่เหวินห่าว ทำแบบนี้แล้วช่วยลดกระแทกที่รุนแรงเกินไปให้นางได้เมื่อเห็นท่าทางลำบากของตัวเอง หยวนชิงหลิงก็ถอนหายใจ "ถ้าเด็กสามคนนี้ทำตัวซุกซนในอนาคต ข้าจะตีพวกเขาให้ตาย"“ไม่ใช่เจ้าที่ต้องมาลงมือเองหรอก” อวี่เหวินห่าวพูดวางอำนาจเหนือ เขากำหมัดแน่นก็มีเสียงดังจากกำปั้น “จะทุบทีเดียวให้เละเป็นโคลนเลยเชียว”“โหดร้ายเกินไปแล้ว” หยวนชิงหลิงตัวสั่นด้วยความกลัวอวี่เหวินห่าวหายใจฮึดฮัด "ต้องให้พวกเขารู้ตั้งแต่เล็ก ๆ ว่าโลกนี้โหดร้าย เช่นเดียวกับเสด็จพ่อและข้า ถ้าพวกเขามัวแต่ทนจะไม่ได้อยู่อย่างสงบสุขหรอก"หยวนชิงหลิงคลอเคลียเขาและเงียบไป“เป็นอะไรไป ไม่สบายตรงไหนเหรอ” อวี่เหวินห่าวถามขณะกอดนางหยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วความกังวล "เจ้าห้า ข้าไม่อยากให้ท่านเป็นจักรพรรดิเลย""ทำไมจู่ ๆ เจ้าถึงพูดเช่นนี้" อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง มองนางแล้วยิ้มออกมา "เจ้ากลัวสาวงามสามพันคนในวังหลังงั้นรึ? ไม่ต้องกังวล แม้ว่าข้าจะกลายเป็นจักรพรรดิจริง ข้าจะดีต่
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม