อวี่เหวินห่าวรู้สึกว่านางยังโกรธอยู่“หยวน อย่าโกรธไปเลย ข้าเสียใจมากที่พูดออกไปแบบนั้น” อวี่เหวินห่าววิตกกังวลมาก ใบหน้ามีสีหน้าของความวิตกกังวลใจอยู่หยวนชิงหลิงนั่งลงบนที่นั่งหน้าระเบียงโถงทางเดิน โคมไฟที่แขวนอยู่บนระเบียงเรียงรายกว่ายี่สิบดวงส่องสว่างแสงสีเหลืองนวลอ่อนกระทบใบหน้าหล่อเหลานุ่มนวลอ่อนโยนของเขา รอยแผลเป็นที่พาดผ่านคิ้วถึงหูของเขาก็ดูนุ่มนวลขึ้นอย่างชัดเจนนางมองเขาด้วยสายตานิ่งเรียบ “ข้าไม่ได้โกรธแล้วจริง ๆ”เขาจ้องมองใบหน้าของนาง นางไม่ได้โกรธ นิ่งสงบเงียบขรึม แววตาดูเย็นชา แสงอ่อนกระทบกรอบหน้านวล ให้คนรู้สึกเหมือนตรงหน้าเป็นภาพมายามุมปากนางยกขึ้น นางพยายามที่จะยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มช่างดูโดดเดี่ยวเดียวดายเหลือเกินเห็นนางเป็นแบบนี้ ใจเขาเจ็บขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง“ข้าไม่ได้โกรธจริง ๆ” นางลูบหน้าเขา ปลายนิ้วที่ลูบผ่านรอยแผลเป็นเขา นางลูบเบา ๆ อยู่สักครู่ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าแค่มีเรื่องบางอย่างที่ไม่เข้าใจ มีบางอย่างน่าขันกว่าปัญหาเหล่านี้ แต่ว่านี่ไม่สามารถขัดขวางให้ข้ารักท่านได้”ใจเขาเหมือนมีอะไรกระแทกเข้าอย่างจังเขารีบเงยหน้าขึ้นมองนาง แววตามีอ
อวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงได้คืนดีกันแล้วอย่างไรก็ตาม ท่าทีของทั้งคู่ยังคงพูดได้ราวกลับกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จึงตั้งใจเลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องก่อนหน้านั้น แม้กระทั้งอวี่เหวินห่าวเองก็ไม่ได้ถามถึงขอทานขาเป๋หูหมิงคนนั้น ได้ยินว่าหยวนชิงหลิงให้หูหมิงอยู่ในจวน เขาแค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้นตอนเช้าเขากลับจากสำนักผู้ตรวจการ เขาหอมแก้มหยวนชิงหลิง “คืนนี้ข้าจะกลับมาไวหน่อย จะกินข้าวเป็นเพื่อนเจ้า”หยวนชิงหลิงเกาะแขนเสื้อเขา และลุกขึ้นจัดคอเสื้อให้เขา “ได้สิ”มองส่งเขาจนลับสายตาไปแล้ว หยวนชิงหลิงถอนหายใจออกมาเบา ๆเมื่อคืนวานเขานอนกอดนาง ไม่ปล่อยเลย แต่ว่าทุกคำพูดของเขาเต็มไปด้วยความระมัดระวัง กลัวจะทำให้นางขุ่นเคืองหรือทำให้นางเสียใจที่จริงนางไม่ชอบแบบนี้เลย นางรู้สึกว่าการพูดคุยโต้ตอบกันแบบเหมือนก่อนเหมาะกับพวกเขามากกว่าหลังจากได้พูดกันแล้ว นางรู้สึกได้ถึงความรักและความซาบซึ้งใจจากเขา เขาดูเหมือนจะห่วงใยนางเป็นอันมาก เมื่อคืนนางขยับตัวเขาก็รีบตื่นขึ้นมาดูนางบางทีหลักการหรือค่านิยมอะไรเหล่านั้น ไม่สำคัญอะไรเลยจริง ๆภายหลังหลีกเลี่ยงเรื่องพวกนี้ก็ดีนางเองพยายามลืมความกลัวเรื่องการ
หยวนชิงหลิงมองนางด้วยความกังวลใจ “โมโม่ คนข้างนอกปากเสีย ท่านก็อย่าได้ใส่ใจไปเลย”นางข้าหลวงสี่ยิ้มและกล่าวว่า “พระชายาโปรดวางพระทัย สิ่งที่ท่านเคยพูดหม่อมฉันจำได้เสมอ ข่าวลือ หากตัวเองสนใจมันถึงจะทำร้ายตัวเองได้ หม่อนฉันไม่สนหรอกเพคะ”พูดจบ นางก็ย่อตัวทูลลาออกไปหยวนชิงหลิงไม่วางใจนาง จึงเรียกให้อาซื่อไปดูทางด้านพระชายาจี้ที่มองออกไป และยิ้มเหมือนได้เห็นละครฉากเด็ดหยวนชิงหลิงกล่าวอย่างเฉยชาว่า “ดูเหมือนท่านจะมีความสุขมากนะ”พระชายาจี้ส่ายหน้า “มีอะไรน่ามีความสุขกัน? แค่รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี เรื่องในตอนนั้นถึงแม้ว่าข้าจะไม่รู้ชัดเจน แต่ทว่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานเช่นนี้ ยังมีคนกล่าวเช่นนี้ออกมาอีก นี่ไม่น่าสนใจหรือ?”หยวนชิงหลิงมองนาง “พระชายาจี้เป็นผู้กว้างขวาง หูตามากมาย ย่อมต้องรู้ว่าใครเป็นคนเผยแพร่ข่าวลือพวกนี้ออกมา”พระชายาจี้บุ้ยปาก “เรื่องนี้ข้าไม่รู้”หยวนชิงหลิงยิ้มเย็นชา “เช่นนั้นหรือ? ถ้าเช่นนั้นพระชายาจี้จำไม่ได้สินะว่าวันแรกตอนที่ข้าพูดว่า ข้ารักษาให้ท่านนั้นข้าพูดว่าอะไร”พระชายาจี้เงยหน้าขึ้น “หมายความว่าอะไร?”หยวนชิงหลิงกดเข็มฉีดยาลงและ
หยวนชิงหลิงกล่าว “ข้าได้ให้พระชายาจี้ไปสืบหาหลักฐานแล้ว ถ้าได้ความว่าคนตระกูลฉู่เป็นคนแพร่ข่าวลืออกมา เรื่องนี้พวกเราไม่ปล่อยไปแน่”นางข้าหลวงสี่มองหยวนชิงหลิงด้วยแววตามืดมน “พระชายา เหตุใดไม่ยอมยุติเลิกรา? ไปโวยวายตระกูลฉู่กันสักรอบหรือเพคะ? ทะเลาะกันไปมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้น นี่ยิ่งไม่เพิ่มเรื่องให้คนเขาพูดกันหรือ? จำเป็นด้วยหรือเพคะ? ช่างมันเถิด ผ่านไปสักพัก คนข้างนอกพูดเบื่อแล้วก็หยุดพูดกันไปเอง”หยวนชิงหลิงกล่าวว่า “โม่โม่ ข้ารู้ว่าท่านทุกข์ใจ เรื่องนี้อธิบายไปก็ไร้ประโยชน์ แต่ว่าคนที่ปล่อยข่าวลือไปนั้นไม่ควรปล่อยไปโดยง่าย มิฉะนั้น ภายภาคหน้าจะยิ่งได้ใจ”โม่โม่ยังคงโบกมือ “ไม่ต้อง ๆ ช่างเถิดเพคะ ไม่ว่าใครพูดก็ตาม ล้วนเหมือนกัน ไม่ต้องขุดคุ้ยหรอกเพคะ หลังจากเริ่มมีเรื่อง ไม่รู้ว่าจะพูดจาไม่น่าฟังได้มากมายแค่ไหน”นางหยิบไม้กวาดมากวาดพื้นต่อ “พระชายาโปรดวางพระทัย บ่าวอายุมากแล้ว ผ่านประสบการณ์โชกโชนผ่านอันตรายมาเท่าไหร่? เรื่องข่าวลือไร้สาระนี่ ทำร้ายบ่าวไม่ได้หรอกเพคะ”หยวนชิงหลิงมองใบหน้าซีดขาวของนาง นางไม่ได้โกรธ เหมือนกับซากศพเดินได้ อดปวดใจไม่ได้จริง ๆ เนื่องจากโม่โม่ออกจากว
พระชายาจี้ที่ได้ยินนางพูดเช่นนั้น ก็ได้กลั้นหายใจและกล่าวอย่างเฉยชาว่า “เอาเถอะ ชีวิตข้าอยู่ในกำมือเจ้าพูดอะไร ข้ามีหรือจะกล้าปฏิเสธ?”หยวนชิงหลิงกว่าวด้วยวาจาอ่อนโยนอย่างหาได้ยากว่า “พี่สะใภ้ใหญ่เป็นแบบนี้ ข้ามีความสุขมาก เห็นได้ชัดว่าพี่สะใภ้ใหญ่เป็นคนที่รู้จักกาลเทศะคนหนึ่ง ยินดีที่ได้ร่วมงานกัน!”พระชายาจี้หน้าบึ้งไม่พูดไม่จาอะไร แต่ความรังเกียจในแววตานั้นลดลงไปบ้างอย่างเห็นได้ชัดนางเคยเกลียดหยวนชิงหลิงที่ชอบวางท่าทำตัวสูงส่ง แต่ว่า แม้ว่านางก็ไม่ไม่เผยจุดอ่อนออกมา เดิมทีก็มีความสุขมากหลังจากพระชายาจี้กลับไป หยวนชิงหลิงให้ซูยี่ออกไปเดินรอบเมืองสักรอบ ไปนั่งในโรงน้ำชาสังเกตการณ์ หลังจากที่ซูยี่กลับมาแล้วก็โกรธกระฟัดกระเฟียด “กระหม่อมได้สู้กับคนไม่น้อยพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น? ข้าเรียกให้เจ้าไปฟัง เจ้าออกไปต่อยตีมาหรือ?”ซูยี่กล่าว “ปากคนพวกนั้นไปกินขี้มาหรือถึงได้ปากเน่าปากเสีย เหม็นเหลือทน ท่านไม่ได้อยู่ที่นั้นได้ยินคำพูดเหล่านั้น ถ้าได้ยินล่ะก็ คาดว่าทางเองก็คงขาดสติไปต่อยคนพวกนั้นเหมือนกัน”หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว “พูดจาแย่ขนาดนั้นเลยหรือ?”“นั่นสินะ?” ซู
หยวนชิงหลิงกล่าว “ใครไปบอกมหาเสนาบดีฉู่กัน? ท่านหรือ?”อวี่เหวินห่าวหัวเราะและมองนาง “เจ้าไง!”“ข้า?” หยวนชิงหลิงตกใจ “แต่ไหนแต่ไรข้าไม่เคยพบเขามาก่อน คงไม่สามารถไปที่ตระกูลฉู่เพื่อเรื่องพวกนี้ได้”“ไม่ต้องไปที่ตระกูลฉู่ พรุ่งนี้เข้าเข้าวังไปถวายพระพรเสด็จปู่ พรุ่งนี้ทั้งเซียวเหยากงและมหาเสนาบดีฉู่ ก็ไปถวายพระพรเสด็จปู่เช่นกัน” อวี่เหวินห่าวกล่าว“ทำไมท่านถึงรู้?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอวี่เหวินห่าวยิ้มและกล่าวว่า “พรุ่งนี้วันเกิดไท่ซ่างหวง”หยวนชิงหลิงตื่นตระหนกตกใจ “วันเกิด? ทำไมข้าไม่รู้? วันเกิดไม่มีงานเลี้ยงฉลองหรือ?”วันเกิดไท่ซ่างหวง นี่มันเรื่องใหญ่มากเลยนะ ทำไมมันเงียบเหลือเกิน?“ไม่ใช่วันเกิดจริง ๆ หรอก ตอนนั้นที่ทั้งสามคนไปออกศึกด้วยกัน ผ่านศึกในครั้งนั้น ไท่ซ่างหวงรอดพ้นจากความตายครั้งนั้นมาได้ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงกำหนดให้วันนี้เป็นวันเกิดครั้งที่สอง ทุก ๆ ปีพวกเขาทั้งสามคนจะนัดรวมตัวอยู่ด้วยกัน” อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงกล่าวด้วยความแปลกใจ “มีเรื่องแปลกแบบนี้ด้วย? น่าสนใจยิ่งนัก ที่จริงเดิมทีข้าเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่าไท่ซ่างหวงและมหาเสนาบดีฉู่จะมีความสัมพันธ์
มาถึงข้างนอก กู้ซือก็เอ่ยถาม “ทำไมพระชายาถึงบอกว่าข้าทุบตีเจ้า?”“นางชอบหยอกเล่น ไม่มีอะไร” อวี่เหวินห่าวหันกลับไปมองแล้วมองอีก รู้สึกไม่วางใจจึงลากกู้ซือเดินไปไกลกว่านี้ “มีเรื่องอันใดหรือ?”กู้ซือพึ่งนึกขึ้นได้จึงกล่าวไปว่า “อ๋องจี้กลับมาแล้ว”“เร็วอะไรขนาดนี้?” อวี่เหวินห่าวงุนงง ไม่ใช่หนึ่งเดือนหรอกหรือ? ทำไมถึงได้กลับมาเร็วขนาดนี้?“วันนี้ข้าเข้าเวร เห็นเขาเข้าวังไปยังหอตำราหลวง ฝ่าบาททรงตำหนิเขาไปยกหนึ่ง และหลังจากนั้นก็ไล่ให้เขากลับจวน” กู้ซือกล่าว“จะเร็วอะไรขนาดนั้นกัน?” อวี่เหวินห่าวรู้สึกประหลาดใจ “เขาไม่กล้ากลับจวนเองหรอก ต้องเป็นพระบัญชาเสด็จพ่อเรียกให้เขากลับมา”“อาจเป็นเพราะเรื่องแต่งงานกับคุณหนูรองตระกูลฉู่เป็นพระชายารองกระมั้ง ได้ยินว่ากำหนดการคือเดือนหน้าวันที่สาม”“มีกำหนดการแล้ว ยิ่งไม่จำเป็นต้องกลับมาเร็วขนาดนี้เลย” อวี่เหวินห่าวคิดว่าวันเวลาดี ๆ ของเขาผ่านไปได้ไม่กี่วัน ต้องพบกับใบน่าอันแสนน่ารังเกียจนั้นอีก ช่างน่าอึดอัดใจยิ่งนักกู้ซือส่ายหน้า “ไม่รู้สิ ข้ามาเพื่อเตือนเจ้า คาดว่าหลังจากเขากลับมาแล้วต้องได้ยินเรื่องที่คุณหนูรองตระกูลฉู่พัวพันกับเจ้าแน่ ถึ
อาซื่อหนักแน่นมาก และเอ่ยว่า “ท่านอ๋องยืนพูดอยู่ตรงนั้น ท่านพูดมาเถอะ ข้าฟังอยู่ตรงนี้”อวี่เหวินห่าวหว่านเสน่ห์ล้มเหลว หลังจากนั้นเขาก็เก็บสีหน้าและแสดงท่าทางอบอุ่นอ่อนโยนออกมา “อาซื่อ เจ้ามาอยู่ข้างกายพระชายาอยู่นานแล้ว คิดถึงบ้านไหม? คิดถึงพี่สาวเจ้ารึเปล่า?”อาซื่อตกใจอยู่ครู่หนื่งและสีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที นางกระทืบเท้ากล่าวทั้งน้ำตาว่า “ท่านอ๋อง อาซื่อทำอะไรผิดไป? ท่านถึงไล่อาซื่อไปหรือ?”พูดจบก็วิ่งหนีออกไปเลยอวี่เหวินห่าวงุนงง รู้สึกแค่ว่ามีลมพัดผ่านร่างไปและก็ไม่เห็นอาซื่อแล้วกลับถึงห้องได้ยินอาซื่อร้องไห้กับหยวนชิงหลิง “อาซื่อไม่สามารถอยู่เป็นเพื่อนพระชายาได้แล้ว ท่านอ๋องจะไล่อาซื่อไป”อวี่เหวินห่าวโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรกัน? ข้าบอกตอนไหนว่าจะไล่เจ้าไป?”“งั้นท่านอ๋อง...” อาซื่อเช็ดน้ำตา “ทำไมท่านถึงถามว่าข้าคิดถึงคนในครอบครัวไหม?”อวี่เหวินห่าวตอบกลับอย่างอารมณ์ไม่ดีว่า “ข้าอยากจะเรียกให้เจ้าไปเชิญพระชายารองหยวนมาอยู่ที่นี่สักสองสามวัน พวกเจ้าพี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน”อาซื่อตกใจ ทันใดนั้นก็ยิ้มหน้าบานออกมา “งั้นดีมากเลยเพคะ พี่สาวต้องยินดีมากแน่
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม