อวี่เหวินห่าวตบลงบนโต๊ะ "เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ปกป้องเจ้านายเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องฉู่วางแผนจะทำร้ายพระชายาใช่หรือไม่?"หมานเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ท่าทางตื่นตกใจเล็กน้อย สองมือรีบยกขึ้นโบก "ไม่ ไม่เพคะ ท่านอ๋องบ่าวมิกล้าคิดเช่นนี้ บ่าวออกมาจากจวนฉู่แล้วตอนนี้คุณ หนูรองก็ไม่ใช่นายท่านของบ่าวแล้ว และบ่าวก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ บ่าวเพียงแค่อยากหาที่ทำงาน ทั้งหมดนี้ไม่ได้วางแผนที่จะทำร้ายพระชายา ขอท่านอ๋องท่านโปรดเข้าใจ"อาซื่อถามขึ้น "ที่เจ้ากล่าวมา หมายความว่าเจ้ามาที่จวนอ๋องฉู่นั้นเจ้ามาด้วยตัวเอง และไม่มีใครบอกให้เจ้ามารึ?"หมานเอ๋อร์ส่ายหน้า "ไม่มีใครบอกให้บ่าวมา…"นางหยุดไปชั่วครู่ เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "หลังจากที่บ่าวถูกขับไล่ออกจากจวนฉู่ และต้องเร่ร่อนอยู่ตามข้างถนนก็บังเอิญพบกับเด็กหนุ่มขอทานผู้หนึ่งที่ขาเป๋ เขาบอกบ่าวว่ามีคนในตลาดฝั่งตะวันตกกำลังหาสาวใช้ที่มีวรยุทธ บ่าวจึงได้ลองมาดู และก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นจวนฉู่อ๋องจริง ๆ เพคะ""แล้วขอทานขาเป๋นั่นอยู่ไหน?" อาซื่อไม่ได้เชื่อถือคำพูดของนางแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการเห็นว่านางจะโกหกต่อไปอย่าง
หยวนชิงหลิงหันหน้ากลับมาพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านคิดแบบนี้สินะ”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ จะอะไรขนาดนั้น? ถ้าหมานเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือ งั้นก็ไล่นางออกก็ได้แล้ว”หมานเอ๋อร์เพิ่งรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคนนี้ก็คือพระชายาฉู่ ในตอนนั้น จิตใจนางรู้สึกสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก นางคุกเข่าลงมา “ท่านอ๋อง พระชายา บ่าวผิดเอง บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”นางก้มคำนับโขกหัวสามทีและลุกขึ้นหันจากไปในใจอวี่เหวินห่าวรู้สึกหงุดหงิด หมานเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงก็ดีแล้ว พอส่งเสียงออกมา ไฟแห่งความโกรธที่อัดอั้นอยู่นั้นก็มาลงที่หมานเอ่อร์และ เขาได้กล่าวว่า “จะไปแบบนี้รึ? ตอนที่อยู่จวนฉู่ข้าก็คิดที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว มา มาให้ข้าจะสั่งสอนบ่าวนี่เอง ลากออกไปโบยห้าสิบไม้และค่อยโยนออกไป”ทหารองค์รักษ์ได้เข้ามา หยวนชิงหลิงยืนขึ้นมองอวี่เหวินห่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ไม่อนุญาตให้โบย ให้นางไป””โบย!” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างโกรธเคือง ยังคิดจะช่วยจริง ๆ หรือ? โดยเฉพาะมาเป็นศัตรูกับเขาแบบนี้“ไม่อนุญาตให้โบย!” หยวนชิงหลิงเองก็เริ่มโกรธแล้วทหารองค์รักษ์สับสนสักพัก จะโบยหรือไม่โบยกันแน่?อา
