หยวนชิงหลิงเริ่มฟังอย่างใจลอย แต่เมื่อได้ยินน้ำเสียงเคียดแค้นของนาง เธอจึงเงยหน้าขึ้นมองนางในฐานะที่เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง พระชายาจี้ก็ไม่ทางเลือกอื่นจริง ๆบางทีอาจจะมีทางเลือกอื่น แต่ถ้าเลือกเส้นทางอื่นสิ่งที่รอคอยนางอยู่ก็คือ ชีวิตที่เงียบเหงาหมดหวังแต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลสำหรับจิตใจที่โหดร้ายของคนคนหนึ่งดังนั้นถึงแม้ว่านางจะต้องเผชิญกับชะตาชีวิตที่ขมขื่นแค่ไหน นางก็ไม่สามารถทำให้เกิดเสียงสะท้อนได้หยวนชิงหลิงกล่าว "มนุษย์ต่างจากเดรัจฉานตรงที่คนเราสามารถคิดพิจารณาได้ รู้ว่าเรื่องไหนควรทำ และเรื่องไหนไม่ควรทำ ทุกคนล้วนมีเส้นขอบเขต ไม่ว่ากับผู้ใด ท่านก็เคยทำเรื่องเลวร้ายมากมาย นี่เป็นสิ่งที่ท่านเต็มใจที่จะทำ ไม่มีผู้ใดบีบบังคับท่าน ถึงต่อให้อ๋องจี้เลวร้ายกว่าท่านเป็นร้อยเท่า แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่มีความผิด" "ข้าผิด และข้าไม่เคยบอกว่าข้าไม่ผิด" พระชายาจี้ดูเหมือนตื่นเต้นเล็กน้อย "ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าบอกถึงความผิดของข้า ข้ารู้ว่าการป่วยนี้เป็นกรรมตามสนองข้า""ดังนั้น ท่านต้องการจะกล่าวอะไร?" หยวนชิงหลิงมองนางด้วยนัยน์ตาเรียบเฉยพระชายาจี้ดูเหมือนไม่มีกำลังใจขึ้นมา "สุดท้ายก
หยวนชิงหลิงกล่าวจบก็จากไป เธอไม่ต้องการพูดจาไร้สาระกับนางมากขนาดนั้นที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้ของพระชายาจี้ ทำให้เธอสูญเสียตัวตนไปเล็กน้อย หรือกล่าวได้ว่าสูญเสียสติปัญญาความจริงนางรู้ว่าฉู่หมิงหยางไม่สามารถแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่ได้ การวิเคราะห์ของนางเหมือนกับหยวนชิงหลิงทั้งหมดแต่ว่าเมื่อนางรู้เรื่องของฉู่หมิงหยางภายในใจของนางแอบยินดี นางรีบตะเกียดตะกายปีนขึ้นสู่เปลวไฟแห่งความหวัง ดังนั้นนางจึงไม่ลังเลที่จะเผยความอ่อนแอของตนเองออกมา และคิดว่าจะได้รับความกังวลใจที่เหมือนกันออกจากปากของหยวนชิงหลิง และที่หยวนชิงหลิงกล่าวมานั้นถูก นางกำลังหาเสียงสะท้อนนางตกอยู่ในสภาพเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะเศร้าใจฉู่หมิงหยางอดอาหารประท้วงมาเป็นวันที่สามแล้วเริ่มตั้งแต่วันนั้นวันที่อ๋องฉู่อวี่เหวินห่าวมาก่อเรื่องวุ่นวาย นางก็ตัดสินใจแล้วว่าจะแต่งงานความดื้อรั้นหัวแข็งนี้ใครก็จนปัญญาที่เอ่ยวาจาโน้มน้าวได้นางเคยเห็นท่าทางที่เขาปกป้องหยวนชิงหลิง รักใคร่หยวนชิงหลิง นางเคยเห็นสายตาที่เขามองหยวนชิงหลิง ท่าทางที่ไม่มีชีวิตชีวานั้นเปล่งประกายด้วยความสุขแทบจะล่องลอยไป นางเคยเห็นเขาตื่นเต้นจนอดใจไม่ไหวที่จะจั
นางอดอาหารสามวันมาแล้ว และก็ทนหิวมาสามวัน นอกจากดื่มน้ำนางก็ไม่ได้ทานสิ่งใดเลยจริง ๆในชีวิตนี้นางไม่เคยลองพยายามช่วงชิงเพื่อสิ่งใด เพื่อตัวเองเช่นนี้แม้กระทั่งช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ที่อวี่เหวินห่าวแขวนนางบนคานบ้านแล้วมัดแน่นจนหายใจไม่ออก หรือแม้กระทั่งทำให้นางโดยโบยสามสิบไม้ตามกฎของตระกูล ภายในหัวใจของนางก็ยังรักเพียงเขามากกว่าเดิมไม่ได้ลดน้อยลงเลยเพราะชั่วพริบตาเดียวที่เขาโกรธอย่างบ้าคลั่ง จนอยากจะทำให้นางถึงแก่ชีวิตนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ราวกับว่านางเห็นตนเองตอนที่ยกแส้ฟาดสาวใช้ ที่แท้พวกเขาก็เป็นคนประเภทเดียวกันฮูหยินใหญ่ฉู่คอยเฝ้าอยู่ข้างเตียงของนางเอ่ยขึ้นพร้อมน้ำตาที่ร่วงหล่น "เจ้าบอกมาสิ เหตุใดเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้ดื้อรั้นนัก? อวี่เหวินห่าวนั่นมีอะไรดี? เจ้าถึงจะต้องแต่งงานกับเขาเพื่อท่านปู่ของเจ้าโกรธ แต่งงานกับอ๋องจี้ไม่ดีหรือ? พระชายาจี้มองดูแล้วว่านางเป็นคนอายุสั้น ถ้าเจ้าแต่งเข้าไปไม่นานก็จะได้กลายเป็นพระชายาเอก แล้วทำไมเจ้าจะต้องมาทนทุกข์ทรมานกับความโกรธของอ๋องฉู่ด้วยเล่า? ตอนนี้หยวนชิงหลิงกำลังตั้งครรภ์ ถ้าหากนางให้กำเนิดบุตรชายตำแหน่งของนางก็จะมั่นคงราวกับภูเขา
”ทาสคนเดี่ยวจะนับเป็นอะไรได้?" ฉู่หมิงหยางกล่าวอย่างเคียดแค้น "ท่านปู่ทำลายความสุขทั้งชีวิตของข้าเพื่อทาสคนเดียว เช่นนี้ท่านสามารถทนได้หรือ? ท่านไม่สงสารลูกสาวของท่านบ้างหรือ?"ฮูหยินใหญ่ฉู่เอ่ยปลอบโยน "เช่นนั้นก็ได้ เจ้าไปทานอะไรก่อนสักหน่อยเถอะ แล้วแม่จะไปพบนาง" “ไม่ ท่านหามันก่อนแล้วข้าจะยอมทานทันที" ฉู่หมิงหยางเอ่ยทั้งน้ำตาฮูหยินใหญ่ฉู่ลำบากใจเป็นอย่างมากนางข้าหลวงสี่เป็นคนของวังหลวง เคยปรนนิบัติไท่ซ่างหวง และมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับท่านมหาเสนาบดีฉู่ ถ้าจะไปหานางจะเหมาะสมหรือไม่?การข่มขู่นางนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่บางทีเงินอาจจะซื้อนางได้แล้วให้นางเอ่ยสักสองสามประโยค ก็ไม่น่าจะมีอะไรมากเกินไปหลอกนะ?นางข้าหลวงสี่ได้รับเทียบเชิญของฮูหยินใหญ่ฉู่ก็รู้สึกแปลกใจอย่างมาก ฮูหยินใหญ่ฉู่เชิญนางไปดื่มชาที่หย่าเซวียนในเมือง ในเทียบเชิญไม่ได้ระบุว่าเรื่องอะไร เพียงต้องการให้นางไปพบเท่านั้นนางข้าหลวงสี่แจ้งเรื่องนี้ให้หยวนชิงหลิงทราบหยวนชิงหลิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจในทันที นางยิ้มแล้วกล่าวว่า "เกรงว่าคงจะเป็นการขอร้องท่านให้ฉู่หมิงหยางแล้ว" นางข้าหลวงสี่ขมวดคิ้ว "ไม่ไปแล
นางข้าหลวงสี่ยิ้มแล้วดึงมือตัวเองกลับอย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งยังย่อกายลงด้วย "ฮูหยินใหญ่รีบนั่งลงเถอะเจ้าค่ะ"ฮูหยินใหญ่ฉู่ดึงให้นางข้าหลวงสี่นั่งลง แล้วเงยหน้าขึ้นมองอาซื่อที่ยืนอยู่ตรงนี้ ด้วยก็คิดว่าเป็นสาวใช้ที่ติดตามมาจึงเอ่ยว่า "เจ้าไปรอปรนนิบัติอยู่ด้านนอกก่อน หากมีเรื่องอะไรจะเรียกเจ้า" อาซื่อเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง "ไม่ ข้าจะอยู่ที่นี่กับกูกู" ฮูหยินใหญ่ฉู่ตะลึงงัน "เจ้า…"นางข้าหลวงสี่ยิ้มน้อย ๆ "อย่าได้สนใจนางเลย เด็กสาวตระกูลหยวนผู้นี้เป็นอันธพาลคนหนึ่ง" ฮูหยินใหญ่ฉู่ได้ยินว่าเป็นเด็กสาวจากตระกูลหยวน สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีนัก เด็กสาวอีกคนของตระกูลหยวนก็คือพระชายารองของจวนอ๋องฉี และก่อนหน้านี้ก็ได้มีเรื่องทะเลาะกับชุ่ยเออร์ จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนักอาซื่อยืนกอดกระบี่ไว้แล้วยกคางขึ้นน้อย ๆ ดูเหมือนไม่สนใจเล็กน้อยนางทำหน้าไม่ดีกับคนตระกูลฉู่เพราะอาซื่ออยู่ที่นี่ ฮูหยินใหญ่ฉู่จึงไม่กล้าที่จะเอ่ยปากดื่มชาไปสองถ้วยแล้วฮูหยินใหญ่ฉู่ก็ยังคงเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ แล้วพูดเรื่องที่ต้องการเพียงน้อยนิดอาซื่อรู้สึกเบื่อหน่ายจึงหมุนตัวเดินออกจากประตูไปยืนด้านนอกในห้องจึงมีเพียงฮ
ฮูหยินใหญ่กล่าว "ถูกต้อง ครั้งแรกพระชายาฉู่ไม่เห็นด้วย และบีบบังคับด้วยความตาย ครั้งที่สอง...เป็นกูกูที่ไปพบท่านมหาเสนาบดีเพื่อขัดขวางเรื่องนี้ แต่กูกูท่านอย่าเข้าใจผิดว่าคำพูดนี้ของข้ามีความหมายที่จะตำหนิหรือกล่าวโทษท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่เรื่องนี้เป็นอย่างไรจะกล่าวให้ท่านเข้าใจ"นางข้าหลวงสี่เอ่ย "ใช่แล้ว ครั้งที่สองเป็นข้าที่ขัดขวางไว้ แต่ทำไมข้าถึงขวางไว้ ก็เพราะไม่อยากให้ทั้งสองตระกูลต้องทะเลาะกันจนไม่อาจคบหากับต่อไปได้อีก ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่คิดอย่างไรกับฐานะในราชสำนักของท่านมหาเสนาบดีฉู่ ถึงเขาจะหงายมือเป็นเมฆคล้ำมือเป็นฝน แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สุดท้ายก็เป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งในราชสำนักเท่านั้น เป็นขุนนางของฮ่องเต้ ทำงานเพื่อราษฎร และไม่มีทางที่จะทรยศต่อราชวงศ์อย่างเด็ดขาด ทุกวันนี้ที่ตระกูลฉู่ของพวกท่านมีเกียรติยศและเจริญรุ่งเรืองล้วนเป็นโอรสสวรรค์ที่เป็นผู้มอบให้ และการยอมรับของประชาชนก็ขาดไม่ได้ หลายปีมานี้ท่านมหาเสนาบดีฉู่นั้น ข้าเห็นว่าเขาควบคุมอารมณ์ ไม่กล้ากำเริบเสิบสานอย่างสุดกำลัง และเขาคงไม่คาดหวังจะให้คนในตระกูลวางท่าทางสูงส่งใช้อำนาจบาตรใหญ่จากคุณงามความดีของ
นางข้าหลวงสี่โกรธจนริมฝีปากสั่น เอ่ยประฌามอย่างเดือดดาล "ตระกูลฉู่ที่สะอาดมีคนอย่างเจ้าได้อย่างไร? นี่เจ้าจำใจบีบบังคับข้ารึ? ข้ามีชีวิตอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นคนเช่นพวกเจ้ามาก่อน ไล่ตามบุรุษผู้หนึ่งอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย เริ่มจากใช้วิธีการนุ่มนวน ต่อมาก็ข่มขู่กดดันผู้อื่น ตอนนี้ก็ใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งกับข้า ทำไม? เจ้าคิดว่าการแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่นั้นจะทำให้เจ้าบินได้หรือ? ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอ่ยออกไปข้าไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น อายุปูนนี้แล้ว ดมก็ได้กลิ่นโลงศพแล้ว ไม่มีชื่อเสียงอะไรที่จะให้ทำลายได้แล้ว"นางข้าหลวงสี่กล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอาซื่อรออยู่ด้านนอก เห็นนางข้าหลวงสี่เดินออกมาด้วยอารมณ์เดือดดาล พอรู้ว่านางโกรธจึงรีบเข้าไปประคองแล้วเอ่ยถาม "มีอะไรรึ? จำเป็นต้องตีคนหรือไม่?"นางข้าหลวงสี่เอ่ยอย่างโมโห "พวกเราไปกันเถอะ!" อาซื่อหันกลับมาถลึงตาใส่ฮูหยินใหญ่ฉู่อย่างโหด ๆ ฮูหยินใหญ่ฉู่บีบแก้วด้วยความโกรธจนข้อนิ้วซีดขาว เดิมทีนางคิดว่านางข้าหลวงสี่อยู่ในวังมานานขนาดนี้จะ ต้องเป็นคนที่รู้งานแต่กลับไม่คิดว่าจะดื้อรั้นหัวแข็งเช่นนี้นางลุกขึ้นยืน "เดี๋ยวก่อน!"อาซื่อหันกลับมาเอ่
อาซื่อรีบร้อนลุกขึ้นจากตัวเขามือ และเท้าดันเขาวุ่นวายไปหมด "ขอโทษด้วย ข้ามัวแต่วิ่งไล่อยู่กับตัวเป่าจึงไม่ทันเห็นเจ้า แล้วเจ้าก็ตัวเตี้ยเกินไม่อยู่ในระดับสายตาข้าด้วยล่ะ"ซูยี่เอ่ยอย่างโมโห "เจ้าสิเตี้ย ไอย๊า...อย่าดึง อย่าดึง เจ้าเบา ๆ หน่อย เอวของข้าหักแล้ว หักแน่ ๆ ข้าเจ็บจะตายแล้ว"เขาสูดหายใจเข้าออกใบหน้ากลายเป็นกองผักแห้ง เปลือกตาข้างหนึ่งหรี่ลงจนเป็นเส้นขีดแล้วอาซื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ข้าหนักขนาดนั้นเลยรึ? แล้วยังทับเอวเจ้าหักด้วย? เจ้าลุกขึ้นอย่ามาแกล้งตาย""มันเจ็บจริง ๆ!" ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งนวดช้า ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เจ็บจนตา หู ปาก จมูก เบียดกันเป็นกองแล้ว "อย่าขยับ ข้าทำเอง"อาซื่อเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับเสแสร้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ "กระดูกเอวหักจริงหรือ?"ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งดันเอวไว้ แล้วใช้แรงลุกขึ้นช้า ๆ น้ำตาแทบไหลออกมาตะโกนด้วยความโมโหว่า "เจ้าลองให้ข้าชนจนกระเด็น แล้วทับซ้ำลงไปอีกทีดูหรือไม่เล่า? ดูว่าเจ้าจะหักไม่หัก"อาซื่อเข้ามาพยุงเขาปากก็เอ่ยขอโทษ "ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลย พยุงเจ้ากลับไป แล้วจะทาเหล้ายาให้เจ้า""ช้าหน่อย เจ้าช้าหน่อยสิ!" ซูยี่