“สุขภาพของท่านย่าเป็นอย่างไรบ้าง?”หยวนชิงผิงตอบ “ก็เหมือนเดิม ไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ลง”“อีกสองวันข้าจะกลับไปดูนาง” หยวนชิงหลิงบอกน้องสาวของนางสองพี่น้องออกจากจวนไปขึ้นรถมา สารถีถามว่า “พระชายาจะเสด็จไปที่ใด?”หยวนชิงหลิงถามลวี่หยา “เมื่อวานพวกเราไปที่ไหนกัน?”“ถนนซิงผิงเพคะ” ลวี่หยาตอบ“งั้นก็ไปถนนซิงผิงเถอะ”สารถีตอบรับ “พ่ะย่ะค่ะ!”ล้อรถม้าบดลงแผ่นหินปูถนน และขับควบออกไปจากถนนเส้นจวนอ๋องไม่นานนัก รถม้าก็ได้หยุดลง“พระชายาถึงแล้ว พ่ะย่ะค่ะ!” สารถีพูดเมื่อถึงที่หมายหยวนชิงหลิงเปิดม่านออก เห็นว่าไม่ใช่ที่ ๆ นางอยากไป และเมื่อวานที่ได้ไปเดินที่ถนนเส้นหลักครั้งแรกมันก็ยังคงจริญรุ่งเรืองเช่นเคยหยวนชิงผิงลงจากม้าแล้วนางพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่สาว พวกเราไปเดินร้านแป้งสีชาดกันเถอะ ข้าอยากซื้อของเยอะแยะเลย”พูดจบ นางก็ยื่นมือเข้าไปคล้องแขนหยวนชิงหลิงหยวนชิงหลิงจึงเดินไปเป็นเพื่อนนางซื้อของไปก่อนนางไม่มีอะไรจะซื้อ แต่หยวนชิงผิงชอบที่นี่มาก โดยเฉพาะร้านเครื่องหอมและร้านแป้งสีชาดนางซื้อน้ำมันหอมไปหลายอย่าง ทั้งสองเดินไปดูแป้งทาหน้าและชาดทาปากเมื่อเข้าไปก็เห็นฉู่หมิ
คนอย่างหยวนชิงผิงมีที่ไหนจะให้คนตบหน้าตัวเองง่าย ๆ? แค่จงใจให้นางผลักแค่ไหล่เท่านั้น นางจึงตวาดด้วยความโกรธ “ได้ ในเมื่อเจ้ากล้าตบคน? ดูสิว่าวันนี้ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้น ๆ หรือไม่” พูดแล้วนางก็ตบลงไปบนหน้าของฉู่หมิงเฝิง ตบแล้วยังตบด้วยหลังมือซ้ำลงไปอีกฉาดฉู่หมิงเฝิงถึงกับอึ้งไป ยังไม่ทันจะง้างมือโต้กลับ ก็ได้ยินเสียงพยายามข่มความโกรธของฉู่หมิงชุ่ย “หยุดนะ!”ฉู่หมิงเฝิงตกใจจนรีบถถอยหลังไป และจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยสายตาเคียดแค้นฉู่หมิงชุ่ยกวาดสายตามองหยวนชิงผิงอย่างเย็นชา หลังจากนั้นก็ก้มหัวต่อหน้าหยวนชิงหลิง และกล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พระชายาฉู่ ข้าและเจ้าต่างก็เป็นพี่สะใภ้ น้องสะใภ้ ยังไงเราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน นางกล้าพูดอะไรที่ไม่น่าฟังออกมาเช่นนี้ เจ้าก็อย่าได้ถือโทษไปเลย น้องสาวผู้ต่ำต้อยของเจ้าก่อเรื่องขึ้น เจ้าในฐานะพี่สาวมิอาจนิ่งดูดายได้ จะให้สอนมันก็กะไรอยู่ หญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงานออกเรือนเช่นนี้ หากข่าวแพร่ออกไปแล้วช่างชวนให้คนอื่นหัวเราะขบขันเสียจริง”หยวนชิงหลิงไม่ใช่คู่มือในการทะเลาะกันครั้งนี้ แต่ว่าการพูดด้วยเหตุผลนางก็ทำได้ดีทีเดียวนางกล่าวอย่างยิ้มแ
