หลังจากที่อวี่เหวินห่าวถามถึงรายละเอียดของคดีแล้ว เขาก็รอปู่โถวกับหยายี่กลับมารายงาน ผลการชันสูตรพลิกศพยังไม่ออก แค่เสียเวลาตรงนี้ ฟ้าก็มืดแล้ว เมื่อเขาออกจากจวนจิงจ้าว เวลาพลบค่ำก็ผ่านไปแล้ว เขารีบไปที่จวนอ๋องหวยโดยไม่หยุดพัก หลังจากเข้าไปแล้ว เขาเห็นหยวนชิงหลิงคุยอยู่กับองค์หญิงหลัวผิง และทั้งสองดูเหมือนกำลังคุยกันอย่างมีความสุข เขาอดประหลาดใจไม่ได้ เพราะหลังจากเกิดเรื่องที่จวนองค์หญิง พี่สามก็เกลียดชัง หยวนชิงหลิงเข้ากระดูกดำ เขาเดินเข้าไปด้วยอารมณ์สงสัย องค์หญิงหลัวผิงยิ้มเมื่อเห็นเขา “เมื่อกี้ยังพูดถึงอยู่เลย เจ้าก็มา นี่ เจ้าห้า ทำไมสีหน้าเจ้าไม่ดี? ป่วยเหรอ?” อวี่เหวินห่าวเหลือบมองที่หยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงยกถ้วยน้ำชาดื่มน้ำในลักษณะแปลก ๆ และขยิบตาให้เขาอย่างลับ ๆ เขาอดหัวเราะไม่ได้และพูดว่า “พี่สาม มีเรื่องมากมายที่ยาเมน ข้าเหนื่อนล้านิดหน่อย” “เหนื่อยล้างั้นหรือ? เยี่ยงนั้นเจ้าก็รีบไปรับชิงหลิงแล้วกลับจวนเถอะ” องค์หญิงหลัวผิงกล่าว “ข้าจะไปดูอาการน้องหกก่อน” องค์หญิงหลัวผิงโบกมือ “ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย เขาเพิ่งจะหลับไป” นางถอนหายใจด้วยความโล่งอกและมองไปที
หรือพูดอีกอย่างคือเป็นอารมณ์ทางเพศของผู้ชาย และนางเป็นสตรีที่บังเอิญอยู่ตรงนั้นด้วย? หรือ... หรือว่าเขาเริ่มรู้สึกดีกับนางขึ้นมาบ้างแล้ว? การเดาครั้งสุดท้ายนี้ ทำให้ใบหน้าของนางแดงขึ้นทันที จากหางตาของอวี่เหวินห่าว สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออกทางสีหน้าของนาง และเห็นนางหน้าแดงในทันที หัวใจของเขาดูเหมือนจะโดนอะไรบางอย่างพุ่งเข้าชน เหมือนจะนุ่มนวลแต่ก็รู้สึกถึงความรุนแรง มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว ใช้พลังแข็งแกร่งเกินไป หยวนชิงหลิงทนไม่ได้ร้องออกมา เขารีบปล่อย “ขอโทษ ทำเจ้าเจ็บหรือเปล่า?” หยวนชิงหลิงเอามือวางไว้ที่หน้าตักเหมือนเดิม เผยอริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยด้วยความเขินอาย แล้วพูดว่า “มีนิดหน่อย” “ยังเจ็บอยู่หรือเปล่า?” ดวงตาของเขาร้อนผ่าว หยวนชิงหลิงส่ายหัว “ไม่เจ็บแล้ว” “อ้อ!” เขาเหลือบมองมือของนางที่วางไว้บนหน้าตัก ก็รู้สึกลังเลที่จะจับมันอีกครั้ง เขาขยับมือหลายครั้ง จนในที่สุด เขาก็วางมันไว้ข้าง ๆ อย่างสงบ เขาขาดความกล้าหาญ และไม่กล้าที่จะจับมือนาง ทำไมวันนี้ซูยี่บังคับรถได้นุ่มอะไรอย่างนี้? ก่อนหน้านี้มันเคยเป็นหลุมเป็นบ่อ จนโยกไปโยกมา ไม่ได้ดั่งใจเอาเสียเลย
ซูยี่เข้าไปในจวนด้วยใบหน้าที่หมองเศร้า และไปที่ห้องบัญชีเพื่อรับพู่กัน, หมึก, กระดาษ และจานฝนหมึกผู้ดูแลห้องบัญชีเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขา ได้ยินว่าขอกระดาษซวนจื่อหนึ่งพันแผ่นถึงกับไปต่อไม่ถูก “เยอะไปไหม? เจ้าต้องไปหยิบที่ห้องเก็บของแล้ว ลองไปถามใต้เท้าถังเพื่อเอากุญแจห้องเก็บของ แล้วเจ้าก็ไปหยิบเอาได้เลย” ซูยี่ต้องไปหาถังหยาง ถังหยางเพิ่งทำบัญชีเสร็จ ได้ยินว่าเขาต้องการกระดาษซวนจื่อพันแผ่น จึงถามว่า “เจ้าต้องการกระดาษมากมายไปทำอะไร?” ซูยี่ร้องไห้และพูดว่า “ใต้เท้าถัง ครั้งนี้เจ้าต้องช่วยข้า” “เกิดอะไรขึ้น?” ถังหยางถามแปลก ๆ ไม่เคยเห็นซูยี่อยากจะร้องไห้มาก่อนเลย “ท่านอ๋องลงโทษข้าให้คัดคำสี่คำ คือ หลี่ อี้ เหลียน ฉื่อ พันครั้ง ข้าเขียนหลี่อี้เป็นแล้ว เหลียนฉื่อต้องเขียนอย่างไร?”ถังหยางขมวดคิ้วขึ้น “แปลก เจ้าเขียนเหลียนฉื่อไม่ได้ก็แน่นอนอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าไม่มีความละอาย ทำไมเจ้าถึงเขียนหลี่อี้ได้ล่ะ? เจ้ามีมารยาทด้วยเหรอ?” ซูยี่กระทืบเท้า “เจ้ายังจะซ้ำเติมข้าอีกเหรอ? แค่นี้ข้าก็อนาถมากพอแล้ว ถ้าเจ้าไม่ช่วยข้า ต่อไปก็อย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้า” ถังหยางยิ้ม “เจ้าเคยช่วยอะไรข
เมื่อมาถึงตำหนักเสี่ยวเยว่ มีสาวใช้มากถึงสามหรือสี่คนอยู่ในตำหนักเสี่ยวเยว่ ทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีฟ้า อายุน่าจะอยู่ระหว่างสิบห้าสิบหกถึงสิบแปดสิบเก้าปี รูปร่างหน้าตาน่ารัก กิริยาท่าทางนิ่งและสงบ มีคุณสมบัติเหมือนสาวใช้ของครอบครัวที่มีตระกูลใหญ่ พวกนางบางคนเคารพหยวนชิงหลิงเป็นอย่างมาก และก็พิถีพิถันมากในการรับใช้ตอนรับประทานอาหารหยวนชิงหลิงสังเกตท่าทางของพวกนางที่มีต่ออวี่เหวินห่าว โดยเฉพาะความสนิทสนมหรือการให้ความอบอุ่นบ้างไหม มีเพียงความเกรงกลัวต่อเจ้านายเท่านั้น นางแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ว่าจะเป็นนางบำเรอหรือนางสนม นางไม่สามารถแบ่งปันผู้ชายให้กับสตรีนางอื่นได้จริง ๆ ยังไงก็ไม่สามารถทำได้ อวี่เหวินห่าวเห็นนางเดินเข้าประตูมา ก็จ้องไปที่สตรีภายในห้อง สายตาแปลก ๆ และในที่สุดก็ได้ยินนางผ่อนลมหายใจเบา ๆ อวี่เหวินห่าวอดยิ้มไม่ได้ หยวนชิงหลิงหันกลับมามองเขาอย่างตะลึง “หัวเราะอะไร?” อวี่เหวินห่าวมองไปที่ใบหน้าที่ขาวสะอาดงดงามของนาง บนหน้าผากยังมีรอยแผลเล็ก ๆ สีชมพูอยู่ ดวงตามีสีใส ขนตางอนขึ้นเล็กน้อย ริมฝีปากสีแดง รอยยิ้มเหมือนดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่ง หัวใจเขาสั่นระร
หยวนชิงหลิงตื่นเต้นไปทั้งตัว ดวงตาสั่นไหว อยากมองเขาแต่ก็ไม่กล้า เหลือบมองด้วยความรวดเร็วและหลบสายตา ราวกับนกที่ตกใจตื่นกลัว รอยปากเขาขยับเข้ามา พร้อมกับลมหายใจอุ่น ๆ นางก็อ่อนไปทั้งตัว หลับตาลง “คืนนี้อยู่ที่ตำหนักเสี่ยวเยว่ ได้ไหม?” เขากระซิบที่ข้างหู หยวนชิงหลิงตกใจ หัวใจก็ชะงักฉับพลัน ลืมตาขึ้นและผลักเขาออกไป ยืนขึ้นอย่างตื่นเต้น และพูดอย่างรีบร้อนว่า “ข้า...ข้าอยากกลับไปคิดให้ดีเสียก่อน ตอนนี้ในหัวของข้ารู้สึกสับสนยิ่งนัก”พูดจบ นางก็ไม่กล้าแม้แต่จะมอง และหันหลังหนีไป เพียงอึดใจเดียว ก็วิ่งออกไปไกลมาก นางวิ่งจนหอบเหนื่อย ก้มหน้าลง มือทั้งสองข้างจับเข่า สูดหายใจลึก แต่หัวใจของนางกลับเต้นไม่เป็นจังหวะมากขึ้นไปอีก เกิดอะไรขึ้น? เดิมทีพวกเขาจะเถียงกันตลอดเวลาเจอกัน ทำไมตอนนี้กลายเป็นแบบนี้ไปได้?เขารู้สึกชอบนาง? เป็นไปไม่ได้ เมื่อสองวันก่อนเขายังกัดเขี้ยวกัดฟัน อยากจะฆ่านางให้ได้อยู่เลยจะชอบนางได้อย่างไร? มันไม่สมเหตุสมผลและไม่มีตรรกะโดยสิ้นเชิงเขาต้องมีแผนการอะไรอยู่แน่ ๆ! แต่ทว่านางมีอะไรที่จะทำให้เขาต้องคิดบัญชีคืนได้บ้าง? เงิน ไม่มี! สถานะเขาสูงกว่านาง! อำนาจ โดย
ชีหลัวก้าวไปข้างหน้า และโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง บ่าวอยู่นี่” อวี่เหวินห่าวมองไปที่ใบหน้าของนาง และค่อย ๆ ยื่นมือออกไปแล้วบีบเล็กน้อย ชีหลัวตกใจ “ท่านอ๋อง!”อวี่เหวินห่าวยกมือขึ้น “ไปเถอะ” ทำไมหน้าขาวใสเต่งตึงเหมือนกัน แต่ความรู้สึกตอนบีบมันต่างกัน? ชีหลัวหันกลับมาอย่างสงสัย “ถ้าท่านอ๋องนอนหลับไม่สนิท บ่าวจะจุดเครื่องหอมให้หลับได้” “จุดเลย!” คิดแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว รู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้ากลิ่นหอมค่อย ๆ ลอยมา อวี่เหวินห่าวสูดหายใจเข้าช่องท้องอย่างสงบ แล้วก็รู้สึกง่วงช่วงเวลาอันมืดมน กลับเห็นหยวนชิงหลิงย่องเข้ามานั่งอยู่ข้างเตียงเขามองนาง เกร็งไปทั้งตัว ไม่หนีแล้วเหรอ?“ข้านอนไม่หลับ ท่านไปเดินเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อย!” หยวนชิงหลิงพูดเบา ๆอวี่เหวินห่าวลุกขึ้นช้า ๆ และมองดูนางราวกับกวางน้อย ทั้งยังมีสายตาที่ย้อนแย้งกับสมอง ในหัวใจทั้งอ่อนทั้งเจ็บปวดเขาลุกขึ้นจับมือนางแล้วเดินออกไป เงียบสงัด นอกจากเสียงร้องของแมลงและกบก็ไม่มีเสียงอื่นแล้วในตอนกลางคืนที่สวนมีเพียงโคมไฟลายเขากวางที่แขวนอยู่ไกลออกไป แสงไฟสลัว ๆ และบริเวณโดยรอบก็มืดไปหมด ทั้งสองนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นห
อวี่เหวินห่าวพลิกตัวกลับมา สีหน้าที่ไม่เป็นมิตร “เจ้า...เครื่องนอนของข้าเอาไปซัก” ซูยี่ปิดตาข้างหนึ่งและมองไปด้วยความตกใจ อีกหมัดถูกยื่นออกมา และตาอีกข้างก็มืดมิดทันที อวี่เหวินห่าวดื่มน้ำเย็นแก้วใหญ่ ถึงจะดับไฟในใจไปได้เล็กน้อย ซูยี่หอบเครื่องนอนออกไปด้วยใบหน้าเศร้า นี่ยังไม่สว่างเลยนะ ชีหลัวเข้ามาจัดที่นอน และมองดูอวี่เหวินห่าวอย่างระมัดระวัง เพียงเห็นเขานั่งอยู่บนโซฟาไม้ด้วยใบหน้าที่โกรธเกรี้ยว ดวงตาของเขาจ้องมาที่นางอย่างเฉียบคม จ้องมองขึ้นและลง จ้องจนทำให้นางขนลุก วันนี้ท่านอ๋องเป็นอะไร?ชีหลัวตกใจกลัว จัดที่นอนเสร็จก็รีบออกไปอวี่เหวินห่าวเข้านอนอีกครั้งแต่ก็ไม่สามารถหลับลงได้ไม่เคยถูกทรมานเช่นนี้มาก่อนซูยี่กำลังทุบผ้าอยู่ข้างบ่อน้ำ ร้องไห้ฮือ ๆ และถังหยางก็เข้ามาพร้อมโคมไฟในมือ “เกิดอะไรขึ้น? ไม่คัดหลี่อี้เหลียนฉื่อแล้วเหรอ จึงเปลี่ยนมาซักเครื่องนอนแทน” ซูยี่ทำตาเศร้า ๆ เหมือนสตรีตัวน้อย “ทำไมใต้เท้าถังยังไม่นอนอีก?” “หลับแล้ว ก็นี่ไง เจ้าทำให้ข้าตื่นไม่ใช่เหรอ?” ถังหยางนั่งอยู่ข้างเขา “เจ้าเป็นอะไร? ทำไมถึงทำให้ท่านอ๋องไม่พอใจอยู่ตลอดเลยล่ะ?”ซูยี่ก็รู้สึก
ซูยี่กล่าวอย่างมั่นใจ “เงินไม่มี แล้วข้าจะไปเอาสตรีมาได้อย่างไร? สถานที่ต้องนั้นใช้เงินเป็นจำนวนมาก” “พรุ่งนี้มาถอนที่ห้องบัญชี” ถังหยางเดินออกไปช้า ๆ “ซักเครื่องนอนของเจ้าต่อไปเถอะ”ซูยี่พบวิธีแก้ปัญหา ไม่ต้องพูดถึงความดีใจที่อยู่ในใจ ซักเครื่องนอนก็มีความสุขมาก ทุบลงไปเสียงดังผับ ๆ หยวนชิงหลิงคืนนี้ก็นอนไม่หลับเช่นกันพลิกไปพลิกมา ดวงตาที่แผดเผาของเขาส่องประกายอยู่ต่อหน้าต่อตาจะบ้าไปแล้ว! นางทั้งปิดหน้าทั้งกุมหัว เขาคิดอย่างไรกันแน่?หยวนชิงหลิงแล้วเจ้าล่ะคิดอย่างไร?แล้วสามารถเชื่อได้จริงหรือ? อย่าลืมว่าเมื่อไม่นานมานี้เจ้าเคยถูกเขาทุบตีจนลุกจากเตียงไม่ไหว แต่ทำไมเจ้าถึงชอบจูบของเขามากขนานนั้น? ตอนที่นั่งรถม้ากลับมา ศีรษะของนางอยู่บนบ่าของเขา ฟังเสียงหัวใจของเขา นางรู้สึกว่าเป็นเวลาที่สงบที่สุดและสบายใจมากที่สุดตั้งแต่มายุคโบราณนี้ แม้ว่ามันจะถูกรบกวนด้วยการจูบในตอนท้าย หากรถม้ายังขับต่อไป พวกเขาอยู่บนรถม้าจะ...หรือไม่ หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะเป็นบ้า ลมหายใจของเขา การเต้นของหัวใจเขา รสชาติจูบของเขา ริมฝีปากและฟันของเขา ทุกรูปแบบของเขา ทั้งหมดกลายเป็นสิ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม