นางข้าหลวงสี่มองนางอย่างสงสัย "เหตุใดจึงไม่เปิดโปงล่ะเพคะ? หรือจะปล่อยให้นางอยู่ที่นี่?"หยวนชิงหลิงกล่าว "ข้าได้ยินพวกเจ้าบอกว่า ตอนที่นางรับการว่าจ้างก็ไม่ได้ปิดบังฐานะว่านางมาจากจวนฉู่ จึงเห็นได้ว่านางไม่ได้โกหกพวกเราในเรื่องนี้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีเจตนาแอบแฝง เพียงแต่แสดงฐานะชัดเจนแล้วเข้ามาในจวนอ๋องฉู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วนางคิดจะทำอะไร? นางไม่ได้แปลงโฉมและก็ไม่ได้เปลี่ยนฐานะ แต่พอคิดแล้วข้าคงไม่ใช้ให้นางทำงานอะไรที่สำคัญแน่นอน และนางเองก็ไม่มีทางเข้าใกล้ข้า เช่นนั้นแล้วนางมาทำอะไรที่นี่กัน?"นางข้าหลวงสี่พลันนึกขึ้นมาได้ "นางไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่""ไม่รู้?" หยวนชิงหลิงประหลาดใจ "ไม่รู้ได้อย่างไร? นางไม่ได้ลงชื่อในสัญญารึ?""ลงเพคะ แต่นางไม่รู้ตัวหนังสือ นางบอกว่านางเป็นคนเจียงหนาน" นางข้าหลวงสี่คิดอยู่ชั่วครู่ "ในวันนั้นข้าบอกว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่ นางดูเหมือนว่าจะตกอกตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าก็เปลี่ยนไป ในตอนนั้นข้าก็ระแวง แต่นางบอกว่านางแค่ไม่เคยปรนนิบัติที่จวนอ๋องมาก่อน จึงเกรงว่าจะไม่เข้าใจกฎระเบียบ ข้าจึงเชื่อ""ไม่รู้ว่าเป็นจวนอ๋องฉู่?" ในแววตาหยวนชิง
“แล้วเหตุใดจึงไม่แปลงโฉมตั้งแต่แรกล่ะ? แปลงโฉมก็จะสามารถแอบซ่อนต่อได้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยหลังจากแปลงโฉมแล้ว พวกเราก็ไม่มีใครมองออกว่าเป็นนาง และเจ้าเองก็อาจจำไม่ได้ สรุปแล้วคือข้าอยากเก็บนางไว้" หยวนชิงหลิงกล่าวอวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว "เหล่าหยวน ความคิดนี้ของเจ้ามันอันตรายมาก ไม่ได้ ข้าขอคัดค้านอย่างเด็ดขาดว่าเราไม่สามารถเก็บนางไว้ได้""ไม่ใช่…"อวี่เหวินห่าวจ้องเธอเขม็ง "ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ถ้ายังเอ่ยอีกก็โกรธกัน"หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว "เหตุใดจู่ ๆ ถึงกลายเป็นเผด็จการเช่นนี้ได้? เรื่องนี้ค่อยพูดคุยปรึกษากันอีกให้เวลาสักสองสามวันคอยจับตาสังเกตแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่?""พูดคุยปรึกษากัน? จับตาคอยสังเกต? อีกกี่วันล่ะ กี่ชั่วยามก็ไม่อาจจะทนนางได้แล้ว" อวี่เหวินห่าวยืนขึ้น "ข้าจะไปไล่นางออกเดี๋ยวนี้"หยวนชิงหลิงดึงข้อมือของเขาไว้ "ท่านฟังข้านะ" "ไม่ฟัง นี่คือข้อบกพร่องที่สองของเจ้า ผู้อื่นเคยทำร้ายเจ้า" อวี่เหวินห่าวเอ่ยด้วยความโกรธ"เอ่ยอย่างจริงจัง" หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน "นางไม่เคยทำร้ายข้า เพียงแต่ร่วมมือกับฉู่หมิงหยางจูบเจ้า และเจ้าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ อย่ามา
เธอไม่ได้ต้องการปกป้องหมานเอ๋อร์ หรือไม่คำนึงถึงอันตรายและไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเธอเพียงคิดว่าการที่หมานเอ๋อร์เข้าจวนเช่นนี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดไม่นำปัญหามาทำความเข้าใจก่อนแล้วค่อยไล่ออกไปเล่า? ไม่เข้าใจชัดเจนเช่นนี้ต้องเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งกัน?เธอรู้ว่าหลังจากตนเองตั้งครรภ์ แท้จริงแล้วมีหลายคนไม่ต้อนรับเธอ และต้องการที่จะกำจัดลูกของเธอ แต่เธอเบื่อหน่ายหวาดกลัวทุกอย่างจนเกินไปเช่นนี้ทุกคนต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วทุกคนต้องรู้สึกตึงเครียดขนาดนี้ ดังนั้นถ้าเธอไม่เครียดก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากแล้วเธอถอนหายใจเบา ๆ หวังว่าความเป็นอยู่จะผ่อนคลายลง และไม่ตึงเครียดเช่นนี้อีกแล้วเธอรู้สึกว่าเส้นประสาทของตัวเองทั้งหมดต้องปริแตกแล้ว เธอยืนขึ้น ช่างมันเถอะออกไปฟังดีกว่าเมื่ออวี่เหวินห่าวเห็นนางเข้ามา เขาก็ไม่สนใจนางทำเพียงแค่นั่งอยู่บนที่นั่งของเขาด้วยใบหน้าที่ดูเย็นชาเล็กน้อยหยวนชิงหลิงนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก และก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาทำเพียงแค่ถามอาซื่อว่า "แล้วนางล่ะ?" "ซูยี่กำลังไปพามาเพคะ" อาซื่อกล่าวเสียงเบาตอนที่หมานเอ๋อร์เห็นซูยี่เดินเข้ามา นางก็รู้ว่าตน
อวี่เหวินห่าวตบลงบนโต๊ะ "เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ปกป้องเจ้านายเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องฉู่วางแผนจะทำร้ายพระชายาใช่หรือไม่?"หมานเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ท่าทางตื่นตกใจเล็กน้อย สองมือรีบยกขึ้นโบก "ไม่ ไม่เพคะ ท่านอ๋องบ่าวมิกล้าคิดเช่นนี้ บ่าวออกมาจากจวนฉู่แล้วตอนนี้คุณ หนูรองก็ไม่ใช่นายท่านของบ่าวแล้ว และบ่าวก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ บ่าวเพียงแค่อยากหาที่ทำงาน ทั้งหมดนี้ไม่ได้วางแผนที่จะทำร้ายพระชายา ขอท่านอ๋องท่านโปรดเข้าใจ"อาซื่อถามขึ้น "ที่เจ้ากล่าวมา หมายความว่าเจ้ามาที่จวนอ๋องฉู่นั้นเจ้ามาด้วยตัวเอง และไม่มีใครบอกให้เจ้ามารึ?"หมานเอ๋อร์ส่ายหน้า "ไม่มีใครบอกให้บ่าวมา…"นางหยุดไปชั่วครู่ เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "หลังจากที่บ่าวถูกขับไล่ออกจากจวนฉู่ และต้องเร่ร่อนอยู่ตามข้างถนนก็บังเอิญพบกับเด็กหนุ่มขอทานผู้หนึ่งที่ขาเป๋ เขาบอกบ่าวว่ามีคนในตลาดฝั่งตะวันตกกำลังหาสาวใช้ที่มีวรยุทธ บ่าวจึงได้ลองมาดู และก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นจวนฉู่อ๋องจริง ๆ เพคะ""แล้วขอทานขาเป๋นั่นอยู่ไหน?" อาซื่อไม่ได้เชื่อถือคำพูดของนางแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการเห็นว่านางจะโกหกต่อไปอย่าง
หยวนชิงหลิงหันหน้ากลับมาพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านคิดแบบนี้สินะ”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ จะอะไรขนาดนั้น? ถ้าหมานเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือ งั้นก็ไล่นางออกก็ได้แล้ว”หมานเอ๋อร์เพิ่งรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคนนี้ก็คือพระชายาฉู่ ในตอนนั้น จิตใจนางรู้สึกสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก นางคุกเข่าลงมา “ท่านอ๋อง พระชายา บ่าวผิดเอง บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”นางก้มคำนับโขกหัวสามทีและลุกขึ้นหันจากไปในใจอวี่เหวินห่าวรู้สึกหงุดหงิด หมานเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงก็ดีแล้ว พอส่งเสียงออกมา ไฟแห่งความโกรธที่อัดอั้นอยู่นั้นก็มาลงที่หมานเอ่อร์และ เขาได้กล่าวว่า “จะไปแบบนี้รึ? ตอนที่อยู่จวนฉู่ข้าก็คิดที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว มา มาให้ข้าจะสั่งสอนบ่าวนี่เอง ลากออกไปโบยห้าสิบไม้และค่อยโยนออกไป”ทหารองค์รักษ์ได้เข้ามา หยวนชิงหลิงยืนขึ้นมองอวี่เหวินห่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ไม่อนุญาตให้โบย ให้นางไป””โบย!” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างโกรธเคือง ยังคิดจะช่วยจริง ๆ หรือ? โดยเฉพาะมาเป็นศัตรูกับเขาแบบนี้“ไม่อนุญาตให้โบย!” หยวนชิงหลิงเองก็เริ่มโกรธแล้วทหารองค์รักษ์สับสนสักพัก จะโบยหรือไม่โบยกันแน่?อา
อาซื่อเองก็อดถามไม่ได้ว่า “พระชายา ทำไมท่านถึงต้องปกป้องหมานเอ๋อร์ด้วยเพคะ?”หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองอาซื่อ หยดน้ำตาได้จางหายไปแล้ว “ห้าสิบไม้เลยนะ เจ้าคิดว่านางจะตายไหม?”“นางหาเรื่องใส่ตัวเอง” อาซื่อกล่าว“นางทำอะไรถึงสมควรตายเช่นนั้นกัน?” หยวนชิงหลิงถามต่ออาซื่อกล่าว “ไม่ใช่ว่าท่านไม่รู้ นางลงมือกับท่านอ๋อง นางยังสะกดจิตใส่ท่านอ๋อง เพื่อให้ฉู่หมิงหยางประสบความสำเร็จ คนพรรคนี้น่ารังเกียจที่สุด”“ผิดถึงขนาดสมควรตายเลยหรือ?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถามอาซื่อตกใจ “นี่..แต่ถ้านางเข้ามาในจวน อาจมีเจตนาซ่อนเร้นก็เป็นไปได้”หยวนชิงหลิงถอนหายใจและส่ายหน้านางข้าหลวงสี่พูดกระซิบกับอาซื่อว่า “เจ้าออกไปเถอะ อย่าพูดอีกเลย”อาซื่อตกลง แต่ก็ยังไม่วางใจ ยังห่วงหยวนชิงหลิงอยู่บ้าง จึงได้กล่าวว่า “งั้นข้าอยู่ข้างนอก มีเรื่องอะไร เรียกข้าได้นะเพคะ””อาซื่อ เจ้าเป็นแขกของจวนอ๋อง เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนข้า อย่าไปยืนด้านนอกเลย ไปกินข้าวเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว“เช่นนั้นพระชายาไม่กินข้าวหรือเพคะ?” อาซื่อเอ่ยถามหยวนชิงหลิงส่ายหน้า “ข้าไม่อยากกิน”อาซื่อมองไปทางนางข้าหลวงสี่ นางข้าหลวงสี่โบกมือ “ไปเถอะ!”
นางมองนางข้าหลวงสี่ และกล่าวอย่างราบเรียบว่า “นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องการปกป้องหมานเอ๋อร์ ชีวิตคนไม่ใช่ชีวิตหรือ? ทำไมต้องมีคนตกต่ำแบบนี้ด้วย? ดูอย่างเขาสิ แค่กินข้าวกับข้ายังต้องคุกเข่า เขาไม่หิวรึ? เจ้าเห็นมาก่อนไหมว่าเขาเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียวถึงกับยอมโดนตีจนหัวแตกเลือดออก แต่ก็ยังมีความสุขที่ได้กิน? แต่วันนี้เขายอมโดนโบยสามสิบไม้ มากกว่าที่จะยอมกินข้าวมื้อนี้ที่เขาอยากกินมากมายขนาดนี้”นางข้าหลวงสี่ตอบเสียงเบา “ท่านกับพวกเขาไม่เหมือนกัน ท่านคือพระชายา ท่านคือผู้สูงศักดิ์”หยวนชิงหลิงมองนาง คิดไม่ถึงว่าจะพูดอะไรแบบนี้ หรือพูดไปก็ไร้ประโยชน์นี่คือการแบ่งแยกชนชั้นมันเกี่ยวข้องกับการสั่งสอน และชุดความคิดที่ได้รับการปลูกฝังมานางเติบโตมาในสังคมประชาธิปไตยที่ความเท่าเทียม ได้รับการศึกษาขึ้นสูงข้าทาสบริวารในจวนก็ประจบประแจงนางอย่างไร้ยางอาย นางเข้าไปในวัง ผู้สูงศักดิ์คนอื่นก็ประจบประแจงคุกเข่ากราบไหว้เช่นกันสิ่งเหล่านี้แม้ว่านางจะไม่ชินแต่ก็ยังทนได้แต่ว่านางไม่สามารถทนที่มีชีวิตคน ๆ หนึ่งอยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังสนลำดับอาวุโสอย่างฝังลึกเช่นนี้นางพยายามให้ตัวเองยอมรับ ให้ตัวเ
นางคือหยวนชิงหลิง ไม่ใช่หยวนชิงหลิงที่อยู่ในยุคนี้นางรู้ความจริงในตอนนี้อย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะเห็นด้วยกันค่านิยมในยุคนี้ไปเสียงทั้งหมดนางมาที่นี่ก็นานแล้ว นางเองก็เคยถามตัวเองเมื่อก่อนนางก็ไม่ใช่คนใจอ่อนแต่นางก็ไม่สามารถละเลยหนึ่งชีวิตได้คืนนี้ ถ้านางไม่ยืนกราน หมานเอ๋อร์ก็คงตายไปแล้วอาซื่อบอกว่าไม่คุ้มเลยที่ทะเลาะกับอวี่เหวินห่าวเพื่อหมานเอ๋อร์ แต่ว่าหนึ่งชีวิตไม่คุ้มหรือ? นางข้าหลวงสี่เข้ามาอย่างเงียบ ๆ หยิบเสื้อคลุมที่วางไว้ข้างเตียง และนำมาคลุมตัวนาง “พระชายา อย่าคิดมากเลยนะเพคะ มันจะทำให้เสียสุขภาพนะเพคะ”“หูหมิงล่ะ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม”สั่งให้ลวี่หยานำข้าวไปให้เขาแล้วเพคะ ตามที่พระชายาบอกให้ปลอบเขา เป็นเรื่องง่ายที่จวนหางานง่าย ๆ ให้เขาทำ เขาก็ขอบคุณซาบซึ้งมากแล้วเพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าว“นางข้าหลวงสี่!” หยวนชิงหลิงมองนาง “ท่านเคยถามข้าว่า ทำไมข้าพาท่านกลับจวนแต่ไม่ฆ่าท่าน ตอนนั้นข้าตอบท่านว่า เพราะไท่ซ่างหวงไม่อยากให้ท่านตาย””พระชายาตอบเช่นนี้เพคะ” นางข้าหลวงสี่กล่าวหยวนชิงหลิงนิ่งเงียบไปสักพักและกล่าวว่า “นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่