หยวนชิงหลิงหันหน้ากลับมาพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านคิดแบบนี้สินะ”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ จะอะไรขนาดนั้น? ถ้าหมานเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือ งั้นก็ไล่นางออกก็ได้แล้ว”หมานเอ๋อร์เพิ่งรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคนนี้ก็คือพระชายาฉู่ ในตอนนั้น จิตใจนางรู้สึกสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก นางคุกเข่าลงมา “ท่านอ๋อง พระชายา บ่าวผิดเอง บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”นางก้มคำนับโขกหัวสามทีและลุกขึ้นหันจากไปในใจอวี่เหวินห่าวรู้สึกหงุดหงิด หมานเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงก็ดีแล้ว พอส่งเสียงออกมา ไฟแห่งความโกรธที่อัดอั้นอยู่นั้นก็มาลงที่หมานเอ่อร์และ เขาได้กล่าวว่า “จะไปแบบนี้รึ? ตอนที่อยู่จวนฉู่ข้าก็คิดที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว มา มาให้ข้าจะสั่งสอนบ่าวนี่เอง ลากออกไปโบยห้าสิบไม้และค่อยโยนออกไป”ทหารองค์รักษ์ได้เข้ามา หยวนชิงหลิงยืนขึ้นมองอวี่เหวินห่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ไม่อนุญาตให้โบย ให้นางไป””โบย!” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างโกรธเคือง ยังคิดจะช่วยจริง ๆ หรือ? โดยเฉพาะมาเป็นศัตรูกับเขาแบบนี้“ไม่อนุญาตให้โบย!” หยวนชิงหลิงเองก็เริ่มโกรธแล้วทหารองค์รักษ์สับสนสักพัก จะโบยหรือไม่โบยกันแน่?อา
อาซื่อเองก็อดถามไม่ได้ว่า “พระชายา ทำไมท่านถึงต้องปกป้องหมานเอ๋อร์ด้วยเพคะ?”หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองอาซื่อ หยดน้ำตาได้จางหายไปแล้ว “ห้าสิบไม้เลยนะ เจ้าคิดว่านางจะตายไหม?”“นางหาเรื่องใส่ตัวเอง” อาซื่อกล่าว“นางทำอะไรถึงสมควรตายเช่นนั้นกัน?” หยวนชิงหลิงถามต่ออาซื่อกล่าว “ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ นางลงมือกับท่านอ๋อง นางยังสะกดจิตใส่ท่านอ๋อง เพื่อให้ฉู่หมิงหยางประสบความสำเร็จ คนพรรคนี้น่ารังเกียจที่สุด”“ผิดถึงขนาดสมควรตายเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอาซื่อตกใจ “นี่..แต่ถ้านางเข้ามาในจวน อาจมีเจตนาซ่อนเร้นก็เป็นไปได้”หยวนชิงหลิงถอนหายใจและส่ายหน้านางข้าหลวงสี่พูดกระซิบกับอาซื่อว่า “เจ้าออกไปเถอะ อย่าพูดอีกเลย”อาซื่อตกลง แต่ก็ยังไม่วางใจ ยังห่วงหยวนชิงหลิงอยู่บ้าง จึงได้กล่าวว่า “งั้นข้าอยู่ข้างนอก มีเรื่องอะไร เรียกข้าได้นะเพคะ””อาซื่อ เจ้าเป็นแขกของจวนอ๋อง เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้า อย่าไปยืนด้านนอกเลย ไปกินข้าวเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว“เช่นนั้นพระชายาไม่กินข้าวหรือเพคะ?” อาซื่อเอ่ยถามหยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกิน”อาซื่อมองไปทางนางข้าหลวงสี่ นางข้าหลวงสี่โบกมือ “ไปเถอะ!”
นางมองนางข้าหลวงสี่ และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องการปกป้องหมานเอ๋อร์ ชีวิตคนไม่ใช่ชีวิตหรือ? ทำไมต้องมีคนตกต่ำแบบนี้ด้วย? ดูอย่างเขาสิ แค่กินข้าวกับข้ายังต้องคุกเข่า เขาไม่หิวรึ? เจ้าเห็นมาก่อนไหมว่าเขาเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียวถึงกับยอมโดนตีจนหัวแตกเลือดออก แต่ก็ยังมีความสุขที่ได้กิน? แต่วันนี้เขายอมโดนโบยสามสิบไม้ มากกว่าที่จะยอมกินข้าวมื้อนี้ที่เขาอยากกินมากมายขนาดนี้”นางข้าหลวงสี่ตอบเสียงเบา “ท่านกับพวกเขาไม่เหมือนกัน ท่านคือพระชายา ท่านคือผู้สูงศักดิ์”หยวนชิงหลิงมองนาง คิดไม่ถึงว่าจะพูดอะไรแบบนี้ หรือพูดไปก็ไร้ประโยชน์นี่คือการแบ่งแยกชนชั้นมันเกี่ยวข้องกับการสั่งสอน และชุดความคิดที่ได้รับการปลูกฝังมานางเติบโตมาในสังคมประชาธิปไตยที่ความเท่าเทียม ได้รับการศึกษาขึ้นสูงข้าทาสบริวารในจวนก็ประจบประแจงนางอย่างไร้ยางอาย นางเข้าไปในวัง ผู้สูงศักดิ์คนอื่นก็ประจบประแจงคุกเข่ากราบไหว้เช่นกันสิ่งเหล่านี้แม้ว่านางจะไม่ชินแต่ก็ยังทนได้แต่ว่านางไม่สามารถทนที่มีชีวิตคน ๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังสนลำดับอาวุโสอย่างฝังลึกเช่นนี้นางพยายามให้ตัวเองยอมรับ ให้ตัวเ
นางคือหยวนชิงหลิง ไม่ใช่หยวนชิงหลิงที่อยู่ในยุคนี้นางรู้ความจริงในตอนนี้อย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเห็นด้วยกันค่านิยมในยุคนี้ไปเสียงทั้งหมดนางมาที่นี่ก็นานแล้ว นางเองก็เคยถามตัวเองเมื่อก่อนนางก็ไม่ใช่คนใจอ่อนแต่นางก็ไม่สามารถละเลยหนึ่งชีวิตได้คืนนี้ ถ้านางไม่ยืนกราน หมานเอ๋อร์ก็คงตายไปแล้วอาซื่อบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ทะเลาะกับอวี่เหวินห่าวเพื่อหมานเอ๋อร์ แต่ว่าหนึ่งชีวิตไม่คุ้มหรือ? นางข้าหลวงสี่เข้ามาอย่างเงียบ ๆ หยิบเสื้อคลุมที่วางไว้ข้างเตียง และนำมาคลุมตัวนาง “พระชายา อย่าคิดมากเลยนะเพคะ มันจะทำให้เสียสุขภาพนะเพคะ”“หูหมิงล่ะ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม”สั่งให้ลวี่หยานำข้าวไปให้เขาแล้วเพคะ ตามที่พระชายาบอกให้ปลอบเขา เป็นเรื่องง่ายที่จวนหางานง่าย ๆ ให้เขาทำ เขาก็ขอบคุณซาบซึ้งมากแล้วเพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าว“นางข้าหลวงสี่!” หยวนชิงหลิงมองนาง “ท่านเคยถามข้าว่า ทำไมข้าพาท่านกลับจวนแต่ไม่ฆ่าท่าน ตอนนั้นข้าตอบท่านว่า เพราะไท่ซ่างหวงไม่อยากให้ท่านตาย””พระชายาตอบเช่นนี้เพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าวหยวนชิงหลิงนิ่งเงียบไปสักพักและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่
อวี่เหวินห่าวตบโต๊ะจนแก้วหลายใบเด้งลอยขึ้นมา แล้วตกลงไปแตกเป็นเสี่ยง ๆ “ไม่เชื่อใจนาง? คนที่ไม่มีกำลังแม้แต่จะปกป้องตัวเอง มีอะไรให้ข้าเชื่อใจนางได้? ช่างเถอะ ๆ ข้าไม่อยากคิดบัญชีกับนาง...”เขายกเหยือกเหล้าขึ้นและกระดกดื่มมากกว่าเดิมเล็กน้อย และเช็ดมุมปาก “ข้าไม่คิดบัญชีกับนาง เจ้ารู้ไหมนางพูดว่าอะไร? นางบอกว่าข้าชอบถูกฉู่หมิงชุ่ยลวนลาม...””ใช่ ฉู่หมิงหยางรึเปล่า? เจ้าดื่มเมาแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนแก้ไขให้อวี่เหวินห่าวหรี่ตามองเขา “ฉู่หมิงชุ่ยคือใคร? โอ้ รู้จัก ๆ...”เขาตบโต๊ะอีกครั้ง “ใช่ ฉู่หมิงหยาง ข้าบอกว่าข้าลวนลามฉู่หมิงหยาง ข้ามีความสุข...”“นั่นมันฉู่หมิงหยางลวนลามเจ้า!” เหลิ่งจิ้งเหยียนอดไม่ได้และแก้ไขให้อีกครั้ง เขาเป็นเป็นคนวิจัยเชิงวิชาการ จึงทนไม่ได้เมื่อเจอความผิดพลาดทางด้านภาษาอวี่เหวินห่าวจ้องมาที่เขาอีกครั้ง “ทำไมเจ้าพูดมากขนาดนี้? เจ้าอย่าขัดไหม? ได้ เจ้าพูด ๆ เจ้าพูดสิว่าหยวนชิงหลิงทำอะไรผิด”เหลิ่งจิ้งเหยียนทำสัญญาณมือขอร้อง “ไม่ ไม่ เจ้าบอกแล้ว หรือว่านางยังทำอะไร?”“นางบอกว่าฉู่หมิงหยางลวนลามฉู่หมิงชุ่ย ข้าเป็น...” เขาเอียงหัวคิดสักครู่ ผ่านไปสักครู่หนึ่
อวี่เหวินห่าวที่ยังปากแข็งพูดจาเย็นชาออกมาว่า “ไม่กินก็ไม่ต้องกิน ใครจะไปสน?”“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ ไม่กินก็ไม่เป็นไร แต่ได้ยินนางข้าหลวงสี่บอกว่า ตอนพระชายาอาบน้ำแล้วลื่นล้ม หลังจากนั้นก็บอกว่าปวดท้องตลอด แต่ก็ไม่ยอมเรียกหมอ”อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว “จะเป็นจะตายก็ไม่สน”“พ่ะย่ะค่ะ อย่าไปสนใจ งั้นคืนนี้ท่านอ๋องนอนที่ไหน? ท่านอ๋องคงไม่อยากนอนร่วมห้องกับพระชายา” ถังหยางเอ่ยถาม“ใครอยากจะนอนร่วมห้องกับนาง ข้า...” จู่ ๆ เขาก็โกรธขึ้นมา “ทำไมยังไม่ไปเรียกหมออีก? ล้มที่ไหน? คอยดูข้าจะด่านางให้ตายเลย”พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน ถีบประตูเสียงดังปังจนขอบหน้าต่างสั่นไปหมดนางข้าหลวงสี่ที่อยู่ด้านใน ตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเขาที่เดินเข้ามา และอยากเข้าไปหยุดไว้ เขาก็ไม่หยุดก้าวเดิน และวิ่งเยาะ ๆ เข้าไปเขาเดินตรงไปถึงหน้าหยวนชิงหลิง เขายืนมองด้วยสีหน้าเมามายอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งลงอย่างน้อยอกน้อยใจข้าง ๆ หยวนชิงหลิง และพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “เหล่าหยวน กู้ซือเขาถีบหน้าอกข้า ตลอดทางที่กลับมา ข้าเจ็บหน้าอกมากเลย เจ้ารีบช่วยข้าดูหน่อยสิว่าเจ็บไปถึงหัวใจ หรือกระดูกหักไปแล
อวี่เหวินห่าวที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขากอดนางเอาไว้ กอดนางไว้แน่นจนเกือบทำให้นางหายใจไม่ออก “เจ้าไม่โกรธแล้ว? ข้าพูดจาเหลวไหลอะไรออกไป เจ้าอย่าเก็บใส่ใจไปเลยนะ”กลิ่นเหล้าบนตัวเขาโชยออกมา ทำให้หยวนชิงหลิงมึนเมาเล็กน้อยนางดิ้นรนอยู่สักพักหนึ่งและไม่ได้ดิ้นต่อ นางทำตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา ลมหายใจจากร่างกายของเขาทำให้เรื่องราววุ่นในใจในคืนนี้สงบลงมาบ้างใบหน้านางฝังลงบนอกเสื้อของเขา นางรู้สึกแสบจมูกและอดร้องไห้ออกมาไม่ได้เมื่อรู้ว่านางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา อวี่เหวินห่าวแทบอยากจะตบหน้าตัวเองลงไปสักสองทีหลังจากที่ความโกรธคลายลงแล้ว เขาถึงรู้ว่าตัวเองพูดจาได้เลวระยำแค่ไหนเขาปล่อยนางและลูบหน้านาง นิ้วยกขึ้นปาดเช็ดน้ำตานางออกเบาๆ และพูดออกมาด้วยความเสียใจ “ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดทำร้ายจิตใจเจ้า”ขอบตาของหยวนชิงหลิงบวมแดง ใบหน้าของนางซบลงกับฝ่ามือหยาบกรานของเขา “ข้าเองก็ผิด แต่ทว่าไม่ว่าพวกเราจะทะเลาะอะไรกัน คำพูดเหล่านั้นไม่ควรพูดเลยจริง ๆ มันทำร้ายกันเกินไปแล้ว”“ข้าสาบานจะไม่พูดอีก จะไม่พูดอีกแล้ว” อวี่เหวินห่าวกอดนาง ในจวนตอนที่บ่นระบายความโกรธให้เหลิ่งจิ้งเหยี
อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่านางยังโกรธอยู่“หยวน อย่าโกรธไปเลย ข้าเสียใจมากที่พูดออกไปแบบนั้น” อวี่เหวินห่าววิตกกังวลมาก ใบหน้ามีสีหน้าของความวิตกกังวลใจอยู่หยวนชิงหลิงนั่งลงบนที่นั่งหน้าระเบียงโถงทางเดิน โคมไฟที่แขวนอยู่บนระเบียงเรียงรายกว่ายี่สิบดวงส่องสว่างแสงสีเหลืองนวลอ่อนกระทบใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวลอ่อนโยนของเขา รอยแผลเป็นที่พาดผ่านคิ้วถึงหูของเขาก็ดูนุ่มนวลขึ้นอย่างชัดเจนนางมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ “ข้าไม่ได้โกรธแล้วจริง ๆ”เขาจ้องมองใบหน้าของนาง นางไม่ได้โกรธ นิ่งสงบเงียบขรึม แววตาดูเย็นชา แสงอ่อนกระทบกรอบหน้านวล ให้คนรู้สึกเหมือนตรงหน้าเป็นภาพมายามุมปากนางยกขึ้น นางพยายามที่จะยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มช่างดูโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกินเห็นนางเป็นแบบนี้ ใจเขาเจ็บขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง“ข้าไม่ได้โกรธจริง ๆ” นางลูบหน้าเขา ปลายนิ้วที่ลูบผ่านรอยแผลเป็นเขา นางลูบเบา ๆ อยู่สักครู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าแค่มีเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าใจ มีบางอย่างน่าขันกว่าปัญหาเหล่านี้ แต่ว่านี่ไม่สามารถขัดขวางให้ข้ารักท่านได้”ใจเขาเหมือนมีอะไรกระแทกเข้าอย่างจังเขารีบเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตามีอ