แชร์

โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น
โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น
ผู้แต่ง: สั่งไม่หยุด

บทที่ 1  

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได

ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง!

หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน

กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก

โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ

——

ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข

ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น

สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย

ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปกว่าหรงจือจืออีกแล้ว!”

ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนเอ่ยเช่นนี้ สตรีบรรดาศักดิ์ท่านอื่นต่างพากันส่งเสียงชื่นชมออกมา อย่างคล่องปากทีเดียว

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร? นางหรงออกเรือนกับซื่อจื่อซิ่นหยางโหวมาสามปี จัดเตรียมพิธีสมรสให้น้องสาวสามีอย่างพร้อมพรัก และยังหาสะใภ้ผู้เพียบพร้อมให้น้องชายสามีด้วย แต่ละวันยังดูแลปรนนิบัติแม่สามีไม่ขาดตกบกพร่อง ยึดมั่นในความกตัญญูอย่างเคร่งครัด น่าเสียดายที่ตัวข้าด้อยวาสนา ไม่มีลูกสะใภ้ที่แสนดีเช่นนี้”

“แค่นั้นเสียที่ไหน? เรื่องที่ทำให้คนทั้งใต้หล้าสรรเสริญ คือเรื่องในตอนนั้นที่ซื่อจื่อซิ่นหยางโหวป่วยหนักต่างหาก แม้แต่หมอยังบอกว่าเขามีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วันแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าธิดาคนโตสายตรงตระกูลหรงคงจะเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นเองแน่ กลับคิดไม่ถึงว่าจือจือจะตัดสินใจเข้าพิธีสมรสอย่างไม่ลังเล หลังจากสมรสแล้วก็ไปคุกเข่าสามพันขั้นบันได เพื่อขอโอสถวิเศษมาจากปรมาจารย์ซื่อคง มาให้ซื่อจื่อใช้รักษาโรคร้าย ให้ความสำคัญกับความรักและความซื่อสัตย์เพียงนี้ บุรุษตระกูลใดเล่าได้ยินแล้วจะไม่รู้สึกอิจฉา?”

หรงจือจือที่เป็นตัวเอกของบทสนทนา อดทนข่มความรู้สึกกระวนกระวายในใจไว้อย่างยิ่งยวด ก่อนจะอมยิ้มและเอ่ยว่า “พระชายาและฮูหยินทุกท่านชื่นชมเกินไปแล้ว จือจือรับไว้ไม่ไหวจริง ๆ เจ้าค่ะ”

คำชื่นชมสรรเสริญเหล่านี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานางได้ยินมาตลอดไม่รู้กี่หนต่อกี่หนแล้ว ชื่อเสียงอันทรงคุณธรรมของนางขจรขจายไปทั่วทั้งแคว้นต้าฉีมานานมากแล้ว และด้วยเหตุผลนี้เอง ในเมืองหลวงจึงมีคำกล่าวไว้ด้วยว่า “ตระกูลหรงมีบุตรี ร้อยตระกูลต่างแย่งชิง”

ในตอนนี้เอง ชายาอ๋องเฉียนพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ “จือจือ จะว่าไปสามปีมานี้ ได้ยินว่าซื่อจื่อล้มป่วยนอนติดเตียงมาตลอด ข้ายังคิดว่า โอสถวิเศษที่เจ้าไปขอมานั้นไม่อาจช่วยรักษาซื่อจื่อให้หายดีได้ ได้แค่ประคองชีวิตไว้เท่านั้น”

“คิดไม่ถึงว่าซื่อจื่อจะหายป่วยนานแล้ว และแฝงตัวเข้าไปเป็นจารชนอยู่ที่แคว้นเจา บัดนี้ทำศึกได้ชัยชนะกลับมา และฝ่าบาทก็ทรงจัดพิธีเลี้ยงต้อนรับให้ด้วยพระองค์เอง ดูเหมือนว่าเจ้าจะใช้โอสถที่ว่านั่น ขจัดพิษลึกลับในตัวซื่อจื่อจนหายดีตั้งแต่ครั้งแรกแล้วใช่หรือไม่?”

หรงจือจือยิ้มพลางตอบกลับ “เป็นจริงเช่นนั้นเจ้าค่ะ!”

ชายาอ๋องเฉียนปรบมือและเอ่ยชื่นชม “เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาก! ฮูหยินซิ่นหยางโหว ข้าช่างรู้สึกอิจฉาท่านเสียจริง”

นางถานฮูหยินซิ่นหยางโหวผู้เป็นแม่สามีของหรงจือจือ หนนี้ก็ยิ้มกว้างเต็มใบหน้าเช่นกัน ดวงหน้าฉายประกายภูมิใจเหมือนได้รับเกียรติไปด้วย คว้ามือข้างหนึ่งของหรงจือจือมาลูบเบา ๆ “ตระกูลข้าได้ลูกสะใภ้ประเสริฐเช่นนี้ นับเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบุตรชายข้าจริง ๆ!”

และเป็นตอนนั้นเอง หรงจือจือค้นพบด้วยสายตาอันเฉียบแหลม ว่าฉีจื่อฟู่สามีของตนกำลังจะหยัดกายลุกขึ้นยืน

บัดนี้ลางสังหรณ์ไม่ดีเหล่านั้น ได้ทะยานมาถึงจุดสูงสุดแล้ว มืออีกข้างหนึ่งของหรงจือจือ เอื้อมไปกำชายแขนเสื้อของอีกฝ่ายไว้

ฉีจื่อฟู่ชะงักไป ผินศีรษะมองหรงจือจือปราดหนึ่ง คำว่ารู้สึกผิดถูกเขียนไว้เต็มใบหน้าหล่อเหลาและอ่อนโยนนั้น

หรงจือจือเห็นท่าทีแปลกประหลาดของเขา ลางสังหรณ์เลวร้ายในใจก็ยิ่งมีมากขึ้น นางรีบถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ท่านพี่ ท่านมีเรื่องอันใดจะเข้าไปทูลต่อฝ่าบาทหรือ? พวกเรากลับจวนไปหารือกันก่อนแล้วค่อยทูลต่อฝ่าบาทไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ?”

ทว่า ฉีจื่อฟู่ตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว ค่อย ๆ ดึงชายแขนเสื้อของตนเอง ออกมาจากกำมือของหรงจือจือทีละน้อย มิหนำซ้ำยังกดเสียงลงกระซิบบอกนางหนึ่งคำ “ข้าขอโทษ!”

จากนั้น ก็สาวเท้ายาวมุ่งหน้าไปกลางท้องพระโรง ด้วยสีหน้าไม่ยี่หระต่อความเป็นความตาย

เห็นเช่นนี้ หัวใจของหรงจือจือพลันเย็นวาบไปครึ่งหนึ่ง

ทุกคนต่างหยุดชะงักและมองไปที่เขา เห็นฉีจื่อฟู่เดินมากลางท้องพระโรงและคุกเข่าลง ทูลต่อฮ่องเต้หย่งอัน “ฝ่าบาท กระหม่อมมีเรื่องจะขอความเมตตาพ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้หย่งอันแม้วัยเพียงสิบสามชันษา แต่กลับมีความดุดันน่าเกรงขามอย่างที่ฮ่องเต้น้อยพึงมีแล้ว

ฮ่องเต้มองฉีจื่อฟู่ ก่อนตรัสด้วยเสียงผ่อนคลาย “ขุนนางฉีเป็นขุนนางผู้สร้างคุณูปการใหญ่หลวงของเรา หากมิใช่เพราะรายงานเหล่านั้นที่ส่งมาจากท่านแล้ว ท่านจอมพลหวังคงยากจะกำจัดแคว้นเจา และยึดเอาดินแดนกลับคืนสู่แผ่นดินของเรา ท่านมีเรื่องอันใด โปรดกล่าวมาเถิดอย่าได้เกรงใจ!”

ฉีจื่อฟู่พูดชัดถ้อยชัดคำ “ฝ่าบาท สามปีที่กระหม่อมแฝงตัวเข้าไปในแคว้นเจา ประสบวิกฤตินับครั้งไม่ถ้วน เมื่อสามเดือนก่อนเกือบต้องถึงแก่ชีวิต ทว่าเคราะห์ดีที่อวี้ม่านหวาองค์หญิงแคว้นเจาได้ช่วยชีวิตกระหม่อมไว้ กระหม่อมได้รับปากนางไว้แล้วว่าจะให้นางแต่งเข้ามาเป็นภรรยาเอก ขอฝ่าบาทโปรดเมตตาอนุญาตด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”

สิ้นวาจานี้ของเขา ทั่วทั้งท้องพระโรงต่างอึ้งงัน สายตาของคนจำนวนไม่น้อย จ้องมองมายังใบหน้าของหรงจือจือ

รอยยิ้มบนใบหน้าของหรงจือจือแข็งค้างไปทั้งแบบนั้น จิตใจที่เป็นกังวลบัดนี้ได้ตายไปโดยสมบูรณ์แล้ว นางรู้อยู่แล้วว่า สีหน้าของฉีจื่อฟู่ในวันนี้ดูแปลกพิกลยิ่งนัก จะต้องเกิดเรื่องไม่ดีกับตนเองขึ้นแน่ ๆ

เพียงแต่…จะสมรสภรรยาเอก ?

ความตั้งใจของเขา คือต้องการหย่าหรือ ?

ในตอนนี้เอง กลับเป็นผู้ตรวจการจางที่หมดความอดทนเป็นคนแรก ผุดลุกขึ้นยืนและถามขึ้นทันที “ไร้สาระ ซื่อจื่อซิ่นหยางโหว ท่านมีภรรยาเอกอยู่แล้ว แต่บัดนี้กลับบอกว่าต้องการสมรสภรรยาเอกอีก ท่านคิดจะเอาภรรยาเอกคนแรกของท่านไปไว้ที่ไหน?”

ฉีจื่อฟู่ตอบ “ฝ่าบาท แคว้นเจาแม้ว่าสิ้นเอกราชแล้ว ทว่าแคว้นเจาในอดีตยังมีอำนาจอีกหลายฝ่าย ที่ยังไม่สวามิภักดิ์ต่อดินแดนเรา กระหม่อมคิดว่าหากกระหม่อมสมรสกับองค์หญิงแห่งแคว้นเจา ดูแลนางอย่างดีแล้ว จะสามารถทำให้คนของแคว้นเจาในอดีตเห็นถึงความเมตตากรุณาของโอรสแห่งสวรรค์ และเกิดความคิดที่จะยอมสวามิภักดิ์ต่อดินแดนเราได้พ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นวาจานี้ของเขา เสนาบดีกรมโยธาธิการก็เอ่ยทันที “ถ้อยคำนี้มีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ!”

ฉีจื่อฟู่เอ่ยต่อทันที “แม้องค์หญิงจะเป็นองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช แต่ถึงอย่างไรก็เป็นดรุณีชนชั้นสูงผู้ทรงเกียรติ จะต้องสมรสให้เป็นภรรยาเอกเท่านั้น ส่วนจือจือนางสามารถเป็นอนุได้พ่ะย่ะค่ะ!”

ถึงแม้หรงจือจือจะเตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะกล้าบอกให้ตนเองซึ่งเป็นธิดาคนโตสายตรงของมหาราชครูผู้มีเกียรติ ไปเป็นอนุภรรยา นางใช้ชีวิตมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกโกรธจนอยากจะล้มฟุบลงไปให้ได้

แต่นางรู้ว่านางจะล้มลงไปไม่ได้เด็ดขาด!

หากว่านางล้มลงไป จนกลายเป็นที่ขบขันของทุกคนแล้ว สถานการณ์ของนางนับจากนี้ไป เกรงว่าจะต้องเป็นไปตามที่คนเหล่านี้อยากให้เป็นแน่

นางจิกฝ่ามือของตนเองแน่น ถึงจะเรียกความนิ่งสงบให้ตนเองได้ เพียงแต่แววตาคู่นั้นก็ค่อย ๆ เยือกเย็นลงทีละน้อยด้วยเช่นกัน

และในตอนนี้เอง ผู้ตรวจการจางกล่าวตำหนิด้วยโทสะขึ้นว่า “ซื่อจื่อซิ่นหยางโหว ท่านคงไม่ได้ลืมไปแล้วนะว่า ราชวงศ์ของเราไม่อนุญาตให้ลดขั้นภรรยาเอกเป็นอนุ! หากมีการกระทำเช่นนี้ จักต้องถูกตีด้วยไม้พลองเก้าสิบที และต้องคืนตำแหน่งภรรยาเอกให้กับภรรยาที่แท้จริง!”

กฎหมายแคว้นต้าฉี คุ้มครองสิทธิ์ของภรรยาโดยชอบธรรมอย่างถึงที่สุด วิธีการของฉีจื่อฟู่ นอกจากขัดต่อศีลธรรมคำสอนแล้ว ยังละเมิดกฎหมายของบ้านเมืองด้วย!

หรงจือจือเองก็จ้องเขม็งฉีจื่อฟู่เช่นนั้น นางอยากรู้ว่า อีกฝ่ายจะพูดอะไรออกมาเพื่อหักล้างกับผู้ตรวจการจาง

กลับคิดไม่ถึงว่า ฉีจื่อฟู่จะเอ่ยปากกล่าวว่า “ตัวข้าเองทราบดีว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เหมาะสม เพียงแต่จือจือมีคุณธรรม เพื่อความสุขสงบของครอบครัวแล้ว นางกล่าวว่าจะยอมเป็นอนุภรรยาด้วยความเต็มใจ และยกตำแหน่งภรรยาเอกให้องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”

สิ้นเสียงนั้นแล้ว เขาก็ส่งสายตาอ้อนวอน มองมาทางหรงจือจือ “จริงหรือไม่? จือจือ?”

หรงจือจือคิดไม่ถึงว่าเขาจะไร้ยางอายได้ถึงเพียงนี้ ถึงได้บอกว่านั่นเป็นคำขอร้องของนาง! ก่อนที่เขาจะเสียสติไปวันนี้ นางยังไม่รู้เรื่องระหว่างเขากับองค์หญิงแคว้นเจาอะไรนั่นด้วยซ้ำ!

ดี! เยี่ยม! ประเสริฐนัก!

ทั้งที่บุคคลผู้นี้คือสามีของนาง คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจจริง ๆ!

สายตาไม่อยากเชื่อว่าเป็นความจริงของทุกคน ล้วนแต่มองมาทางหรงจือจือ

แม้กระทั่งพระชายาอ๋องเฉียนยังทนไม่ไหวท้วงขึ้นหนึ่งประโยค “เด็กดี เจ้าต้องคิดให้รอบคอบก่อนนะ การเป็นภรรยาเอกกับการเป็นอนุนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากว่าเจ้าเป็นอนุแล้ว วันข้างหน้าเจ้ากับบุตรของเจ้าจะไม่สามารถออกหน้าออกตาได้ไปตลอดชีวิต!”

ฉีจื่อฟู่เอ่ยทันที “พระชายาโปรดวางใจ บุตรที่เกิดจากจือจือ ข้าน้อยจะดูแลเสมือนเป็นบุตรที่เกิดจากสายเลือดหลักแน่นอน! จือจือ เจ้ารีบพูดอะไรสักอย่างเถิด ไม่เช่นนั้นเกรงว่าผู้ตรวจการจางจะบอกว่าข้าปั้นเรื่องบิดเบือนความจริงต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ถือเป็นการหมิ่นเบื้องสูง!”

สิ้นวาจานั้น เขาก็ถลึงตาจ้องหรงจือจือ

นี่เขาจงใจจับหรงจือจือขึ้นย่างบนกองเพลิงชัด ๆ

หากไม่ยอมรับ เขาก็จะต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง หากทุกคนเห็นว่านางไม่ยืนหยัดปกป้องผลประโยชน์ของสามีตนเองในยามนี้แล้ว ก็จะเสื่อมเสียไปถึงชื่อเสียงของนาง แต่นั่นยังไม่เท่าไร หากว่าฝ่าบาททรงกริ้วเพราะโทษหลอกลวงเบื้องสูงแล้ว เกรงว่าทั้งตระกูลฉีรวมถึงตัวนางเอง จะต้องเผชิญกับโชคร้ายแน่

แต่ถ้าหากยอมรับ นางก็ต้องเป็นอนุ!

จากตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ ภรรยาเอกโดยชอบธรรมอันสูงส่งมีเกียรติ ต้องกลายมาเป็นอนุภรรยาที่ซื้อได้ขายได้ในแคว้นต้าฉี!
อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป
ความคิดเห็น (1)
goodnovel comment avatar
Maliwan Uthaipan
...ต่อค่ะกำลังสนุก
ดูความคิดเห็นทั้งหมด

บทที่เกี่ยวข้อง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 2  

    ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 3  

    ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 4  

    หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 5  

    หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 6  

    หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 7  

    นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 8  

    เจาซีได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ทว่าภายใต้ความขลาดกลัวและความดื้อรั้น ภายในใจกลับเกิดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาอย่างประหลาด ขณะที่กำลังคิดว่าในเมื่อฮูหยินจะตีตนเองให้ตายจริงแล้ว ก่อนที่นางจะต้องสิ้นใจตาย ต้องช่วยพูดเข้าข้างคุณหนูของตนเองสักสองประโยค กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหรงจือจือจะสืบเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว เอาตัวเข้าขวางหน้าเจาซีไว้ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องนาง เจาซีเห็นเงาแผ่นหลังบอบบางอ่อนแอของคุณหนู แต่กลับรู้สึกว่ากว้างใหญ่ไร้สิ่งใดเปรียบ ริมฝีปากของนางสั่นไหวเล็กน้อย ในดวงตากำลังรื้นคลอด้วยน้ำตา “คุณหนู…” บัดนี้ภายในใจของนางเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาจนจะตายให้ได้ คุณหนูคอยเตือนสตินางไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ให้เข้มแข็งหนักแน่น เงียบไว้อย่ามากวาจา เพราะด้วยฐานะของนางถึงอย่างไรแล้วก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ ถูกจับผิดง่าย แต่เหตุใดหนอตนเองถึงไม่รู้จักจำใส่หัวไว้บ้าง! นางหวังมองการกระทำของหรงจือจือ หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา พร้อมถากถางอย่างรังเกียจ “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เจ้าคิดจะอกตัญญูต่อมารดา เพียงเพื่อปกป้องบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่งหรือ?” หรงจือจือมิได้สนใจความเจ็บ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 9  

    หรงจือจือได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ก็มีแต่จะรู้สึกว่าน่าขัน เมื่อปีก่อนนั้นท่านย่ายังเคยท้วงว่าฉีจื่อฟู่เป็นเจ้าขี้โรค มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันแล้ว จะให้ตนเองแต่งเข้าไปได้อย่างไร? แต่เพราะท่านพ่อไม่ยอมให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรง ต้องกระทบกระเทือนเพราะทิ้งสัญญาหมั้นหมาย และท่านแม่เองก็ร้องไห้โวยวายว่าหากตนเองเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นแล้ว คนนอกคงไม่มีผู้ใดกล้ามาขอหมั้นหมายกับคุณหนูคนอื่นในสกุลหรงอีกแล้ว เพื่อวงศ์ตระกูล เพื่อบุพการีและบรรดาน้องหญิงทั้งหลายแล้ว นางจำต้องข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในใจ และเกลี้ยกล่อมให้ท่านย่ายอมให้ตนเป็นสะใภ้สกุลฉี บัดนี้บ้านสามีข่มเหงรังแกนางเพียงนี้ ท่านแม่มิเพียงไร้ซึ่งความเป็นห่วงเป็นใยนาง กลับบอกให้นางไปผูกคอตายด้วย ก่อนหน้านี้ความสุขชั่วชีวิตของนาง ยังไม่สำคัญเท่าพิธีสมรสของน้องหญิง บัดนี้แม้กระทั่งชีวิตของนาง ยังมิอาจยกมาเทียบเคียงกับพิธีสมรสของน้องหญิงได้อีกเหมือนเคย บัดนี้นางกลับรู้สึกไม่คุ้มค่าเลย ที่ไม่เคยให้คุณค่าตนเอง ภายใต้ความเหนื่อยล้า นางคร้านจะเอ่ยวาจาใดอีกแล้ว จึงพูดเพียงว่า “ท่านแม่พูดถูกทุกประการ เป็นลูกที่อก

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 276

    “ความจริงก่อนที่เจ้าจะไป นางคงคิดไว้แล้ว ว่าจะเป็นฝ่ายแบ่งยามาให้ข้าส่วนหนึ่งกระมัง?”เมื่อก่อนหรงจือจือมีของดีอะไร ก็มักจะนึกถึงน้องชายอย่างตนเองคนนี้อยู่เสมอ และไม่ว่าตนเองจะต้องการหรือไม่ นางล้วนหยิบยื่น แล้วถือมันออกมาไว้ด้านหน้าตนเองแต่ก็เพราะเหตุผลนี้ เขาจึงเกลียดนางมากยิ่งขึ้นอวี้เล่อ “คุณชายรอง เช่นนั้นรอคุณหนูสามกลับมาก่อน แล้วข้าน้อยจะเล่าให้ฟังเป็นการส่วนตัวดีหรือไม่ขอรับ?”บุรุษล้วนต้องการรักษาหน้า เขาเชื่อว่าคุณชายรองในฐานะพี่ชาย คงไม่อยากขายหน้าต่อหน้าคุณหนูสาม อย่างไรก็ตามหรงซื่อเจ๋อกลับขมวดคิ้วแน่น “เจียวเจียวเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้า มีคำพูดใดที่ต้องหลบเลี่ยงนางด้วยหรือ? เจ้าพูดมาตรง ๆ เลยจะดีกว่า!”อวี้เล่อกัดฟัน และทำได้เพียงบอกหรงซื่อเจ๋อทุกอย่าง ถึงสิ่งที่หรงจือจือเพิ่งพูดออกมาหลังหรงซื่อเจ๋อฟังจบ ก็โกรธมากแทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่!เขากล่าวด้วยสีหน้าทมึงทึงว่า “ที่เจ้าเล่ามาทั้งหมด หรงจือจือเป็นคนพูดหรือ?”อวี้เล่อกล่าวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย “จริงแท้แน่นอนขอรับ หรือว่าบ่าวยังจะกล้าโกหกท่านอีกหรือ? ตอนนั้นคุณหนูใหญ่บอกว่าท่านทำเรื่องน่าอายแต่ก็ยังหยิ่งยโส จ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 275

    อวี้หมัวมัวอยู่ข้างกายหรงจือจือมาหลายปี นางเคยช่วยเหลือคนไม่น้อย แต่พวกที่ไร้ความสำนึกอย่างสาวใช้จ้าว แถมยังกล้าตะโกนโวยวาย นับว่าพบเจอได้น้อยเต็มทีหรงจือจือหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร ข้าคาดไว้อยู่แล้วว่านางต้องเป็นเช่นนี้ นางไม่เพียงแค่ทำเช่นนี้หรอก ข้าว่านางคงจะเอาเรื่องนี้ไปบอกฮูหยินหรง เพื่อแสดงความจงรักภักดีด้วยเป็นแน่”เจาซีร้อนใจ “คุณหนู เช่นนั้นพวกเราจะไม่ทำงานเสียแรงเปล่าหรือเจ้าคะ?”หรงจือจือยิ้มบาง “ทำไมถึงคิดเช่นนั้น?”นางไม่ได้อธิบายอะไรมาก เพียงแค่สั่งอวี้หมัวมัว “ไปหาคนสักสองสามคน ไปสร้างปัญหาให้พี่ชายของสาวใช้จ้าวสักหน่อย ให้เขาไปทวงเงินจากนางสองสามรอบ”อวี้หมัวมัวพยักหน้ารับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”......ในเรือนของหรงซื่อเจ๋อ เวลานี้ใบหน้าของหรงเจียวเจียวเต็มไปด้วยความคาดหวังและกังวล “พี่ใหญ่ ท่านว่าหรงจือจือจะยอมให้ยากับพวกเราหรือไม่?”นางให้ฝานซิงไปสืบเรื่องนี้มา พอรู้ความก็มาหาหรงซื่อเจ๋อทันที ขอให้เขาช่วยไปขอยาจากหรงจือจือให้ตนหรงซื่อเจ๋อแค่นเสียงเย็นชา “วางใจเถอะ ในเมื่อข้าเป็นคนเอ่ยปาก นางย่อมต้องให้”หรงเจียวเจียวยิ้มกว้างจนเต็มหน้า “พี่ใหญ่ช่างดีกับข้าจริงๆ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 274