อาซื่อเองก็อดถามไม่ได้ว่า “พระชายา ทำไมท่านถึงต้องปกป้องหมานเอ๋อร์ด้วยเพคะ?”หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองอาซื่อ หยดน้ำตาได้จางหายไปแล้ว “ห้าสิบไม้เลยนะ เจ้าคิดว่านางจะตายไหม?”“นางหาเรื่องใส่ตัวเอง” อาซื่อกล่าว“นางทำอะไรถึงสมควรตายเช่นนั้นกัน?” หยวนชิงหลิงถามต่ออาซื่อกล่าว “ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ นางลงมือกับท่านอ๋อง นางยังสะกดจิตใส่ท่านอ๋อง เพื่อให้ฉู่หมิงหยางประสบความสำเร็จ คนพรรคนี้น่ารังเกียจที่สุด”“ผิดถึงขนาดสมควรตายเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอาซื่อตกใจ “นี่..แต่ถ้านางเข้ามาในจวน อาจมีเจตนาซ่อนเร้นก็เป็นไปได้”หยวนชิงหลิงถอนหายใจและส่ายหน้านางข้าหลวงสี่พูดกระซิบกับอาซื่อว่า “เจ้าออกไปเถอะ อย่าพูดอีกเลย”อาซื่อตกลง แต่ก็ยังไม่วางใจ ยังห่วงหยวนชิงหลิงอยู่บ้าง จึงได้กล่าวว่า “งั้นข้าอยู่ข้างนอก มีเรื่องอะไร เรียกข้าได้นะเพคะ””อาซื่อ เจ้าเป็นแขกของจวนอ๋อง เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้า อย่าไปยืนด้านนอกเลย ไปกินข้าวเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว“เช่นนั้นพระชายาไม่กินข้าวหรือเพคะ?” อาซื่อเอ่ยถามหยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกิน”อาซื่อมองไปทางนางข้าหลวงสี่ นางข้าหลวงสี่โบกมือ “ไปเถอะ!”
นางมองนางข้าหลวงสี่ และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องการปกป้องหมานเอ๋อร์ ชีวิตคนไม่ใช่ชีวิตหรือ? ทำไมต้องมีคนตกต่ำแบบนี้ด้วย? ดูอย่างเขาสิ แค่กินข้าวกับข้ายังต้องคุกเข่า เขาไม่หิวรึ? เจ้าเห็นมาก่อนไหมว่าเขาเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียวถึงกับยอมโดนตีจนหัวแตกเลือดออก แต่ก็ยังมีความสุขที่ได้กิน? แต่วันนี้เขายอมโดนโบยสามสิบไม้ มากกว่าที่จะยอมกินข้าวมื้อนี้ที่เขาอยากกินมากมายขนาดนี้”นางข้าหลวงสี่ตอบเสียงเบา “ท่านกับพวกเขาไม่เหมือนกัน ท่านคือพระชายา ท่านคือผู้สูงศักดิ์”หยวนชิงหลิงมองนาง คิดไม่ถึงว่าจะพูดอะไรแบบนี้ หรือพูดไปก็ไร้ประโยชน์นี่คือการแบ่งแยกชนชั้นมันเกี่ยวข้องกับการสั่งสอน และชุดความคิดที่ได้รับการปลูกฝังมานางเติบโตมาในสังคมประชาธิปไตยที่ความเท่าเทียม ได้รับการศึกษาขึ้นสูงข้าทาสบริวารในจวนก็ประจบประแจงนางอย่างไร้ยางอาย นางเข้าไปในวัง ผู้สูงศักดิ์คนอื่นก็ประจบประแจงคุกเข่ากราบไหว้เช่นกันสิ่งเหล่านี้แม้ว่านางจะไม่ชินแต่ก็ยังทนได้แต่ว่านางไม่สามารถทนที่มีชีวิตคน ๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังสนลำดับอาวุโสอย่างฝังลึกเช่นนี้นางพยายามให้ตัวเองยอมรับ ให้ตัวเ
นางคือหยวนชิงหลิง ไม่ใช่หยวนชิงหลิงที่อยู่ในยุคนี้นางรู้ความจริงในตอนนี้อย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเห็นด้วยกันค่านิยมในยุคนี้ไปเสียงทั้งหมดนางมาที่นี่ก็นานแล้ว นางเองก็เคยถามตัวเองเมื่อก่อนนางก็ไม่ใช่คนใจอ่อนแต่นางก็ไม่สามารถละเลยหนึ่งชีวิตได้คืนนี้ ถ้านางไม่ยืนกราน หมานเอ๋อร์ก็คงตายไปแล้วอาซื่อบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ทะเลาะกับอวี่เหวินห่าวเพื่อหมานเอ๋อร์ แต่ว่าหนึ่งชีวิตไม่คุ้มหรือ? นางข้าหลวงสี่เข้ามาอย่างเงียบ ๆ หยิบเสื้อคลุมที่วางไว้ข้างเตียง และนำมาคลุมตัวนาง “พระชายา อย่าคิดมากเลยนะเพคะ มันจะทำให้เสียสุขภาพนะเพคะ”“หูหมิงล่ะ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม”สั่งให้ลวี่หยานำข้าวไปให้เขาแล้วเพคะ ตามที่พระชายาบอกให้ปลอบเขา เป็นเรื่องง่ายที่จวนหางานง่าย ๆ ให้เขาทำ เขาก็ขอบคุณซาบซึ้งมากแล้วเพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าว“นางข้าหลวงสี่!” หยวนชิงหลิงมองนาง “ท่านเคยถามข้าว่า ทำไมข้าพาท่านกลับจวนแต่ไม่ฆ่าท่าน ตอนนั้นข้าตอบท่านว่า เพราะไท่ซ่างหวงไม่อยากให้ท่านตาย””พระชายาตอบเช่นนี้เพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าวหยวนชิงหลิงนิ่งเงียบไปสักพักและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่
อวี่เหวินห่าวตบโต๊ะจนแก้วหลายใบเด้งลอยขึ้นมา แล้วตกลงไปแตกเป็นเสี่ยง ๆ “ไม่เชื่อใจนาง? คนที่ไม่มีกำลังแม้แต่จะปกป้องตัวเอง มีอะไรให้ข้าเชื่อใจนางได้? ช่างเถอะ ๆ ข้าไม่อยากคิดบัญชีกับนาง...”เขายกเหยือกเหล้าขึ้นและกระดกดื่มมากกว่าเดิมเล็กน้อย และเช็ดมุมปาก “ข้าไม่คิดบัญชีกับนาง เจ้ารู้ไหมนางพูดว่าอะไร? นางบอกว่าข้าชอบถูกฉู่หมิงชุ่ยลวนลาม...””ใช่ ฉู่หมิงหยางรึเปล่า? เจ้าดื่มเมาแล้ว” เหลิ่งจิ้งเหยียนแก้ไขให้อวี่เหวินห่าวหรี่ตามองเขา “ฉู่หมิงชุ่ยคือใคร? โอ้ รู้จัก ๆ...”เขาตบโต๊ะอีกครั้ง “ใช่ ฉู่หมิงหยาง ข้าบอกว่าข้าลวนลามฉู่หมิงหยาง ข้ามีความสุข...”“นั่นมันฉู่หมิงหยางลวนลามเจ้า!” เหลิ่งจิ้งเหยียนอดไม่ได้และแก้ไขให้อีกครั้ง เขาเป็นเป็นคนวิจัยเชิงวิชาการ จึงทนไม่ได้เมื่อเจอความผิดพลาดทางด้านภาษาอวี่เหวินห่าวจ้องมาที่เขาอีกครั้ง “ทำไมเจ้าพูดมากขนาดนี้? เจ้าอย่าขัดไหม? ได้ เจ้าพูด ๆ เจ้าพูดสิว่าหยวนชิงหลิงทำอะไรผิด”เหลิ่งจิ้งเหยียนทำสัญญาณมือขอร้อง “ไม่ ไม่ เจ้าบอกแล้ว หรือว่านางยังทำอะไร?”“นางบอกว่าฉู่หมิงหยางลวนลามฉู่หมิงชุ่ย ข้าเป็น...” เขาเอียงหัวคิดสักครู่ ผ่านไปสักครู่หนึ่
