ฮูหยินใหญ่กล่าว "ถูกต้อง ครั้งแรกพระชายาฉู่ไม่เห็นด้วย และบีบบังคับด้วยความตาย ครั้งที่สอง...เป็นกูกูที่ไปพบท่านมหาเสนาบดีเพื่อขัดขวางเรื่องนี้ แต่กูกูท่านอย่าเข้าใจผิดว่าคำพูดนี้ของข้ามีความหมายที่จะตำหนิหรือกล่าวโทษท่านอย่างแน่นอน เพียงแต่เรื่องนี้เป็นอย่างไรจะกล่าวให้ท่านเข้าใจ"นางข้าหลวงสี่เอ่ย "ใช่แล้ว ครั้งที่สองเป็นข้าที่ขัดขวางไว้ แต่ทำไมข้าถึงขวางไว้ ก็เพราะไม่อยากให้ทั้งสองตระกูลต้องทะเลาะกันจนไม่อาจคบหากับต่อไปได้อีก ข้าไม่รู้ว่าฮูหยินใหญ่คิดอย่างไรกับฐานะในราชสำนักของท่านมหาเสนาบดีฉู่ ถึงเขาจะหงายมือเป็นเมฆคล้ำมือเป็นฝน แต่ก็เป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน สุดท้ายก็เป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่งในราชสำนักเท่านั้น เป็นขุนนางของฮ่องเต้ ทำงานเพื่อราษฎร และไม่มีทางที่จะทรยศต่อราชวงศ์อย่างเด็ดขาด ทุกวันนี้ที่ตระกูลฉู่ของพวกท่านมีเกียรติยศและเจริญรุ่งเรืองล้วนเป็นโอรสสวรรค์ที่เป็นผู้มอบให้ และการยอมรับของประชาชนก็ขาดไม่ได้ หลายปีมานี้ท่านมหาเสนาบดีฉู่นั้น ข้าเห็นว่าเขาควบคุมอารมณ์ ไม่กล้ากำเริบเสิบสานอย่างสุดกำลัง และเขาคงไม่คาดหวังจะให้คนในตระกูลวางท่าทางสูงส่งใช้อำนาจบาตรใหญ่จากคุณงามความดีของ
นางข้าหลวงสี่โกรธจนริมฝีปากสั่น เอ่ยประฌามอย่างเดือดดาล "ตระกูลฉู่ที่สะอาดมีคนอย่างเจ้าได้อย่างไร? นี่เจ้าจำใจบีบบังคับข้ารึ? ข้ามีชีวิตอยู่มาจนอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยเห็นคนเช่นพวกเจ้ามาก่อน ไล่ตามบุรุษผู้หนึ่งอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย เริ่มจากใช้วิธีการนุ่มนวน ต่อมาก็ข่มขู่กดดันผู้อื่น ตอนนี้ก็ใช้ทั้งไม้นวมและไม้แข็งกับข้า ทำไม? เจ้าคิดว่าการแต่งเข้าจวนอ๋องฉู่นั้นจะทำให้เจ้าบินได้หรือ? ถึงแม้ว่าเจ้าจะเอ่ยออกไปข้าไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น อายุปูนนี้แล้ว ดมก็ได้กลิ่นโลงศพแล้ว ไม่มีชื่อเสียงอะไรที่จะให้ทำลายได้แล้ว"นางข้าหลวงสี่กล่าวจบก็หมุนตัวจากไปอาซื่อรออยู่ด้านนอก เห็นนางข้าหลวงสี่เดินออกมาด้วยอารมณ์เดือดดาล พอรู้ว่านางโกรธจึงรีบเข้าไปประคองแล้วเอ่ยถาม "มีอะไรรึ? จำเป็นต้องตีคนหรือไม่?"นางข้าหลวงสี่เอ่ยอย่างโมโห "พวกเราไปกันเถอะ!" อาซื่อหันกลับมาถลึงตาใส่ฮูหยินใหญ่ฉู่อย่างโหด ๆ ฮูหยินใหญ่ฉู่บีบแก้วด้วยความโกรธจนข้อนิ้วซีดขาว เดิมทีนางคิดว่านางข้าหลวงสี่อยู่ในวังมานานขนาดนี้จะ ต้องเป็นคนที่รู้งานแต่กลับไม่คิดว่าจะดื้อรั้นหัวแข็งเช่นนี้นางลุกขึ้นยืน "เดี๋ยวก่อน!"อาซื่อหันกลับมาเอ่
อาซื่อรีบร้อนลุกขึ้นจากตัวเขามือ และเท้าดันเขาวุ่นวายไปหมด "ขอโทษด้วย ข้ามัวแต่วิ่งไล่อยู่กับตัวเป่าจึงไม่ทันเห็นเจ้า แล้วเจ้าก็ตัวเตี้ยเกินไม่อยู่ในระดับสายตาข้าด้วยล่ะ"ซูยี่เอ่ยอย่างโมโห "เจ้าสิเตี้ย ไอย๊า...อย่าดึง อย่าดึง เจ้าเบา ๆ หน่อย เอวของข้าหักแล้ว หักแน่ ๆ ข้าเจ็บจะตายแล้ว"เขาสูดหายใจเข้าออกใบหน้ากลายเป็นกองผักแห้ง เปลือกตาข้างหนึ่งหรี่ลงจนเป็นเส้นขีดแล้วอาซื่อเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า "ข้าหนักขนาดนั้นเลยรึ? แล้วยังทับเอวเจ้าหักด้วย? เจ้าลุกขึ้นอย่ามาแกล้งตาย""มันเจ็บจริง ๆ!" ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งนวดช้า ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เจ็บจนตา หู ปาก จมูก เบียดกันเป็นกองแล้ว "อย่าขยับ ข้าทำเอง"อาซื่อเห็นว่าเขาไม่เหมือนกับเสแสร้งก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ "กระดูกเอวหักจริงหรือ?"ซูยี่ใช้มือข้างหนึ่งดันเอวไว้ แล้วใช้แรงลุกขึ้นช้า ๆ น้ำตาแทบไหลออกมาตะโกนด้วยความโมโหว่า "เจ้าลองให้ข้าชนจนกระเด็น แล้วทับซ้ำลงไปอีกทีดูหรือไม่เล่า? ดูว่าเจ้าจะหักไม่หัก"อาซื่อเข้ามาพยุงเขาปากก็เอ่ยขอโทษ "ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว อย่าโกรธเลย พยุงเจ้ากลับไป แล้วจะทาเหล้ายาให้เจ้า""ช้าหน่อย เจ้าช้าหน่อยสิ!" ซูยี่
นางข้าหลวงสี่มองนางอย่างสงสัย "เหตุใดจึงไม่เปิดโปงล่ะเพคะ? หรือจะปล่อยให้นางอยู่ที่นี่?"หยวนชิงหลิงกล่าว "ข้าได้ยินพวกเจ้าบอกว่า ตอนที่นางรับการว่าจ้างก็ไม่ได้ปิดบังฐานะว่านางมาจากจวนฉู่ จึงเห็นได้ว่านางไม่ได้โกหกพวกเราในเรื่องนี้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่านางจะไม่มีเจตนาแอบแฝง เพียงแต่แสดงฐานะชัดเจนแล้วเข้ามาในจวนอ๋องฉู่เช่นนี้ สุดท้ายแล้วนางคิดจะทำอะไร? นางไม่ได้แปลงโฉมและก็ไม่ได้เปลี่ยนฐานะ แต่พอคิดแล้วข้าคงไม่ใช้ให้นางทำงานอะไรที่สำคัญแน่นอน และนางเองก็ไม่มีทางเข้าใกล้ข้า เช่นนั้นแล้วนางมาทำอะไรที่นี่กัน?"นางข้าหลวงสี่พลันนึกขึ้นมาได้ "นางไม่รู้ว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่""ไม่รู้?" หยวนชิงหลิงประหลาดใจ "ไม่รู้ได้อย่างไร? นางไม่ได้ลงชื่อในสัญญารึ?""ลงเพคะ แต่นางไม่รู้ตัวหนังสือ นางบอกว่านางเป็นคนเจียงหนาน" นางข้าหลวงสี่คิดอยู่ชั่วครู่ "ในวันนั้นข้าบอกว่าที่นี่คือจวนอ๋องฉู่ นางดูเหมือนว่าจะตกอกตกใจเป็นอย่างมาก สีหน้าก็เปลี่ยนไป ในตอนนั้นข้าก็ระแวง แต่นางบอกว่านางแค่ไม่เคยปรนนิบัติที่จวนอ๋องมาก่อน จึงเกรงว่าจะไม่เข้าใจกฎระเบียบ ข้าจึงเชื่อ""ไม่รู้ว่าเป็นจวนอ๋องฉู่?" ในแววตาหยวนชิง
“แล้วเหตุใดจึงไม่แปลงโฉมตั้งแต่แรกล่ะ? แปลงโฉมก็จะสามารถแอบซ่อนต่อได้อย่างแน่นอน เพราะอย่างน้อยหลังจากแปลงโฉมแล้ว พวกเราก็ไม่มีใครมองออกว่าเป็นนาง และเจ้าเองก็อาจจำไม่ได้ สรุปแล้วคือข้าอยากเก็บนางไว้" หยวนชิงหลิงกล่าวอวี่เหวินห่าวขมวดคิ้ว "เหล่าหยวน ความคิดนี้ของเจ้ามันอันตรายมาก ไม่ได้ ข้าขอคัดค้านอย่างเด็ดขาดว่าเราไม่สามารถเก็บนางไว้ได้""ไม่ใช่…"อวี่เหวินห่าวจ้องเธอเขม็ง "ไม่ต้องเอ่ยแล้ว ถ้ายังเอ่ยอีกก็โกรธกัน"หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว "เหตุใดจู่ ๆ ถึงกลายเป็นเผด็จการเช่นนี้ได้? เรื่องนี้ค่อยพูดคุยปรึกษากันอีกให้เวลาสักสองสามวันคอยจับตาสังเกตแล้วค่อยว่ากันดีหรือไม่?""พูดคุยปรึกษากัน? จับตาคอยสังเกต? อีกกี่วันล่ะ กี่ชั่วยามก็ไม่อาจจะทนนางได้แล้ว" อวี่เหวินห่าวยืนขึ้น "ข้าจะไปไล่นางออกเดี๋ยวนี้"หยวนชิงหลิงดึงข้อมือของเขาไว้ "ท่านฟังข้านะ" "ไม่ฟัง นี่คือข้อบกพร่องที่สองของเจ้า ผู้อื่นเคยทำร้ายเจ้า" อวี่เหวินห่าวเอ่ยด้วยความโกรธ"เอ่ยอย่างจริงจัง" หยวนชิงหลิงมองเขาด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน "นางไม่เคยทำร้ายข้า เพียงแต่ร่วมมือกับฉู่หมิงหยางจูบเจ้า และเจ้าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ อย่ามา
เธอไม่ได้ต้องการปกป้องหมานเอ๋อร์ หรือไม่คำนึงถึงอันตรายและไม่สนใจความปลอดภัยของตัวเองเธอเพียงคิดว่าการที่หมานเอ๋อร์เข้าจวนเช่นนี้จะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน แล้วเหตุใดไม่นำปัญหามาทำความเข้าใจก่อนแล้วค่อยไล่ออกไปเล่า? ไม่เข้าใจชัดเจนเช่นนี้ต้องเกิดขึ้นอีกกี่ครั้งกัน?เธอรู้ว่าหลังจากตนเองตั้งครรภ์ แท้จริงแล้วมีหลายคนไม่ต้อนรับเธอ และต้องการที่จะกำจัดลูกของเธอ แต่เธอเบื่อหน่ายหวาดกลัวทุกอย่างจนเกินไปเช่นนี้ทุกคนต้องใช้ชีวิตหลบ ๆ ซ่อน ๆ แล้วทุกคนต้องรู้สึกตึงเครียดขนาดนี้ ดังนั้นถ้าเธอไม่เครียดก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากแล้วเธอถอนหายใจเบา ๆ หวังว่าความเป็นอยู่จะผ่อนคลายลง และไม่ตึงเครียดเช่นนี้อีกแล้วเธอรู้สึกว่าเส้นประสาทของตัวเองทั้งหมดต้องปริแตกแล้ว เธอยืนขึ้น ช่างมันเถอะออกไปฟังดีกว่าเมื่ออวี่เหวินห่าวเห็นนางเข้ามา เขาก็ไม่สนใจนางทำเพียงแค่นั่งอยู่บนที่นั่งของเขาด้วยใบหน้าที่ดูเย็นชาเล็กน้อยหยวนชิงหลิงนั่งลงที่เก้าอี้รับแขก และก็ไม่ได้เอ่ยอะไรกับเขาทำเพียงแค่ถามอาซื่อว่า "แล้วนางล่ะ?" "ซูยี่กำลังไปพามาเพคะ" อาซื่อกล่าวเสียงเบาตอนที่หมานเอ๋อร์เห็นซูยี่เดินเข้ามา นางก็รู้ว่าตน
อวี่เหวินห่าวตบลงบนโต๊ะ "เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ปกป้องเจ้านายเจ้าอยู่ เจ้าคิดว่าจวนอ๋องฉู่วางแผนจะทำร้ายพระชายาใช่หรือไม่?"หมานเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นอย่างตกตะลึง ท่าทางตื่นตกใจเล็กน้อย สองมือรีบยกขึ้นโบก "ไม่ ไม่เพคะ ท่านอ๋องบ่าวมิกล้าคิดเช่นนี้ บ่าวออกมาจากจวนฉู่แล้วตอนนี้คุณ หนูรองก็ไม่ใช่นายท่านของบ่าวแล้ว และบ่าวก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนี้ บ่าวเพียงแค่อยากหาที่ทำงาน ทั้งหมดนี้ไม่ได้วางแผนที่จะทำร้ายพระชายา ขอท่านอ๋องท่านโปรดเข้าใจ"อาซื่อถามขึ้น "ที่เจ้ากล่าวมา หมายความว่าเจ้ามาที่จวนอ๋องฉู่นั้นเจ้ามาด้วยตัวเอง และไม่มีใครบอกให้เจ้ามารึ?"หมานเอ๋อร์ส่ายหน้า "ไม่มีใครบอกให้บ่าวมา…"นางหยุดไปชั่วครู่ เมื่อนึกถึงเด็กหนุ่มผู้นั้นแล้วกล่าวว่า "หลังจากที่บ่าวถูกขับไล่ออกจากจวนฉู่ และต้องเร่ร่อนอยู่ตามข้างถนนก็บังเอิญพบกับเด็กหนุ่มขอทานผู้หนึ่งที่ขาเป๋ เขาบอกบ่าวว่ามีคนในตลาดฝั่งตะวันตกกำลังหาสาวใช้ที่มีวรยุทธ บ่าวจึงได้ลองมาดู และก่อนหน้านี้ก็ไม่ทราบว่าเป็นจวนฉู่อ๋องจริง ๆ เพคะ""แล้วขอทานขาเป๋นั่นอยู่ไหน?" อาซื่อไม่ได้เชื่อถือคำพูดของนางแม้แต่น้อย เพียงแต่ต้องการเห็นว่านางจะโกหกต่อไปอย่าง
หยวนชิงหลิงหันหน้ากลับมาพูดอย่างเย็นชาว่า “ท่านคิดแบบนี้สินะ”นางข้าหลวงสี่ถอนหายใจ “เอาเถอะ อย่าทะเลาะกันเลยเพคะ จะอะไรขนาดนั้น? ถ้าหมานเอ๋อร์ไม่น่าเชื่อถือ งั้นก็ไล่นางออกก็ได้แล้ว”หมานเอ๋อร์เพิ่งรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคนนี้ก็คือพระชายาฉู่ ในตอนนั้น จิตใจนางรู้สึกสับสนวุ่นวายเป็นอย่างมาก นางคุกเข่าลงมา “ท่านอ๋อง พระชายา บ่าวผิดเอง บ่าวจะออกไปเดี๋ยวนี้เพคะ!”นางก้มคำนับโขกหัวสามทีและลุกขึ้นหันจากไปในใจอวี่เหวินห่าวรู้สึกหงุดหงิด หมานเอ๋อร์ไม่ส่งเสียงก็ดีแล้ว พอส่งเสียงออกมา ไฟแห่งความโกรธที่อัดอั้นอยู่นั้นก็มาลงที่หมานเอ่อร์และ เขาได้กล่าวว่า “จะไปแบบนี้รึ? ตอนที่อยู่จวนฉู่ข้าก็คิดที่จะสั่งสอนเจ้าอยู่แล้ว มา มาให้ข้าจะสั่งสอนบ่าวนี่เอง ลากออกไปโบยห้าสิบไม้และค่อยโยนออกไป”ทหารองค์รักษ์ได้เข้ามา หยวนชิงหลิงยืนขึ้นมองอวี่เหวินห่าวด้วยน้ำเสียงขึงขังว่า “ไม่อนุญาตให้โบย ให้นางไป””โบย!” อวี่เหวินห่าวกล่าวอย่างโกรธเคือง ยังคิดจะช่วยจริง ๆ หรือ? โดยเฉพาะมาเป็นศัตรูกับเขาแบบนี้“ไม่อนุญาตให้โบย!” หยวนชิงหลิงเองก็เริ่มโกรธแล้วทหารองค์รักษ์สับสนสักพัก จะโบยหรือไม่โบยกันแน่?อา