    หรงจือจือเลิกคิ้ว คาดไม่ถึงว่าพ่อบุญธรรมเพิ่งมาถึงได้ไม่นาน ก็ถูกพวกเขาหมายตายาเสียแล้วอวี้เล่อเห็นนางยังนิ่งเฉย จึงรีบเร่งเร้าอีกครั้ง “คุณหนูใหญ่ ท่านรีบหน่อยเถิด คุณชายรองกับคุณหนูสามยังรออยู่”“หากคุณชายรองรอจนหงุดหงิดขึ้นมา ก็ยิ่งจะไม่เห็นหัวพี่สาวอย่างท่านเข้าไปใหญ่ ท่านอย่าหาว่าข้าไม่เตือนก็แล้วกัน”หรงจือจือฟังจบ ก็หัวเราะเย็นชา “พูดจบแล้วหรือยัง?”อวี้เล่อมองใบหน้านิ่งสงบของนาง ไม่เห็นแม้แต่เงาของความกังวล รู้สึกแปลกใจไม่น้อย “คุณหนูใหญ่ ท่านไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ?”หรงจือจือยิ้มบาง “ได้ยินชัดเจนดี กลับไปบอกเจ้านายของเจ้าว่า ยานี่เป็นของพ่อบุญธรรมที่ให้ข้า ข้าไม่คิดที่จะแบ่งให้พวกเขา”อวี้เล่ออึ้งไปครู่หนึ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “คุณหนูใหญ่ ท่านพูดจริงหรือ? คุณชายรองแทบไม่เคยสนใจสิ่งใดจากท่านเลยนะ ครั้งนี้เขายอมเอ่ยปากขอด้วยตัวเอง ท่านกลับไม่ยอมคว้าโอกาสนี้ไว้หรือ?”ก่อนหน้านี้ตอนขอชุดผีเสื้อ ก็เป็นเพราะคุณหนูสามอยากได้ แต่ครั้งนี้คุณชายรองเอ่ยเองแท้ๆ ทำไมคุณหนูใหญ่ยังทำท่าทีแบบเดิม?หรงจือจือ นึกไม่ออกจริงๆ ว่าท่าทางวางอำนาจของอวี้เล่อนั้นมาจากไหนอ้อ... ห

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 273

    ฮ่องเต้หย่งอัน “เจ้าจะรีบร้อนไปใย? ข้ายังพูดไม่ทันจบ! หากนางไม่ดีต่อท่านอัครเสนาบดี ข้าจะเรียกนางเข้าวังทุกวัน ให้มานั่งฟังเราพร่ำเพ้อถึงความดีงามของท่านอัครเสนาบดีสักชั่วยาม!”“ข้าจะทำให้นางเบื่อหน่ายจนทนไม่ไหว! ไม่ช้าก็เร็ว นางจะต้องรู้ตัวว่าคิดผิด!”เขาไม่ได้โง่เขลา เห็นอยู่ว่าท่านอัครเสนาบดี ปักใจรักมั่นเพียงนาง หากยังไปรังควานหรงจือจืออีก นั่นไม่เท่ากับทำลายความสัมพันธ์พ่อลูกกับท่านอัครเสนาบดีหรือ?ขันทีอาวุโสหยาง “...”ฝ่าบาท ช่างไม่เสียทีที่เป็นท่าน คิดแผนข่มขู่ได้ร้ายกาจและรุนแรงถึงเพียงนี้!......นางกำนัลเฉินพำนักอยู่ที่จวนตระกูลหรงได้หลายวันแล้ว ฝ่ายนางหวังและหรงเจียวเจียวต่างเฝ้ารอข่าวดีว่าหรงจือจือจะถูกลงทัณฑ์ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไร้วี่แววกลับกลายเป็นว่ามีข่าวหมอเทวดาเดินทางมาเยือนถึงจวน เพื่อขอพบหรงจือจือหรงเจียวเจียวจึงรีบส่งฝานซิงไปสืบข่าวทันทีหรงจือจือไปยังโถงด้านหน้า เมื่อพบหน้าหมอเทวดา ก็ทำความเคารพพลางเอ่ยถาม “ท่านพ่อบุญธรรม ช่วงนี้ท่านสบายดีหรือไม่?"หมอเทวดายิ้มรับ “ได้ยินว่านางถานตายแล้ว ตระกูลฉีก็ล่มสลายไม่เหลือชิ้นดี เช่นนี้แล้วข้าจะมีเรื่องอะไรให้ไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 272

    ฮ่องเต้หย่งอันตรัสต่อ “คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลหรง ก็งามล่มเมืองสมคำร่ำลือ คิดไม่ถึงว่าท่านอัครมหาเสนาบดี ผู้เคร่งขรึม ก็ยังมิอาจผ่านด่านความงามของสตรีไปได้เฮอะ ทีตัวเองยังห้ามไม่ให้ข้าอ่านนิยายรัก แต่ในสมองของท่านอัครมหาเสนาบดีเองก็มีแต่เรื่องรักใคร่ไม่ต่างกัน วันนี้ขอพระราชทานบรรดาศักดิ์ให้เป็นท่านหญิง พรุ่งนี้ยอมเอาตัวรับดาบแทน มะรืนนี้นอนป่วยจนลุกไม่ขึ้น แต่ก็ยังไม่วายเรียกข้าไปช่วยหนุนหลังให้หรงจือจืออีก ท่านอัครมหาเสนาบดี นี่ช่างลำบากจริงๆ“ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว ว่าทำไมท่านอัครมหาเสนาบดี ถึงพร่ำสอนข้าอยู่เสมอ ให้ข้าเตรียมตัวว่าราชการเองโดยเร็ว ให้ข้ามุ่งมั่นกับกิจการบ้านเมืองเป็นหลัก”“ที่แท้ก็เพราะเขารู้ตัวว่าหัวสมองของตัวเองถูกความรักครอบงำไปหมดแล้ว จึงคิดว่าต้าฉี่ยังต้องพึ่งพาข้าอยู่”ก่อนหน้านี้ ตอนที่เห็นอัครเสนาบดีร้องขอให้พระราชทานบรรดาศักดิ์ท่านหญิง เขาก็พอสงสัยอยู่แล้วว่า พวงมาลัยดอกไม้ที่ท่านอัครเสนาบดีนำมา คงเตรียมไว้สำหรับหรงจือจือโดยเฉพาะ มีแต่สีสุภาพเรียบง่าย เหมาะเจาะกับฐานะของหรงจือจือที่กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์อย่างพอดิบพอดีวันนี้ ฮ่องเต้ทรงแน่พระทัยแล้วว่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 271

    “หากหรงจือจือทำอะไรไม่เหมาะสมขึ้นมา ก็คงหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกตบสักสองสามฉาด ไม่ต้องให้พวกเราลงมือด้วยซ้ำ ข้าว่าแค่รอให้คนอื่นลงมือ หน้าของนางก็คงบวมจนเหมือนหัวหมูแล้ว!”นางหวังเคยคิดอยู่เหมือนกันว่า นางกำนัลเฉินอาจจะออกหน้าปกป้องหรงจือจือ แต่พอมาคิดอีกที อีกฝ่ายมีเหตุผลอะไรถึงต้องออกตัวเพื่อหรงจือจือด้วยเล่า?หรงจือจือแทบไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับไทเฮาหรือฝ่าบาทเลยดังนั้น นางกำนัลเฉินคนนั้น ก็คงเป็นแค่พวกหัวโบราณที่เคร่งกฎเกณฑ์ไปเองเท่านั้นหรงเจียวเจียวได้ยินดังนั้น ก็เผยสีหน้าตื่นเต้นยินดี “ข้ารู้อยู่แล้วว่าหรงจือจือไม่มีทางตั้งตัวในวงสังคมได้ นางไม่คู่ควรกับตำแหน่งท่านหญิง ไทเฮาเองก็คงคิดเช่นเดียวกัน ถึงได้ส่งคนมาขัดเกลานางเช่นนี้!”“เดี๋ยวนะ! บางทีท่านอัครมหาเสนาบดี อาจจะรู้เรื่องที่นางเคยหยามข้าที่หน้าประตูเมื่อวันก่อน บังคับให้ข้าไปเป็นภรรยารองของตระกูลฉี เพื่อช่วยข้าระบายความแค้น ท่านพ่อถึงได้ส่งนางกำนัลเฉินมาจัดการนาง!”นางหวังได้ยินแล้วก็ถึงกับตาโต ทำสีหน้าราวกับเพิ่งเข้าใจทุกอย่าง “หากเจ้าพูดเช่นนี้ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”หรงเจียวเจียวแค่นเสียงเยาะเย้ย “หึ! คิดจะเป็

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 270

    ครั้นนางกำนัลเฉินได้ยินดังนั้น ก็ยิ้มอ่อน ๆ พลางมองไปที่นางหวัง “ไม่ทราบว่าฮูหยินเป็นฮูหยินตราตั้งขั้นสูงขั้นไหนหรือเจ้าคะ?”นางหวังอึ้งไปครู่หนึ่ง รู้สึกขวยเขินอยู่เล็กน้อย “เพราะท่านพี่เขากตัญญูกตเวที ก่อนหน้านี้เคยมีโอกาสขอพระราชทานแต่งตั้งฮูหยินตราตั้งขั้นสูงคราหนึ่ง แต่ว่าท่านพี่ให้ท่านแม่สามีไป”“แต่คิดว่ารอท่านพี่กลับราชสำนักแล้ว มีโอกาสต้องขอพระราชทานแต่งตั้งให้ข้าแน่...”ที่นางกล่าวเช่นนี้ ย่อมเพื่อกู้หน้าตัวเองกลับมาอยู่แล้วทว่านางกำนัลเฉินกลับจี้จุดสำคัญออกมา “พูดเช่นนี้ ฮูหยินไม่มีตำแหน่งฮูหยินตราตั้งขั้นสูงแล้ว?”นางหวังกัดฟัน ก่อนจะตอบกลับอย่างอิหลักอิเหลื่อ “ตอนนี้ไม่มีจริง ๆ”นางกำนัลเฉินสีหน้าราบเรียบ กล่าวว่า “ในเมื่อฮูหยินมิได้มีฐานะอะไร แล้วมีคุณสมบัติอะไรมาตบปากท่านหญิงของเราจนบวมหรือ?”นางหวัง “ข้า...ข้าเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของนาง ตบตีนางไม่ได้หรือ?”สีหน้าของนางกำนัลเฉินเคร่งขรึม “ฮูหยินเจ้าคะ ที่เรียกว่าภักดีกตัญญูมีมารยาท เหตุใดความภักดีถึงมาก่อนความกตัญญูกันเล่า? ย่อมเป็นเพราะภักดีต่อฝ่าบาทรักชาติ สำคัญกว่าความกตัญญูอย่างไรล่ะ”“ฝ่าบาทเป็นผู้แต่งตั้งตำ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 269

    นางเองก็เริ่มครุ่นคิดเช่นกัน นางกำนัลเฉินหมายความว่าอย่างไร? ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ตนไม่ได้ตอบตกลงที่จะอยู่กับชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนและจีอู๋เหิง นางเซี่ยก็ไม่น่าจะไปขอให้ไทเฮาล้างแค้นตนสิถึงจะถูกฉะนั้นวันนี้มาจากไหนกัน?นางกำนัลเฉินกล่าวต่อ “ตอนนี้ฐานะของท่านหญิงสูงศักดิ์ ไม่ใช่คุณหนูที่ยังครองโสดธรรมดา ๆ แล้ว การกระทำของท่าน ล้วนต้องให้ความสำคัญกับหน้าตาของตำแหน่งท่านหญิง จะทำให้ต้าฉีของเราขายขี้หน้าไม่ได้”หรงจือจือ “นี่ย่อมแน่นอนอยู่แล้วเจ้าค่ะ!”นางหวังได้ยินหรงจือจือถูกอบรมสั่งสอน ก็สบายใจขึ้นมาเปลาะหนึ่ง นังคนชั้นต่ำผู้นี้ ปกติตอนที่ตนด่านาง มักจะชอบโต้เถียง วันนี้ในที่สุดก็นับว่ามีคนที่พูดแทนแล้ว นางคงเถียงไม่ออกแล้วสิ?นางกำนัลเฉิน “ในเมื่อท่านหญิงรู้แล้ว ก็ห้ามให้ผู้ใดก็ได้มาเต้นเร่า ๆ อยู่ตรงหน้าท่านเป็นอันขาด”“บางคนไม่รู้จักเคารพท่าน ควรตบตีก็ตบตี ควรด่าก็ด่า แม้จะเป็นคนในครอบครัว ก็ห้ามปล่อยไปตามอำเภอใจเด็ดขาด!”นางหวัง “?”เหตุใดประโยคนี้ฟังดูแล้วทะแม่ง ๆ อยู่หน่อย ๆ นะ?หรงจือจือตอบสนองอะไรบางอย่างกลับมา นางฉีกยิ้มพลางกล่าว “นางกำนัลเฉินพูดถูกเจ้าค่ะ”นางกำนัลเฉิน

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 268

    ไม่ว่าเขาจะมาทำไม ก็ไม่ใช่สิ่งที่นางหวังเมินเฉยได้นางรีบลุกขึ้นเดินออกไป พร้อมกับพูดทิ้งท้ายกับหรงเจียวเจียวว่า “เจ้ารักษาแผลดี ๆ ไป ทำใจกว้าง ๆ หน่อย ยังเป็นเช่นนั้น หรงจือจือได้ใจไม่ได้กี่วันหรอก”พูดจบก็เดินออกไปหรงเจียวเจียวครุ่นคิด ก่อนจะกล่าวกับสาวใช้ข้างกายตนว่า “ฝานซิง เจ้าออกไปดูหน่อย ดูว่าคนในวังมาทำไม จะแต่งตั้งข้าเป็นท่านหญิงใช่หรือไม่”ไม่แน่ว่าท้ายที่สุดท่านเสนาบดีจะคิดได้แล้วว่า การที่พี่หญิงเป็นท่านหญิง คอยกดหัวตน ไม่ดีกับตนจริง ๆ จะทำให้ตนไม่มีหน้ามีตาฉะนั้นจึงขอพระราชทานแต่งตั้งให้ตนเป็นท่านหญิง หากเขาตามีแววเช่นนี้จริง ๆ ตนก็จะให้อภัยเรื่องที่ก่อนหน้านี้เขาคิดไม่รอบคอบ แต่งตั้งตำแหน่งให้หรงจือจือ!ฝานซิงรีบตอบกลับ “บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ คุณหนูอย่าเพิ่งร้อนใจไปนะเจ้าคะ เป็นของของคุณหนู อย่างไรก็หนีไม่พ้น! ไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้เป็นท่านหญิงหรือไม่ วันข้างหน้าคุณหนูก็จะแต่งงานกับท่านเสนาบดีแล้ว ไม่แน่ว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งให้คุณหนูเป็นฮูหยินแห่งแคว้นขั้นหนึ่ง ขอให้คุณหนูได้เป็นเช่นมารดาบุญธรรม”หรงเจียวเจียวเขินอายจนหน้าแดงไปหมดฝานซิงรีบออกไปในตอนนี้ มหาราช

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status