หรงจือจือได้ยินถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ก็มีแต่จะรู้สึกว่าน่าขัน เมื่อปีก่อนนั้นท่านย่ายังเคยท้วงว่าฉีจื่อฟู่เป็นเจ้าขี้โรค มีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ไม่กี่วันแล้ว จะให้ตนเองแต่งเข้าไปได้อย่างไร? แต่เพราะท่านพ่อไม่ยอมให้ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรง ต้องกระทบกระเทือนเพราะทิ้งสัญญาหมั้นหมาย และท่านแม่เองก็ร้องไห้โวยวายว่าหากตนเองเป็นฝ่ายขอถอนหมั้นแล้ว คนนอกคงไม่มีผู้ใดกล้ามาขอหมั้นหมายกับคุณหนูคนอื่นในสกุลหรงอีกแล้ว เพื่อวงศ์ตระกูล เพื่อบุพการีและบรรดาน้องหญิงทั้งหลายแล้ว นางจำต้องข่มความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเอาไว้ในใจ และเกลี้ยกล่อมให้ท่านย่ายอมให้ตนเป็นสะใภ้สกุลฉี บัดนี้บ้านสามีข่มเหงรังแกนางเพียงนี้ ท่านแม่มิเพียงไร้ซึ่งความเป็นห่วงเป็นใยนาง กลับบอกให้นางไปผูกคอตายด้วย ก่อนหน้านี้ความสุขชั่วชีวิตของนาง ยังไม่สำคัญเท่าพิธีสมรสของน้องหญิง บัดนี้แม้กระทั่งชีวิตของนาง ยังมิอาจยกมาเทียบเคียงกับพิธีสมรสของน้องหญิงได้อีกเหมือนเคย บัดนี้นางกลับรู้สึกไม่คุ้มค่าเลย ที่ไม่เคยให้คุณค่าตนเอง ภายใต้ความเหนื่อยล้า นางคร้านจะเอ่ยวาจาใดอีกแล้ว จึงพูดเพียงว่า “ท่านแม่พูดถูกทุกประการ เป็นลูกที่อก
บนดวงหน้านิ่งเฉยไม่แสดงอารมณ์มาตลอด บัดนี้เต็มไปด้วยความร้อนรนกังวลใจ หรงจือจือจ้องมองมหาราชครูหรงไม่วางตา ท่านพ่อสนใจแต่ขนบธรรมเนียมและชื่อเสียงเกียรติยศในตระกูลมาตลอด ส่วนในใจของท่านแม่ก็มีเพียงน้องชายและน้องหญิงเท่านั้น มีเพียงท่านย่าคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคนที่รักตนเอง และเป็นคนที่ตนเองรัก ในวันที่นางเกิดมา หากมิใช่เพราะท่านย่าเป็นคนไปแย่งนางกลับมา นางคงตายด้วยน้ำมือของท่านแม่ไปแล้ว บัดนี้ได้ยินว่าท่านย่าป่วย นางย่อมร้อนรุ่มกังวลใจขึ้นมาทันที มหาราชครูหรงฟังน้ำเสียงของนาง สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เจ้ารู้จักอ่อนน้อมกตัญญูต่อท่านย่าของเจ้า ไม่เสียแรงที่นางรักและเอ็นดูเจ้ามาหลายปี! ท่านย่าของเจ้าปลอดภัยดี เพียงแค่โรคเก่ากลับมากำเริบอีกครั้งเท่านั้น หมอเทวดามารักษาแล้ว ข้าเองก็อยู่เฝ้าไข้ดูแลนางทั้งคืน ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วงแล้ว” ว่าตามหลักแล้วหากนายหญิงใหญ่ป่วยไข้ไม่สบาย ควรเป็นนางหวังที่เข้าไปเฝ้าไข้ปรนนิบัติ ทว่ามหาราชครูหรงมีความกตัญญูอย่างสูงส่ง กอปรกับทราบว่ามารดาไม่ถูกชะตาภรรยาของตน ฉะนั้นเขาจึงไปอยู่เฝ้ามารดาด้วยตนเองตลอดทั้งคืน หรงจือจือฟังมาถึงตรงนี้ ก็วางใจ ท่านย่
มหาราชครูหรงกลับประหลาดใจ มองบุตรสาวของตนอย่างพินิจพิเคราะห์ “เจ้าอยากหย่าร้างอย่างนั้นหรือ? ไม่อาลัยอาวรณ์ฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่น้อยอย่างนั้นหรือ?”หรงจือจือกล่าวเบา ๆ “ท่านพ่อ ตอนนั้นเหตุใดลูกจึงต้องแต่งงานกับเขา ท่านรู้ดีอยู่แก่ใจ ตั้งแต่ต้นจนจบ ลูกไม่ได้แต่งเพื่อตัวลูกเอง แต่แต่งเพื่อสกุลหรง”“บัดนี้ ลูกไม่ได้หย่าร้างเพื่อตัวของลูกเองเลย ลูกทำเพื่อสกุลหรงเช่นเดียวกัน”“ท่านพ่อน่าจะรู้ดี อวี้ม่านหวานั่นแท้ที่จริงเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นเจา ตามประเพณีที่สืบทอดกันมาของราชวงศ์เราจะต้องปฏิบัติต่อประเทศที่สูญเสียเอกราชด้วยความกรุณา ไม่มีทางให้นางเป็นอนุอย่างเด็ดขาด อดีตผู้ใต้บังคับบัญชาของแคว้นเจาไม่มีทางตอบตกลงเช่นกัน”“แต่หากข้าเป็นบุตรสาวแห่งสกุลหรง ถูกลดตำแหน่งให้เป็นอนุ จะต้องอดทนอยู่อย่างเงียบ ๆ ชื่อเสียงขุนนางของท่านพ่อกับชื่อเสียงอันดีงามของสกุลหรง ก็จะได้รับผลกระทบไปด้วย ดังนั้นลูกจึงคิดว่า การหย่าร้างคือวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้”หรงจือจือภายใต้การเลี้ยงดูของท่านย่า มักจะเป็นคนสุขุมและเฉลียวฉลาด นางเข้าใจดีว่า ยิ่งอยากทำการอันใดให้สำเร็จ ก็ยิ่งต้องสงบนิ่ง สมองต้องคิดอย่า
หรงจือจือฟังคำพูดของสาวใช้จ้าว มุมปากปรากฏรอยยิ้มถากถาง เมื่อรู้ว่าที่ท่านแม่มีคำสั่งเช่นนี้ นางไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยสักนิดสาวใช้จ้าวมองรอยยิ้มถากถางของนาง เกิดความไม่พอใจขึ้น “คุณหนูใหญ่ สีหน้าเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรหรือเจ้าคะ? ไม่พอใจต่อการจัดการของฮูหยินหรือเจ้าคะ?”“เช่นนั้นบ่าวอยากจะขอเตือนท่าน กิจภายในจวนตอนนี้ ฮูหยินเป็นผู้ตัดสินใจเจ้าค่ะ ฮูหยินบอกว่าไม่ให้ข้าวเที่ยงท่าน แม้ท่านจะไม่พอใจ ก็ทำได้เพียงอดทนเจ้าค่ะ”หรงจือจือกล่าวอย่างอ่อนโยน “ไม่อนุญาตให้ข้ากิน หรือไม่ให้อาหารข้า?”สาวใช้จ้าวเกิดความสงสัยขึ้นในใจ ทั้งสองคำถามนี้มีอะไรแตกต่างกันหรือ?นางยิ้มอย่างเยาะเย้ย กล่าว “หากคุณหนูใหญ่อยากกินจริง ๆ ก็ไม่ยากเจ้าค่ะ หากท่านมีความสามารถ ทำให้บรรดาบ่าวรับใช้ในจวนยอมให้ท่านกินข้าวได้ บ่าวก็คงเข้าไปยุ่งไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ หรือว่าคุณหนูใหญ่มีความสามารถ เสกของกินออกมาเองได้ คิดว่าทางฝั่งฮูหยินเอง ก็คงจะไม่พูดอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”ฮูหยินจัดการบ่าวรับใช้ในจวนจนเชื่อง รู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฮูหยินไม่อนุญาต จะมีใครกล้าไม่ลืมหูลืมตา โง่จนถึงขนาดเอาของกินให้คุณหนูใหญ่กัน?ดังนั้นที่สา
นางคิดว่าตนเองไม่ได้เป็นคนอ่อนแอ แต่ตอนนี้ไม่คิดว่าเพราะความอบอุ่นนี้ เกือบจะทำให้น้ำตาไหลมองออกว่าอารมณ์ของหลานสาวผิดปกติ นายหญิงผู้เฒ่าหรงรีบถาม “เจ้าเป็นอะไรไปหรือ?”หรงจือจือจับชีพจรของท่านย่าโดยไม่ตั้งใจ สังเกตเห็นถึงการเต้นหัวใจของอีกฝ่าย เป็นเพราะตึงเครียดจึงเริ่มเต้นเร็วขึ้นจึงรีบกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่า หลังจากที่แต่งออกไป ยังจะได้มาหาท่านย่าเพื่อออดอ้อนอีก ได้ฟังท่านย่าชมข้าเช่นนี้ก็พอแล้ว!”นายหญิงผู้เฒ่าหรงสบายใจขึ้น กล่าวพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “เจ้าเด็กคนนี้ ข้ายังคิดว่าเจ้าได้รับความไม่ยุติธรรมอะไรเสียอีก! ชมเจ้า เป็นเพราะเจ้าสมควรได้รับจริง ๆ”“เจ้าลองคิดดูตั้งแต่เด็ก เจ้าเรียนรู้อะไรแล้วทำไม่ได้บ้าง? พิณ หมากรุก เขียนหนังสือ วาดรูป ดูแลกิจการร้านค้าอยู่เบื้องหลัง ดูแลบ้าน ขอเพียงเจ้ายื่นมือ ทุกอย่างล้วนเป็นที่หนึ่ง ฝีมือการเย็บปักถักร้อยก็หาได้ยากในเมืองหลวง แม้แต่เรียนวิชาแพทย์หมอเทวดายังพูดว่าเจ้ามีพรสวรรค์ รับเจ้าเป็นทายาทผู้สืบทอดเพียงคนเดียว”“บัดนี้ข้ายังไม่อยากจะเชื่อว่า ท่านแม่สติเลอะเลือนคนนั้นของเจ้า จะให้กำเนิดลูกที่โดด
เมื่อเห็นว่าหรงจือจือไม่พูดจาฉีอวี่เยียนจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “พี่สะใภ้ ท่านเป็นพี่สะใภ้แท้ ๆ ของข้า ข้าออกเรือนทั้งที หากท่านไม่เติมสินเดิม ก็ดูจะใช้ไม่ได้สักเท่าไหร่นะ!”“อีกอย่าง การแต่งงานของข้า พี่สะใภ้ยังเป็นคนช่วยข้าพูดจนสำเร็จ หากท่านไม่เติมสินเดิม ทางด้านจวนอ๋องเฉียน ก็คงจะพูดลำบากเช่นกันมิใช่หรือ?”ว่ากันตามเหตุผล จวนอ๋องเฉียนสมรส ก่อนหน้านี้ไม่มีทางถูกใจครอบครัวที่มีแต่เปลือกนอกอย่างซิ่นหยางโหวง่าย ๆ แน่ความจริงคือหรงจือจือมีชื่อเสียงด้านคุณธรรมเป็นที่ประจักษ์ ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมักจะชมนางไม่หยุดปาก บอกว่านางเป็นสตรีที่น่ารัก มีความชอบธรรม ทั้งยังกตัญญู น่าเสียดายที่ไม่ใช่หลานสะใภ้ของตนเองดังนั้นเมื่อเห็นหรงจือจือเป็นผู้มาคุยเรื่องการแต่งงานให้น้องสาวสามีด้วยตนเอง พระชายาอ๋องเฉียนถึงได้ตกปากรับคำเพื่อหลานชายของตนเองถึงแม้จะไม่ใช่หลานคนโตของภรรยาเอก แต่ฉีอวี่เยียนก็คู่ควรที่จะแต่งงานกับหลานชายคนรองของภรรยาเอก จึงเป็นที่อิจฉาของใครหลายคนหรงจือจือมองฉีอวี่เยียน ถามอย่างพินิจพิจารณา “อวี่เยียน พี่ใหญ่ของเจ้าต้องการให้ข้าเป็นอนุเพื่อองค์หญิงม่านหวานั่น เจ้ารู้เ
มองรอยยิ้มที่ซ่อนเอาไว้ไม่มิดในดวงตาของฉีอวี่เยียน หรงจือจือรู้สึกว่า ความดีที่ตนมีต่อนางตลอดหลายปีมานี้ ล้วนเป็นการให้อาหารสุนัข ไม่สิ หากเป็นการให้อาหารสุนัข สุนัขก็ยังกระดิกหางให้นางบ้างจะเหมือนกับคนเนรคุณตรงหน้าที่ไหนกัน? ไม่มีความซาบซึ้งในบุญคุณแม้แต่น้อยก็มากเกินพอแล้ว แต่เมื่อมองดูท่าทางนี้ ยังมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอีก!รู้สึกโมโหที่คิดว่าตนเองนั้นฉลาด เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงมองโฉมหน้าที่แท้จริงของนางไม่ออก? ซ้ำยังทำดีกับนางแบบนั้นอีก!