หลังจากที่ผู้หญิงสองนั้นเดินออกไปแล้ว หยวนชิงหลิงพ่นหายใจยาว ๆ และกล่าวกับนางข้าหลวงสี่ด้วยความซาบซึ้งว่า “เจ้าได้ช่วยชีวิตข้าไว้”นางข้าหลวงสี่พูดอย่างเรียบเฉยว่า “พระชายาจี่เป็นคนลึกซึ้ง พระชายาก็พูดตอบโต้กับนางให้น้อย ๆ ไว้นะเพคะ”หยวนชิงหลิงพูดอย่างยิ้ม ๆ “นางลึกซึ้ง? ไม่รู้สึกเลย ออกจะดูเหลาะแหละไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวสักเท่าไหร่”นางข้าหลวงสี่ยิ้มเย้ยหยัน “เหลาะแหละ? นั้นมันแค่การเสแสร้งแกล้งทำออกมา”หยวนชิงหลิงตกตะลึง “แสร้งทำออกมา? ทำไมต้องเสแสร้งด้วย?”“คนเราล้วนมีด้านพรางตัวเพื่อปกป้องตัวเอง” นางเทน้ำชาให้หยวนชิงหลิงหนึ่งแก้วแล้วนั่งลงเล่าต่อ “พระชายาฉีเองก็คิดไปเอง ด้วยความเฉลียวฉลาดเล็กน้อยนั้น นางคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมทุกอย่างได้ นางไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหา แต่หากนางจะยืนกรานอย่างดื้อรั้น ก็คงเป็นเพราะนางคือคนตระกูลฉู่ แต่พระชายาจี่นั้นไม่เหมือนกัน พระชายาจี่เชี่ยวชาญเรื่องการเขียนมาตั้งแต่เด็ก ทรงรอบรู้ นางคือที่ปรึกษาเบื้องหลังของอ๋องจี่ พระชายารู้ไหมเพคะ ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของพระชายาจี่คืออะไร?”หยวนชิงหลิงถาม “อะไรเหรอ?”“ถึงแม้ว่านางจะเก่งกาจ แต่นางก็เต็มใจ
“เจ้าขอโทษนางได้หรือเปล่า?” อ๋องฉีถาม ฉู่หมิงชุ่ยมองมาที่เขา ในใจก่นด่าเขาว่าโง่เขลาตลอด แต่กลับทำได้เพียงพูดแล้วถอนหายใจ “แค่พูดคำขอโทษแล้วเรื่องมันจะจบเหรอ?” “คำขอโทษก็แค่คำที่พูดในเหตุการณ์นั้น ๆ พูดกันตามตรงคือเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า” อ๋องฉีคิดว่านางจะโกรธและรู้สึกผิดจริง ๆ กับสิ่งที่หุ้ยติ่งโฮ่วทำ พร้อมกล่าวด้วยความสบายใจฉู่หมิงชุ่ยตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ และเมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวเดินเข้ามาอีกครั้ง นางก็ลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับต่ออวี่เหวินห่าว “ท่านพี่ห่าว ข้าขอโทษแทนท่านลุงของข้าด้วย ข้าไม่คิดว่าเขาจะกล้าทำเรื่องแบบนั้นได้ โชคดีที่พระชายาไม่ได้เป็นอะไรมาก มิฉะนั้น ข้าคงรู้สึกผิดไปจนตาย”เสียงร้องไห้ของนางมีทั้งอารมณ์ตกใจและโกรธอวี่เหวินห่าวมองไปที่นางและพูดว่า “นางได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ไม่ใช่ปัญหาร้ายแรง เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”เมื่อฉู่หมิงชุ่ยได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกสับสนมาก แม้ว่าเขาจะหมดห่วงเรื่องของนาง แต่ก็ยังกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิง ด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น เขานั่งลงอย่างเหม่อลอย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ต
หยวนชิงหลิงไม่อยากออกมาร่วมมื้ออาหารนี้จริง ๆ เธอเองก็มีเหตุผล อาจพูดได้ว่าแผลของเธอนั้นเจ็บปวด หรือเป็นเพราะร่างกายเลยต้องการกินอาหารคนป่วย แต่เมื่อเธอนึกถึงสิ่งที่นางข้าหลวงสี่พูด เธอก็อยากจะสังเกตพระชายาจี้อีกครั้ง ดูว่านางเป็นคนที่ตีสองหน้าหรือเป็นเพียงคนที่มีหลายแง่มุมเมื่อเห็นนางมา อวี่เหวินห่าวดูแย่กว่าเมื่อวาน ท่าทางขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา “กินยาหรือยัง?” “กินแล้ว” หยวนชิงหลิงตอบรับ เธอกินยาของตัวเอง ยาที่หมอหลวงสั่งเหล่านั้น กินเข้าไปคำเดียว ก็หาเหตุผลต่าง ๆ นานาที่จะเททิ้ง “กินจริง ๆ ถึงจะดี พอข้าหันหลังกลับพบว่าเจ้าแอบเททิ้ง ถ้าเจ้ากล้าทำอีกก็ลองดู” อวี่เหวินห่าวขู่ด้วยเสียงต่ำ หยวนชิงหลิงหดคอ “ไม่กล้า” เขากำลังขู่จริง ๆ ซึ่งหยวนชิงหลิงก็รู้สึกผิดเช่นกัน แต่เมื่อฉู่หมิชุ่ยได้ยินสิ่งนี้ ดูเหมือนเป็นพูดสัพยอกหยอกเอิน หลังจากนั่งแล้ว อวี่เหวินห่าวอยู่ทางซ้ายของเธอ ฉู่หมิงชุ่ยอยู่ถัดจากอ๋องฉีทางด้านขวาของนาง ตามด้วยพระชายาจี้, อ๋องจี้, และอ๋องซุนคนใช้เข้ามารับใช้ระหว่างรับประทาน แต่อ๋องซุนโบกมือ “วันนี้เหล่าพี่น้องได้มาร่วมมื้ออาหารกันคงไม่จำเป็นต้องรับใช้แล้ว พวกเจ
อ๋องฉีเปล่งเสียงด้วยความตกตะลึง “ร่างกายไม่ตอบสนองกับยาเป็นไปได้เหรอ?” เขามองไปที่หยวนชิงหลิง “ถ้าอย่างนั้น พี่สะใภ้ห้าเข้ามาช่วยเถอะ” อวี่เหวินห่าวคว้าแขนหยวนชิงหลิงและกล่าวว่า “นำไปส่งที่ห้องเซียงก่อน ในจวนมีหมอหลวง แล้วสั่งให้หมอหลวงไปที่นั่น” “ได้!” อ๋องฉีกอดฉู่หมิงชุ่ยและเดินออกไป แม่นมฉีนำทางไป ทุกคนนั่งลงอีกครั้ง แต่ไม่มีอารมณ์จะกินแล้ว นอกจากอ๋องซุน พระชายาจี้ยิ้มและกล่าวว่า “ไม่คิดว่าพวกเขาจะแต่งงานกันไม่ถึงปี พวกเขาจะกระวนกระวายอะไรขนาดนี้” อ๋องซุนพูดไปด้วยกินไปด้วย “จะไม่ให้กระวนกระวายได้อย่างไร? พี่ชายของเรายังไม่มีลูกชายเลย” พระชายาจี้ยิ้ม ๆ “เช่นนั้น น้องรองคงต้องทำงานหนักขึ้นแล้วล่ะ” “ข้าทำได้แน่ พี่ใหญ่ก็คงทำงานหนักกว่านี้” อ๋องซุนใช้เวลาในการดูอ๋องจี้ “พี่ใหญ่คงเป็นกังวล?” ทันทีที่อ๋องจี้หยิบตะเกียบขึ้นมา เมื่อได้ยินแบบนี้ก็ค่อย ๆ วางลง และพูดอย่างเคร่งขรึม “ถ้าเจ้ามีความคิดเห็นใด ที่เกี่ยวกับข้าก็พูดมาตรง ๆ ไม่จำเป็นต้องเหน็บแหนม ข้าจำได้ว่าไม่เคยผิดใจอะไรกับเจ้ามาก่อน” “ไม่มี” อ๋องซุนเงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ข้าก็พูดแบบนี้มาตลอด เหน็บแหนมอะไร
อ๋องซุนมองดูจานเปล่าที่วางเต็มโต๊ะอย่างโกรธจัด ไม่ทันระวังจนกินหมด รู้สึกผิดอยู่ลึก ๆ ในใจ ว่าหยวนชิงหลิง “ข้าบอกให้เจ้าเตรียมอาหารแค่สามอย่าง ทำไมต้องเตรียมเยอะขนาดนี้? เจ้านี่ช่างเป็นคนฟุ่มเฟือย ขูดเลือดขูดเนื้อผู้คน เจ้านี่เป็นหนอนดูดเลือด" ว่าเสร็จ ก็เดินพุงกางกลับไป หยวนชิงหลิงถูกว่าโดยไม่มีเหตุผล ตกตะลึงและพูดว่า “ใครบอกให้เจ้ากินเยอะขนาดนี้ล่ะ?” เธอไม่ได้เป็นคนที่กินเยอะที่สุด ทำไมเธอถึงเป็นหนอนดูดเลือด? ต้องเป็นเขาไม่ใช่เหรอ? เธอมองไปที่อวี่เหวินห่าว “น้องรองของท่านมีปัญหาทางสมองหรือเปล่า?” อวี่เหวินห่าวดูสงบและผ่อนคลาย “ใช่” หากเป็นอย่างนั้นก็ไม่เป็นไร เธอจะไม่ถือสาโกรธคนที่มีปัญหาทางสมองหรอก แม่นมฉีออกมารายงาน “อ๋องฉีและพระชายาฉีกลับไปแล้ว จึงสั่งให้หม่อมฉันมากราบทูล” หยวนชิงหลิงถามเป็นมารยาท “พระชายาฉีไม่มีอะไรร้ายแรงแล้วใช่ไหม?” แม่นมฉีกล่าวว่า “หมอหลวงกล่าวว่าพระชายาฉีแค่หงุดหงิดและรู้สึกไม่สบายใจเพียงชั่วครู่ กลับไปพักฟื้นสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว” หยวนชิงหลิงมองไปที่อวี่เหวินห่าว อวี่เหวินห่าวลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่แสดงสีหน้าอะไรเลย หยวนชิงหลิงยักไหล่
หยวนชิงหลิงนั่งอยู่บนขั้นบันไดหิน ตัวเป่ากำลังนอนอยู่ที่เท้าของเธอ ทั้งคนทั้งสุนัขนั่งอาบแดดอย่างอบอุ่น เมื่ออ๋องซุนเข้ามา เขาก็นั่งบนขั้นบันไดหินอีกด้านหนึ่ง นั่งเท้าคาง ครุ่นคิด จะทักทายสักนิดก็ไม่มี “เป็นอะไรเหรอ?” หยวนชิงหลิงถาม “ลดน้ำหนักอีกแล้ว?”“ไม่ใช่!” “หิวเหรอ? เยี่ยงนั้นข้าให้คนทำอะไรให้พี่รองสักหน่อย”“กินไม่ลง!”หยวนชิงหลิงประหลาดใจ ชอบกินแต่กินไม่ลง? คงมีเรื่องที่ค่อนข้างหนักใจ “เป็นอะไร?” หยวนชิงหลิงตบ ๆ ที่หัวของตัวเป่า ให้มันไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ตัวเป่าลากร่างที่เกียจคร้าน เดินช้า ๆ ออกไปอ๋องซุนหันไปมองนาง “เจ้าห้าไม่ได้พูดเหรอ? เจ้าหกอาจะไม่ไหวแล้ว”เจ้าหก? หยวนชิงหลิงเพิ่งนึกออกอ๋องหวยที่น่าสงสาร อวี่เหวินหวย เขากับอวี่เหวินห่าวเกิดในปีเดียวกัน อวี่เหวินห่าวแก่กว่าเขาหนึ่งเดือน หลู่เฟยเป็นผู้ให้กำเนิด และได้ล้มป่วยเมื่อสองปีก่อน หลังจากมอบจวนแล้ว เขาไม่เคยออกจากประตูจวนแม้แต่ก้าวเดียว “เขา...เป็นโรคอะไร” หยวนชิงหลิงถาม “โรคฝีในท้อง!” “โรคฝีในท้อง? วัณโรคเหรอ?”“อืม!”หยวนชิงหลิงยิ้มออกมา “โรคฝีในท้องนี้สามารถรักษาให้หายขาดได้ มันไม่ถึงตาย แล้วท
อ๋องซุนเดินเข้ามาในห้องอย่างช้า ๆ และพูดพึมพำ “เจ้าห้าก็น่าจะลำบากเหมือนกัน ในบรรดากษัตริย์มากมาย เขากับอ๋องหวยมีจิตใจดีที่สุด” เมื่อตอนเย็นอวี่เหวินห่าวไปที่จวนอ๋องหวย หลังจากกลับมาเขาก็อยู่แต่ในห้องหนังสือไม่ออกมาขนาดข้าวเย็นก็ยังไม่กินเลยด้วยซ้ำ หยวนชิงหลิงก็ไม่ได้กินเช่นกัน เมื่อตอนบ่ายได้ทานอาหารเป็นเพื่อนอ๋องซุน ถึงตอนนี้ยังคงอิ่มอยู่ ช่วงนี้ต่อมความอยากอาหารของเธอแย่มาก อาหารโบราณก็เลี่ยนเสียง่าย ๆ อวี่เหวินห่าวหลบอยู่ในห้องหนังสือ เธอก็หลบอยู่ในห้องเหมือนกัน เปิดกล่องยา จัดเรียงยาในนั้นการดื้อต่อยาสเตรปโตมัยซิน, ไรแฟมพิซิน, อีแทมบูทอล, ไพราซินาไมด์ ซึ่งยาสี่ตัวนี้เป็นยาตัวใหม่ ในใจเธอลังเลไม่แน่นอน ในระยะเริ่มต้นของวัณโรค ระยะเวลาการรักษาคือ 3 เดือนถึง 6 เดือน แต่อ๋องหวยไม่รู้ว่าเขาป่วยมานานแค่ไหนแล้ว และยิ่งไม่รู้ว่าเขาได้ไปแพร่เชื้อที่อื่นด้วยหรือไม่ ยาในกล่องยามีเพียงพอแค่ 10 วัน แต่หากได้ใช้ยาปฏิชีวนะรักษาแล้ว จะไม่สามารถหยุดกลางคันได้ เพราะหลังจากหยุดยาแล้ว จะเกิดการดื้อยา แม้ว่าเขาจะได้รับการรักษาอีกครั้ง ความเป็นไปได้ที่จะรักษาให้หายขาดก็น้อยลงเช่นกัน เธ
“ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกระหว่างพวกเจ้าฉันท์สามีภรรยาก็ไม่ดีสินะ” อ๋องซุนเลิกคิ้วหยวนชิงหลิงพูดสรุป “ไม่ทะเลาะกันก็คือสามีภรรยาที่ดี” อ๋องซุนมองที่เธอ “เจ้าสองคนทะเลาะกันบ่อยเหรอ?” “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไง? ข้ากับท่านอ๋องเป็นคู่สามีภรรยากัน เขากล้าตบตีข้าที่ไหน?” หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป “พี่รองรอข้าสักครู่ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะรีบตามท่านไป”อาการของอ๋องหวยแย่ลง และต่อให้พี่น้องจะไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกันมากนัก พวกเขาทั้งหมดก็ยังเข้ามาดูอาการตอนที่หยวนชิงหลิงไปที่นั่น มีคนมากมาย รวมทั้งญาติพี่น้องกษัตริย์ก็มาหมด หลายคนที่เธอไม่รู้จัก ในนั้นก็มีองค์หญิงสองสามคน อ๋องซุนเข้าไปแล้ว หยวนชิงหลิงไม่สามารถเบียนเข้าไปได้ ทำได้แค่เดินเล่นไปรอบ ๆ อยู่ข้างนอกสองรอบ แต่ก็ไม่เห็นอวี่เหวินห่าว ตอนเธอเดินเล่นอยู่ข้างนอก ก็เห็นฉู่หมิงชุ่ยออกมาจากข้างใน ขอบตาแดงก่ำ ฉู่หมิงชุ่ยเหลือบมองที่เธอแล้วหันหลังเดินออกไป องค์หญิงหลัวผิงกับองค์หญิงฉินผิงก็ออกมากพร้อมกับมเหสีของพวกนาง องค์หญิงทั้งสองเดินนำอยู่ข้างหน้า ขอบตาแดงเล็กน้อบ แต่ท่าทางของพวกนางยังคงมั่นใจและสง่างาม รักษาภาพลักษณ์