หยวน ชิงหลิงยังคงอยู่กับฮูหยิน ลุงซูกั๋วก็มาเยี่ยมเหมือนกัน ลุงซูกั๋วเป็นน้องชายของไทเฮา ได้รับฉายาว่าลุงกั๋ว หลายปีมานี้ตระกูลซูไม่ได้มีคนที่มีความสามารถมากนัก ถึงแม้จะไม่ได้เรื่องแต่ก็ยังมีประโยชน์ ในที่สุดแล้วฮองเฮาหนึ่งท่าน พระสนมหนึ่งท่าน เป็นคนที่หน้ามือเป็นหลังมือเมื่อลุงซูกั๋วมาถึงจวนโฮ่ว ก็ตรงเข้าพูดเรื่องที่ว่าอ๋องฉู่จะแต่งงานกับนางสนม ในขณะที่พูดก็ยกไทเฮาขึ้นมาพูดตลอด ให้จิ้งโฮ่วรับรองว่าเมื่ออ๋องฉู่แต่งงานกับนางสนม ทั้งพระชายาฉู่และจวนจิ้งโฮ่วจะต้องอวยพรอย่างจริงใจ จิ้งโฮวฟังว่าอ๋องฉู่จะแต่งงานกับลูกสาวของตระกูลฉู่เป็นนางสนม ใจก็เริ่มท้อแท้อย่างมาก ถ้าเขารู้ตั้งแต่แรก เขาคงไม่วางแผนจัดฉากในจวนองค์หญิงหรอก ตอนนี้อ๋องฉู๋ไม่ได้ประจบประแจง ยังทำให้ตระกูลฉู่ขุ่นเคือง เขาชดใช้ด้วยลูกสาวของเขาจริง ๆ และยังเสียกองทัพทหาร เมื่อเผชิญกับการคุกคามของลุงซูกั๋ว เขาทำได้เพียงพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจว่า “ท่านลุงกั๋ว ท่านไม่ต้องกังวล เสี่ยวโฮ่วสามารถรับประกันได้ว่าพระชายาก็มีความสุขเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลูกสาวคนรองของตระกูลฉู่เข้ามาที่ประตู ซึ่งกับนางถือว่าเป็นพี่น้องกัน ต่
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไงก็ต้องให้เขาเป็นคนริเริ่มถึงจะได้ จะต้องรักษาหน้าทั้งสองฝ่ายและไม่ให้ขุ่นเคืองอ๋องฉู่ ควรใช้ข้ออ้างอะไรในการขอตัวกลับไป? หากจะไม่ทำให้หน้าของอ๋องฉู่และหน้าของจวนจิ้งโฮ่วของเขาเสียหาย ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเสียสละ หยวน ชิงกลิงเท่านั้น ร่องรอยของความเกลียดชังแวบผ่านดวงตาของเขา และกล่าวว่า “เด็ก ๆ ไปเชิญคุณนายรอง” ภายในสามวันหลังจาก หยวน ชิงหลิงกลับมาที่จวน ข่าวลือแพร่กระจายไปทั่วเมืองว่า หยวน ชิงหลิง กลับมาที่จวนโฮ่ว เพื่อขอให้คุณนายรองหาหมอดี ๆ สักคน ผลคือนางกลับได้รับการวินิจฉัยว่ามีโรคประจำตัวและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ว่ากันว่าข่าวนี้เป็นความจริงอย่างยิ่ง คนที่อยู่ข้างกายคุณนายรองของจวนโฮ่วก็เล่าขานกันกว่า หยวน ชิงหลิงจะรู้ข่าวก็สามวันต่อมาแล้ว ลวี่หยาออกไปซื้อเข็มและด้ายจึงได้ยินข่าวลือนี้ กลับมาบอก หยวน ชิงหลิง ลวี่หยาโกรธมาก วันนั้นนางเป็นคนตาม หยวน ชิงหลิงกลับบ้าน เชิญหมอดี ๆ มาทำอะไรที่ไหนกัน? หลังจากที่ หยวน ชิงหลิงฟังแล้ว ก็ยิ้มอย่างเฉยเมยด้วยใจที่ชัดเจน เห็นแผนในใจของจิ้งโฮ่วมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้เธอเป็นผลประโยชน์ของจวนจิ้งโฮ่ว และไม่สามาร
หยวน ชิงหลิงคิดว่าเรื่องแต่งงานกับนางสนมค้างคามาเป็นเวลาหลายวันแล้ว และข่าวลือภายนอกก็บอกว่าเธอมีลูกไม่ได้ การเรียกเธอเข้าไปในวังครั้งนี้ น่าจะเป็นเรื่องของการเลิกลา เธอถามแม่นมฉีว่ามีคนในวังมาที่นี่ในวันนี้หรือเมื่อคืนนี้ไหม แม่นมฉีกล่าวว่า “มู่หรูกงกงมาที่นี่ด้วยตนเอง” ถ้าอย่างนั้นก็ใช่แล้ว น่าจะเป็นฝ่าบาทที่ถามตรงกับความหมายของอ๋องฉู่อีกครั้ง แต่งงานกับลูกสาวของตระกูลฉู่เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร? หยวน ชิงหลิงจิตใจสงบ เนื่องจากราชวงศ์ต้องการทอดทิ้งเธอ คงต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับเธอเพียงพออย่างแน่นอน เพื่อที่ต่อไปจะได้ไม่ต้องเสียใจ กับการดำรงชีวิตในอนาคต และถึงเธอไม่ได้รับการช่วยเหลือ แต่เธอก็ยังมีใบรับรองการเป็นลูกหนี้ เชื่อว่าใบรับรองการเป็นลูกหนี้ใบนี้จะสามารถเปลี่ยนเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ให้ตัวเองได้ ในที่สุดก็มีความรู้สึกโล่งใจ เธอจึงก้าวขึ้นไปบนรถม้า ที่ประตูวัง เธอเปิดม่านของรถม้า มองดูชายคาที่งอนขึ้นเคลือบทองอย่างไม่ละสายตา คิดในใจว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่เธอเข้ามาในวัง ในใจเธอมีความปิติยินดีและความเป็นอิสระที่ไม่อาจบรรยายได้ ด้วยอารมณ์นี้
หยวน ชิงหลิงรู้สึกงง อวี่ เหวินห่าวท่านกำลังทำอะไรกันแน่? “ลูกไม่มีการคัดค้าน” หยวน ชิงหลิงรีบแก้ตัว “เรื่องนี้ท่านอ๋องไม่เคยถามว่าข้าหมายถึงอะไร” “เจ้ากำลังพูดพาดพิงถึงเจ้าห้าว่าดูหมิ่นเจ้าใช่ไหม?” เสียงของจักรพรรดิหมิงหยวนอึมครึมมากขึ้น “ไม่ใช่ ไม่ได้หมายความอย่างนั้น...” นี่ยังห่างไกลจากสิ่งที่เธอคิด เดิมทีเธอคิดว่า แค่เพียงต้องการยืนยันว่าเธอไม่มีความคิดเห็นใด ๆ จากนั้นก็รอการหย่าร้าง และเธอก็ต้องเก็บสัมภาระและจากไป อย่างไรก็ตามข่าวลือข้างนอกทั้งหมด ก็ทำเพื่อปลดเธอลงจากตำแหน่ง “มู่หรูกงกงได้รับคำตอบ คือเจ้าเพิ่งเริ่มต้นได้แค่ปีเดียว ไม่ควรรับสนมมาเร็วอย่างนี้ ข้าจำได้ว่าเจ้าสัญญาว่าเจ้าจะคลอดบุตรเป็นรัชทายาทในไม่ช้านี้ คำพูดของเจ้าขัดแย้งกัน สรุปเจ้าจะหมายคามว่าอะไร? หยวน ชิงหลิงไม่สามารถโต้แย้งได้ ตอนนั้นบอกว่าจะคลอดบุตรให้เร็ว ๆ แต่เพราะบรรยากาศตอนนั้น เธอจึงพูดสิ่งที่ควรพูด ได้คิดผลที่ตามมาทีหลังที่ไหน? “สรุปเจ้าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย?” จักรพรรดิหมิงหยวนถามอย่างเฉียบขาด หยวน ชิงหลิงอ้าปาก และคำพูดเห็นด้วยอยู่ในลำคอ มู่หรูกงกงกล่าวว่า “พระชายาระวังคำพูดด้วย เดี
จักรพรรดิหมิงหยวนกล่าวต่อไปว่า “ในเมื่อเจ้าห้าเคารพเจ้า เช่นนั้นข้าเองก็จะเห็นแก่เจ้าห้าสักครั้ง เรื่องแต่งงานไม่ควรบังคับกัน มิเช่นนั้นภายหลังจากคู่ชีวิตจะกลายเป็นคู่เวรคู่กรรมกันไป เรื่องนี้เดี๋ยวข้าจะไปพูดกับสนมเสียนเฟยเอง เจ้าไปเถอะ”ใช่ ยังมีสนมเสียนเฟยอีก นางพึ่งทำให้แม่สามีไม่พอใจมาแบบนี้ ศัตรูรายล้อมรอบทิศทางออกมาจากหอตำราหลวง ในใจของ หยวน ชิงหลิงเหมือนมีมีดยาวสี่สิบเมตรแทงเข้ากลางใจ ถ้าฆ่าคนได้ไม่ผิดกฏหมายล่ะก็ อวี่ เหวินห่าวต้องถูกเธอฆ่าตายคามือแน่ออกมาไกลจากหอตำราหลวง ด้านนอกมีคนรอนางอยู่บอกนางว่าเสียนเฟยอยากพบนาง แรงกดดันภายนอกไม่รู้มาถึงเมื่อไหร่ แต่ในที่นี้สนมเสียนเฟยมาเร็วที่สุด เธอจำใจไปพบสนมเสียนเฟยที่ตำหนักชิงหยู คาดไม่ถึง คนที่เข้ามาขวางคือฉางกงกง“พระชายา ไท่ซ่างหวง เชิญท่านไปพบที่ตำหนัก!”นางกำนัลจากตำหนักชิงหยูกล่าวว่า “ฉางกงกงพระสนมเสียนเฟยเชิญพระชายา ท่านกลับไปกราบทูลก่อน หรือไม่ก็รอพระชายาเสด็จออกจากตำหนักชิงหยูแล้วไปที่พระตำหนักเฉียนคุนท่าจะดีกว่า?”ฉางกงกงยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับพระพุทธรูป “ไม่ไหวหรอก เกรงว่าไท่ซ่างหวงจะรอไม่ไหวจนทรงกริ้วขึ้นมา”น
“ดื่มสักคำ จะได้ระบายความอัดอั้นตันใจ ดื่มให้ลืมความยากลำบากในวันนี้ ถ้าเจ้าเมาแล้วเดี๋ยวข้าให้คนพาเจ้ากลับจวนเอง”ไท่ซ่างหวงพูด พลางกวักมือเรียกให้ฉางกงกงยกเหล้าเข้ามาชาติก่อน หยวน ชิงหลิงดื่มเหล้าแรงสุดก็เชมเปญ ดื่มไปสองแก้ว ก็เมาเละเทะซะจนกู่ไม่กลับแล้ว แต่ว่าเธอมาอยู่ร่างนี้คอไม่น่าอ่อนแน่ อันที่จริงคนโบราณบางครั้งก็ดื่มเหมือนกันเธอได้กลิ่นสุราหอมหมื่นลี้ที่ฉางกงกงยกมา เธอสูดดมเข้าไป กลิ่นหอมไม่เลว มีกลิ่นแอลกอฮอล์ไม่แรงมากนัก “ข้าดื่มไม่ได้ เจ้าฉางก็ไม่ยอมดื่ม ข้าอยากดมกลิ่นเหล้าก็ยากซะเหลือเกิน” ไท่ซ่างหวงท่าทางดูคึกคักตื่นเต้นฉางกงกงที่รินเหล้าอยู่ด้านข้าง เทให้ไท่ซ่างหวงแก้วนึง หยวน ชิงหลิงยื่นมือไปรับไว้ ฉางกงกงได้กล่าวเตือนไท่ซ่างหวง “ดมอย่างเดียวนะพ่ะย่ะค่ะ”“ได้ดมก็ยังดี” ไท่ซ่างหวงสูดหายใจดมลึก ๆ สูดดมกลิ่นเหล้าผ่านทางจมูกช้า ๆ นึกถึงความรู้สึกเมื่อก่อนที่ดื่มเหล้าแล้ว รู้สึกเหมือนร่างกายลอยละล่องเลย“มา เจ้าดื่ม ข้าดม!” เขายกแก้วขึ้นชนแก้วกับ หยวน ชิงหลิง ไท่ซ่างหวงยกเหล้าเข้าปากตัวเอง “ทำไมเหล้ารสชาติเปลี่ยน? ทำไมรสชาติไม่กลมกล่อมเหมือนแต่ก่อน? บ่าวไพร่พวกนี
หยวน ชิงหลิงถูกพาส่งกลับตำหนักเฝิงอี้ นางกำนัลทั้งสองและลวี่หยาเห็นสภาพนางเป็นเช่นนั้น ต่างร้องตกใจออกมา นางข้าหลวงสี่ที่ยังตั้งสติกับเหตุการณ์นี้อยู่ได้ รีบสั่งให้ลวี่หยาไปเตรียมน้ำแกงสร่างเมามา หลังจากนั้นก็ไปถามเรื่องราวกับกู้ซือกู้ซือได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า “นางดื่มจนเมาที่พระตำหนักของไท่ซ่างหวง ทางนั้นให้ดื่มน้ำแกงสร่างเมาแล้วแต่ก็อาเจียนออกมาหมด”“ดื่มจนเมาที่พระตำหนักของไท่ซ่างหวง โอ้ยสวรรค์ เรื่องนี้ทำให้ไท่ซ่างหวงทรงกริ้วรึเปล่า?” นางข้าหลวงสี่อุทานด้วยความตกใจ“ทรงกริ้วหรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ฉางกงกงหน้าซีดเผือดเลย”“โธ่!” นางข้าหลวงสี่หันหน้าไปดู หยวน ชิงหลิงที่นั่งบนเตียง แม่นมฉีคิดจะให้นางนอนเอนหลังพักสักหน่อย นางจับมือไว้แล้ว “อย่าโดนข้า ข้าเวียนหัว!”“ใต้เท้ากู้ โปรดกลับไปก่อน ขอบคุณท่านแล้ว” นางข้าหลวงสี่กล่าวกู้ซือมอง หยวน ชิงหลิงหน้าแดงก่ำจนน่ากลัว ดวงตาก็แดง ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าก็หลุดลุ่ย สภาพน่าขายหน้ามาก“ขอตัวก่อน!” กู้ซือหันตัวออกไปไม่คิดเลยว่าการเฝ้าจับตาดูพระชายาฉู่ ที่เงียบสงบในวันธรรมดา พอเมาขึ้นมาจะโกรธอาละวาดได้น่ากลัวขนาดนี้ตอนที่เขาเพิ่งไ
หยวน ชิงหลิงเดินตัวลอย ๆ ปากก็บ่นงึมงัมไป “ลากข้าออกไปอีกแล้วเหรอ? ทำไมช่วงนี้ข้าโชคร้ายขนาดนี้? มาที่นี้ ก็โดนคนทำเหมือนข้าเป็นนักโทษ พวกเจ้ามาขอให้ข้าช่วยอีก”“เพคะ เพคะ!” ทั้งสองคนตอบรับอย่างเดียว ในใจรู้สึกสงสัยเหลือเกิน เกิดอะไรขึ้นกันแน่ทำไมพระชายาถึงเป็นเช่นนี้ ทำไมฉางกงกงให้นางดื่มมากขนาดนี้?ออกไปรับลมข้างนอกแล้ว หยวน ชิงหลิงไม่รู้สึกสบายขึ้นเลย แถมรู้สึกยิ่งโดนลมยิ่งเวียนหัว แต่ในใจกลับยิ่งรู้สึกฟุ้งซ่านมากขึ้นเรื่อย ๆในใจของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ ความโกรธทำให้เธอทุกข์กายทุกข์ใจ ทำไมไม่มีอะไรได้ดั่งใจสักอย่าง? อวี่ เหวินห่าวปฏิเสธเรื่องแต่งงานตัวเองก็พูดเองสิ ทำไมต้องเอาข้ามาเป็นโล่ด้วย? เห็นว่าจะรังแกกันได้ง่าย ๆ แบบนี้เลยเหรอ? ตอนนี้มีคนไม่น้อยจ้องจะเล่นงานเธอ เหมือนหัวเธอผูกไว้กับเข็มขัด รอแค่ว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาลากดึงไปช่างต้อยต่ำ ช่างต้อยไร้ค่า บัดซบสิ้นดี เธอท่องประโยคเหล่านี้ วน ๆ ซ้ำ ๆ ถ้าเธอจะตาย ยังไงก็ต้องฆ่าตัวต้นเหตุให้ได้ด้วยแรงจูงใจนี้ เธอจึงดึงดันจะเข้าไปในห้องครัวให้จงได้ ทั้งสองคนที่หิ้วพาอีกคนนึงเข้ามาอย่างทุลักทุเล เมื่อหันมาลวี่หยาตกใจแทบแย่ “พระ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม