หยวนชิงหลิงไปดูบันทึกการรักษาของหมอหลวงอาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ ไอเป็นเลือดมาตลอดหนึ่งเดือน รับยามาสองสามวัน หลังจากนั้นอาการก็เลวร้ายขึ้น และยังคงมีอาการไออยูแบบนี้หยวนชิงหลิงทำการตรวจเบื้องต้น โดยจับชีพจรและนำกล่องยาออกมาและฉีดสเตรปโตมัยซินให้เขาสนมหลู่เฟยและพระชายาจี้ที่สวมหน้ากากแล้วเข้ามาในนี้ เห็นหยวนชิงหลิงหยิบเข็มแทงอ๋องหวยนางรีบพรวดพราดเข้าไป “เจ้าทำอะไร? เจ้าแทงอะไรให้เขา?”อวี่เหวินห่าวห้ามปรามนาง “เสด็จแม่หลู่เฟย โปรดอย่าวู่ว่ามสงบพระทัยก่อนพ่ะย่ะค่ะ”สนมหลู่เฟยมองอวี่เหวินห่าวอย่างตกตะลึง “นี่มันการรักษาอะไรกัน? เสด็จพ่อเจ้าทรงทราบหรือไม่?”“ทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ!” อวี่เหวินห่าวกล่าวหยวนชิงหลิงหยิบยาออกมาหนึ่งกำมือ สั่งให้เด็กรับใช้นำน้ำมา และพูดกับอ๋องหวยว่า “กินยาพวกนี้ลงไป”อ๋องหวยให้ความร่วมมือดีมาก ป่วยสามปีมานี้ ให้ใช้ความร่วมมือในการบำบัดรักษาอย่างดี แม้ว่าจะเป็นหมอเทวดาสมุนไพรพื้นบ้านที่เสด็จแม่เชิญมา แม้กระทั่งการระบำถวายทวยเทพของแม่มดที่ปลุกเสกน้ำมนต์ให้ เขาดื่มลงไปโดยไม่ถามสักคำดังนั้น เขาถึงไม่ถามหยวนชิงหลิงว่าเป็นยาอะไรและกินมันลงไป เขาขมวดคิ้วเล็
อวี่เหวินห่าวก้าวไปข้างหน้าช่วยพยุงอ๋องหวยขึ้น พระชายาจี้รีบพูดขึ้นมา “น้องห้า ถ้าเจ้ากลัวติดเชื้อให้เด็กรับใช้มาพยุงเถอะ”คำพูดแบบนี้มันเกินไปแล้วหยวนชิงหลิงไม่ทน แขวนหูฟังไว้ที่หูข้างหนึ่งแล้วหันกลับมาพูดกับพระชายาจี้อย่างเย็นชา “พระชายาจี้ ท่านอยู่ที่นี่ช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากยั่วยุก่อความวุ่นวาย ท่านออกไปข้างนอกดื่มชาพูดคุยอย่างที่ท่านถนัดดีไหม?”พระชายาจี้เองก็คิดไม่ถึงว่าหยวนชิงหลิงจะพูดแบบนี้ได้ รู้สึกตกใจกลัวและหันหน้าไปมองสนมหลู่เฟยด้วยความละอายใจ “เสด็จแม่หลู่เฟย หม่อมฉันขอประทานอภัย หม่อมฉันอยู่ตรงนี้ช่วยอะไรไม่ได้จริง ๆ”สนมหลู่เฟยไม่ชอบที่หยวนชิงหลิงพูดจารุนแรงเช่นนี้ จึงกล่าวอย่างเย็นชาว่า “เจ้ามีสิทธิ์อะไรไล่ให้นางออกไป? สองสามวันมานี้ถ้าไม่ใช่พระชายาจี้เป็นกำลังใจให้ทุกคนในจวนมั่นคงไม่หวั่นไหว ไม่งั้นจวนอ๋องก็คงวุ่นวายไปแล้ว เจ้าเองก็ไม่รู้มีความสามารถแค่ไหน ถึงได้กล้าโอหังถึงเพียงนี้ ”หยวนชิงหลิงโกรธมาก ๆ “พระนางสนมหลู่เฟย ที่นอนอยู่บนเตียงคือลูกชายของท่านที่ป่วยอยู่เป็นตายเท่ากัน ข้าได้รับพระบัญชาลงมา ให้ช่วยเข้า ไม่ใช่ทำร้ายเขา เรื่องการสวมหน้ากาก ก็ได้อธิบายกั
“หมอหลวงบอกว่า ข้าอาจอยู่ไม่ถึงสิบวัน ตอนนี้นับ ๆ ดูแล้วก็เหลืออีกแค่สามวัน” อ๋องหวยกล่าวอย่างสงบหยวนชิงหลิงส่ายหน้าปฏิเสธคำพูดฟันธงของหมอหลวง “การทำงานของปอดและหัวใจของท่านไม่ได้เสียหายทั้งหมด อาการไอเป็นเลือดนั้น ในหนึ่งสัปดาห์...ประมาณเจ็ดวันจะสามารถควบคุมได้ แม้กระทั่งอาการไอตอนกลางคืนของท่าน คืนนี้ก็สามารถแก้ไข้ให้ดีขึ้นได้ นี่เป็นเส้นทางการรักษาที่แสนยาวนาน ขอเพียงแค่ท่านอ๋องไม่ยอมแพ้ ข้าก็จะไม่ยอมแพ้”อวี่เหวินห่าวที่อยู่ด้านข้างได้ยินประโยคนี้ รู้สึกอบอุ่นใจ เขามองหยวนชิงหลิงอย่างนิ่ง ๆ ช่วงนี้สตรีนางนี้มีรัศมีเปล่งประกาย อ๋องหวยพูดเสียงเบา “ขอบคุณพี่สะใภ้ห้า”“ตอนนี้นอนเถอะ” หยวนชิงหลิงหันไปมองสนมหลู่เฟย “พระนางสนมหลู่เฟยออกไปเถอะ ให้ท่านอ๋องพักผ่อน”สนมหลู่เฟยพยักหน้า เหลือบมองไปทางลูกชายของนาง และออกไปอย่างไม่เต็มใจในใจของนางค่อย ๆ มีความหวังขึ้นมา แต่ตวามหวังนี้ไม่ใช่หมอหลวงเป็นคนให้ แต่เป็นหยวนชิงหลิงที่เป็นคนมอบให้ นางก็รู้สึกไม่สบายใจเลยหยวนชิงหลิงก็ออกไป อวี่เหวินห่าวคิดจะอยู่ในห้องนี้เป็นเพื่อนพูดคุยกับน้องชาย ก็ถูกหยวนชิงหลิงลากออกไป “คนในครอบครัวก็ต้องออกไ
คิดถึงตรงนี้แล้ว อ๋องฉีก็เปลี่ยนเข้ามาปลอบใจ “พี่ห้า งั้นช่างเถอะ ข้าเองก็ไม่อยากสนใจนาง ผู้หญิงไม่มีเหตุผล ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนจะมีเหตุผลเหมือนชุ่ยเอ๋อร์”อวี่เหวินห่าวเอ่ย “ใช่ ชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนมีเหตุผล เจ้าพูดกับนาง เรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว หากทำให้หยวนชิงหลิงโกรธอีก นางอาจเอาไม้เท้ามาตี เพิ่งโชคร้ายตกน้ำมายังจะมาโดนตีอีก? ไม่คุ้มเลยที่จะโกรธเคืองกับผู้หญิงแบบนี้!”เขาพูด หางตาของเขาเหลือบมองออกไปอย่างไม่รู้ตัวอ๋องฉีกตกใจไปครู่ “พี่ห้า ทำไมข้าถึงเห็นว่าท่านดูเหมือนจะเพลิดเพลินเยี่ยงนี้?”อวี่เหวินห่าวเปลี่ยนสีหน้าแววตาของเขาก็ดูว่างเปล่า “ร้องไห้ได้หรือไง? ผู้คนมากมายอยู่ที่นี่ ไม่สามารถให้ใครรู้ได้ว่าข้าถูกภรรยาตี”มีเหตุผล!“เช่นนั้นเรื่องนี้ จะทำยังไง?”“เห็นแก่ไม้เท้าทรงอำนาจ อดทนไว้!” อวี่เหวินห่าวพูดจบก็กลับไปหาหยวนชิงหลิงช่วงนี้ไม่สามารถปล่อยให้สตรีนางนี้ห่างจากสายตาตัวเองได้เลย นางอยู่กับคนอื่นเขามักจะรู้สึกโกรธหงุดหงิดขึ้นมาง่าย ๆมันมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่ทันรู้ตัวหยวนชิงหลิงล่ะ?อวี่เหวินห่าวมองไปรอบ ๆ ไม่พบนาง เขาออกไปแค่เดียว นางหายไปไหนแล้ว?หยวนชิงหลิงถูกอ
“ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่ชั่วร้าย แต่น่าเสียดายที่พี่ห้าและเสด็จแม่ถูกนางหลอกกันหมด”หยวนชิงหลิงอยากทราบเป็นเหลือเกินว่า อวี่เหวินหลิงมองจากตรงไหนว่าการเสแสร้งของฉู่หมิงชุ่ยมีปัญหา อย่างไรก็ตาม อวี่เหวินหลิงกลับเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ห้ายังคงยุ่ง ๆ กับอาการป่วยของพี่หกใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาแล้ว” หยวนชิงหลิงคว้าแขนของนาง “ไม่ยุ่ง มาพูดถึงการเสแสร้งของฉู่หมิงชุ่ยกันดีกว่า" สะใภ้ทั้งสองหาสถานที่ที่เงียบสงบ หยวนชิงหลิงได้รู้ความเป็นมาทั้งหมดของอวี่เหวินหลิง และความแค้นของฉู่หมิงชุ่ย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นทุกคนคิดว่าอวี่เหวินห่าวจะแต่งงานกับฉู่หมิงชุ่ย และอวี่เหวินหลิงก็ชอบว่าที่พี่สะใภ้เช่นกัน ทุกครั้งที่ฉู่หมิงชุ่ยเข้าวังไปเยี่ยมท่านป้าฮองเฮา มักจะเข้าเฝ้าที่ตำหนักพระสนมเสียนเฟย เขาจะถืออะไรติดไม้ติดมือมาให้อวี่เหวินหลิงด้วย มองดูความอารมณ์ดีของอวี่เหวินหลิง นางมักจะชื่นชมความงานของฉู่หมิงชุ่ยต่อหน้าพระสนมเสียนเฟยและอวี่เหวินห่าวเสมอ มีครั้งหนึ่ง ฉู่หมิงชุ่ยนำปิ่นปักผมผีเสื้อหยกขาวเข้ามาในวัง อวี่เหวินหลิงเห็นแล้วก็ชื่นชอบมันยิ่งนัก จึงล
หยวนชิงหลิงวางกรงเล็บลง พูดอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะเชื่อถ่อยคำไหน? ข้าผิดไปแล้ว ยังไม่พอเหรอ?” “เจ้าผิดแล้วทำไมยังจะพูดหาเหตุผลอะไรนักหนา? ยังจองหองได้อีกเหรอ? เจ้าผิดแต่ก็ไม่เห็นท่าทีจะรู้สึกผิดแม้แต่น้อย? เจ้าขออภัยหรือยัง? ชดใช้ความผิดนี้หรือยัง? ถามรัวมาเป็นชุด กับน้ำเสียงอย่างนี้ก็ถือว่าอดทนได้ยาวนานแล้วจริง ๆ หยวนชิงหลิงก็โกรธเช่นกัน “ท่านพูดอะไรออกมา? เซ้าซี้ไม่หยุดยิ่งกว่าสตรีไม่มีเหตุผล? โดยส่วนตัวท่านแล้วก็ไม่เห็นจะว่าข้าดีเลย ต่อให้ดีหรือไม่ดีข้าก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตท่าน...” หน้านางแดง เผยอปากเล็กน้อย นัยน์ตาคล้ำ ผมยุ่งเหยิง เอียงตัวเล็กน้อย รู้สึกสำนึกผิดปนไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่พูดถึงผู้มีพระคุณแม้แต่ประโยคเดียว ดวงตาเริ่มหลบ อวี่เหวินห่าวรู้สึกได้ถึงความโกรธที่พุ่งเข้าใส่ศีรษะ บังอาจล้ำเลิกบุญคุณ? บ้านป่าเมืองเถื่อน? นางก้มศีรษะลงไป กัดริมฝีปากสีแดงที่เผยอเล็กน้อยของนางโดยไม่ทันได้คิด เพราะเขาไม่สามารถตบตีนางได้ แม้ความตั้งใจเดิมของเขาคือการลงโทษ แต่ทันทีที่ริมฝีปากสีแดงถูกการสัมผัส ที่นุ่มนวลตรงมาที่จุดสูงสุดของหัวใจ ตัวของเขานิ่งงันไปทั้งตัว ในหัวขอ
เมื่อลืมตาขึ้น นางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในพุ่มไม้เล็ก ๆ ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของนางซีด ไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้งน้ำตาคลอ กำมือแน่น และท่ายืนที่ดูแข็งทื่อมาก นางคือฉู่หมิงชุ่ย พวกนางจ้องตากันกลางอากาศ มีความเกลียดชังและความหึงหวงรวมอยู่ในสายตาที่ดูบ้าคลั่ง ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกเกลียดชัง หยวนชิงหลิงรู้สึกอับอาย เรื่องนี้ไม่ควรให้ใครเห็น ถึงคนนี้จะเป็นฉู่หมิงชุ่ยก็เถอะ ฉู่หมิงชุ่ยก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ น้ำตาของนาง ถูกกลืนกลับไปหมด และความหึงหวงบนใบหน้าก็หายไป นางยืนอยู่ข้างหน้าหยวนชิงหลิงและยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าไม่ทันระวังเลยเห็นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าได้ใส่ใจไปเลย” ศัตรูที่พองขนเหมือนเม่น แม้ว่ามันจะเป็นมีดเหล็กแหลมแต่หยวนชิงหลิงก็รู้สึกปกติ อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะตอนนี้ช่างเยือกเย็นจริง ๆ นางพูดว่า “ข้าไม่ได้สนใจ เจ้าสนเหรอ?” ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์มากขึ้น “ทำไมข้าต้องสนใจด้วย? ข้าดีใจมาก ในที่สุดพี่ห่าวก็พบความสุขของเขาแล้ว” เสแสร้งมาได้ถึงขนาดนี้ หยวนชิงหลิงไม่หลงเชื่อแม้แต่น้อย ทว่านางพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณ!” จะทะเลาะเบาะแว้งกับนางไม่ได้ หลีกเลี่
หยวนชิงหลิงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องฝืนเผชิญหน้ากับองค์หญิงหลัวผิง องค์หญิงหลัวผิงชำเลืองมองดูนางอย่างเย็นชาและตรัสว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อรักษาอาการป่วยของเจ้าหก คนอื่นคงจะไม่รู้ว่าเจ้าเก่งกาจแค่ไหน แต่ข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร กล้าที่จะทำเรื่องแบบนั้นในจวนของข้า ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรอกนะ แต่เจ้ากลับกล้ามาเสแสร้งแกล้งทำถึงที่จวนอ๋องหวย” หยวนชิงหลิงเข้าใจความโกรธขององค์หญิงหลัวผิงเป็นอย่างดี สำหรับงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของนางเอง ที่ได้เชิญญาติและสหายมาเฉลิมฉลอง เป็นเรื่องที่ดีมาก ทั้งรับประทานอาหารมื้อเย็นและชมคณะละคร อย่างไรก็ตาม องค์หญิงหลัวผิงเกรงว่า แม้จะใช้อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายคิดยังไงก็คิดไม่ถึง ตัวเองที่เชิญคณะละครมา ยังไม่ดีเท่ากับการได้ดูพ่อลูกจากจวนจิ้งโฮ่วคู่นี้แสดงเลย ทำให้นางอับอายและเสียศักดิ์ศรีของราชวงศ์ยิ่งนัก สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือนางถูกคนหลอกอื่นใช้ให้ทำ ในสิ่งที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของนาง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดหลัก หยวนชิงหลิงไม่สามารถทำแข็งกระด้างเช่นเดียวกับตอนที่นางเผชิญหน้ากับพระชายาฉี