อวี่เหวินห่าวที่ยังปากแข็งพูดจาเย็นชาออกมาว่า “ไม่กินก็ไม่ต้องกิน ใครจะไปสน?”“ใช่ พ่ะย่ะค่ะ ไม่กินก็ไม่เป็นไร แต่ได้ยินนางข้าหลวงสี่บอกว่า ตอนพระชายาอาบน้ำแล้วลื่นล้ม หลังจากนั้นก็บอกว่าปวดท้องตลอด แต่ก็ไม่ยอมเรียกหมอ”อวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว “จะเป็นจะตายก็ไม่สน”“พ่ะย่ะค่ะ อย่าไปสนใจ งั้นคืนนี้ท่านอ๋องนอนที่ไหน? ท่านอ๋องคงไม่อยากนอนร่วมห้องกับพระชายา” ถังหยางเอ่ยถาม“ใครอยากจะนอนร่วมห้องกับนาง ข้า...” จู่ ๆ เขาก็โกรธขึ้นมา “ทำไมยังไม่ไปเรียกหมออีก? ล้มที่ไหน? คอยดูข้าจะด่านางให้ตายเลย”พูดจบก็เดินเข้าไปข้างใน ถีบประตูเสียงดังปังจนขอบหน้าต่างสั่นไปหมดนางข้าหลวงสี่ที่อยู่ด้านใน ตกใจจนสะดุ้งเมื่อได้เห็นใบหน้าโกรธเกรี้ยวของเขาที่เดินเข้ามา และอยากเข้าไปหยุดไว้ เขาก็ไม่หยุดก้าวเดิน และวิ่งเยาะ ๆ เข้าไปเขาเดินตรงไปถึงหน้าหยวนชิงหลิง เขายืนมองด้วยสีหน้าเมามายอยู่สักพักหนึ่ง หลังจากนั้นก็นั่งลงอย่างน้อยอกน้อยใจข้าง ๆ หยวนชิงหลิง และพูดด้วยน้ำเสียงโศกเศร้าว่า “เหล่าหยวน กู้ซือเขาถีบหน้าอกข้า ตลอดทางที่กลับมา ข้าเจ็บหน้าอกมากเลย เจ้ารีบช่วยข้าดูหน่อยสิว่าเจ็บไปถึงหัวใจ หรือกระดูกหักไปแล
อวี่เหวินห่าวที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เขากอดนางเอาไว้ กอดนางไว้แน่นจนเกือบทำให้นางหายใจไม่ออก “เจ้าไม่โกรธแล้ว? ข้าพูดจาเหลวไหลอะไรออกไป เจ้าอย่าเก็บใส่ใจไปเลยนะ”กลิ่นเหล้าบนตัวเขาโชยออกมา ทำให้หยวนชิงหลิงมึนเมาเล็กน้อยนางดิ้นรนอยู่สักพักหนึ่งและไม่ได้ดิ้นต่อ นางทำตัวอ่อนอยู่ในอ้อมแขนเขา ลมหายใจจากร่างกายของเขาทำให้เรื่องราววุ่นในใจในคืนนี้สงบลงมาบ้างใบหน้านางฝังลงบนอกเสื้อของเขา นางรู้สึกแสบจมูกและอดร้องไห้ออกมาไม่ได้เมื่อรู้ว่านางร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา อวี่เหวินห่าวแทบอยากจะตบหน้าตัวเองลงไปสักสองทีหลังจากที่ความโกรธคลายลงแล้ว เขาถึงรู้ว่าตัวเองพูดจาได้เลวระยำแค่ไหนเขาปล่อยนางและลูบหน้านาง นิ้วยกขึ้นปาดเช็ดน้ำตานางออกเบาๆ และพูดออกมาด้วยความเสียใจ “ขอโทษ ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรพูดทำร้ายจิตใจเจ้า”ขอบตาของหยวนชิงหลิงบวมแดง ใบหน้าของนางซบลงกับฝ่ามือหยาบกรานของเขา “ข้าเองก็ผิด แต่ทว่าไม่ว่าพวกเราจะทะเลาะอะไรกัน คำพูดเหล่านั้นไม่ควรพูดเลยจริง ๆ มันทำร้ายกันเกินไปแล้ว”“ข้าสาบานจะไม่พูดอีก จะไม่พูดอีกแล้ว” อวี่เหวินห่าวกอดนาง ในจวนตอนที่บ่นระบายความโกรธให้เหลิ่งจิ้งเหยี
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม