ชายชุดขาวพูดทิ่มแทงอย่างเย็นชา "อวี่เหวินเว่ย ในเมื่อเจ้าแต่งงานกับนางแล้ว เจ้าควรจะทะนุถนอมนางให้ดี ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่เต็มใจละทิ้งชื่อเสียงตัวเอง และมอบความไว้วางใจให้คนที่พานางหลบหนีแล้วอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตที่เหลือได้"“อันชิงหยาง!” อ๋องเว่ยตะคอกเสียงดัง และพุ่งเข้าไปหาเขาทั้งคู่ต่อสู้ประมือกันด้วยกระบวนท่าหมัดและลูกเตะหยวนชิงหลิงที่เห็นว่าชายชุดขาวกำลังต่อสู้เพื่อหยุดอ๋องเว่ย นางจึงอาศัยโอกาสนี้พาพระชายาเว่ยกลับไปที่จวนจิ้งโฮ่วต้องพ้นขีดอันตราย ต้องช่วยชีวิตพระชายาเว่ยให้ได้ก่อนหน้านั้นหยวนชิงหลิงคิดว่าอาจจะมีกระดูกหักทิ่มปอด แต่ก็ไม่มีอาการเหล่านั้นเกิดขึ้น น่าจะเป็นชายชุดขาวคนนั้นที่มาช่วยรับนางไว้ และได้ช่วยชีวิตนางไว้แล้วคนยังไม่ฟื้น แต่หยวนชิงหลิงเองก็เหนื่อยจนขยับไม่ไหวแล้วพระชายาซุนที่รีบมาที่นี่เพื่อถามไถ่ ถ้าเป็นเมื่อก่อนนางต้องโวกเวกโวยวายเสียงดังไปแล้ว ตอนนี้นางแค่เข้าไปเยี่ยมพระชายาเว่ยอย่างเงียบ ๆ และถอยออกมาถามหยวนชิงหลิงเหตุการณ์ที่กำแพงเมืองน่าหวาดเสียวแค่ไหนนั้น มีคนมาเล่าให้ฟังหมดแล้วระหว่างทางที่มา นางกลัวเหลือเกินว่าจะได้เห็นแค่เพียงศพตอนน
หยวนชิงหลิงลุกขึ้น “รีบเชิญเข้ามา”หลังจากนั้นไม่นาน ชายชุดขาวที่เปื้อนไปด้วยเลือดก็เดินเข้ามาหยวนชิงหลิงไม่ได้มองเขาอย่างละเอียดมาก่อน แต่เมื่อมาจ้องมองเขาในตอนนี้ รู้สึกว่าเขาหล่อเหลามาก ในแง่ของรูปลักษณ์ เขาไม่แพ้อ๋องเว่ยแน่นอนเมื่อมองไปที่รูปคิ้วและสายตาที่ตรงไปตรงมาของเขา บอกได้ว่าเขาเป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจอย่างที่ซูยี่กล่าวถึงจริง ๆ“คารวะพระชายาฉู่!” อ๋องชิงหยางประสานมือคารวะหยวนชิงหลิงย่อทำความเคารพด้วย “อ๋องชิงหยาง เชิญนั่ง!”อ๋องชิงหยางโบกมือและพูดว่า "ข้าต้องกลับไปที่จวน เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าและเข้าไปในวัง ดังนั้นขอไม่นั่ง ข้าตั้งใจมาที่นี่เพื่อถามเกี่ยวกับอาการของพระชายาเว่ย นางดีขึ้นบ้างไหม?"หยวนชิงหลิงกล่าว “พ้นขีดอันตรายแล้ว แต่ต้องใช้เวลาอีกสักพักจึงจะดีขึ้น ท่านอยากเข้าไปเยี่ยมนางหรือไม่?”แววตาของอ๋องชิงหยางดูชัดเจนนัก “ไม่เข้าไปดีกว่า แค่รู้ว่านางสบายดีก็สบายใจแล้ว รบกวนพระชายาแล้ว ข้าขอตัวก่อน”พูดจบเขาก็ประสานมือหันเดินออกไปทันที หยวนชิงหลิงรู้สึกเสียดายมากยิ่งขึ้นไปอีก สำหรับผู้ชายที่ดีเช่นนี้อาซื่อพูดเบา ๆ "คงจะดีถ้าพระชายาเว่ยแต่งงานกับอ๋องชิงห
หมานเอ๋อร์ส่ายหน้า “ไม่รู้เช่นกัน”อาซื่อมองไปทางหยวนชิงหลิง “พี่หยวนคิดว่าอย่างไร?”หยวนชิงหลิงไม่อยากเดา จึงกล่าวแค่ว่า “คงมีแต่เขาเท่านั้นที่รู้”อาซื่อถอนหายใจเบา ๆ และพูดอย่างแค้นเคืองว่า “โชคดีที่พระชายาเว่ยวางยากู้จือคนนั้น กู้จือตายก็สมควรแล้ว นางบังอาจใช้วิชาภาพลวงตาทำร้ายพระชายาเว่ย”จวนอ๋องเว่ยอ๋องเว่ยมองกู้จือที่นอนอยู่บนเตียง หมอที่มาดูอาการไม่รู้เหมือนกันว่านี่คือพิษอะไร จึงทำได้แค่ฝังเข็มให้นางเพื่อชะลอให้พิษแพร่กระจายได้ช้าลงเขาเองก็ให้หมอห้ามเลือดทำแผลให้ เขาไม่ขยับเขยือนเลยสักนิดเหมือนคนตายไปแล้วที่นั่งอยู่ในตอนนี้ เขานึกถึงฉากที่กำแพงเมือง ในเวลานั้นหัวใจเขาเกือบหยุดเต้น ตอนที่ลั่วลั่วกระโดดลงมาเขากลับมาคิดดูทำไมถึงได้พูดเช่นนั้น และตัวเขาเองก็ไม่รู้เช่นกันเมื่อนึกถึงคำพูดของพระชายาฉู่ขึ้นมา ตอนนี้ในหัวของเขาเต็มไปด้วยคำว่าภาพลวงตาสองคำนี้สาวใช้ที่ติดตามรับใช้ข้างกายชุยซืออยู่ตลอดอย่างหยาหย๋า เข้ามาคุกเข่า ในมือถือยามาขวดหนึ่ง หยาหย๋าร้องไห้มา ตานางจึงบวมอย่างหนักนางเอ่ยว่า “พระชายาบอกว่า ถ้านางยังมีชีวิตอยู่ ให้นำยาถอนพิษนี้มามอบให้ท่านอ๋องเพคะ”“
กู้จือถูกควักลูกตาออกมาสด ๆนางเกลือกกลิ้งไปบนเตียง กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอ๋องเว่ยค่อย ๆ ถอยออกมา และเช็ดมือที่เปื้อนเลือดของตัวเอง คนรับใช้ที่วิ่งเข้ามาต่างตกใจ ที่ได้เห็นฉากนองเลือดตรงหน้าอ๋องเว่ยพูดอย่างเฉยชา “แม่นางกู้จือไม่ระวังทำตาบาดเจ็บ พวกเจ้ามาห้ามเลือดให้นาง และไปเชิญหมอมาดูอาการเถอะ”เมื่อพูดจบเขาเดินออกไปอย่างช้า ๆ เสียงกู้จือที่กรีดร้องโหยหวนออกมา เขายกยิ้มเย็นชา แววตาดูแข็งกร้าวราวกับน้ำแข็งเขานั่งอยู่ที่ห้องโถงหลัก รอคนจากตระกูลชุยมาที่นี่แต่แล้วรอจนฟ้ามืดแล้ว ก็ไม่มีคนตระกูลชุยมาสักคนอ๋องซุนได้มาถึงแล้วอ๋องซุนวิ่งเข้ามา เขาที่เพิ่งออกจากวังเพื่อกลับจวน และได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นจึงตรงมาที่จวนอ๋องเว่ยทันทีหลังจากเข้ามาแล้ว เขาก็ยกกำปั้นอ้วน ๆ ของเขาชกเข้าไปที่หน้าของอ๋องเว่ยอยู่หลายหมัด อ๋องเว่ยที่นั่งนิ่งจนเขาเหนื่อย จนลงไปนั่งกับพื้นและหายใจหอบใหญ่ พร้อมไม่ลืมที่จะด่าออกมาว่า “เจ้ามัน ไอสารเลว เอ้ย!”อ๋องเว่ยเช็ดเลือดที่ไหลออกมา และถามอย่างยากลำบากว่า “นางยังมีชีวิตอยู่ไหม?”“ยังอยู่ เจ้าอยากให้นางตายรึไง?” อ๋องซุนพูดตะคอกสีหน้าอ๋องเว่ยเหมื
“เจ้าหุบปาก” อ๋องเว่ยอารามลุกขึ้นมา และโยนเก้าอี้ออกเหมือนคนบ้า “เจ้าไสหัวไป ไสหัวไป ไสหัวไปให้พ้น ข้าไม่อยากได้ยินคำโกหกของเจ้า เจ้ามันนังแม่มด นังแพศยา!”เก้าอี้กระแทกโดนตัวกู้จือจนล้มลงกับพื้น นางมองเขาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยและเจ็บปวด “ทำไมท่านไม่รู้ใจตัวเองเล่า? ท่านแค่รู้สึกผิด แต่พวกเรายังมีลูกด้วยกันนะ”พอพูดถึงลูก อ๋องเว่ยก็ชะงักไป ไฟโทสะในแววตาที่ปะทุออกมาได้ระเบิดออก เขาตรงเข้าไปใช้แรงทั้งหมดที่มีบีบคอกู้จือด้วยสีหน้าบิดเบี้ยว “เจ้าไปตายซะ”อ๋องซุนใช้หลังมือสับไปที่ท้ายทอยของเขา เขาล้มฟุบลงไป จนปล่อยมือออกจากกู้จือกู้จือที่ฟุบลงลงกับพื้น สูดหายใจเฮือกใหญ่อ๋องซุนจึงออกคำสั่ง “เด็ก ๆ พาตัวนางไปส่งไปที่อารามชีหมิงเยว่”อ๋องซุนออกคำสั่งลงไปอีก “เอาท่านอ๋องของพวกเจ้าโยนลงไปในสระน้ำเย็น ให้เขาใจเย็นลงสักหน่อย”ทั้งคู่ถูกลากออกไปอย่างรวดเร็วอ๋องเว่ยที่ถูกคนโยนลงไปในสระน้ำเย็น เมื่อถูกดึงขึ้นมา เขาฟื้นได้สติขึ้นมาแล้ว แต่ตัวนั้นสั่นเทาไปหมด“ได้สติรึยัง? ถ้าได้สติดีแล้วมาคุยกัน” อ๋องซุนมองเขาอย่างเย็นชา และยื่นเหล้าให้หนึ่งแก้วอ๋องเว่ยรับมันมา และดื่มมันในอึกเดียว จากนั้น
จวนอ๋องอัน!คืนนี้พวกท่านอ๋องล้วนเข้าไปในวังให้การต้อนรับเจ้าเมืองจิ้งเป่ยอ๋องอันที่กรึ่มฤทธิ์เหล้ากลับมา และตรงไปยังห้องหนังสือมีผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีแดงวาดภาพอยู่ข้างในนั้น เมื่อเห็นเขาเข้ามาก็ลุกขึ้นคารวะ และยิ้มแย้มอย่างสดใส “ท่านอ๋องกลับมาแล้วหรือเพคะ?”อ๋องอันปิดประตูถอดเสื้อคลุมไปแขวนไว้กับราว และรีบเดินเข้าไปถามว่า “อาหรู สถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง?”สีหน้าของอาหรูดูกังวลเล็กน้อย “พระชายาเว่ยโดดกำแพงเมืองฆ่าตัวตาย แต่ถูกพระชายาฉู่ช่วยชีวิตไว้ ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่จวนจิ้งโฮ่วเพคะ”อ๋องอันนั่งลง และขมวดคิ้วสีเข้มของเขา “พระชายาฉู่ช่วยไว้รึ?”“เพคะ เราคำนวนพลาดไปแล้ว” อาหรูกล่าวอ๋องอันถอนหายใจและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร อย่างน้อยก็เขี่ยพี่สามออกไปได้แล้ว เสียการสนับสนุนจากตระกูลชุยไป พี่ใหญ่ก็คงไม่ต้องการเขาแล้วเช่นกัน ”“เพคะ อ๋องจี้ก็คงทอดทิ้งเขาเช่นกัน” อาหรูกล่าวอ๋องอันแค่นยิ้มเย็น “ไม่ใช่แค่พี่ใหญ่ทิ้งเขา เสด็จพ่อเองก็คงต้องจัดการเขา แต่นั่นก็เป็นความผิดของเขาเอง ตั้งแต่ต้น เขาช่วยพูดให้พี่ใหญ่ ก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีวันนี้”อาหรูพูดอย่างเสียดายว่า “ใช่เพคะ ถ้า
เมื่อนึกถึงตอนที่พระชายาเว่ยกระโดดลงมา นางก็ยังตกใจ และตัวสั่นด้วยความกลัวนางนอนอยู่บนเตียงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นานแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสงบใจลงได้ได้ยินเสียงฝีเท้าของอวี่เหวินห่าว นางจึงรีบเช็ดหน้า และพยายามฝืนยิ้มออกมาให้ดูสงบและอ่อนโยน แล้วมองออกไปนอกประตูอย่างใจจดใจจ่ออวี่เหวินห่าวเข้ามาแล้วก็รีบเดินเข้าไปหานาง ดูสีหน้านางและกล่าวว่า “อย่าพยายามเลย เจ้าลืมตาไม่ขึ้นแล้วด้วยซ้ำ”หยวนชิงหลิงคลายสีหน้า และถอนหายใจออกมา “กินข้าวแล้วหรือยัง?”“จุกจะแย่แล้ว พี่สะใภ้สามอยู่ในจวนรึ?” อวี่เหวินห่าวนั่งลง และยื่นมือไปลูบนวดเปลือกตานางอย่างแผ่วเบา “อื้ม อยู่ในจวน ทางตระกูลชุยอยากจะพานางกลับไป แต่ตอนนี้ข้าไม่เห็นด้วย” หยวนชิงหลิงกล่าวอวี่เหวินห่าวถามว่า “อาการสาหัสหรือไม่?”“สาหัส แต่ไม่ถึงกับสาหัสที่สุด” นางดึงมือเขาลงและมองเขา “ได้พบเจ้าเมืองจิ้งเป่ยหรือยัง? แล้วได้พบคุณหนูฮู้คนนั้นไหม?”อวี่เหวินห่าวเล่าว่า “คุณหนูฮู้ไม่ได้เข้าวัง เจ้าเมืองจิ้งเป่ยพาแต่คุณชายฮู้ไป พบก็ได้พบ แต่ก็ไม่ได้สบตาหรืออะไรกันสักนิด”“คนอื่นอาจจะดูถูกท่านได้นะ” หยวนชิงหลิงพูดปลอบใจอวี่เหวินห่าวหน้าบึ้ง
หยวนชิงหลิงอยากจะคุยกับนางสักหน่อย จึงพูดกับฮูหยินเฒ่าว่า “ข้าอยากจะตรวจอาการนาง และคุยกับนางสักหน่อย เช่นนั้นแล้วเชิญพวกท่านไปกินมื้อเย็นก่อนดีไหม แล้วอีกสักครู่ค่อยมาอยู่กับนาง?”ฮูหยินเฒ่าเองก็เป็นคนฉลาดรู้ความ รู้อยู่แก่ใจว่าหลานสาวทุกข์ทรมาน แต่ไม่กล้าเปิดเผยออกมาต่อหน้าพวกนางแต่พวกนางเองก็ไม่กล้าออกไปเช่นกัน เกรงว่านางจะคิดสั้นขึ้นมาอีก ตอนนี้พระชายาฉู่อยู่ที่นี่ คงทำให้หลานสาวของนางสบายใจขึ้นมาได้บ้างดังนั้นแล้ว ฮูหยินเฒ่าจึงพาทุกคนออกไปก่อนหลังจากพวกนางออกไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าพระชายาเว่ยค่อย ๆ ลดลงไป และแววตาก็ดูมืดมน“ทุกอย่างผ่านไปแล้ว” หยวนชิงหลิงเอ่ยเสียงเบาพระชายาเว่ยมีสีหน้าเศร้าสร้อยขึ้นมา “ใช่แล้ว ทุกอย่างผ่านไปเป็นอดีตหมดแล้ว”นางเงยหน้าขึ้นมองหยวนชิงหลิงและกล่าวว่า “วันนี้ทำเจ้าตกใจ ขอโทษด้วยนะ”“ทำคนตกใจ จริง ๆ ท่านไม่ควรกระโดดลงไปเลย” หยวนชิงหลิงลดเสียงลงและกล่าวว่า “ถ้าท่านตายขึ้นมาจริง คืนนี้ที่ท่านจะได้เห็นคือพวกเขาจะเสียใจขนาดไหนกัน?”พระชายาเว่ยน้ำตารื้นขอบตา “หลายวันมานี้ ความคิดมันฟุ้งซ่านไปหมด ควบคุมตัวเองไม่ได้เลย รู้สึกว่าตัวเองควรทำอะไรสักอย
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม