“ถ้าอย่างนั้นความรู้สึกระหว่างพวกเจ้าฉันท์สามีภรรยาก็ไม่ดีสินะ” อ๋องซุนเลิกคิ้วหยวนชิงหลิงพูดสรุป “ไม่ทะเลาะกันก็คือสามีภรรยาที่ดี” อ๋องซุนมองที่เธอ “เจ้าสองคนทะเลาะกันบ่อยเหรอ?” “จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไง? ข้ากับท่านอ๋องเป็นคู่สามีภรรยากัน เขากล้าตบตีข้าที่ไหน?” หยวนชิงหลิงเดินเข้าไป “พี่รองรอข้าสักครู่ ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วจะรีบตามท่านไป”อาการของอ๋องหวยแย่ลง และต่อให้พี่น้องจะไม่มีความรู้สึกที่ลึกซึ้งต่อกันมากนัก พวกเขาทั้งหมดก็ยังเข้ามาดูอาการตอนที่หยวนชิงหลิงไปที่นั่น มีคนมากมาย รวมทั้งญาติพี่น้องกษัตริย์ก็มาหมด หลายคนที่เธอไม่รู้จัก ในนั้นก็มีองค์หญิงสองสามคน อ๋องซุนเข้าไปแล้ว หยวนชิงหลิงไม่สามารถเบียนเข้าไปได้ ทำได้แค่เดินเล่นไปรอบ ๆ อยู่ข้างนอกสองรอบ แต่ก็ไม่เห็นอวี่เหวินห่าว ตอนเธอเดินเล่นอยู่ข้างนอก ก็เห็นฉู่หมิงชุ่ยออกมาจากข้างใน ขอบตาแดงก่ำ ฉู่หมิงชุ่ยเหลือบมองที่เธอแล้วหันหลังเดินออกไป องค์หญิงหลัวผิงกับองค์หญิงฉินผิงก็ออกมากพร้อมกับมเหสีของพวกนาง องค์หญิงทั้งสองเดินนำอยู่ข้างหน้า ขอบตาแดงเล็กน้อบ แต่ท่าทางของพวกนางยังคงมั่นใจและสง่างาม รักษาภาพลักษณ์
อวี่เหวินห่าวถาม “เกิดอะไรขึ้น?” หยวนชิงหลิงกลืนคำพูดที่กำลังจะรีบออกจากริมฝีปากและกล่าวว่า “ข้ามาที่นี่กับพี่รอง ข้าไม่มีรถที่จะกลับไป” อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “เจ้าไปนั่งรอข้าที่ห้องโถงด้านข้างสักครู่ อีกสักพักข้าก็จะกลับ ไปส่งเจ้ากลับจวนก่อน” “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปเดินเล่นในสวนก่อน” พอดีเลยไปรับลมเย็น ๆ ความคิดจะได้ชัดเจนขึ้น “ในสวนลมแรง ไปนั่งที่ห้องโถงด้านข้างนั่นแหละ!” อวี่เหวินห่าวทำหน้าเคร่งขรึม “รู้แล้ว” หยวนชิงหลิงเดินนำลวี่หยาไปเธอไม่ไปที่ห้องโถงข้าง ๆ แต่กลับไปที่สวนอย่างต่อต้านนั่งบนพื้นหญ้าริมทะเลสาบ ลมแรงมาก พัดจนปอยผมยุ่งเหยิงไปหมด ลวี่หยาอยู่ข้างหลังเป็นเพื่อน มองดูเจ้านายนั่งเท้าคางเศร้า ๆ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงดูไม่มีความสุข เมื่อครู่ท่านอ๋องพูดแบบนั้นก็เพื่อสุขภาพของนาง “พระชายาหิวหรือยังเพคะ? อาจจะมีของกิน ให้หม่อมฉันไปถามให้ไหมเพคะ?” ลวี่หยากล่าว “อืม!” หยวนชิงหลิงต้องการอยู่คนเดียวสักพัก จึงปล่อยนางไปตามสบายลวี่หยาถอนสายบัวแล้วก็เดินไป หยวนชิงหลิงมองไปที่ทะเลสาบที่ส่องแสงระยิบระยับ ดวงอาทิตย์กำลังแผ่ซ่านไปทั่ว ราวกับทองคำนับพันที่ลอยอยู่ ก้านหลิวพ
ความโกรธและความเกลียดแบบไหนที่บังคับให้ฉู่หมิงชุ่ยพูดคำหยาบคายเช่นนี้?หยวนชิงหลิงสะบัดมือออกจากนางและยิ้ม รอยยิ้มที่ดูถูกในตอนท้ายกระตุ้นฉู่หมิงชุ่ยในที่สุด นางผลักหยวนชิงหลิงลงไปในทะเลสาบอย่างแรงอาการบาดเจ็บของหยวนชิงหลิงยังไม่หายสนิท เธออ่อนแอไปทั้งร่างกาย และเธอก็ไม่คิดว่าฉู่หมิงชุ่ยที่ดูเหมือนผู้หญิงที่อ่อนแอ กลับมีแรงที่แข็งแกร่งมาก กดจนเธอไม่มีแรงต้านทานเธอว่ายน้ำไม่เป็น หลังจากตกลงไปในน้ำ ผุบ ๆ โผล่ ๆ สองสามครั้ง พยายามจะจับอะไรบางอย่าง แต่ทันทีที่เธอจับได้ ก็ถูกฉู่หมิงชุ่ยผลักอีกครั้ง แล้วกดหัวของเธอจมลงไปในน้ำน้ำที่เย็นเฉียบในทะเลสาบโอบล้อมเข้ามา เธอรู้สึกว่าศีรษะของตัวเองเหมือนฟองน้ำ น้ำเข้าปาก, จมูกและหู เธอกำลังจะขาดอากาศหายใจ ในหน้าอกทรมานจนแทบจะระเบิดเธอพยายามผลักฉู่หมิงชุ่ยออกไป แต่ฉู่หมิงชุ่ยดูเหมือนจะมีแรงมหาศาล กดหัวและคอของเธอ ถึงตายก็จะไม่ยอมให้หัวของเธอลอยขึ้นมาได้ หยวนชิงหลิงเลิกดิ้นรน ดึงปิ่นที่หัวออกมาแล้วสุ่มแทงเข้าไป น้ำเริ่มมีกลิ่นเลือด เธอแทงถูกฉู่หมิงชุ่ย แรงกดที่ศีรษะและคอหายไป เธอรีบตะเกียกตะกายขึ้นจากน้ำ ยกศีรษะขึ้นสู่ผิวน้ำ สูดอากาศอ
หยวนชิงหลิงขดตัวและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ถ้าท่านจะด่าก็ด่า แต่ห้ามตีข้า ถ้าท่านกล้าตีข้า ข้าจะสู้สุดชีวิต ข้าชอพูดไว้ก่อน นางเกิดบ้าขึ้นมาลากข้าลงไป กดหัวข้าอย่างแรงไม่ให้ลอยขึ้น ข้าเลยต้องเอาปิ่นทำร้ายนาง!” เธอสูดจมูก ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง ไปเจอผู้หญิงเพี้ยนได้ยังไง? “ข้ารู้ว่าท่านไม่เชื่อข้า ท่านเกลียดข้า แค่ข้าหายใจก็ยังผิดเลย ท่านชอบนาง เท้าของนางเหม็น ท่านยังรู้สึกว่าหอมเลย...” อวี่เหวินห่าวดึงเสื้อผ้าของนางออกจากกันด้วยมือข้างหนึ่ง สองมือถอดออกหมด “หุบปาก!” ดวงตาของหยวนชิงหลิงเป็นสีแดง พูดอย่างดุเดือด “จะตีข้าอีกเหรอ? ท่านอยากจะตีข้าอีกแล้วใช่ไหม? ข้าจะตายไปพร้อม ๆ กับท่าน!” พูดจบ ก็กระโจนเข้าที่คอของเขาและกัดลงไป“เจ้ามันบ้า!” อวี่เหวินห่าวโกรธจัด เอื้อมมือไปลูบ ๆ หยดเลือดไหลออกมาจากคอของเขา เขาถอดเสื้อคลุมชั้นนอกออกแล้วโยนให้นาง “ตอนไหนที่ข้าจะตีเจ้า? เจ้าเปียกไปทั้งตัว ถอดออก แล้วใส่เสื้อคลุมชั้นนอกของข้า” “ท่านไม่มีทางจะใจดีแบบนี้!” หยวนชิงหลิงมองดูเสื้อคลุมชั้นนอกที่เขาถอดออก และพูดในลักษณะที่เด็ดขาด“ใช่ ข้ายังจะทำให้เจ้าตาย” อวี่เหวินห่าวโกรธมาก ใบหน้
“ข้าบอกว่าอ๋องหวยโชคไม่ดี” หยวนชิงหลิงแสดงความเสียใจตามสมควร แต่บรรยากาศที่น่าเศร้าก็ถูกทำลายโดยการจาม “ทำไมเจ้าไม่ถอดเสื้อผ้าชั้นในที่เปียกออก?” อวี่เหวินห่าวพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว เธอขยี้ ๆ จมูก “ช่างเถอะ อยู่ในรถม้าไม่สะดวก ใกล้ถึงจวนแล้ว”“ทำเป็นรักนวลสงวนตัวอะไร? ทำอย่างกับว่าข้าไม่เคยเห็น” “ข้าก็ไม่ได้กลัวท่านดูหรอก” ยังไงก็ไม่ใช่ตัวของเธอเอง อวี่เหวินห่าวทำเสียงเหอะ และหลับตาต่อไป “ข้ารู้สึกอยากจะอ้วกนิดหน่อย” จู่ ๆ หยวนชิงหลิงก็รู้สึกคลื่นไส้ “น้ำในทะเลสาบเมื่อครู่กลิ่นแรงเหลือเกิน”ตอนที่ตะเกียกตะกาย ทำให้โคลนที่อยู่ใต้น้ำผสมกับน้ำในทะเลสาบ เธอกินไปสองอึก ฉู่หมิงชุ่ยก็กินเข้าไปเหมือนกัน ตอนนี้คิด ๆ ดู เพื่อที่จะใส่ร้ายเธอ ฉู่หมิงชุ่ยเสียสละอย่างมาก อวี่เหวินห่าวตบ ๆ ไปที่ไหล่ของตัวเอง “อิงเข้ามา หลับตาพักผ่อนสักครู่” จู่ ๆ ก็อบอุ่นอย่างนี้ หยวนชิงหลิงรู้สึกไม่ชินนิดหน่อยอย่างไรก็ตาม โยกไปโยกมาอยู่ในรถม้า มีคนให้พิงสักหน่อยก็ไม่เลว เธอยิ้ม ๆ และพูดอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณ” เอนศีรษะเข้ามาพิงอย่างช้า ๆ กำลังจะหนุนบนไหล่ของเขา แต่จู่ ๆ เขาก็ขยับตัวออกไปอีกฝั่ง หยว
เขานั่งตัวตรง มีความจริงจัง ค่อย ๆ ขยับมืออย่างไม่เต็มใจ ปลายนิ้วแตะมือเธอบนเบาะนุ่ม ๆ ซึ่งเย็นยะเยือก เป็นแบบนี้ไม่ขยับ ไม่ก้าวและก็ไม่ถอย หยวนชิงหลิงก็นั่งตัวตรง ดวงตาของเธอลอยไปลอยมา กล้ามเนื้อทั้งตัวของเธอเกร็งไปหมด รู้สึกว่าสัมผัสได้ถึงปลายนิ้วของเขา บางทีเธอควรจะขยับออกไป ใช่มันสมควร เอาล่ะ อย่างนั้นก็ขยับออกไป แต่ทว่ามันจะดูจงใจมากไปไหม? ปลายนิ้วสัมผัสถือเป็นอะไรได้? ทั้งคู่เคยจูบกันแบบแนบชิดมาแล้ว แต่กำลังจงใจเคลื่อนตัวออกห่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ปกติเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ทั้งสองเข้ากันได้ดี ถือเป็นเพื่อนกันแล้วก็ได้? สัมผัสมือระหว่างเพื่อนก็ไม่ควรจะทำกระต่ายตื่นตูมถ้าหัวใจเต้นไม่เร็ว ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา รถม้าหยุดกะทันหัน ซูยี่เปิดม่าน อวี่เหวินห่าวกระตุกมือกลับมาวางบนเข่าอย่างรวดเร็ว “ท่านอ๋อง พระชายา ถึงแล้ว!” ซูยี่กล่าวเขาที่บ้าบิ่น โดยธรรมชาติแล้วไม่ได้สังเกตเห็นบรรยากาศที่น่าอึดอัดในรถม้า อวี่เหวินห่าวลงจากรถม้าก่อน หยวนชิงหลิงกอดเสื้อคลุมชั้นนอกที่หลวม ๆ ของเขาอย่างแน่น ชะโงกออกมาอย่างระมัดระวัง อวี่เหวินห่าวอุ้มเธอลงมา ช่วงเวลาที่แนบชิดตัวเขา มือและเท
หยวนชิงหลิงจู่ ๆ ก็ตระหนักถึงปัญหานี้และถามว่า “ท่านอ๋องมีนางบำเรอกี่คน?” ดูเหมือนว่าเขาจะมีสาวใช้สองสามคนที่ตำหนักเสี่ยวเยว่ ทุกคนต่างก็ดูดีจะเป็นนางบำเราของเขาได้ไหม?ลวี่หยากล่าวว่า “เรื่องนี้ หม่อมฉันไม่รู้ เรื่องที่ตำหนักเสี่ยวเยว่ พวกเราตำหนักเฝิงอี๋ไม่บังอาจ แต่คิดว่าไม่มีเพคะ? พูดถึงเรื่องนางบำเรอ อาจจะพูดได้ว่า นอกจากท่านอ๋องไม่อยากให้ใครรู้” หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าบางทีเขาไม่ต้องการให้ใครรู้ผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่มีสรีระปกติคนหนึ่ง มีความต้องการทางด้านนี้ จะมีนางบำเรอสักคนสองคนก็ถือว่าสมเหตุสมผลหยวนชิงหลิงรู้สึกจี๊ดในใจ ดูเหมือนว่าผลที่ตามมาของการดื่มน้ำในทะเลสาบจะยังไม่หายไป “ลวี่หยา ข้าจะช่วยเจ้าหาเอง ไม่ต้องคุกเข่าแล้วลุกขึ้นมา” หยวนชิงหลิงยื่นมือออกและดึงนางขึ้นมา ลวี่หยายังคงสะอึกสะอื้นและปาดน้ำตา หยวนชิงหลิงค่อย ๆ ดื่มซุปขิง ในใจไม่หยิ่งเหมือนตอนเมื่อกี้ เมื่อลวี่หยาออกไป หยวนชิงหลิงก็เริ่มขอพรในกล่องยา เธอเริ่มขอพรง่าย ๆ นั่นก็คือต้องการปากกาหนึ่งด้าม ถ้าได้ตามความปรารถนา หลังจากนั้นจึงจะลองขอยา ปิดและเปิด คว้านหา ไม่มีปากกา แต่มีดินสออยู่สองสามแท่งก
สีหน้าของอ๋องฉีเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาไม่เคยเห็นฉู่หมิงชุ่ยเป็นแบบนี้มาก่อน นางมักพูดอย่างนุ่มนวลมาตลอด การกระทำแน่วแน่ และใจดีต่อผู้อื่น แม้แต่คนรับใช้ในจวน นางก็ไม่เคยทำโอ้อวดว่าเป็นพระชายา แม่นมในวังก็เมตตายิ่งนักนางไม่เคยแสดงความรุนแรงมาก่อน เพราะตกใจกลัวแน่นอน อ๋องฉีคิดถึงเรื่องนี้แล้วเอื้อมมือออกไปกอดนางไว้ในอ้อมแขน “ไม่เป็นไรแล้ว ไม่ต้องตกใจ” ฉู่หมิงชุ่ยพิงบนไหล่ของเขาเหมือนไม่มีชีวิต ทำเสียงหึ นางรู้ตัวว่านางแปลกไป แต่นางก็ไม่สนใจ อ๋องฉีเป็นคนธรรมดาและซื่อสัตย์ ดื้อดึงต่อนาง ไม่ว่านางจะขมขื่นเพียงใด ต่อให้โหดร้ายเพียงใด เขาจะไม่มีวันปล่อยนางไป บางที ควรจะลืมพี่ห่าวเสียแล้ว อ๋องฉีช่างดีเหลือเกิน และตอนนี้เขาก็ยังได้เปรียบมากที่สุดสามารถให้ทุกสิ่งที่นางต้องการได้เมื่อนึกถึงคำที่ประณามหยวนชิงหลิง นางก็รู้สึกละอายและโกรธตลอดเวลา ทำไมนางถึงพูดคำหยาบคายเช่นนี้? นั่นควรเป็นสิ่งที่หยวนชิงหลิงกล่าว“ทำไมหยวนชิงหลิงถึงผลักเจ้าลงไปที่ทะเลสาบ? นางบ้าหรือเปล่า?” อ๋องฉีถามเมื่อเห็นนางสงบลงเล็กน้อย ฉู่หมิงชุ่ยค่อย ๆ สงบลง เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงยืนอยู่ริมทะเลสาบที่จวนอ๋องหวย นางก็ม
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม