หยวนชิงหลิงที่ล้างแผลให้ขอทานน้อยอยู่ก่อน พบว่าเขาพูดจาขัดขวางนางไม่หยุด อดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าที่เข้มขรึมขึ้น “ถ้าท่านไม่วางใจนาง ก็รีบพานางเข้าวังไปหาหมอหลวงซะ”“เจ้าดูนางก่อน ข้ากลัวว่านางอาจได้รับการกระทบกระเทือนที่ท้อง” อ๋องฉีพูดและกังวลเสียจนหันไปดูฉู่หมิงชุ่ยด้วยสายตาที่ทำเงอะงะทำอะไรไม่ถูกนางยังไม่เคยลองมาก่อนเหมือนตอนนี้ที่นางได้วิญญาณหลุดออกจากร่างแบบนี้และนางก็ไม่รู้เหมือนกันว่าบาดเจ็บที่ไหนหยวนชิงหลิงหันไปดูฉู่หมิงชุ่ยและพูดอย่างเฉยชาว่า “ข้าไม่ใช่หมอโรคสตรี ไม่รู้เรื่องพวกนี้ อย่าเกะกะข้า”ฉู่หมิงชุ่ยเหมือนราวกับวิญญาณได้กลับเข้าร่างแล้ว อดไม่ได้ที่จะมองอ๋องฉีด้วยสายตาเย็นชา “ข้าไม่เป็นไร ท่านอ๋องอย่าพูดจาเหลวไหล”แต่ว่าจู่ ๆ ในหัวนางก็มีแสงสว่างวาบขึ้นเสด็จพ่อต้องถามหาความรับผิดชอบในเรื่องนี้แน่ ถ้าหากนางตั้งครรภ์ขึ้นมาล่ะ?รอบเดือนของเดือนนี้เคลื่อนมาสองสามวันแล้ว สองวันก่อนเจตนาเข้าวังไปเยี่ยมท่านป้า แล้วถือโอกาสเรียกมาหลวงมาตรวจชีพจรหมอหลวงบอกว่าดูเหมือนชีพจรจะเรียบลื่นเหมือนไข่มุกแบบหญิงตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่คล้ายเท่าไหร่นัก อาจเป็นเพราะระยะเวลาสั้นเกินไป จึง
ขอทานน้อยคนนั้นก็พึ่งรู้ว่านางคือพระชายาฉู่ ก็ตกใจกลัวจนตัวสั่นไปหมด หยวนชิงหลิงที่จะทำแผลให้เขา เขาไม่กล้าให้ทำเลยเอาแต่ถอยหนีลูกเดียวหยวนชิงหลิงจ้องเขม็ง “อย่าขยับ!”ขอทานน้อยหยุดขยับเขยือนทันที นิ่งเหมือนเป็นเป็นก้อนหินยังไงอย่างงั้น หายใจแรง ๆ ก็ยังไม่กล้าเขาไม่กล้ามองหยวนชิงหลิง ไม่รู้จะหลบสายตายังไง เขากลัวและตื่นแต้นจนพูดไม่ออก“เอาล่ะ พรุ่งนี้ข้าจะมาหาข้าที่จวนอ๋องฉู่ ข้าจะให้ยาเจ้า” หยวนชิงหลิงดึงขากางเกงเขาลง ที่จริงก็ปกปิดอะไรไม่ได้มากนัก กางเกงขาดหวิ่นเสียเหลือเกิน ขอทานน้อยพูดเสียงสั่น “ได้ ขอบพระทัย...ขอบพระทัยพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ”หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาไม่มาหรอก เลยให้ยาเม็ดไปสองสามเม็ดและพูดอธิบายไปว่า “ยานี่ วันนึงกินครั้งหนึ่ง ใช้ได้ห้าวัน ส่วนสองเม็ดนี้คือยาลดไข้ ถ้าเจ้ารู้สึกว่าตัวเองมีไข้ ก็รีบกินยานี้นะ รู้ไหม?”ขอทานน้อยค่อย ๆ ยื่นมือออกมา มือนั้นทั้งดำทั้งผอมยังกับกิ่งไม้แห้งไม่มีผิดหยวนชิงหลิงให้ยาเขาแล้วหันกลับไปรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บคนอื่นต่อผู้ที่ให้การช่วยเหลือเริ่มมีมากขึ้น คนจากจวนเซียวเหยาโฮ่ว อ๋องรุ่ยชิงก็มารับพระชายาและองค์หญิงหงเติ้งจวิ๋นจู
หยวนชิงผิงเป็นใครกัน? ที่เขาหลงรักนางเพียงเพราะหลงใหลไปชั่วขณะเท่านั้น โชคดีที่ยังไม่ได้พูดคุยเรื่องนี้กับท่านแม่กู้ซีแสดงความไม่พอใจออกมา เพื่อปกป้องจิตใจอันบอบบางของเขาส่วนใบหน้าของหยวนชิงผิงกลับเต็มไปด้วยความงุนงง เขาเป็นอะไรของเขา? ถามว่าเขาคือใครก็ไม่พูดไม่จา มิหนำซ้ำยังเดินจากไปด้วยความโมโหอีก นี่มันอะไรกัน? ถามแค่นี้ก็ไม่ได้หรือ?หยวนชิงหลิงถาม “กู้ซีเป็นอะไรไป? ดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี”หยวนชิงผิงทำสีหน้าประหลาดใจ “กู้ซี? เขาก็คือกู้ซีหรือ? หัวหน้าองครักษ์หลวงนะหรือ?”“น้องรอง พวกเจ้าเคยพบกันมาก่อนแล้วนี่ ก่อนหน้านี้ตอนที่เจ้ามาที่จวน เขาเองก็มาด้วยเช่นกัน”หยวนชิงผิงเพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่า เคยพบกันมาก่อนจริง ๆทว่าในตอนนั้น จิตใจของนางกำลังวุ่นวายสับสน จะจำได้อย่างไรกัน?แต่ดูเหมือนชายคนนี้จะใจแคบไปเสียหน่อย เพียงจำไม่ได้ว่าเขาเป็นใคร ถึงขั้นต้องโกรธเคืองกันเลยหรือ? ดูเหมือนว่าผู้ชายจะมีนิสัยเหมือนกันหมด คิดว่าตนเองนั้นยิ่งใหญ่ ทุกคนต้องรู้จักเขารถม้ากลับถึงจวน หยวนชิงหลิงกินข้าวและเข้านอน โดยมีลวี่หยาและนางข่าหลวงคอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาจวนอ๋องมีเอาไว้สำหรับเลี้ยงห
ดังนั้น ดูผิวเผินเหมือนต้องการขอความเห็นใจให้แก่ฉู่หมิงชุ่ย แต่อันที่จริงแล้วเป็นการทำเพื่อเจ้าเจ็ดต่างหากเขา...ต้องการสนับสนุนให้เจ้าเจ็ดช่วงชิงตำแหน่งรัชทายาทแล้วอย่างนั้นหรือ?แต่อย่างไรเสีย การที่เขาช่วยเหลือหลานชายของตนเอง ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรเพียงแต่การแสดงท่าทีออกมาอย่างรวดเร็ว จนขาดความสำรวมไปไม่น้อยเช่นนี้ ดูไม่เหมือนนิสัยของฉู่โซ่วฝูเลยสักนิดอีกทั้งยังตามออกมาต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อเช่นนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจที่มีอยู่ในการข่มขู่ หรือว่าจะ...รีบร้อนเกินไป?อวี่เหวินห่าวหันมองฉู่โซ่วฝู แล้วพูดว่า “โซ่วฝูวางใจเถอะ เรื่องนี้จะต้องได้รับการตัดสินอย่างยุติธรรมแน่นอน”พูดจบ เขาก็ยกมือขึ้นคารวะแล้วเดินจากไปอันที่จริงแล้ว เรื่องทุกอย่างปรากฏให้เห็นชัดเจน ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาสืบสวนนานนักคนของจวนจิงจ้าวได้สอบถามความจริงของเรื่องที่เกิดขึ้นจากผู้เฝ้าประตูเมืองเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังซักถามชาวบ้านอีกหลายคน แน่นอนว่าพระชายาอ๋องรุ่ยและฮูหยินเหลียงล้วนอยู่ในเหตุการณ์ จึงไม่เป็นการยากที่จะสืบหาความจริงทั้งหมดของเรื่องนี้สุดท้ายก็ต้องไปสอบถามฉู่หมิงชุ่ยเดิมทีอวี่เหวินห่าวไ
อ๋องฉีกลัวจนหัวหด เขาบ่นพึมพำด้วยสีหน้าหมองหม่น “พี่ห้า ทำไม่พี่ต้องดุขนาดนี้ด้วย?” อวี่เหวินห่าวตะคอกออกมาอย่างหมดความอดทน “จะไปหรือไม่ไป?” “ท่านใจเย็นก่อนสิ เดี๋ยวจะทำให้ชุ่ยเอ๋อร์ตกใจไปกันใหญ่!” อ๋องฉีพูดเสียงเบา แต่ก็ยังคงเดินนำทางไปอย่างช้า ๆ อวี่เหวินห่าวพยายามสูดหายใจเข้าเต็มปอดอยู่หลายครั้ง จึงจะสามารถระงับอารมณ์โกรธที่ปะทุขึ้นเอาไว้ได้ อ๋องฉีกลับพูดขึ้นมาอีกว่า “ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่ด้านนอกประตูเมือง พี่สะใภ้ห้ากล่าวว่า นางไม่ได้ผลักชุ่ยเอ๋อร์ แต่กลับใส่ร้ายว่าชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนผลักนาง มิหนำซ้ำยังบอกอีกว่า ชุ่ยเอ๋อร์ต้องการที่จะทำร้ายนาง พี่ห้า หากท่านกลับไป ต้องพูดคุยกับนางให้กระจ่าง เป็นเพราะข้าเห็นแก่หน้าท่าน จึงไม่คิดติดใจเอาความเรื่องนี้” คนรับใช้ผงะไป แล้วจึงหันมองอ๋องฉี ส่วนอ๋องฉีพูดเพียงว่า “ไปสิ!” คนรับใช้จึงไปตามคำสั่ง อวี่เหวินห่าวไม่สนใจอ๋องฉี เขาเดินไปนั่งรออยู่ที่ห้องโถงด้านข้างพร้อมกับซูยี่ อ๋องฉีเดินตามมาติด ๆ และยังไม่ลืมที่จะกำชับอีกว่า “พี่ห้า เรื่องนี้ท่านต้องจัดการให้เรียบร้อย ท่านไม่ยอมให้ข้าปกป้องชุ่ยเอ๋อร์ เช่นนั้นหากท่านปกป้องพี่สะใภ้ห้
อวี่เหวินห่าวรู้สึกสงสัย “ในเมื่อเจ้ากำหนดเอาไว้นานแล้วว่าวันนี้จะแจกโจ๊ก ทำไมถึงไม่รีบวางแผนเรื่องซาลาเปาเอาไว้ก่อน? ต่อให้เป็นการตัดสินใจอย่างกะทันหัน ติดต่อเจ้าของร้านสักสองสามแห่ง การจัดหาซาลาเปาไม่กี่ร้อยลูกคงไม่ต้องกินเวลาจนกระทั่งถึงเที่ยง อีกทั้งข้าเห็นในที่เกิดเหตุ มีซาลาเปาเพียงสิบเข่งเท่านั้น รวมแล้วเป็นจำนวนหนึ่งร้อยห้าสิบลูก ซึ่งน่าจะใช้เวลาในการทำไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม” ฉู่หมิงชุ่ยผงะไป ดวงตาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา เผยให้เห็นความตกตะลึงออกมาเล็กน้อย และจ้องมองไปยังอวี่เหวินห่าว ในก้นบึ้งของหัวใจนาง มีทั้งความเจ็บปวดและขุ่นเคืองปรากฏขึ้น เขามาเพื่อที่จะสอบสวนจริง ๆ? หรือเพียงแค่มาซักสามสองสามคำตามพระราชโองการเท่านั้น? หากเป็นอย่างหลัง คงไม่จำเป็นต้องซักถามละเอียดเช่นนี้ หากเป็นอย่างแรก...เขาเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ นางยื่นมือไปแตะหน้าผาก และทำทีท่าจะร้องไห้ออกมา “หม่อมฉันรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ส่วนเรื่องพวกนี้ หม่อมฉันสั่งให้พวกบ่าวไพร่เป็นคนไปจัดการ พี่ห่าวลองถามพวกเขาดูเอาเองเถอะเพคะ วันนี้หม่อมฉันรู้สึก...หม่อมฉันรู้สึกเจ็บปวดใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกว้าวุ่นใจถึงที่สุด”
ซูยี่เห็นเขามุ่งหน้าไปทางสำนักผู้ตรวจการ ก็อดไม่ได้ที่จะควบม้าตามขึ้นไปถาม “ท่านอ๋อง ยังไม่กลับจวนหรือพ่ะย่ะค่ะ?” อวี่เหวินห่าวพูดว่า “กลับจวนทำไม? จะกลับไปดูนางราชสีห์แผลงฤทธิ์หรืออย่างไร? ไม่ล่ะ ข้าอยากเห็นเพียงแค่ด้านที่งดงามของนางมากกว่า” เวลาผู้หญิงดุร้ายขึ้นมา น่ากลัวจริง ๆ ซูยี่รู้สึกสงสัยอย่างมาก “พระชายาจะทรงกล้าตีอ๋องฉีจริง ๆ หรือพ่ะย่ะค่ะ?” อ๋องฉีเป็นถึงพระโอรสของฮองเฮา แม้แต่สนมเสียนเฟย พระชายายังไม่กล้าที่จะล่วงเกิน แล้วนี่จะกล้าล่วงเกินฮองเฮาอย่างนั้นหรือ? อวี่เหวินห่าวเชื่อว่าต้องกล้าแน่นอน หยวนชิงหลิงโกรธเจ้าเจ็ดเป็นฟืนเป็นไฟ ความไม่พอใจนี้ ถูกสะกดกลั้นเอาไว้เป็นเวลานานแล้ว นางไม่มีโอกาสได้ระบายอารมณ์มาก่อน ตอนอยู่ในที่เกิดเหตุด้านนอกประตูเมืองวันนี้ เขาได้ยินที่หยวนชิงหลิงกร่นด่าเจ้าเจ็ดแล้ว หากไม่ใช่เพราะมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และมัววุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บแล้วล่ะก็ เกรงว่าหยวนชิงหลิงคงจะลงมือไปแล้ว หากคืนนี้เจ้าเจ็ดไปหานางเพื่อพูดเรื่องที่แม่น้ำอีกล่ะก็ ถือว่าเยี่ยมไปเลย เช่นนั้นก็ยิ่งเป็นการเพิ่มความเกลียดชังให้มากขึ้นไปอีก หากหยวนชิงหลิง
“ก็เรียนน่ะสิ!” “เรียนกับใครกัน?” หยวนชิงผิงไม่เคยได้ยินมาก่อนว่านางศึกษาด้านการแพทย์ อีกทั้งยังเป็นทักษะทางการแพทย์ที่แปลกประหลาดอีกด้วย หยวนชิงหลิงหัวเราะโดยไม่พูดอะไร “ลึกลับจริง ๆ!” หยวนชิงหลิงรู้ดีว่าไม่อาจถามหาความจริงได้ จึงขี้เกียจจะซักไซ้ ตัวเป่าวิ่งเล่นสักพัก ก็กลับมานอนหมอบอยู่ข้าง ๆ เท้าของหยวนชิงหลิง และส่งเสียงหายใจหอบ หยวนชิงผิงนิ่งเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดขึ้นว่า “วันนี้ข้าได้ยินอ๋องฉีพูดว่าฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์แล้ว” หยวนชิงหลิงขานรับเพียงหนึ่งคำ “ท้องก็ท้องไปสิ” “ท่านไม่กังวลใจเลยหรือ?” หยวนชิงผิงหันหน้าไปมองนาง หยวนชิงหลิงหุบยิ้ม “ข้าจะต้องกังวลใจอะไรกัน? ข้าไม่ใช่พ่อของเด็กในท้องนางสักหน่อย” “อ๋องฉีเป็นโอรสของฝ่าบาท ถ้าหากฉู่หมิงชุ่ยตั้งครรภ์ มีโอกาสอย่างสูงที่อ๋องฉีจะได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพี่เขยมีโอกาส น่าเสียดายนัก” หยวนชิงผิงพูดพลางถอนหายใจ “การขึ้นเป็นรัชทายาทในตอนนี้ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี จะกลายเป็นเป้าโจมตีเอาได้!” “ใครกล้าแตะต้องอ๋องฉีกัน? เบื้องหลังอ๋องฉี มีตระกูลฉู่คอยหนุนหลังอยู่นะ” ถึงแม้หยวนชิงผิงจะไม่ค่อยร