หยวนชิงผิงท้อแท้ใจเหลือเกินกับคำพูดพี่สาวนาง “ท่านออกมาเดินซื้อของ แต่กลับไม่พกเงินมาเลยสักแดงเนี่ยนะ?”หยวนชิงหลิงมองเจ้าของร้าน “เขียนลงบัญชีไว้ก่อนได้หรือ?”“ได้สิ ได้สิเจ้าค่ะ ได้แน่นอน พระชายาฉู่ใช่หรือไม่? เท่าไหร่ก็เขียนติดบัญชีไว้ได้” เจ้าของร้านประจบสอพอ เสมือนประหนึ่งลูกค้าคือเง็กเซียนฮ่องเต้หยวนชิงผิงเลือกแป้งอย่างเพลิดเพลินมาสองตลับและซื้อหลัวจื่อไต้ที่เป็นดินสอเขียนคิ้วนำเข้ามาจากเปอร์เซียอีกแท่งหนึ่งหยวนชิงหลิงไปยังถนนคับคั่งเส้นเมื่อวานอีกครั้งเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนนางทำอะไรไม่ได้เลย แต่เรื่องการรักษาพยาบาล ยังคงต้องมองดูก่อนว่าทำยังไงได้บ้างเกิด แก่ เจ็บ ตาย ทุกคนล้วนต้องประสบพบเจอ การขาดแคลนและไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ จะทำให้เสถียรของสังคมขาดความมั่นคง อวี่เหวินห่าวบอกว่า พวกที่เรียนจบหมอมาแล้วก็มักจะไปเปิดโรงหมอเองทั้งสิ้น นางเองก็พูดอะไรไม่ได้ ทุ่มเทศึกษาทั้งยาและการเคี่ยวยามาตั้งหลายปี เรียนจบแล้วก็คงไม่ไปเป็นแรงานราคาถูกให้หน่วยแพทย์ชุมชมหรอกอย่าพูดถึงเรื่องจะมีคนใจดีมากแค่ไหนก่อนเลย ต้องดูแลชีวิตตัวเองกับคนรอบข้างให้ได้ซะก่อน ถึงจะไปสน
หยวนชิงผิงพบว่านางไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ จึงอธิบายเรื่องราวในช่วงนี้ให้นางฟัง “พรุ่งนี้ฉู่หมิงชุ่ยได้เปิดโรงทานต้มโจ๊กที่นอกเมือง เพื่อช่วยเหลือจุนเจือขอทานในเมืองนี้ และเมื่อสองวันก่อน พระชายาจี้ที่ยังป่วยอยู่ไปอธิษฐานที่วัดชิงฮว๋าเพื่อประชาชนผู้ประสบอุทกภัย นางคุกเข่าอธิษฐานขอพรทั้งคืนเลย”หยวนชิงหลิงถามเปิดหูเปิดตากับเรื่องนี้ต่อ “พระชายาจี้ที่ยังป่วยอยู่แบบนี้ไปอธิษฐาน? คุกเข่าทั้งคืนแบบนี้ ไม่กลัวว่าอาการป่วยจะทรุดลงงั้นหรือ?”“ใช่แล้ว ได้ยินมาว่าอาการป่วยหนักขึ้น ฝ่าบาททรงพระราชทานโอสถให้ด้วย” ทันใดนั้นหยวนชิงผิงมองนางด้วยความประหลาดใจ “ไม่ถูกสิ ข่าวพวกนี้ในฐานะพระชายาฉู่ของท่าน ท่านไม่รู้อะไรเลยรึไง? ข่าวพวกนี้ขนาดข้ายังรู้เลย”หยวนชิงหลิงยิ้มออกมาอย่างขมชื่น “ข้าไม่รู้อะไรเลยสักนิดเหมือนกบในกะลาไม่มีผิด”นางไม่รู้เรื่องการเกิดอุทกภัยด้วยซ้ำนางอดกลั้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกไป “เกิดอุทกภัยที่ไหน?”“ใครจะไปรู้ล่ะ ได้ยินมาว่าเมืองเล็ก ๆ แถวชายแดน””กลับไปแล้วข้าจะไปถามอวี่เหวินห่าว” หยวนชิงหลิงพูดหยวนชิงหลิงมองนางแล้วเลิกคิ้วขึ้นมา “ท่านเรียกท่านอ๋องด้วยชื่อตรง ๆ แบบนี้เหรอ
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ไม่เกี่ยวกัน แต่ว่าถ้าทำให้ผลดีแก่ราษฎร มันก็ควรค่าที่จะยินดีกับเรื่องนี้ไหม?”“ไม่รู้ว่าควรค่าหรือไม่ แต่ไม่ใช่ข้าที่ได้รับประโยชน์” หยวนชิงผิงไม่ได้เจตนาพูดโต้เถียง แต่ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมนางถึงคิดเห็นว่าเป็นเรื่องที่ดีแบบนี้หยวนชิงหลิงพูด “เพราะว่านี่ก็เป็นชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎร”หยวนชิงผิงไม่เข้าใจ แต่ตอนที่มองนาง กลับมีดวงตาประหลาดปรากฏขึ้นมาหลายส่วน “ท่านอยากเป็นพระชายาองค์รัชทายาทจริง ๆ หรือ ท่านคิดเรื่องพวกนี้ไปทําไม?”หยวนชิงหลิงเผลอตัวหัวเราะออกมาเรื่องการเป็นพระชายาองค์รัชทายาทไม่แน่ว่าบางทีนางอาจไม่ต้องการถ้าอวี่เหวินห่าวเป็นองค์รัชทายาท นางเองก็ต้องเป็นพระชายาองค์รัชทายาทถ้าอวี่เหวินห่าวไม่เป็นหรือไม่มีใจใฝ่ที่จะเป็นรัชทายาท ตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท ก็ไม่มีอะไรน่าดึงดูดใจนางเลยสักนิดวันรุ่งขึ้น สองพี่สาวน้องสาวออกไปที่นอกเมืองด้วยกันที่นอกเมืองมีลานโล่งกว้างขนาดใหญ่อยู่แห่งนึง ตอนนี้ได้ตั้งกระโจมอย่างเรียบง่ายขึ้นมา และมีการตั้งเตามีหม้อขนาดใหญ่อยู่สองสามใบ ด้านล่างมีไฟที่โหมแรงเผาไหม้อยู่ ข้าวในหม้อเหล็กเดือดปุด ๆ ส่งกลิ่นหอมฉุยโชยไ
ฉู่หมิงชุ่ยไม่ทันเห็นสองพี่น้องหยวนชิงหลิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเมือง นางถูกประคองโดนสาวรับใช้และหญิงชราข้างหน้า และยังไม่ทันได้แจกจ่ายโจ๊กทันที หญิงชราคนนั้นก้าวไปข้างหน้าคนที่ยืนต่อแถวรอแจกโจ๊กและพูดป่าวประกาศ “ทุก ๆ ท่านอย่าได้กังวลไป อีกสักครู่ก็จะแจกโจ๊กให้ทุกคน พระชายาฉียังรับสั่งให้คนเตรียมซาลาเปาไส้เนื้อจะส่งมาทีหลัง ซึ่งจะแจกจ่ายไปด้วยกันกับโจ๊ก”เมื่อได้ยินว่าจะมีซาลาเปาให้กิน มีเสียงตะโกนโห่ร้องด้วยความยินดีจากเบื้องล่าง ความร้อนร้นเมื่อครู่ได้อันตธานหายไปหมดรออีกครู่เดียว ก็พบรถม้าค่อย ๆ เข้ามาอย่างช้า ๆฮูหยินผู้สูงศักดิ์หลายท่านได้ถูกประคองลงจากรถม้า และยังมีสาวน้อยอีกหลายคน ต่างก็มาที่โรงแจกโจ๊กด้านใน มาทักทายฉู่หมิงชุ่ยนอกจากฉู่หมิงหยางและฉู่หมิงเฝิง คนอื่น ๆ พวกนั้นหยวนชิงหลิงไม่รู้จักเลย จึงหันกลับมาหา ลวี่หยา “คนพวกนั้นคือใครกัน?”ลวี่หยามองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “นอกจากฮูหยินที่สวนชุดผ้าไหมสีเหลืองลูกแพรท่านนั้น คนอื่น ๆ บ่าวล้วนไม่รู้จักเพคะ?”“งั้นฮูหยินที่สวนชุดผ้าไหมสีเหลืองลูกแพรคนนั้นคือใคร?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม“มารดาของพระชายาฉี ฮูหยินใหญ่ฉู่
หยวนชิงผิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉู่หมิงหยาง สายตาของทั้งคู่สบตากันไม่กี่วินาที หยวนชิงผิงรู้สึกพ่ายแพ้ยับเยิน จึงรีบละสายตาออกและพูดอย่างโกรธเคืองว่า “คนตระกูลฉู่ไม่มีคนดีสักคน”เป็นธรรมชาติที่ตระกูลฉู่ไม่มีคนดีสักคน แต่ว่านี่ไม่ใช่เหตุผลที่หยวนชิงผิงเกลียดฉู่หมิงหยางนางเกลียดฉู่หมิงหยาง เพราะนางไม่เห็นคนอื่นอยู่ในสายตา ยโสโอหังเป็นอย่างยิ่งและเห็นได้ชัดว่านางเป็นแบบนี้มาแต่ต้นอยู่แล้วหยวนชิงผิงไม่อยากยอมรับว่านางอิจฉาความเย่อหยิ่งจองหองของฉู่หมิงหยางซาลาเปาได้นำมาส่งแล้วคนครัวผู้คุมไฟได้ตะโกนเสียงดังออกมา “จะเริ่มแจกโจ๊กแล้ว ทุกคนโปรดเข้าแถวตามลำดับให้เป็นระเบียบด้วย”ไม่มีคนเข้าแถวเลยด้วยซ้ำคนรีบพุ่งไปที่ข้างหน้า เป้าหมายเดียวที่ล้วนถูกจับจ้องคือ ซาลาเปาไส้เนื้อที่พึ่งนึ่งสดใหม่ร้อน ๆ ส่งมาที่นี่ซาลาเปาร้อนกรุ่นด้วยไอน้ำส่งกลิ่นเนื้อหอมฉุย คนที่มารอแต่เช้าจนถึงตอนเที่ยง พวกเขาล้วนหิวจนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว จะมาสนเรื่องเข้าแถวที่ไหนกันอีก? แค่รีบหยิบซาลาเปาพวกนั้นมาสนองความอยากของหัวใจ ตับ ไต ไส้พุง สักสองสามลูกเท่านั้นเมื่อฉู่หมิงชุ่ยพบว่าคนพวกนั้นไม่สนใจฟังหัวหน้าพ่อครัว น
แค่เพียงครู่เดียว เสียงร้องด้วยความตกใจดังขึ้นไปทั่วทุกที่ทหารยามตะโกนเสียงดังและรีบวิ่งเข้าไป “เร็ว รีบเข้าไปช่วยเร็วเข้า”โรงแจกโจ๊กถล่มลงมา เรื่องถูกหล่นลงมาทับไหมไม่ใช่ปัญหา แต่ด้านในโรงแจกโจ๊กนั้นมีหม้อเหล็กที่มีโจ๊กอยู่ร้อน ๆ อยู่หลายใบ และไฟเองก็ยังไม่ได้ดับสนิทดีด้วยหยวนชิงหลิงวิ่งเข้าไปอย่างไม่คิด ในมือล้วงหยิบกล่องยาจากแขนเสื้อออกมานางวิ่งไปถึงข้างหน้าโรงแจกโจ๊กนั้นแล้วเปิดกล่องยาออก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นผ้าก๊อชห้ามเลือดและน้ำยาฆ่าเชื้อ และยังมียาที่ใช้สำหรับการปฐมพยาบาลอื่นอีกสองสามชนิดที่ประตูเมืองเหลือทหารยามเฝ้าประตูไว้แค่คนเดียว ทั้งหมดรีบเข้ามาช่วยเหลือผู้คนโรงแจกโจ๊กนั้นล้มทับผู้คนอย่างน้อยอย่างน้อยห้าสิบกว่าคนได้ ถึงอยากรีบเร่งรุดเข้าไป แต่คนก็ไม่สามารถรีบเร่งเข้าไปได้ อยู่ในความตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาก็รีดรุดเข้าไปกับทหารยามเพื่อทำการช่วยเหลือผู้คนทันทีคนแรกที่ทำการช่วยเหลืออกมานั้นคือ ฉู่หมิงชุ่ยเพราะว่าตอนที่ได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวาย นางก็คิดจะหนีออกไปแล้ว ทันทีที่โรงแจกโจ๊กพังถล่มลงมา นางก็อยู่ด้านข้างแล้ว ถ้านางเดินเร็วอีกสักสองก้าว นางก็พ้นจากอันต