ขอทานน้อยคนนั้นก็พึ่งรู้ว่านางคือพระชายาฉู่ ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่นไปหมด หยวนชิงหลิงที่จะทำแผลให้เขา เขาไม่กล้าให้ทำเลยเอาแต่ถอยหนีลูกเดียวหยวนชิงหลิงจ้องเขม็ง “อย่าขยับ!”ขอทานน้อยหยุดขยับเขยือนทันที นิ่งเหมือนเป็นเป็นก้อนหินยังไงอย่างงั้น หายใจแรง ๆ ก็ยังไม่กล้าเขาไม่กล้ามองหยวนชิงหลิง ไม่รู้จะหลบสายตายังไง เขากลัวและตื่นแต้นจนพูดไม่ออก“เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมาหาข้าที่จวนอ๋องฉู่ ข้าจะให้ยาเจ้า” หยวนชิงหลิงดึงขากางเกงเขาลง ที่จริงก็ปกปิดอะไรไม่ได้มากนัก กางเกงขาดหวิ่นเสียเหลือเกิน ขอทานน้อยพูดเสียงสั่น “ได้ ขอบพระทัย...ขอบพระทัยพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาไม่มาหรอก เลยให้ยาเม็ดไปสองสามเม็ดและพูดอธิบายไปว่า “ยานี่ วันนึงกินครั้งหนึ่ง ใช้ได้ห้าวัน ส่วนสองเม็ดนี้คือยาลดไข้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีไข้ ก็รีบกินยานี้นะ รู้ไหม?”ขอทานน้อยค่อย ๆ ยื่นมือออกมา มือนั้นทั้งดำทั้งผอมยังกับกิ่งไม้แห้งไม่มีผิดหยวนชิงหลิงให้ยาเขาแล้วหันกลับไปรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บคนอื่นต่อผู้ที่ให้การช่วยเหลือเริ่มมีมากขึ้น คนจากจวนเซียวเหยาโฮ่ว อ๋องรุ่ยชิงก็มารับพระชายาและองค์หญิงหงเติ้งจวิ๋นจู
หยวนชิงผิงเป็นใครกัน? ที่เขาหลงรักนางเพียงเพราะหลงใหลไปชั่วขณะเท่านั้น โชคดีที่ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับท่านแม่กู้ซีแสดงความไม่พอใจออกมา เพื่อปกป้องจิตใจอันบอบบางของเขาส่วนใบหน้าของหยวนชิงผิงกลับเต็มไปด้วยความงุนงง เขาเป็นอะไรของเขา? ถามว่าเขาคือใครก็ไม่พูดไม่จา มิหนำซ้ำยังเดินจากไปด้วยความโมโหอีก นี่มันอะไรกัน? ถามแค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?หยวนชิงหลิงถาม “กู้ซีเป็นอะไรไป? ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี”หยวนชิงผิงทำสีหน้าประหลาดใจ “กู้ซี? เขาก็คือกู้ซีหรือ? หัวหน้าองครักษ์หลวงนะหรือ?”“น้องรอง พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อนแล้วนี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ามาที่จวน เขาเองก็มาด้วยเช่นกัน”หยวนชิงผิงเพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่า เคยพบกันมาก่อนจริง ๆทว่าในตอนนั้น จิตใจของนางกำลังวุ่นวายสับสน จะจำได้อย่างไรกัน?แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะใจแคบไปเสียหน่อย เพียงจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร ถึงขั้นต้องโกรธเคืองกันเลยหรือ? ดูเหมือนว่าผู้ชายจะมีนิสัยเหมือนกันหมด คิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ ทุกคนต้องรู้จักเขารถม้ากลับถึงจวน หยวนชิงหลิงกินข้าวและเข้านอน โดยมีลวี่หยาและนางข่าหลวงคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาจวนอ๋องมีเอาไว้สำหรับเลี้ยงห
ดังนั้น ดูผิวเผินเหมือนต้องการขอความเห็นใจให้แก่ฉู่หมิงชุ่ย แต่อันที่จริงแล้วเป็นการทำเพื่อเจ้าเจ็ดต่างหากเขา...ต้องการสนับสนุนให้เจ้าเจ็ดช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้วอย่างนั้นหรือ?แต่อย่างไรเสีย การที่เขาช่วยเหลือหลานชายของตนเอง ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรเพียงแต่การแสดงท่าทีออกมาอย่างรวดเร็ว จนขาดความสำรวมไปไม่น้อยเช่นนี้ ดูไม่เหมือนนิสัยของฉู่โซ่วฝูเลยสักนิดอีกทั้งยังตามออกมาต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเช่นนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจที่มีอยู่ในการข่มขู่ หรือว่าจะ...รีบร้อนเกินไป?อวี่เหวินห่าวหันมองฉู่โซ่วฝู แล้วพูดว่า “โซ่วฝูวางใจเถอะ เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรมแน่นอน”พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นคารวะแล้วเดินจากไปอันที่จริงแล้ว เรื่องทุกอย่างปรากฏให้เห็นชัดเจน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสืบสวนนานนักคนของจวนจิงจ้าวได้สอบถามความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นจากผู้เฝ้าประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังซักถามชาวบ้านอีกหลายคน แน่นอนว่าพระชายาอ๋องรุ่ยและฮูหยินเหลียงล้วนอยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่เป็นการยากที่จะสืบหาความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้สุดท้ายก็ต้องไปสอบถามฉู่หมิงชุ่ยเดิมทีอวี่เหวินห่าวไ
อ๋องฉีกลัวจนหัวหด เขาบ่นพึมพำด้วยสีหน้าหมองหม่น “พี่ห้า ทำไม่พี่ต้องดุขนาดนี้ด้วย?” อวี่เหวินห่าวตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน “จะไปหรือไม่ไป?” “ท่านใจเย็นก่อนสิ เดี๋ยวจะทำให้ชุ่ยเอ๋อร์ตกใจไปกันใหญ่!” อ๋องฉีพูดเสียงเบา แต่ก็ยังคงเดินนำทางไปอย่างช้า ๆ อวี่เหวินห่าวพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่หลายครั้ง จึงจะสามารถระงับอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นเอาไว้ได้ อ๋องฉีกลับพูดขึ้นมาอีกว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ด้านนอกประตูเมือง พี่สะใภ้ห้ากล่าวว่า นางไม่ได้ผลักชุ่ยเอ๋อร์ แต่กลับใส่ร้ายว่าชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนผลักนาง มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่า ชุ่ยเอ๋อร์ต้องการที่จะทำร้ายนาง พี่ห้า หากท่านกลับไป ต้องพูดคุยกับนางให้กระจ่าง เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าท่าน จึงไม่คิดติดใจเอาความเรื่องนี้” คนรับใช้ผงะไป แล้วจึงหันมองอ๋องฉี ส่วนอ๋องฉีพูดเพียงว่า “ไปสิ!” คนรับใช้จึงไปตามคำสั่ง อวี่เหวินห่าวไม่สนใจอ๋องฉี เขาเดินไปนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างพร้อมกับซูยี่ อ๋องฉีเดินตามมาติด ๆ และยังไม่ลืมที่จะกำชับอีกว่า “พี่ห้า เรื่องนี้ท่านต้องจัดการให้เรียบร้อย ท่านไม่ยอมให้ข้าปกป้องชุ่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นหากท่านปกป้องพี่สะใภ้ห้
อวี่เหวินห่าวรู้สึกสงสัย “ในเมื่อเจ้ากำหนดเอาไว้นานแล้วว่าวันนี้จะแจกโจ๊ก ทำไมถึงไม่รีบวางแผนเรื่องซาลาเปาเอาไว้ก่อน? ต่อให้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ติดต่อเจ้าของร้านสักสองสามแห่ง การจัดหาซาลาเปาไม่กี่ร้อยลูกคงไม่ต้องกินเวลาจนกระทั่งถึงเที่ยง อีกทั้งข้าเห็นในที่เกิดเหตุ มีซาลาเปาเพียงสิบเข่งเท่านั้น รวมแล้วเป็นจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบลูก ซึ่งน่าจะใช้เวลาในการทำไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม” ฉู่หมิงชุ่ยผงะไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เผยให้เห็นความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย และจ้องมองไปยังอวี่เหวินห่าว ในก้นบึ้งของหัวใจนาง มีทั้งความเจ็บปวดและขุ่นเคืองปรากฏขึ้น เขามาเพื่อที่จะสอบสวนจริง ๆ? หรือเพียงแค่มาซักสามสองสามคำตามพระราชโองการเท่านั้น? หากเป็นอย่างหลัง คงไม่จำเป็นต้องซักถามละเอียดเช่นนี้ หากเป็นอย่างแรก...เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นางยื่นมือไปแตะหน้าผาก และทำทีท่าจะร้องไห้ออกมา “หม่อมฉันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ส่วนเรื่องพวกนี้ หม่อมฉันสั่งให้พวกบ่าวไพร่เป็นคนไปจัดการ พี่ห่าวลองถามพวกเขาดูเอาเองเถอะเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึก...หม่อมฉันรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกว้าวุ่นใจถึงที่สุด”
ซูยี่เห็นเขามุ่งหน้าไปทางสำนักผู้ตรวจการ ก็อดไม่ได้ที่จะควบม้าตามขึ้นไปถาม “ท่านอ๋อง ยังไม่กลับจวนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อวี่เหวินห่าวพูดว่า “กลับจวนทำไม? จะกลับไปดูนางราชสีห์แผลงฤทธิ์หรืออย่างไร? ไม่ล่ะ ข้าอยากเห็นเพียงแค่ด้านที่งดงามของนางมากกว่า” เวลาผู้หญิงดุร้ายขึ้นมา น่ากลัวจริง ๆ ซูยี่รู้สึกสงสัยอย่างมาก “พระชายาจะทรงกล้าตีอ๋องฉีจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องฉีเป็นถึงพระโอรสของฮองเฮา แม้แต่สนมเสียนเฟย พระชายายังไม่กล้าที่จะล่วงเกิน แล้วนี่จะกล้าล่วงเกินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? อวี่เหวินห่าวเชื่อว่าต้องกล้าแน่นอน หยวนชิงหลิงโกรธเจ้าเจ็ดเป็นฟืนเป็นไฟ ความไม่พอใจนี้ ถูกสะกดกลั้นเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว นางไม่มีโอกาสได้ระบายอารมณ์มาก่อน ตอนอยู่ในที่เกิดเหตุด้านนอกประตูเมืองวันนี้ เขาได้ยินที่หยวนชิงหลิงกร่นด่าเจ้าเจ็ดแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และมัววุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแล้วล่ะก็ เกรงว่าหยวนชิงหลิงคงจะลงมือไปแล้ว หากคืนนี้เจ้าเจ็ดไปหานางเพื่อพูดเรื่องที่แม่น้ำอีกล่ะก็ ถือว่าเยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความเกลียดชังให้มากขึ้นไปอีก หากหยวนชิงหลิง
“ก็เรียนน่ะสิ!” “เรียนกับใครกัน?” หยวนชิงผิงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางศึกษาด้านการแพทย์ อีกทั้งยังเป็นทักษะทางการแพทย์ที่แปลกประหลาดอีกด้วย หยวนชิงหลิงหัวเราะโดยไม่พูดอะไร “ลึกลับจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าไม่อาจถามหาความจริงได้ จึงขี้เกียจจะซักไซ้ ตัวเป่าวิ่งเล่นสักพัก ก็กลับมานอนหมอบอยู่ข้าง ๆ เท้าของหยวนชิงหลิง และส่งเสียงหายใจหอบ หยวนชิงผิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าได้ยินอ๋องฉีพูดว่าฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์แล้ว” หยวนชิงหลิงขานรับเพียงหนึ่งคำ “ท้องก็ท้องไปสิ” “ท่านไม่กังวลใจเลยหรือ?” หยวนชิงผิงหันหน้าไปมองนาง หยวนชิงหลิงหุบยิ้ม “ข้าจะต้องกังวลใจอะไรกัน? ข้าไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องนางสักหน่อย” “อ๋องฉีเป็นโอรสของฝ่าบาท ถ้าหากฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์ มีโอกาสอย่างสูงที่อ๋องฉีจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพี่เขยมีโอกาส น่าเสียดายนัก” หยวนชิงผิงพูดพลางถอนหายใจ “การขึ้นเป็นรัชทายาทในตอนนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี จะกลายเป็นเป้าโจมตีเอาได้!” “ใครกล้าแตะต้องอ๋องฉีกัน? เบื้องหลังอ๋องฉี มีตระกูลฉู่คอยหนุนหลังอยู่นะ” ถึงแม้หยวนชิงผิงจะไม่ค่อยร
ตอนมาถึงที่นี่ เขามีคำพูดอยู่ภายในใจมากมาย แต่ทว่าเมื่อได้เห็นท่าทีของหยวนชิงหลิงที่ไม่ได้ดูดุดันอย่างเช่นตอนอยู่ในที่เกิดเหตุ เขาก็รู้สึกมีความมั่นใจเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังจะต่อว่านางยกใหญ่ หยวนชิงหลิงกลับพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “หากมีธุระก็พูดมา แต่หากจะพูดเรื่องตกน้ำแล้วล่ะก็ หม่อมฉันขอเตือนท่านว่าอย่าพูดจะดีกว่า” คำพูดกล่าวโทษของเขาถูกตัดบทลง เขาผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงจ้องเขม็งแล้วพูดว่า “ทำไมจะพูดไม่ได้? เรื่องนี้มันยังไม่จบ เจ้าจะต้องยอมรับความผิด และต้องกล่าวขอโทษชุ่ยเอ๋อร์ มิเช่นนั้น ข้าจะนำเรื่องนี้ไปกราบทูลเสด็จพ่อ ให้เสด็จพ่อเป็นผู้ตัดสิน” หยวนชิงหลิงยิ้มเยาะ นางมองสำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “โตจนป่านนี้แล้ว ยังไม่หย่านมอีกหรือเพคะ? มีเรื่องอันใดก็ต้องกราบทูลเสด็จพ่อ กราบทูบฮองไทเฮา นำไปฟ้องพระชายา ท่านไม่มีสมองหรืออย่างไร?” อ๋องฉีโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ คนประเภทนี้ช่างดูหมิ่นคนอื่นมากเกินไปแล้ว อีกทั้งที่นางพูดว่าเขาไม่มีสมอง ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น “ข้าเป็นถึงท่านอ๋อง จะปล่อยให้เจ้าดูถูกเหยียดหยามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเช่นนี้ไม่ได้” อ๋องฉีพูดด้วยความโมโห
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม