“ผู้หญิงคนนี้มีจิตใจที่ชั่วร้าย แต่น่าเสียดายที่พี่ห้าและเสด็จแม่ถูกนางหลอกกันหมด”หยวนชิงหลิงอยากทราบเป็นเหลือเกินว่า อวี่เหวินหลิงมองจากตรงไหนว่าการเสแสร้งของฉู่หมิงชุ่ยมีปัญหา อย่างไรก็ตาม อวี่เหวินหลิงกลับเอ่ยว่า “พี่สะใภ้ห้ายังคงยุ่ง ๆ กับอาการป่วยของพี่หกใช่หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาแล้ว” หยวนชิงหลิงคว้าแขนของนาง “ไม่ยุ่ง มาพูดถึงการเสแสร้งของฉู่หมิงชุ่ยกันดีกว่า" สะใภ้ทั้งสองหาสถานที่ที่เงียบสงบ หยวนชิงหลิงได้รู้ความเป็นมาทั้งหมดของอวี่เหวินหลิง และความแค้นของฉู่หมิงชุ่ย เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อสองปีที่แล้ว ตอนนั้นทุกคนคิดว่าอวี่เหวินห่าวจะแต่งงานกับฉู่หมิงชุ่ย และอวี่เหวินหลิงก็ชอบว่าที่พี่สะใภ้เช่นกัน ทุกครั้งที่ฉู่หมิงชุ่ยเข้าวังไปเยี่ยมท่านป้าฮองเฮา มักจะเข้าเฝ้าที่ตำหนักพระสนมเสียนเฟย เขาจะถืออะไรติดไม้ติดมือมาให้อวี่เหวินหลิงด้วย มองดูความอารมณ์ดีของอวี่เหวินหลิง นางมักจะชื่นชมความงานของฉู่หมิงชุ่ยต่อหน้าพระสนมเสียนเฟยและอวี่เหวินห่าวเสมอ มีครั้งหนึ่ง ฉู่หมิงชุ่ยนำปิ่นปักผมผีเสื้อหยกขาวเข้ามาในวัง อวี่เหวินหลิงเห็นแล้วก็ชื่นชอบมันยิ่งนัก จึงล
หยวนชิงหลิงวางกรงเล็บลง พูดอย่างไม่เต็มใจเล็กน้อย “แล้วเจ้าจะเชื่อถ่อยคำไหน? ข้าผิดไปแล้ว ยังไม่พอเหรอ?” “เจ้าผิดแล้วทำไมยังจะพูดหาเหตุผลอะไรนักหนา? ยังจองหองได้อีกเหรอ? เจ้าผิดแต่ก็ไม่เห็นท่าทีจะรู้สึกผิดแม้แต่น้อย? เจ้าขออภัยหรือยัง? ชดใช้ความผิดนี้หรือยัง? ถามรัวมาเป็นชุด กับน้ำเสียงอย่างนี้ก็ถือว่าอดทนได้ยาวนานแล้วจริง ๆ หยวนชิงหลิงก็โกรธเช่นกัน “ท่านพูดอะไรออกมา? เซ้าซี้ไม่หยุดยิ่งกว่าสตรีไม่มีเหตุผล? โดยส่วนตัวท่านแล้วก็ไม่เห็นจะว่าข้าดีเลย ต่อให้ดีหรือไม่ดีข้าก็เป็นคนที่ช่วยชีวิตท่าน...” หน้านางแดง เผยอปากเล็กน้อย นัยน์ตาคล้ำ ผมยุ่งเหยิง เอียงตัวเล็กน้อย รู้สึกสำนึกผิดปนไม่สบายใจเล็กน้อย ไม่พูดถึงผู้มีพระคุณแม้แต่ประโยคเดียว ดวงตาเริ่มหลบ อวี่เหวินห่าวรู้สึกได้ถึงความโกรธที่พุ่งเข้าใส่ศีรษะ บังอาจล้ำเลิกบุญคุณ? บ้านป่าเมืองเถื่อน? นางก้มศีรษะลงไป กัดริมฝีปากสีแดงที่เผยอเล็กน้อยของนางโดยไม่ทันได้คิด เพราะเขาไม่สามารถตบตีนางได้ แม้ความตั้งใจเดิมของเขาคือการลงโทษ แต่ทันทีที่ริมฝีปากสีแดงถูกการสัมผัส ที่นุ่มนวลตรงมาที่จุดสูงสุดของหัวใจ ตัวของเขานิ่งงันไปทั้งตัว ในหัวขอ
เมื่อลืมตาขึ้น นางเห็นผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ในพุ่มไม้เล็ก ๆ ฝั่งตรงข้าม สีหน้าของนางซีด ไม่อยากจะเชื่อเลย ทั้งน้ำตาคลอ กำมือแน่น และท่ายืนที่ดูแข็งทื่อมาก นางคือฉู่หมิงชุ่ย พวกนางจ้องตากันกลางอากาศ มีความเกลียดชังและความหึงหวงรวมอยู่ในสายตาที่ดูบ้าคลั่ง ฉู่หมิงชุ่ยรู้สึกเกลียดชัง หยวนชิงหลิงรู้สึกอับอาย เรื่องนี้ไม่ควรให้ใครเห็น ถึงคนนี้จะเป็นฉู่หมิงชุ่ยก็เถอะ ฉู่หมิงชุ่ยก็เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ น้ำตาของนาง ถูกกลืนกลับไปหมด และความหึงหวงบนใบหน้าก็หายไป นางยืนอยู่ข้างหน้าหยวนชิงหลิงและยิ้มอย่างจริงใจ “ข้าไม่ทันระวังเลยเห็นเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าได้ใส่ใจไปเลย” ศัตรูที่พองขนเหมือนเม่น แม้ว่ามันจะเป็นมีดเหล็กแหลมแต่หยวนชิงหลิงก็รู้สึกปกติ อย่างไรก็ตาม เสียงหัวเราะตอนนี้ช่างเยือกเย็นจริง ๆ นางพูดว่า “ข้าไม่ได้สนใจ เจ้าสนเหรอ?” ฉู่หมิงชุ่ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์มากขึ้น “ทำไมข้าต้องสนใจด้วย? ข้าดีใจมาก ในที่สุดพี่ห่าวก็พบความสุขของเขาแล้ว” เสแสร้งมาได้ถึงขนาดนี้ หยวนชิงหลิงไม่หลงเชื่อแม้แต่น้อย ทว่านางพูดอย่างสุภาพว่า “ขอบคุณ!” จะทะเลาะเบาะแว้งกับนางไม่ได้ หลีกเลี่
หยวนชิงหลิงไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้ จึงต้องฝืนเผชิญหน้ากับองค์หญิงหลัวผิง องค์หญิงหลัวผิงชำเลืองมองดูนางอย่างเย็นชาและตรัสว่า “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามาที่นี่ ก็เพื่อรักษาอาการป่วยของเจ้าหก คนอื่นคงจะไม่รู้ว่าเจ้าเก่งกาจแค่ไหน แต่ข้ารู้ดียิ่งกว่าใคร กล้าที่จะทำเรื่องแบบนั้นในจวนของข้า ข้าไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเจ้าหรอกนะ แต่เจ้ากลับกล้ามาเสแสร้งแกล้งทำถึงที่จวนอ๋องหวย” หยวนชิงหลิงเข้าใจความโกรธขององค์หญิงหลัวผิงเป็นอย่างดี สำหรับงานเลี้ยงวันคล้ายวันประสูติของนางเอง ที่ได้เชิญญาติและสหายมาเฉลิมฉลอง เป็นเรื่องที่ดีมาก ทั้งรับประทานอาหารมื้อเย็นและชมคณะละคร อย่างไรก็ตาม องค์หญิงหลัวผิงเกรงว่า แม้จะใช้อวัยวะทุกส่วนของร่ายกายคิดยังไงก็คิดไม่ถึง ตัวเองที่เชิญคณะละครมา ยังไม่ดีเท่ากับการได้ดูพ่อลูกจากจวนจิ้งโฮ่วคู่นี้แสดงเลย ทำให้นางอับอายและเสียศักดิ์ศรีของราชวงศ์ยิ่งนัก สิ่งที่ร้ายแรงที่สุดคือนางถูกคนหลอกอื่นใช้ให้ทำ ในสิ่งที่สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อชื่อเสียงของนาง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในผู้กระทำผิดหลัก หยวนชิงหลิงไม่สามารถทำแข็งกระด้างเช่นเดียวกับตอนที่นางเผชิญหน้ากับพระชายาฉี
โดยเฉพาะพระสนมหลู่เฟยรู้สึกประทับใจมาก เพราะอย่างนี้ เดิมทีหยวนชิงหลิงต้องถูกทำให้อับอาย แต่ในที่สุดก็ได้รับการให้อภัยจากทุกคนอย่างอธิบายไม่ได้ การให้อภัยนั้นสามารถทำให้เป็นคนใหม่ได้ ฉู่หมิงชุ่ยยืนอยู่ไม่ไกล ฟังคำเหล่านี้อย่างเงียบ ๆ บนใบหน้าของนางไม่แสดงอารมณ์อะไร แต่มีคลื่นขนาดใหญ่ในหัวใจของนาง หยวนชิงหลิงไม่ธรรมดาจริง ๆจากนี้ไปนางอยู่ในจวนอ๋องหวย เกรงว่าคงจะไม่มีใครไม่เหลียวแลนางอีก อวี่เหวินห่าวกลับไปที่ยาเมน หลังจากจูบกันครั้งนั้น ตลอดทางบนรถม้า เขานึกถึงการจูบ และทันทีที่เขานึกถึง ตัวก็จะอ่อนขึ้น แม้แต่กระดูกของเขาก็อ่อนเขารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่อิ่มเอม และน่าพอใจเพียงแค่ได้ลิ้มรส อย่างไรก็ตาม วันนี้ที่ยาเมนยุ่งมาก หลังจากจัดการกับเรื่องต่าง ๆ มากมาย ยังต้องดูคดีอีกเป็นเวลานาน ตาก็เริ่มพร่ามัว หนังศรีษะชา เขาหลับตาลงและบีบขมับเพื่อพักสักหน่อย และจากนั้นภาพวันนี้ในจวนอ๋องหวยก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง จิตใจล่องลอย จิตใจไหวหวั่น ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง...” ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น ตบโต๊ะอย่างโกรธจัด และตะโกนใส่คนที่กำลังมาว่า “ท่านอะไร? ให้ข้
หลังจากที่อวี่เหวินห่าวถามถึงรายละเอียดของคดีแล้ว เขาก็รอปู่โถวกับหยายี่กลับมารายงาน ผลการชันสูตรพลิกศพยังไม่ออก แค่เสียเวลาตรงนี้ ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อเขาออกจากจวนจิงจ้าว เวลาพลบค่ำก็ผ่านไปแล้ว เขารีบไปที่จวนอ๋องหวยโดยไม่หยุดพัก หลังจากเข้าไปแล้ว เขาเห็นหยวนชิงหลิงคุยอยู่กับองค์หญิงหลัวผิง และทั้งสองดูเหมือนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข เขาอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องที่จวนองค์หญิง พี่สามก็เกลียดชัง หยวนชิงหลิงเข้ากระดูกดำ เขาเดินเข้าไปด้วยอารมณ์สงสัย องค์หญิงหลัวผิงยิ้มเมื่อเห็นเขา “เมื่อกี้ยังพูดถึงอยู่เลย เจ้าก็มา นี่ เจ้าห้า ทำไมสีหน้าเจ้าไม่ดี? ป่วยเหรอ?” อวี่เหวินห่าวเหลือบมองที่หยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงยกถ้วยน้ำชาดื่มน้ำในลักษณะแปลก ๆ และขยิบตาให้เขาอย่างลับ ๆ เขาอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “พี่สาม มีเรื่องมากมายที่ยาเมน ข้าเหนื่อนล้านิดหน่อย” “เหนื่อยล้างั้นหรือ? เยี่ยงนั้นเจ้าก็รีบไปรับชิงหลิงแล้วกลับจวนเถอะ” องค์หญิงหลัวผิงกล่าว “ข้าจะไปดูอาการน้องหกก่อน” องค์หญิงหลัวผิงโบกมือ “ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย เขาเพิ่งจะหลับไป” นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที
หรือพูดอีกอย่างคือเป็นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย และนางเป็นสตรีที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นด้วย? หรือ... หรือว่าเขาเริ่มรู้สึกดีกับนางขึ้นมาบ้างแล้ว? การเดาครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้นทันที จากหางตาของอวี่เหวินห่าว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกทางสีหน้าของนาง และเห็นนางหน้าแดงในทันที หัวใจของเขาดูเหมือนจะโดนอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชน เหมือนจะนุ่มนวลแต่ก็รู้สึกถึงความรุนแรง มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ใช้พลังแข็งแกร่งเกินไป หยวนชิงหลิงทนไม่ได้ร้องออกมา เขารีบปล่อย “ขอโทษ ทำเจ้าเจ็บหรือเปล่า?” หยวนชิงหลิงเอามือวางไว้ที่หน้าตักเหมือนเดิม เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย แล้วพูดว่า “มีนิดหน่อย” “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?” ดวงตาของเขาร้อนผ่าว หยวนชิงหลิงส่ายหัว “ไม่เจ็บแล้ว” “อ้อ!” เขาเหลือบมองมือของนางที่วางไว้บนหน้าตัก ก็รู้สึกลังเลที่จะจับมันอีกครั้ง เขาขยับมือหลายครั้ง จนในที่สุด เขาก็วางมันไว้ข้าง ๆ อย่างสงบ เขาขาดความกล้าหาญ และไม่กล้าที่จะจับมือนาง ทำไมวันนี้ซูยี่บังคับรถได้นุ่มอะไรอย่างนี้? ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นหลุมเป็นบ่อ จนโยกไปโยกมา ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
ซูยี่เข้าไปในจวนด้วยใบหน้าที่หมองเศร้า และไปที่ห้องบัญชีเพื่อรับพู่กัน, หมึก, กระดาษ และจานฝนหมึกผู้ดูแลห้องบัญชีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ได้ยินว่าขอกระดาษซวนจื่อหนึ่งพันแผ่นถึงกับไปต่อไม่ถูก “เยอะไปไหม? เจ้าต้องไปหยิบที่ห้องเก็บของแล้ว ลองไปถามใต้เท้าถังเพื่อเอากุญแจห้องเก็บของ แล้วเจ้าก็ไปหยิบเอาได้เลย” ซูยี่ต้องไปหาถังหยาง ถังหยางเพิ่งทำบัญชีเสร็จ ได้ยินว่าเขาต้องการกระดาษซวนจื่อพันแผ่น จึงถามว่า “เจ้าต้องการกระดาษมากมายไปทำอะไร?” ซูยี่ร้องไห้และพูดว่า “ใต้เท้าถัง ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า” “เกิดอะไรขึ้น?” ถังหยางถามแปลก ๆ ไม่เคยเห็นซูยี่อยากจะร้องไห้มาก่อนเลย “ท่านอ๋องลงโทษข้าให้คัดคำสี่คำ คือ หลี่ อี้ เหลียน ฉื่อ พันครั้ง ข้าเขียนหลี่อี้เป็นแล้ว เหลียนฉื่อต้องเขียนอย่างไร?”ถังหยางขมวดคิ้วขึ้น “แปลก เจ้าเขียนเหลียนฉื่อไม่ได้ก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่มีความละอาย ทำไมเจ้าถึงเขียนหลี่อี้ได้ล่ะ? เจ้ามีมารยาทด้วยเหรอ?” ซูยี่กระทืบเท้า “เจ้ายังจะซ้ำเติมข้าอีกเหรอ? แค่นี้ข้าก็อนาถมากพอแล้ว ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ต่อไปก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้า” ถังหยางยิ้ม “เจ้าเคยช่วยอะไรข