Share

บทที่ 9  

Author: สั่งไม่หยุด
หรงจือจือได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ก็มีแต่จะรู้สึกว่าน่าขัน เมื่อปีก่อนนั้นท่านย่ายังเคยท้วงว่าฉีจื่อฟู่เป็นเจ้าขี้โรค มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันแล้ว จะให้ตนเองแต่งเข้าไปได้อย่างไร?

แต่เพราะท่านพ่อไม่ยอมให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรง ต้องกระทบกระเทือนเพราะทิ้งสัญญาหมั้นหมาย และท่านแม่เองก็ร้องไห้โวยวายว่าหากตนเองเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นแล้ว คนนอกคงไม่มีผู้ใดกล้ามาขอหมั้นหมายกับคุณหนูคนอื่นในสกุลหรงอีกแล้ว

เพื่อวงศ์ตระกูล เพื่อบุพการีและบรรดาน้องหญิงทั้งหลายแล้ว นางจำต้องข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในใจ และเกลี้ยกล่อมให้ท่านย่ายอมให้ตนเป็นสะใภ้สกุลฉี

บัดนี้บ้านสามีข่มเหงรังแกนางเพียงนี้ ท่านแม่มิเพียงไร้ซึ่งความเป็นห่วงเป็นใยนาง กลับบอกให้นางไปผูกคอตายด้วย

ก่อนหน้านี้ความสุขชั่วชีวิตของนาง ยังไม่สำคัญเท่าพิธีสมรสของน้องหญิง บัดนี้แม้กระทั่งชีวิตของนาง ยังมิอาจยกมาเทียบเคียงกับพิธีสมรสของน้องหญิงได้อีกเหมือนเคย

บัดนี้นางกลับรู้สึกไม่คุ้มค่าเลย ที่ไม่เคยให้คุณค่าตนเอง

ภายใต้ความเหนื่อยล้า นางคร้านจะเอ่ยวาจาใดอีกแล้ว จึงพูดเพียงว่า “ท่านแม่พูดถูกทุกประการ เป็นลูกที่อกตัญญู กลับยังกล้ามีชีวิตอยู่แบบนี้ ทำให้ท่านแม่ผิดหวังแล้วจริง ๆ”

นางหวัง : “เจ้า…เจ้าพูดออกมาได้อย่างไร?”

ถ้อยคำนี้กลับสะท้อนให้มารดาอย่างนาง ดูไร้ซึ่งความเมตตาได้อย่างถึงที่สุด

หรงเจียวเจียวรีบเอ่ยขึ้นทันที “ท่านแม่ โปรดระงับโทสะเจ้าค่ะ! พี่หญิงนางก็โตมาด้วยการเลี้ยงดูของท่านย่า ไม่ให้ความเคารพท่าน นั่นก็เป็นเพราะมีท่านย่าคอยหนุนหลัง ท่านโกรธไปจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาหรือเจ้าค่ะ?”

“ท่านแม่ ท่านต้องเป็นห่วงตนเองด้วยสิเจ้าค่ะ อย่าให้ความโกรธไร้สาระนี้ทำให้ร่างกายของตัวท่านเองทรุดลงเลยเจ้าค่ะ ต่อให้พี่หญิงไม่สงสารท่าน แต่ลูกสงสารและรักท่านสุดดวงใจเจ้าค่ะ”

นางหวังจงเกลียดจงชังหรงจือจืออยู่เป็นทุนเดิม กอปรกับการยุยงบ่อยครั้งของหรงเจียวเจียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ความรู้สึกเกลียดชังเหล่านั้นนับวันยิ่งทวีคูณ

นางหวังฟังจบแล้ว ก็แค่นเสียงหัวเราะเย็นเยียบออกมา ถลึงตาจ้องหรงจือจือพลางตะคอกใส่ “ใช่สิ! อย่างข้าจะจัดการเจ้าไหวที่ไหน เจ้ามีนายหญิงใหญ่คอยหนุนหลังอยู่แล้วนี่ ในสายตาของเจ้าไม่เคยมีมารดาอย่างข้าคนนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”

หรงจือจือไม่ส่งเสียง

ในสายตาของนางไม่เคยมีมารดาอยู่มาตั้งแต่ไหนแต่ไรหรือ? ไม่ใช่เลย แต่กลับกันต่างหาก ตั้งแต่เล็กจนโต นางคิดหาหนทางนับไม่ถ้วน เพื่อจะเอาอกเอาใจทำให้ท่านแม่มีความสุข

ทว่าสายตาที่ท่านแม่มองนางกลับมีแต่ความจงเกลียดจงชัง จะบอกว่าเหมือนมองศัตรูก็มิได้เกินไปเลย

แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าตนจะพูดอะไร ท่านแม่ก็ไม่เคยเชื่อ ทว่าในตอนที่น้องหญิงพูดกลับดำเป็นขาว ขยับปากพูดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ท่านแม่กลับเชื่ออย่างสุดหัวใจแล้ว

หลายปีที่ผ่านมานางต้องทนกล้ำกลืนกับความไม่เป็นธรรมไปแล้วไม่รู้กี่มากน้อย ถูกตบหน้าอย่างไร้เหตุผลไปไม่รู้กี่ครั้งกี่หน

จนสุดท้ายก็เป็นท่านย่าที่เข้ามาปลอบโยนนาง บอกว่าบางคนเกิดมามีวาสนากับมารดาผู้ให้กำเนิดเพียงเบาบาง เรื่องนี้จะฝืนบังคับกันก็ไม่ได้ หลังจากนางสะอึกสะอื้นร่ำไห้ในอ้อมอกของท่านย่าแล้ว จากนั้นก็ไม่พยายามเข้าใกล้ท่านแม่อีก ถึงขั้นเดินเลี่ยงท่านแม่กับน้องหญิงด้วยซ้ำไป

เพื่อไม่ให้ตนเองถูกตบหน้าอย่างไร้เหตุผลตามอำเภอใจอีก

และแม้ว่าจะออกเรือนแล้วสามปี แต่กลับมาวันนี้ก็ยังคงเป็นเหมือนเช่นเคย ใช่หรือที่ในสายตาของนางไม่เคยมีท่านแม่อยู่? แต่เป็นท่านแม่ต่างหากที่ไม่เคยจะยอมรับนางเลย

นางหวังเห็นว่าตนเองพูดจบแล้ว แต่หรงจือจือยังไม่ลุกขึ้นมาขอโทษทันที มิหนำซ้ำยังไม่พยายามหาคำพูดมาปลอบใจตนเองสักคำ โทสะในใจของนางบัดนี้เดือดระอุถึงขีดสุดแล้ว หมายความว่าอะไร? หรือนี่คือการยอมรับโดยปริยายแล้วว่านางไม่เคยเห็นตนเองมีความสำคัญจริง ๆ?

นางจวนจะบันดาลโทสะออกมาแล้ว

ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังมาจากด้านนอก เป็นท่านมหาราชครูหรงที่สืบเท้ายาว ๆ เดินเข้ามา

นางหวังร้องทักทันที “ท่านพี่!”

หรงจือจือและหรงเจียวเจียวเองก็ยอบกายคารวะเช่นกัน “คารวะท่านพ่อ!”

มหาราชครูหรงบัดนี้ใกล้วัยสี่สิบแล้ว ทว่ามองไปแล้วลักษณะคล้ายคนวัยเพียงสามสิบเท่านั้น หล่อเหลาคมคายถึงที่สุด เมื่อยี่สิบปีก่อนยังได้รับยกย่องว่าเป็นบุรุษรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางหวังเป็นพวกคลั่งไคล้รูปโฉมหน้าตาที่สุด ตั้งแต่แรกพบก็หลงรักมหาราชครูหรงจนแทบเป็นแทบตายให้ได้

ในปีนั้น นางเจียงเองก็ชมชอบมหาราชครูหรงเช่นกัน อีกฝ่ายเป็นถึงพระธิดาขององค์หญิงใหญ่อวี๋หยาง นางหวังด้วยความกลัวว่าจะเสียมหาราชครูหรงไป จึงหยิบมีดแทงอีกฝ่าย โดยไม่สนแม้กระทั่งชื่อเสียงของตนเอง

พร้อมประกาศศักดาว่าหากตนเองไม่ตาย นางเจียงก็ต้องตาย จนนางเจียงคิดว่านางคลุ้มคลั่งเสียสติไปแล้ว

อัครมหาเสนาบดีหวังที่บัดนี้ปลดเกษียณราชการไปแล้ว ทว่าเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนยังมีอิทธิพลอำนาจอย่างมากในราชสำนัก และนางหวังก็เป็นบุตรีเพียงคนเดียวของเขา ในตอนนั้นนางเจียงก็ไม่สามารถสังหารนางหวังได้ด้วย

จริงดังคำกล่าวที่ว่า ไม่กลัวโจรขโมย ก็ต้องกลัวโจรจ้องคิดถึง เมื่อได้ลองใคร่ครวญแล้วก็บอกแน่ชัดไม่ได้ว่าจะถูกนางหวังแทงเมื่อใด ดังนั้นนางเจียงจึงรีบออกเรือนกับเสนาบดีกรมพิธีการคนปัจจุบันแทน

ระหว่างชีวิตกับคู่ครองเข้าพิธีวิวาห์ สิ่งใดสำคัญกว่า นางเจียงย่อมแยกแยะได้ชัดเจน ทว่านางเจียงและนางหวังก็ไม่ลงรอยกันนานหลายปีด้วยเหตุผลประการนี้

ส่วนนางหวังที่แย่งสามีมาได้สำเร็จ ก็คอยเอาอกเอาใจมหาราชครูหรงไม่รู้หน่าย หนนี้ก็รีบรินน้ำชาส่งให้เขาพลางเอ่ยว่า “ท่านพี่ วันนี้อากาศหนาวมาก ท่านอบอุ่นร่างกายก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”

มหาราชครูหรงรับถ้วยน้ำชามาก็จิบน้ำชาหนึ่งคำ “ขอบใจฮูหยินยิ่งนัก ต้องลำบากฮูหยินแล้ว!”

เรื่องที่ฮูหยินคนนี้ของเขา ไม่สนชื่อเสียงเกียรติยศของดรุณีผู้สูงศักดิ์ หยิบมีดไปข่มขู่ผู้อื่นในตอนนั้น ทำให้มหาราชครูหรงที่ยึดถือกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดมาตลอดไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่กระนั้นก็ต้องยอมรับว่าหลังจากที่อีกฝ่ายแต่งกับตนเองแล้ว ก็คอยเอาอกเอาใจดูแลตนเองอย่างดีที่สุด ไม่รังเกียจที่ตนเองในตอนนั้นยากจนข้นแค้น และต้องสมรสกับตนเองที่มีฐานะต่ำต้อยกว่า ฉะนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองสามีภรรยา ก็นับว่าต่างฝ่ายต่างเอื้อเฟื้อให้เกียรติกันและกันอย่างดี

ในตอนนี้เองหรงเจียวเจียวก็เอ่ยปากขึ้นว่า “ท่านพ่อ ท่านยังทราบว่าท่านแม่ต้องลำบาก ผิดกับพี่หญิง แม้แต่ใจที่จะกตัญญูยังไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว!”

“แค่นางกลับมาถึง ก็ทำให้ท่านแม่โกรธจนเจ็บปวดหัวใจแล้ว ท่านแม่พร่ำพูดพร่ำบอกเท่าใดนางก็ไม่รับฟัง ด่าแล้วด่าอีกอย่างไรนางก็ไม่สะทกสะท้าน นางเอาแต่ยกท่านย่ามาข่มขู่ท่านแม่ไม่หยุดเจ้าค่ะ!”

“นางก็แค่เห็นท่านแม่กตัญญูรู้คุณผู้อาวุโส ถึงได้กล้าขู่เข็ญท่านแม่! ท่านต้องอบรมสั่งสอนพี่หญิงบ้าง ให้ท่านแม่ได้เบาใจคลายโทสะบ้างถึงจะถูก!”

มหาราชครูหรงได้ยินดังนั้น ก็มองหรงจือจือที่กำลังยืนก้มหน้าก้มตาอยู่อีกด้านหนึ่ง “เป็นเช่นนั้นจริงหรือ?”

นางหวังเอ่ยขึ้นด้วยความหงุดหงิด “ไม่ใช่แค่นั้น! นางยังบอกว่าจะไปอาละวาดก่อความวุ่นวายด้านนอกด้วย เพื่อทำลายพิธีสมรสของน้องหญิงของนาง และคุณหนูคนอื่นในสกุลหรงให้ย่อยยับด้วยเจ้าค่ะ จือจือถูกท่านแม่อบรมสั่งสอนมาตลอด จึงไม่เคยมีข้าอยู่ในใจ แต่กระนั้นย่อมให้อภัยกันได้ เพียงแต่ท่านพี่…”

ทว่าในตอนนี้ มหาราชครูหรงมองเห็นรอยฝ่ามือที่ประทับอยู่บนใบหน้าของหรงจือจือแล้ว

เขาตัดบทนางหวังทันที เอ่ยอย่างไม่พอใจว่า “รอยฝ่ามือบนใบหน้าเจ้ามันเรื่องอะไรกัน? หรือเจ้าเด็กสกุลฉีนั่น ยังกล้าลงไม้ลงมือกับเจ้าด้วย?”

มหาราชครูหรงยอมรับไม่ได้เด็ดขาด มิใช่การที่หรงจือจือถูกสกุลฉีตบตีทำร้าย ทว่าสิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ คือการที่บุตรีของเขาหรงม่อชิงถูกคนนอกตบตีทำร้ายต่างหาก!

แบบนี้ใช่ตบหน้านางที่ไหน แต่กำลังตบหน้าหยามเกียรติตนเองอยู่ต่างหาก!

นางหวังได้ยินวาจานี้ ก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน : “คือว่า ท่านพี่…เมื่อครู่เพราะนางพูดจาต่ำช้าหยาบคาย ข้าจึงบันดาลโทสะตบสั่งสอนนางไปเจ้าค่ะ!”

ได้ยินนางหวังเอ่ยเช่นนี้ ไฟโทสะของมหาราชครูหรงค่อยสงบลงมาเล็กน้อย

กระนั้นแล้วเขาก็ยังผินศีรษะไป จ้องมองนางหวังอย่างไม่สบอารมณ์สุดขีด “เจ้าเลอะเลือนไปแล้วหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าท่านแม่กำลังป่วย?”

“แต่ไหนแต่ไรท่านแม่ทั้งรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากที่สุด ประเดี๋ยวหากให้นางแบกรอยฝ่ามือนี้เข้าไปด้วย จะไม่ทำให้ท่านแม่เสียใจแย่หรือ แบบนี้อาการป่วยของท่านแม่จะดีขึ้นได้อย่างไร?”

“เจ้าก็อายุตั้งเท่าไรแล้ว เหตุใดถึงได้ทำอะไรสะเพร่าตลอด ไม่รู้จักสงสารท่านแม่บ้างเลยหรืออย่างไร! หรือเพราะนางคือมารดาของข้า ไม่ใช่มารดาของเจ้า?”

นางหวังทั้งอึดอัดทั้งอับอาย รีบแก้ต่างทันที “ท่านพี่ ท่านเข้าใจข้าผิดไปแล้ว เหตุใดข้าจะไม่นับถือมารดาของท่านเสมือนมารดาตนเองเจ้าคะ ข้าแค่วู่วามไปชั่วขณะเท่านั้น! ทั้งหมดเป็นเพราะจือจือพูดจาไม่รู้ความ ข้าถึงได้…เฮ้อ…”

ความจริงภายในใจนางก็กำลังโกรธแค้นมากเหมือนกัน เหตุใดยายแก่ใกล้ตายถึงไม่ชอบเจียวเจียวเด็กที่มีทั้งความร่าเริงสดใสและน่ารัก แต่กลับโปรดปราดหรงจือจือเจ้าเด็กไร้ไหวพริบไม่รู้สถานการณ์คนนั้น ทำให้ท่านพี่ต้องพาลไม่ชอบตนเองตามนายหญิงใหญ่ไปด้วย

กลับเป็นหรงจือจือที่ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้เข้าก็ร้อนใจขึ้นมา รีบถามไถ่ทันที : “ท่านพ่อ ท่านย่าเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ?”

Related chapters

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 10  

    บนดวงหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์มาตลอด บัดนี้เต็มไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ หรงจือจือจ้องมองมหาราชครูหรงไม่วางตา ท่านพ่อสนใจแต่ขนบธรรมเนียมและชื่อเสียงเกียรติยศในตระกูลมาตลอด ส่วนในใจของท่านแม่ก็มีเพียงน้องชายและน้องหญิงเท่านั้น มีเพียงท่านย่าคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนที่รักตนเอง และเป็นคนที่ตนเองรัก ในวันที่นางเกิดมา หากมิใช่เพราะท่านย่าเป็นคนไปแย่งนางกลับมา นางคงตายด้วยน้ำมือของท่านแม่ไปแล้ว บัดนี้ได้ยินว่าท่านย่าป่วย นางย่อมร้อนรุ่มกังวลใจขึ้นมาทันที มหาราชครูหรงฟังน้ำเสียงของนาง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้ารู้จักอ่อนน้อมกตัญญูต่อท่านย่าของเจ้า ไม่เสียแรงที่นางรักและเอ็นดูเจ้ามาหลายปี! ท่านย่าของเจ้าปลอดภัยดี เพียงแค่โรคเก่ากลับมากำเริบอีกครั้งเท่านั้น หมอเทวดามารักษาแล้ว ข้าเองก็อยู่เฝ้าไข้ดูแลนางทั้งคืน ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว” ว่าตามหลักแล้วหากนายหญิงใหญ่ป่วยไข้ไม่สบาย ควรเป็นนางหวังที่เข้าไปเฝ้าไข้ปรนนิบัติ ทว่ามหาราชครูหรงมีความกตัญญูอย่างสูงส่ง กอปรกับทราบว่ามารดาไม่ถูกชะตาภรรยาของตน ฉะนั้นเขาจึงไปอยู่เฝ้ามารดาด้วยตนเองตลอดทั้งคืน หรงจือจือฟังมาถึงตรงนี้ ก็วางใจ ท่านย่

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 11

    มหาราชครูหรงกลับประหลาดใจ มองบุตรสาวของตนอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าอยากหย่าร้างอย่างนั้นหรือ? ไม่อาลัยอาวรณ์ฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ?”หรงจือจือกล่าวเบา ๆ “ท่านพ่อ ตอนนั้นเหตุใดลูกจึงต้องแต่งงานกับเขา ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกไม่ได้แต่งเพื่อตัวลูกเอง แต่แต่งเพื่อสกุลหรง”“บัดนี้ ลูกไม่ได้หย่าร้างเพื่อตัวของลูกเองเลย ลูกทำเพื่อสกุลหรงเช่นเดียวกัน”“ท่านพ่อน่าจะรู้ดี อวี้ม่านหวานั่นแท้ที่จริงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจา ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์เราจะต้องปฏิบัติต่อประเทศที่สูญเสียเอกราชด้วยความกรุณา ไม่มีทางให้นางเป็นอนุอย่างเด็ดขาด อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของแคว้นเจาไม่มีทางตอบตกลงเช่นกัน”“แต่หากข้าเป็นบุตรสาวแห่งสกุลหรง ถูกลดตำแหน่งให้เป็นอนุ จะต้องอดทนอยู่อย่างเงียบ ๆ ชื่อเสียงขุนนางของท่านพ่อกับชื่อเสียงอันดีงามของสกุลหรง ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นลูกจึงคิดว่า การหย่าร้างคือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้”หรงจือจือภายใต้การเลี้ยงดูของท่านย่า มักจะเป็นคนสุขุมและเฉลียวฉลาด นางเข้าใจดีว่า ยิ่งอยากทำการอันใดให้สำเร็จ ก็ยิ่งต้องสงบนิ่ง สมองต้องคิดอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 12

    หรงจือจือฟังคำพูดของสาวใช้จ้าว มุมปากปรากฏรอยยิ้มถากถาง เมื่อรู้ว่าที่ท่านแม่มีคำสั่งเช่นนี้ นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิดสาวใช้จ้าวมองรอยยิ้มถากถางของนาง เกิดความไม่พอใจขึ้น “คุณหนูใหญ่ สีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? ไม่พอใจต่อการจัดการของฮูหยินหรือเจ้าคะ?”“เช่นนั้นบ่าวอยากจะขอเตือนท่าน กิจภายในจวนตอนนี้ ฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจเจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าไม่ให้ข้าวเที่ยงท่าน แม้ท่านจะไม่พอใจ ก็ทำได้เพียงอดทนเจ้าค่ะ”หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่อนุญาตให้ข้ากิน หรือไม่ให้อาหารข้า?”สาวใช้จ้าวเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ทั้งสองคำถามนี้มีอะไรแตกต่างกันหรือ?นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย กล่าว “หากคุณหนูใหญ่อยากกินจริง ๆ ก็ไม่ยากเจ้าค่ะ หากท่านมีความสามารถ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนยอมให้ท่านกินข้าวได้ บ่าวก็คงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หรือว่าคุณหนูใหญ่มีความสามารถ เสกของกินออกมาเองได้ คิดว่าทางฝั่งฮูหยินเอง ก็คงจะไม่พูดอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”ฮูหยินจัดการบ่าวรับใช้ในจวนจนเชื่อง รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฮูหยินไม่อนุญาต จะมีใครกล้าไม่ลืมหูลืมตา โง่จนถึงขนาดเอาของกินให้คุณหนูใหญ่กัน?ดังนั้นที่สา

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 13

    นางคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่ตอนนี้ไม่คิดว่าเพราะความอบอุ่นนี้ เกือบจะทำให้น้ำตาไหลมองออกว่าอารมณ์ของหลานสาวผิดปกติ นายหญิงผู้เฒ่าหรงรีบถาม “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?”หรงจือจือจับชีพจรของท่านย่าโดยไม่ตั้งใจ สังเกตเห็นถึงการเต้นหัวใจของอีกฝ่าย เป็นเพราะตึงเครียดจึงเริ่มเต้นเร็วขึ้นจึงรีบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่แต่งออกไป ยังจะได้มาหาท่านย่าเพื่อออดอ้อนอีก ได้ฟังท่านย่าชมข้าเช่นนี้ก็พอแล้ว!”นายหญิงผู้เฒ่าหรงสบายใจขึ้น กล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ ข้ายังคิดว่าเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรเสียอีก! ชมเจ้า เป็นเพราะเจ้าสมควรได้รับจริง ๆ”“เจ้าลองคิดดูตั้งแต่เด็ก เจ้าเรียนรู้อะไรแล้วทำไม่ได้บ้าง? พิณ หมากรุก เขียนหนังสือ วาดรูป ดูแลกิจการร้านค้าอยู่เบื้องหลัง ดูแลบ้าน ขอเพียงเจ้ายื่นมือ ทุกอย่างล้วนเป็นที่หนึ่ง ฝีมือการเย็บปักถักร้อยก็หาได้ยากในเมืองหลวง แม้แต่เรียนวิชาแพทย์หมอเทวดายังพูดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ รับเจ้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียว”“บัดนี้ข้ายังไม่อยากจะเชื่อว่า ท่านแม่สติเลอะเลือนคนนั้นของเจ้า จะให้กำเนิดลูกที่โดด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 14

    เมื่อเห็นว่าหรงจือจือไม่พูดจาฉีอวี่เยียนจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่สะใภ้ ท่านเป็นพี่สะใภ้แท้ ๆ ของข้า ข้าออกเรือนทั้งที หากท่านไม่เติมสินเดิม ก็ดูจะใช้ไม่ได้สักเท่าไหร่นะ!”“อีกอย่าง การแต่งงานของข้า พี่สะใภ้ยังเป็นคนช่วยข้าพูดจนสำเร็จ หากท่านไม่เติมสินเดิม ทางด้านจวนอ๋องเฉียน ก็คงจะพูดลำบากเช่นกันมิใช่หรือ?”ว่ากันตามเหตุผล จวนอ๋องเฉียนสมรส ก่อนหน้านี้ไม่มีทางถูกใจครอบครัวที่มีแต่เปลือกนอกอย่างซิ่นหยางโหวง่าย ๆ แน่ความจริงคือหรงจือจือมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมเป็นที่ประจักษ์ ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมักจะชมนางไม่หยุดปาก บอกว่านางเป็นสตรีที่น่ารัก มีความชอบธรรม ทั้งยังกตัญญู น่าเสียดายที่ไม่ใช่หลานสะใภ้ของตนเองดังนั้นเมื่อเห็นหรงจือจือเป็นผู้มาคุยเรื่องการแต่งงานให้น้องสาวสามีด้วยตนเอง พระชายาอ๋องเฉียนถึงได้ตกปากรับคำเพื่อหลานชายของตนเองถึงแม้จะไม่ใช่หลานคนโตของภรรยาเอก แต่ฉีอวี่เยียนก็คู่ควรที่จะแต่งงานกับหลานชายคนรองของภรรยาเอก จึงเป็นที่อิจฉาของใครหลายคนหรงจือจือมองฉีอวี่เยียน ถามอย่างพินิจพิจารณา “อวี่เยียน พี่ใหญ่ของเจ้าต้องการให้ข้าเป็นอนุเพื่อองค์หญิงม่านหวานั่น เจ้ารู้เ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 15

    มองรอยยิ้มที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดในดวงตาของฉีอวี่เยียน หรงจือจือรู้สึกว่า ความดีที่ตนมีต่อนางตลอดหลายปีมานี้ ล้วนเป็นการให้อาหารสุนัข ไม่สิ หากเป็นการให้อาหารสุนัข สุนัขก็ยังกระดิกหางให้นางบ้างจะเหมือนกับคนเนรคุณตรงหน้าที่ไหนกัน? ไม่มีความซาบซึ้งในบุญคุณแม้แต่น้อยก็มากเกินพอแล้ว แต่เมื่อมองดูท่าทางนี้ ยังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอีก!รู้สึกโมโหที่คิดว่าตนเองนั้นฉลาด เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมองโฉมหน้าที่แท้จริงของนางไม่ออก? ซ้ำยังทำดีกับนางแบบนั้นอีก!ฉีอวี่เยียนยังดึงแขนของหรงจือจือ กล่าวอย่างออดอ้อนต่อ “พี่สะใภ้ ท่านก็รับปากข้าเถอะนะ! ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็มีวันมงคล เพียงครั้งเดียว หากข้ามีสินเดิมมากมาย ท่านก็ได้หน้าได้ตาไปด้วยไม่ใช่หรือ?”หรงจือจือ “...”เหอะ ๆ เอาสินเดิมของข้า ไปสร้างหน้าสร้างตาให้ครอบครัวเจ้ามากกว่า?เมื่อเห็นว่าหรงจือจือไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก ฉีอวี่เยียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที กล่าวข่มขู่ “หากพี่สะใภ้ไม่ให้ ส่งผลกระทบต่อการแต่งงานของข้า เกรงว่าท่านแม่กับท่านพี่จะยิ่งไม่ชอบใจพี่สะใภ้มากกว่าเดิมนะ”“หากเป็นเช่นนั้น องค์หญิงม่านหวาแต่งเข้ามาแล้ว พี่สะใภ้คงจะต้อง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 16

    หรงจือจือกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “นางพูดไม่ใช่หรือว่า พี่ชายของนางรับปากข้าเอาไว้มากมาย แต่ไม่ได้เขียนหนังสือข้อตกลง ไม่มีหลักฐาน ข้าไม่สามารถร้องเรียนเขาได้?”“เรื่องที่ข้ารับปากนางเมื่อครู่นี้ ก็ไม่ได้เขียนหนังสือข้อตกลงเช่นกัน ถึงเวลานางให้นางไปร้องเรียนข้าเถอะ! วันนี้พวกเจ้า ได้ยินข้ารับปากอะไรนางหรือไม่?”นางไม่เคยใช้วิธีการที่หน้าไม่อายไปจัดการใคร เนื่องจากไม่อยากให้ตนต้องกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเหมือนกับคนอื่นแต่บางครั้ง การเผชิญหน้ากับคนที่ไร้ยางอายเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวิธีการมากนัก หากยังคงวางมาด จมไม่ลง ผู้อื่นก็จะปฏิบัติกับตนด้วยวิธีการที่สกปรกและน่าขยะแขยงครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวิธีการเช่นกันท้ายที่สุดแล้วคนที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ไม่เพียงต้องมีคุณธรรมสูงส่ง ยังต้องสามารถปกป้องตนเองให้ดี ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนชั่วข้างในเรือนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสาวใช้ของหรงจือจือเอง ท่านย่าได้จัดเตรียมเอาไว้ให้นางก่อนจะออกเรือน สัญญาขายตัวของทุกคนอยู่ในมือของนาง เนื่องจากนางปกครองบ่าวรับใช้ด้วยความยุติธรรม บร

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 17

    เจาซีตะลึงไปทันที ในใจมีความสงสัยเล็กน้อย ว่าเหตุใดคุณหนูถึงได้มั่นใจเช่นนี้แต่เมื่อลองคิดดูคุณหนูก็ประสบความสำเร็จมาตลอด คิดว่าไม่น่าจะคำนวณผิดพลาด จึงวางใจได้ชั่วขณะ......สวนฉางโซ่วของนางถานฉีอวี่เยียนกลับมาด้วยความดีใจ เล่าเรื่องที่หรงจือจือรับปากตนเองให้ฟังยังรินน้ำชาให้ตนอีกถ้วยด้วย พลางดื่มพลางกล่าวด้วยท่าทางมีความสุข “เป็นตามที่ท่านแม่คาดคะเน มหาราชครูหรงไม่สนใจนาง นางจึงตื่นตระหนก ต่อไป สิ่งของทั้งหมดของนางหรง ก็จะตกเป็นของครอบครัวเราแล้ว!”“ทันทีที่อ้าปากก็ตอบตกลงว่าจะให้สิ่งของมากมายขนาดนี้ ท่านแม่ ผ้าไหมสามพับนั่นที่ท่านตั้งใจจะให้ข้าเป็นสินสมรสติดตัวไป ก็เก็บเอาไว้เองเถอะ บัดนี้ข้ามีสิ่งของที่นางหรงมอบให้ ก็ไม่ได้ขาดแคลนของเล็กน้อยนั่นแล้ว”เมื่อฉีจื่อฟู่ได้ฟังถึงตรงนี้ ก็วางใจขึ้นแตกต่างกับท่านแม่และน้องสาว ทั้งสองคนเต็มไปด้วยความอยากได้สินเดิมของหรงจือจือ ดังนั้นจึงเอ่ยข้อเรียกร้องเช่นนี้ออกมาแต่ฉีจื่อฟู่เพียงแค่อยากจะใช้โอกาสนี้เพื่อดูท่าทีของหรงจือจือ หากหรงจือจือปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เหมือนกับเมื่อคืนนี้ที่ปฏิเสธการร่วมหลับนอนกับตน คิดว่าเป็นเพราะมหาราชครู

Latest chapter

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 100  

    แต่เขาคิดจนหัวแตก ก็ไม่เกิดประโยชน์แม้แต่น้อย คนยังคงไม่สามารถขึ้นไปอยู่บนเตียงหลังเดียวกับหรงจือจือ รู้สึกเพียงว่า ในใจของตนกระวนกระวายอย่างที่สุด ปากคอยิ่งแห้งผากกว่าเดิม อวี้ม่านหวารับรู้ได้ว่า ใจของเขาไม่อยู่ที่นี่ จึงกล่าวด้วยหยาดน้ำตาที่ขังคลอในเบ้าตาว่า “ท่านพี่ หรือว่าท่านไม่ปรารถนาจะมาหาข้า? ถ้าเป็นแบบนั้น ท่านก็ไปหาพี่หญิง…ไม่สิ ท่านก็ไปหาฮูหยินซื่อจื่อเถอะ” พูดจบ ก็เริ่มซับน้ำตา ในอดีต ฉีจื่อฟู่มีความอดทนให้การปลอบนางอย่างมาก ทว่าวันนี้ ความคาดหวังอันเต็มอกที่จะได้ร่วมหอกับหรงจือจือถูกดับลงสิ้น จากที่เดิมที่อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว หนนี้ จึงขมวดคิ้วเหลือบตามองนางคราหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าแสร้งเป็นปวดท้อง เพื่อเรียกให้ข้ามาหรือ?” อวี้ม่านหวาถูกทำให้พูดไม่ออก ฉีจื่อฟู่รู้สึกว่านางช่างประหลาดนัก ปวดท้องอะไรกัน? เขาไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นเรื่องเท็จ กระทั่งลูกไม้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเล็กๆ พวกนี้ของนาง เขาก็มองไม่ออกอย่างนั้นหรือ? แล้วบัดนี้ ยังจะมาเล่นตัวเพื่อการใดอีก? อวี้ม่านหวาเริ่มหลั่งน้ำตา “ท่านพี่ฟู่ เหตุใดท่านจึงกล่าวกับข้าเช่นนี้? ข้าเป

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 99

    ตงจื้อกล่าวอย่างคิดว่าตนมีเหตุผลว่า “แต่ข้าคิดว่า ซื่อจื่อ ท่านจึงจะเป็นดั่งฟ้าของฮูหยินซื่อจื่อมิใช่หรือขอรับ? ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงจะสำคัญเช่นไร ก็ไม่มีทางสำคัญเท่าการทำให้ท่านเบิกบานใช่ไหมขอรับ?”เมื่อฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น สีหน้ามืดมนลงแล้ว “ที่เจ้าพูดมาก็ถูก !”ตนเป็นสามีของจือจือ นางควรจะให้ความสำคัญกับตนเป็นอันดับแรกในทุกเรื่องชัดๆในเวลานั้นเอง ก็มีข้ารับใช้อีกคนเข้ามารายงานว่า “ซื่อจื่อ อนุอวี้บอกว่าท้องของนางรู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง บอกให้ท่านไปอยู่เป็นเพื่อนนางขอรับ!”ฉีจื่อฟู่ “รู้แล้ว ข้าจะไปเดี๋ยวนี้! ในเมื่อหรงจือจือไม่รู้จักรับน้ำใจของผู้อื่น เช่นนั้นก็ปล่อยให้นางเดียวดายไปเถอะ มีคนมากมายที่รักข้า ข้าก็มิใช่ว่าต้องเป็นนางเพียงผู้เดียวเสียหน่อย!“ชิวอี้ เจ้าจงส่งความไปบอกเรือนหลัน ให้ฮูหยินซื่อจื่อสำนึกตนให้ดี คิดดูว่าจะขอโทษข้าเช่นไร ไม่เช่นนั้น ถึงเวลาคลอดบุตรภรรยาเอกออกมาไม่ได้ ก็จงอย่าได้มาขอร้องข้าแล้วกัน!”ชิวอี้สั่นสะท้านขึ้นมา เหลือบมองตงจื้อคราหนึ่ง แล้วคุกเข่ากล่าวว่า “ซื่อจื่อ ไม่เช่นนั้นเปลี่ยนเป็นเด็กรับใช้รับหน้าที่ช่วยจัดการธุระต่างๆ ไปส่งข่าวดีไหมขอร

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 98

    หรงจือจือมองไปที่ตงจื้อ ถามอย่างราบเรียบที่แฝงไปด้วยความเย็นชาและเย้ยหยันว่า “คำพูดที่บอกไม่ได้ข้าสวมชุดไว้ทุกข์ เป็นเจ้าหรือซื่อจื่อที่พูด?”ตงจื้อตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นก็กล่าวต่อว่า “เป็นข้าพูดเองขอรับ ฮูหยินซื่อจื่อ ข้าก็พูดไปเพื่อประโยชน์ของท่าน ข้า…”หรงจือจือกล่าวด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ข้ารับใช้ในจวนนี้ ล้วนต่างก็ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตาแล้ว แต่ละคนต่างกล้ามาสั่งสอนข้า ว่าควรจัดการเรื่องราวอย่างไร คิดว่าครั้งก่อนที่โบยบ่าวรับใช้แซ่เฉินนั่นไป คงยังไม่พอจะเชือดไก่ให้ลิงดูกระมัง”ตงจื้องงแล้ว นี่ฮูหยินซื่อจื่อหมายความว่าอย่างไรกัน?หรงจือจือ “เด็กๆ! ลากออกไปโบยซะ! ครั้งก่อนสั่งสอนบ่าวแซ่เฉินนั่นเช่นไร วันนี้ก็จงสั่งสอนเขาเช่นนั้น!”ตงจื้อรีบกล่าวว่า “ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่านกำลังทำสิ่งใดกัน? ข้าหวังดีต่อท่านจริงๆ นะขอรับ หรือท่านไม่อยากปรนนิบัติซื่อจื่อพักผ่อนแล้วหรือ? หากโบยข้า ซื่อจื่อจะต้องไม่พอใจแน่!”หรงจือจือคิดในใจว่า อย่างนั้นย่อมดีที่สุด ทางที่ดีให้ฉีจื่อฟู่ไร้ความสุขทุกคืน ไม่พอใจตนทุกวัน จะได้ไม่คิดถึงเรื่องร่วมเตียงกันที่น่าขยะแขยงแบบนี้อีกนางไม่แม้จะเงยหน้า ไม่ม

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 97

    หรงจือจือ “ถูกแล้ว คำพูดพวกนั้น จะไม่ทำให้เจ้าพลอยเดือดร้อน และยังจะช่วยเจ้าให้พ้นผิดด้วย แต่หากเจ้าไม่วางใจ ไม่ยินดีช่วยก็ไม่เป็นไร ข้าจะไม่บังคับ”ทว่า ชุนเซิงกลับโขกศีรษะให้หรงจือจือครั้งหนึ่ง “ในตอนนั้น ชีวิตนี้ของข้าก็เป็นฮูหยินซื่อจื่อท่านที่ช่วยกลับมา ข้าจดจำพระคุณของท่านได้ ข้าเชื่อว่าท่านไม่มีทางทำร้ายข้า เรื่องนี้ข้าจะช่วยท่านขอรับ”หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เช่นนี้ก็ดีนัก ลำบากเจ้าแล้ว”เจาซีก้าวเข้าไปเพื่อยัดตั๋วเงินให้ชุนเซิงแต่ชุนเซิงกับยืนกรานไม่ยอมรับ “ฮูหยินซื่อจื่อ เดิมบุญคุณที่ช่วยชีวิต ก็ควรตอบแทนอยู่แล้ว! และตอนนั้น ยังเป็นข้าที่บอกว่าตนเองก็อยากร่ำเรียนหนังสือ ท่านถึงได้จัดให้ข้าไปเป็นเด็กรับใช้เรื่องเรียนของคุณชายสี่”“เวลานี้ ข้าพอรู้อักษรอยู่บ้าง จึงเข้าใจหลักการและเหตุผลจำนวนหนึ่ง บุญคุณที่ท่านมีต่อข้า ดุจดั่งการให้กำเนิดใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้ หากมอบเงินให้ข้า กลับจะเป็นการดูหมิ่นข้านะขอรับ”คำพูดของชุนเซิง มิได้อยู่เหนือความคาดหมายของหรงจือจือเลยเพราะหลายปีมานี้ แม้สัญญาขายตัวของเขาจะอยู่กับนางถาน ทว่า เรื่องของฉีจื่อเสียนนั้น ชุนเซิงก็มักมารายงา

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 96

    เพียงแต่ตอนนั้น เมื่อท่านอัครมหาเสนาบดีถูกกัด หลังคุณหนูตื่นขึ้นมาเพราะเสียงร้องด้วยความตกใจของนาง ก็รีบดูบาดแผลให้เขา ทว่า ทันทีที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินเอ่ยปากกลับพูดว่า ในป่ารกร้างเช่นนี้ถึงกับมีงูมากัดเขา แต่ไม่เอ่ยว่าเป็นเพราะช่วยคุณหนูเลยสักคำตอนนั้น ฮูหยินผู้เฒ่าก็กำลังงีบหลับอย่างสะลึมสะลือ จึงไม่ทราบเรื่องนี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์และสังเกตเห็นเรื่องนี้ จึงมีเพียงเจาซีเท่านั้นในใจของเจาซีนั้น รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก แต่ก็มิได้เปิดโปงอย่างหุนหัน เพียงสอบถามเขาเป็นการส่วนตัวประโยคหนึ่งในภายหลัง ตอนส่งท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจากไปว่า “ไม่ทราบว่าคุณชายมีเจตนาใดกันแน่?”ท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินมิได้ตอบ เพียงกล่าวว่า “ขอแม่นางโปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ อย่าได้บอกให้คุณหนูของเจ้ารู้”เจาซีคิดว่า น่าจะเป็นเพราะไม่ต้องการให้คุณหนูของนางเกิดภาระทางใจ จึงรับปากไปต่อมาท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินจึงได้จากไปพร้อมกับลูกน้องที่มารับเขาหรงจือจือมองเจาซีอย่างแปลกใจทีหนึ่ง “เหตุใจเจ้าจึงมั่นใจเพียงนี้?”เจาซีจึงได้สติกลับมา “นี่…”นางคิดว่า ในเมื่อตอนนั้นรับปากท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินไปแล

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 95

    กล่าวจบ หรงจือจือก็สาวเท้าจากไปฉีอวี่เยียนดีใจจนแทบกระโดดขึ้นมา “ท่านแม่ นี่ดีเหลือเกิน ข้ายังกังวลว่าข้าจะได้แต่งงานไม่ดีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพี่สะใภ้จะยังวางแผนให้ข้า”นางถาน “ล้วนเป็นเพราะลูกเสียนของข้าศึกษาตำรามา จึงไปเกลี้ยกล่อมนางได้สำเร็จ เจ้าต้องขอบคุณน้องเจ้าให้ดี!”ฉีจื่อเสียนได้หน้าก็ยิ่งยินดี แต่ในใจก็รู้สึกแปลกอยู่บ้าง เพราะวันนี้หรงจือจือไม่ไว้หน้าเขาเลยชัดๆ หรือว่ามาคิดได้เอาภายหลังกัน?ใช่แน่แล้ว คำพูดของตนมีเหตุผลจะตาย การที่หรงจือจือเชื่อฟังก็เป็นเรื่องสมควรแล้วฉีอวี่เยียนรีบกล่าวว่า “ต้องขอบคุณน้องชายแล้ว!”ซิ่นหยางโหวส่งขันทีอาวุโสหยางจากไป เมื่อกลับมาก็เห็นพวกเขากำลังเริงร่า เมื่อสอบถามจนรู้สาเหตุ ก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอกทีหนึ่งจากนั้นก็มองฉีจื่อฟู่ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “จือจือกลับมาคิดเพื่อครอบครัวนี้อีกครั้ง คิดว่าในใจคงยังมีเจ้าอยู่ ในอนาคต เจ้าจงอย่างทำเรื่องโง่ๆ อีก คืนนี้ก็ไปอยู่เป็นเพื่อนจือจือให้ดีๆ ซะ!”ฉีจื่อฟู่ “ขอรับ!”เขาจะไม่อยากนอนกับจือจือได้อย่างไร?อวี้ม่านหวากำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น แต่กลับไม่เอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว……เมื่อกลับมาถึงเรือนหลัน

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 94

    ในเมื่อเฉินเยี่ยนซูลงมือแล้ว หรงจือจือก็ไม่ใช่พวกไม่รู้ถึงความปรารถนาดีของผู้อื่นจึงหยิบยืมคำพูดของเฉินเยี่ยนซู มาทำให้อวี้ม่านหวาสงบเสงี่ยมลงหน่อยอวี้ม่านหวาก็หวาดกลัวจนหดร่างด้วยความสั่นสะท้านไปครู่หนึ่งจริงๆนางถานกล่าวด้วยความโมโหว่า “หรงจือจือ ในท้องของม่านหวา…”หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินคำพูดของนางถาน มองไปที่ฉีอวี่เยียนนิ่งๆ “น้องสามี ข้าวางแผนว่าผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง จะจัดงานชมดอกไม้ในนามของท่านแม่ เจ้าคิดว่าอย่างไร? ส่วนเรื่องเทียบเชิญ ก็จะให้คนในเรือนของข้าไปส่งเอง”ตามกฎหมายของแคว้นต้าฉี หากบิดามารดาเสียชีวิต บุตรธิดาต้องไว้ทุกข์สามปี หากผู้เป็นปู่ย่าวายชนม์ ชนรุ่นหลานต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปีไม่ว่าจะเป็นบุตรสาวที่แต่งงานออกไปแล้วหรือไม่ ล้วนเป็นเช่นเดียวกับยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่าหรงถึงแก่กรรม หรงจือจือจึงไม่สะดวกที่จะใช้ชื่อตนไปจัดงานเลี้ยงทุกประเภทเมื่อฉีอวี่เยียนได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาก็สว่างไสวขึ้นทันที “พี่สะใภ้ จริงหรือ?”ในแคว้นต้าฉี การจัดงานประชุมบทกวี เป็นการพบปะสังสรรค์ของเหล่าบัณฑิต ส่วนการจัดงานเลี้ยงชมดอกไม้ ส่วนมากล้วนเป็นงานดูตัวที่เหล่าฮูหยินผู้สูงศักดิ์

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 93

    หรงจือจือกำลังปวดหัวว่าไม่มีเหตุผลจะใช้อยู่ต่อ คาดไม่ถึงว่าจะมีคนส่งหมอนมาให้ตอนง่วงพอดีคำพูดเสแสร้งที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีของอวี้ม่านหวานี้ กลับเป็นการช่วยตนอีกแรง “อนุอวี้กล่าวได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ในเมื่อยามนี้เจ้าก็เป็นอนุแล้ว ข้ายังจะจากไปทำไมอีก? เรื่องการหย่าร้าง ก็ให้ถือเสียว่าไม่เคยพูดถึงเถอะ”อวี้ม่านหวา “?”ไม่ใช่นะ นี่ เหตุใดจึงไม่เหมือนที่ข้าคิดไว้เล่า?ฉีจื่อฟู่ถอนใจอย่างโล่งอกทันที แม้ไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขา ที่จะให้หรงจือจือเป็นอนุ แต่อย่างน้อย นางก็ไม่พูดถึงเรื่องการหย่าร้างแล้วหรงจือจือจับตามองสีหน้าที่เปลี่ยนไปด้วยความตระหนกของอวี้ม่านหวา “ที่สีหน้าของอนุอวี้ไม่น่ามองถึงเพียงนี้ หรือการที่ข้าอยู่ต่อ ทำให้เจ้าไม่พอใจแล้ว?”อวี้ม่านหวาฝืนยิ้มว่า “ไม่…ไม่ใช่! ในใจของท่านพี่ฟู่มีพี่หญิงอยู่ หากพี่หญิงจากไป ท่านพี่ฟู่จะต้องเสียใจแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น น้องจะหวังให้พี่หญิงจากไปได้อย่างไร?”เมื่อฉีจื่อฟู่ฟังจบ ก็เหลือบมองอวี้ม่านหวาอย่างตื้นตัน “ม่านหวา…”เมื่อเห็นพฤติกรรมอันน่าทุเรศของเขา เจาซีก็โมโหจนหน้าเขียวใจของหรงจือจือกลับสงบนิ่ง ไร้ระลอกคลื่น เพร

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 92

    อวี้ม่านหวาจะคาดได้อย่างไรว่า ขันทีอาวุโสหยางผู้นี้ไม่เพียงมาประกาศราชโองการที่ทำจิตใจของตนหนักอึ้งหดหู่เท่านั้น แถมยังพูดถึงเรื่องความเป็นตายขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัวอีกเมื่อฟังคำพูดนี้ของอีกฝ่ายจบ นางก็หวาดกลัวจนท้องเริ่มปวดแปลบขึ้นมาแล้ว!นางถานรีบประคองนาง “องค์หญิง…”เมื่อขันทีอาวุโสหยางได้ยินเช่นนั้นก็เหลือบมองนางถานอย่างไม่พอใจทีหนึ่ง “ฮูหยิน แคว้นเจาล่มสลายไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่มีองค์หญิงอันใดแล้ว หรือว่า จวนโหวของพวกท่านมีความคิดเป็นอื่น?”นางถานตกใจจนสะดุ้ง รีบกล่าวว่า “มิกล้า! ข้าแค่พูดผิดไปชั่วขณะเท่านั้น ขอหยางกงกงโปรดอย่าได้ถือสาเลย!”ขันทีอาวุโสหยางแค่นเสียงเย็นทีหนึ่ง สะบัดแส้ในมือทีหนึ่ง “เช่นนั้น ข้าก็ขอตัวก่อนแล้ว!”ซิ่นหยางโหว “ข้าจะไปส่งกงกง!”ขันทีอาวุโสหยางก็ไม่ได้บ่ายเบี่ยง เขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไรว่า ซิ่นหยางโหวต้องการประจบตน บัดนี้ฉีจื่อฟู่ทำลายอนาคตตัวเอง หนทางเบื้องหน้าของจวนโหวจึงน่าเป็นห่วงรอจนพวกเขาออกไปแล้วฉีจื่อฟู่มองไปทางหรงจือจือ ขมวดคิ้วถามว่า “จือจือ เจ้ารู้จักท่านอัครมหาเสนาบดีหรือ?”หรงจือจือสงบความคิดลง นางก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่า เฉินเยี่ยน

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status