หยวนชิงผิงเป็นใครกัน? ที่เขาหลงรักนางเพียงเพราะหลงใหลไปชั่วขณะเท่านั้น โชคดีที่ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับท่านแม่กู้ซีแสดงความไม่พอใจออกมา เพื่อปกป้องจิตใจอันบอบบางของเขาส่วนใบหน้าของหยวนชิงผิงกลับเต็มไปด้วยความงุนงง เขาเป็นอะไรของเขา? ถามว่าเขาคือใครก็ไม่พูดไม่จา มิหนำซ้ำยังเดินจากไปด้วยความโมโหอีก นี่มันอะไรกัน? ถามแค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?หยวนชิงหลิงถาม “กู้ซีเป็นอะไรไป? ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี”หยวนชิงผิงทำสีหน้าประหลาดใจ “กู้ซี? เขาก็คือกู้ซีหรือ? หัวหน้าองครักษ์หลวงนะหรือ?”“น้องรอง พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อนแล้วนี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ามาที่จวน เขาเองก็มาด้วยเช่นกัน”หยวนชิงผิงเพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่า เคยพบกันมาก่อนจริง ๆทว่าในตอนนั้น จิตใจของนางกำลังวุ่นวายสับสน จะจำได้อย่างไรกัน?แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะใจแคบไปเสียหน่อย เพียงจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร ถึงขั้นต้องโกรธเคืองกันเลยหรือ? ดูเหมือนว่าผู้ชายจะมีนิสัยเหมือนกันหมด คิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ ทุกคนต้องรู้จักเขารถม้ากลับถึงจวน หยวนชิงหลิงกินข้าวและเข้านอน โดยมีลวี่หยาและนางข่าหลวงคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาจวนอ๋องมีเอาไว้สำหรับเลี้ยงห
ดังนั้น ดูผิวเผินเหมือนต้องการขอความเห็นใจให้แก่ฉู่หมิงชุ่ย แต่อันที่จริงแล้วเป็นการทำเพื่อเจ้าเจ็ดต่างหากเขา...ต้องการสนับสนุนให้เจ้าเจ็ดช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้วอย่างนั้นหรือ?แต่อย่างไรเสีย การที่เขาช่วยเหลือหลานชายของตนเอง ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรเพียงแต่การแสดงท่าทีออกมาอย่างรวดเร็ว จนขาดความสำรวมไปไม่น้อยเช่นนี้ ดูไม่เหมือนนิสัยของฉู่โซ่วฝูเลยสักนิดอีกทั้งยังตามออกมาต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเช่นนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจที่มีอยู่ในการข่มขู่ หรือว่าจะ...รีบร้อนเกินไป?อวี่เหวินห่าวหันมองฉู่โซ่วฝู แล้วพูดว่า “โซ่วฝูวางใจเถอะ เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรมแน่นอน”พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นคารวะแล้วเดินจากไปอันที่จริงแล้ว เรื่องทุกอย่างปรากฏให้เห็นชัดเจน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสืบสวนนานนักคนของจวนจิงจ้าวได้สอบถามความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นจากผู้เฝ้าประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังซักถามชาวบ้านอีกหลายคน แน่นอนว่าพระชายาอ๋องรุ่ยและฮูหยินเหลียงล้วนอยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่เป็นการยากที่จะสืบหาความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้สุดท้ายก็ต้องไปสอบถามฉู่หมิงชุ่ยเดิมทีอวี่เหวินห่าวไ
อ๋องฉีกลัวจนหัวหด เขาบ่นพึมพำด้วยสีหน้าหมองหม่น “พี่ห้า ทำไม่พี่ต้องดุขนาดนี้ด้วย?” อวี่เหวินห่าวตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน “จะไปหรือไม่ไป?” “ท่านใจเย็นก่อนสิ เดี๋ยวจะทำให้ชุ่ยเอ๋อร์ตกใจไปกันใหญ่!” อ๋องฉีพูดเสียงเบา แต่ก็ยังคงเดินนำทางไปอย่างช้า ๆ อวี่เหวินห่าวพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่หลายครั้ง จึงจะสามารถระงับอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นเอาไว้ได้ อ๋องฉีกลับพูดขึ้นมาอีกว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ด้านนอกประตูเมือง พี่สะใภ้ห้ากล่าวว่า นางไม่ได้ผลักชุ่ยเอ๋อร์ แต่กลับใส่ร้ายว่าชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนผลักนาง มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่า ชุ่ยเอ๋อร์ต้องการที่จะทำร้ายนาง พี่ห้า หากท่านกลับไป ต้องพูดคุยกับนางให้กระจ่าง เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าท่าน จึงไม่คิดติดใจเอาความเรื่องนี้” คนรับใช้ผงะไป แล้วจึงหันมองอ๋องฉี ส่วนอ๋องฉีพูดเพียงว่า “ไปสิ!” คนรับใช้จึงไปตามคำสั่ง อวี่เหวินห่าวไม่สนใจอ๋องฉี เขาเดินไปนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างพร้อมกับซูยี่ อ๋องฉีเดินตามมาติด ๆ และยังไม่ลืมที่จะกำชับอีกว่า “พี่ห้า เรื่องนี้ท่านต้องจัดการให้เรียบร้อย ท่านไม่ยอมให้ข้าปกป้องชุ่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นหากท่านปกป้องพี่สะใภ้ห้
อวี่เหวินห่าวรู้สึกสงสัย “ในเมื่อเจ้ากำหนดเอาไว้นานแล้วว่าวันนี้จะแจกโจ๊ก ทำไมถึงไม่รีบวางแผนเรื่องซาลาเปาเอาไว้ก่อน? ต่อให้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ติดต่อเจ้าของร้านสักสองสามแห่ง การจัดหาซาลาเปาไม่กี่ร้อยลูกคงไม่ต้องกินเวลาจนกระทั่งถึงเที่ยง อีกทั้งข้าเห็นในที่เกิดเหตุ มีซาลาเปาเพียงสิบเข่งเท่านั้น รวมแล้วเป็นจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบลูก ซึ่งน่าจะใช้เวลาในการทำไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม” ฉู่หมิงชุ่ยผงะไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เผยให้เห็นความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย และจ้องมองไปยังอวี่เหวินห่าว ในก้นบึ้งของหัวใจนาง มีทั้งความเจ็บปวดและขุ่นเคืองปรากฏขึ้น เขามาเพื่อที่จะสอบสวนจริง ๆ? หรือเพียงแค่มาซักสามสองสามคำตามพระราชโองการเท่านั้น? หากเป็นอย่างหลัง คงไม่จำเป็นต้องซักถามละเอียดเช่นนี้ หากเป็นอย่างแรก...เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นางยื่นมือไปแตะหน้าผาก และทำทีท่าจะร้องไห้ออกมา “หม่อมฉันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ส่วนเรื่องพวกนี้ หม่อมฉันสั่งให้พวกบ่าวไพร่เป็นคนไปจัดการ พี่ห่าวลองถามพวกเขาดูเอาเองเถอะเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึก...หม่อมฉันรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกว้าวุ่นใจถึงที่สุด”
ซูยี่เห็นเขามุ่งหน้าไปทางสำนักผู้ตรวจการ ก็อดไม่ได้ที่จะควบม้าตามขึ้นไปถาม “ท่านอ๋อง ยังไม่กลับจวนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อวี่เหวินห่าวพูดว่า “กลับจวนทำไม? จะกลับไปดูนางราชสีห์แผลงฤทธิ์หรืออย่างไร? ไม่ล่ะ ข้าอยากเห็นเพียงแค่ด้านที่งดงามของนางมากกว่า” เวลาผู้หญิงดุร้ายขึ้นมา น่ากลัวจริง ๆ ซูยี่รู้สึกสงสัยอย่างมาก “พระชายาจะทรงกล้าตีอ๋องฉีจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องฉีเป็นถึงพระโอรสของฮองเฮา แม้แต่สนมเสียนเฟย พระชายายังไม่กล้าที่จะล่วงเกิน แล้วนี่จะกล้าล่วงเกินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? อวี่เหวินห่าวเชื่อว่าต้องกล้าแน่นอน หยวนชิงหลิงโกรธเจ้าเจ็ดเป็นฟืนเป็นไฟ ความไม่พอใจนี้ ถูกสะกดกลั้นเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว นางไม่มีโอกาสได้ระบายอารมณ์มาก่อน ตอนอยู่ในที่เกิดเหตุด้านนอกประตูเมืองวันนี้ เขาได้ยินที่หยวนชิงหลิงกร่นด่าเจ้าเจ็ดแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และมัววุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแล้วล่ะก็ เกรงว่าหยวนชิงหลิงคงจะลงมือไปแล้ว หากคืนนี้เจ้าเจ็ดไปหานางเพื่อพูดเรื่องที่แม่น้ำอีกล่ะก็ ถือว่าเยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความเกลียดชังให้มากขึ้นไปอีก หากหยวนชิงหลิง
“ก็เรียนน่ะสิ!” “เรียนกับใครกัน?” หยวนชิงผิงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางศึกษาด้านการแพทย์ อีกทั้งยังเป็นทักษะทางการแพทย์ที่แปลกประหลาดอีกด้วย หยวนชิงหลิงหัวเราะโดยไม่พูดอะไร “ลึกลับจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าไม่อาจถามหาความจริงได้ จึงขี้เกียจจะซักไซ้ ตัวเป่าวิ่งเล่นสักพัก ก็กลับมานอนหมอบอยู่ข้าง ๆ เท้าของหยวนชิงหลิง และส่งเสียงหายใจหอบ หยวนชิงผิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าได้ยินอ๋องฉีพูดว่าฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์แล้ว” หยวนชิงหลิงขานรับเพียงหนึ่งคำ “ท้องก็ท้องไปสิ” “ท่านไม่กังวลใจเลยหรือ?” หยวนชิงผิงหันหน้าไปมองนาง หยวนชิงหลิงหุบยิ้ม “ข้าจะต้องกังวลใจอะไรกัน? ข้าไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องนางสักหน่อย” “อ๋องฉีเป็นโอรสของฝ่าบาท ถ้าหากฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์ มีโอกาสอย่างสูงที่อ๋องฉีจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพี่เขยมีโอกาส น่าเสียดายนัก” หยวนชิงผิงพูดพลางถอนหายใจ “การขึ้นเป็นรัชทายาทในตอนนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี จะกลายเป็นเป้าโจมตีเอาได้!” “ใครกล้าแตะต้องอ๋องฉีกัน? เบื้องหลังอ๋องฉี มีตระกูลฉู่คอยหนุนหลังอยู่นะ” ถึงแม้หยวนชิงผิงจะไม่ค่อยร
ตอนมาถึงที่นี่ เขามีคำพูดอยู่ภายในใจมากมาย แต่ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทีของหยวนชิงหลิงที่ไม่ได้ดูดุดันอย่างเช่นตอนอยู่ในที่เกิดเหตุ เขาก็รู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะต่อว่านางยกใหญ่ หยวนชิงหลิงกลับพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “หากมีธุระก็พูดมา แต่หากจะพูดเรื่องตกน้ำแล้วล่ะก็ หม่อมฉันขอเตือนท่านว่าอย่าพูดจะดีกว่า” คำพูดกล่าวโทษของเขาถูกตัดบทลง เขาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจ้องเขม็งแล้วพูดว่า “ทำไมจะพูดไม่ได้? เรื่องนี้มันยังไม่จบ เจ้าจะต้องยอมรับความผิด และต้องกล่าวขอโทษชุ่ยเอ๋อร์ มิเช่นนั้น ข้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสิน” หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะ นางมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “โตจนป่านนี้แล้ว ยังไม่หย่านมอีกหรือเพคะ? มีเรื่องอันใดก็ต้องกราบทูลเสด็จพ่อ กราบทูบฮองไทเฮา นำไปฟ้องพระชายา ท่านไม่มีสมองหรืออย่างไร?” อ๋องฉีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนประเภทนี้ช่างดูหมิ่นคนอื่นมากเกินไปแล้ว อีกทั้งที่นางพูดว่าเขาไม่มีสมอง ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น “ข้าเป็นถึงท่านอ๋อง จะปล่อยให้เจ้าดูถูกเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไม่ได้” อ๋องฉีพูดด้วยความโมโห
หยวนชิงหลิงลุกขึ้น เอามือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อแล้วแสยะยิ้ม “ได้ หม่อมฉันจะสะสางเรื่องตกน้ำกับท่าน” ไม้เท้าจักรพรรดิที่อยู่ในมือ เมื่อกดลงไปแล้ว จึงค่อย ๆ ยืดยาวออกมาทีละท่อน อ๋องฉีจ้องนาง และก้าวถอยหลังไปทีละก้าว “เจ้าคิดจะทำอะไร? หากเจ้ากล้าตีข้า ข้าจะกราบทูล......” หยวนชิงหลิงฟาดลงไปบนศีรษะ และใบหน้าของเขาด้วยความโมโหถึงขีดสุด “กราบทูลสิเพคะ ไปกราบทูลเลย หม่อมฉันพูดกับท่านมากมายขนาดนั้นแล้ว ท่านยังจะพูดเรื่องตกน้ำกับหม่อมฉันอีกหรือ? เรื่องตกน้ำ ความจริงก็คือฉู่หมิงชุ่ยผลักหม่อมฉัน จากนั้นนางก็กระโดดตามลงไป หม่อมฉันว่ายน้ำไม่เก่ง หากคิดที่จะใส่ร้ายนางจริง ขึ้นขั้นต้องทำให้ตัวเองจนน้ำตายไปด้วยหรือยังไงเพคะ? ท่านเป็นคนโง่ แต่หม่อมฉันไม่ใช่ ท่านไม่มีสมอง แต่หม่อมฉันมี วันนี้หม่อมฉันจะตีเจ้าโง่อย่างท่านให้ตาย ฉู่หมิงชุ่ยเป็นใครกัน? นางมีตระกูลฉู่ทั้งตระกูลคอยหนุนหลังอยู่ แล้วหม่อมฉันจะโง่ถึงขนาดบุกไปทำร้ายนางถึงจวนอ๋องหวยเลยหรือ? หม่อมฉันกับนางมีความแค้นอะไรต่อกันนัก? วันนั้นหม่อมฉันให้นางสาบานต่อหน้าท่าน แต่นางไม่กล้า ทำไมถึงไม่กล้า? นางกลัว แต่หม่อมฉันกล้า หากวันนั้นหม่อมฉันมีใจคิด