ฉีอวี่เยียนยังดึงแขนของหรงจือจือ กล่าวอย่างออดอ้อนต่อ “พี่สะใภ้ ท่านก็รับปากข้าเถอะนะ! ชั่วชีวิตนี้ของข้าก็มีวันมงคล เพียงครั้งเดียว หากข้ามีสินเดิมมากมาย ท่านก็ได้หน้าได้ตาไปด้วยไม่ใช่หรือ?”หรงจือจือ “...”เหอะ ๆ เอาสินเดิมของข้า ไปสร้างหน้าสร้างตาให้ครอบครัวเจ้ามากกว่า?เมื่อเห็นว่าหรงจือจือไม่มีทีท่าว่าจะเอ่ยปาก ฉีอวี่เยียนก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที กล่าวข่มขู่ “หากพี่สะใภ้ไม่ให้ ส่งผลกระทบต่อการแต่งงานของข้า เกรงว่าท่านแม่กับท่านพี่จะยิ่งไม่ชอบใจพี่สะใภ้มากกว่าเดิมนะ”“หากเป็นเช่นนั้น องค์หญิงม่านหวาแต่งเข้ามาแล้ว พี่สะใภ้คงจะต้อง
หรงจือจือกล่าวพร้อมรอยยิ้มบาง ๆ “นางพูดไม่ใช่หรือว่า พี่ชายของนางรับปากข้าเอาไว้มากมาย แต่ไม่ได้เขียนหนังสือข้อตกลง ไม่มีหลักฐาน ข้าไม่สามารถร้องเรียนเขาได้?”“เรื่องที่ข้ารับปากนางเมื่อครู่นี้ ก็ไม่ได้เขียนหนังสือข้อตกลงเช่นกัน ถึงเวลานางให้นางไปร้องเรียนข้าเถอะ! วันนี้พวกเจ้า ได้ยินข้ารับปากอะไรนางหรือไม่?”นางไม่เคยใช้วิธีการที่หน้าไม่อายไปจัดการใคร เนื่องจากไม่อยากให้ตนต้องกลายเป็นคนที่น่ารังเกียจเหมือนกับคนอื่นแต่บางครั้ง การเผชิญหน้ากับคนที่ไร้ยางอายเกินไป ก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวิธีการมากนัก หากยังคงวางมาด จมไม่ลง ผู้อื่นก็จะปฏิบัติกับตนด้วยวิธีการที่สกปรกและน่าขยะแขยงครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับวิธีการเช่นกันท้ายที่สุดแล้วคนที่ซื่อสัตย์อย่างแท้จริง ไม่เพียงต้องมีคุณธรรมสูงส่ง ยังต้องสามารถปกป้องตนเองให้ดี ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยคนชั่วข้างในเรือนนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นสาวใช้ของหรงจือจือเอง ท่านย่าได้จัดเตรียมเอาไว้ให้นางก่อนจะออกเรือน สัญญาขายตัวของทุกคนอยู่ในมือของนาง เนื่องจากนางปกครองบ่าวรับใช้ด้วยความยุติธรรม บร
อวี้ม่านหวาตกตะลึง “ท่านพี่ฟู่...”ฉีจื่อเสียนกลับไม่แยแสสถานการณ์ของฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่น้อย คิดเพียงว่าที่อีกฝ่ายเป็นลมหมดสติไป เพราะตนกล้าหาญไร้ที่เปรียบ ทักษะการต่อสู้โดดเด่นเขายกเตาอุ่นมือของหรงจือจือขึ้นมา แล้วเดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองอวี้ม่านหวารีบเอ่ยขึ้นว่า “เร็วเข้า รีบไปเชิญหมอประจำจวนมา!”...ก่อนที่ฉีจื่อเสียนจะกลับมา อวี้หมัวมัวได้บอกสถานการณ์ทางนั้นกับหรงจือจือเรียบร้อยแล้วไม่นานก็ได้ยินเสียงของฉีจื่อเสียน “ท่านพี่สะใภ้ ท่านดูสิข้าเอาอะไรกลับมาให้ท่าน”หรงจือจือกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางมองเตาอุ่นมือที่หวนคืนสู่เจ้าเดิม ก่อนจะแสร้งเอ่ยขึ้นด้วยความตื้นตันใจ “ต้องขอบคุณน้องเสียนมาก ๆ น้องเสียนรู้เหตุรู้ผลอย่างที่คิดจริง ๆ”เจาซีรีบไปรับเตาอุ่นมือมาฉีจื่อเสียนเขียวช้ำไปทั้งหน้า เขามองหรงจือจือ “เช่นนั้น...เช่นนั้นเรื่องหาอาจารย์ใหม่ให้ข้า ที่ท่านพี่สะใภ้พูดก่อนหน้านี้...”หรงจือจือ “เจ้าวางใจ พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนของท่านเจียงด้วยตัวเอง ขอร้องให้เขาช่วยแนะนำให้ ไม่รู้ว่าน้องเสียนมีอาจารย์ที่ดูไว้ในใจหรือไม่?”แววตาของฉีจื่อเสียนเปล่งประกาย “ย่อมมีอยู่แ
ฉีจื่อฟู่ถูกท้าทายความน่าเกรงขามในฐานะผู้เป็นพี่ ยอมให้เขาเอาไปเสียที่ไหน รีบยื่นมือออกไปขวางทันที “ในเมื่อข้าเอาเตาอุ่นมืออันนี้มาแล้ว ก็ต้องเป็นของม่านหวา!”ฉีจื่อเสียนถนัดเรื่องการพูดหาประโยชน์ใส่ตัวที่สุด “ท่านพี่ ของสิ่งนี้เป็นของใช้ส่วนตัวของท่านพี่สะใภ้ ท่านพี่เอาไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากท่านพี่สะใภ้ เอาไปโดยไม่บอกกล่าวเช่นนี้ เรียกว่าขโมย! ท่านพี่มีสิทธิ์อะไรมาบอกว่านี่เป็นของอนุอวี้?”ฉีจื่อฟู่ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ฉีจื่อเสียน ข้าไม่อยากพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า! เจ้ารีบออกไปเสีย!”ฉีจื่อเสียน “ข้าไม่ไป! ท่านพี่ ท่านพี่เลอะเลือนไปเอง ทิ้งอนาคตเพื่อปิศาจจิ้งจอกตัวเดียวก็ช่างเถอะ ท่านพี่ยังจะทำลายอนาคตข้าด้วยหรือ?”“ท่านพี่ก็คิดเสียว่าทำเพื่อข้า คืนของสิ่งนี้ให้ท่านพี่สะใภ้แล้วจะเป็นอะไรไป? เรื่องหาอาจารย์ยังต้องหวังพึ่งนาง ท่านพี่เป็นพี่แท้ ๆ ของข้าจริง ๆ หรือ?”ประโยคนี้ทำเอาฉีจื่อฟู่ลังเลไปครู่หนึ่งทว่าขณะนี้ ในใจของอวี้ม่านหวาเองก็เคียดแค้นฉีจื่อเสียนยิ่งนักนางพูดเสี้ยมด้วยท่าทางน่าสงสาร “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง เป็นเพราะข้าชีวิตต่ำต้อย ไม่คู่คว
ในตอนนี้เจาซีถึงเข้าใจความคิดของคุณหนู นางพลันดีใจกระโดดโลดเต้น “คุณหนู สมแล้วที่เป็นคุณหนู! กะอีแค่เตาอุ่นมืออันเดียว ก็ทำให้พวกเขาทะเลาะกันรุนแรงได้!”แสดงละครตบตากับฉีจื่อเสียนอยู่นาน ท้ายที่สุดก็ปากแห้งคอแห้งหรงจือจือยกแก้วชาขึ้นมา แล้วจิบคำหนึ่ง “นี่เพิ่งจะเท่าไรเอง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ อย่างที่เจ้าคิด มีเรื่องสนุก ๆ รออยู่หลังจากนี้!”ช่วงนี้ฉีจื่อเสียนหุนหันพลันแล่นเป็นอย่างมาก อาจจะแลกหมัดกับพี่ชายเขาขึ้นมาก็เป็นได้ทว่าตอนนี้ร่างกายของฉีจื่อฟู่ ไม่สามารถต้านทานการต่อยตีได้...แต่เมื่อฉีจื่เสียนไปถึงห้องของฉีจื่อฟู่ กลับหาเขาไม่เจอ ครั้นถามบ่าวรับใช้ถึงได้รู้ว่า ฉีจื่อฟู่ไปเรือนจวี๋ ที่พักของอวี้ม่านหวาสีหน้าของฉีจื่อเสียนยิ่งคล้ำดำหมองเข้าไปใหญ่เขาไม่รู้เลยว่าพี่ชายของตนหลงผิดหรือเปล่า บุรุษแต่งภรรยา หรือว่าไม่ได้เพื่อช่วยตนเอง ช่วยยกระดับทั้งตระกูลตน?อวี้ม่านหวาผู้นั้นมีอะไรดีกันแน่ ถึงทำให้ท่านพี่ไม่ไว้หน้าหรงจือจือเและทำลายตนเช่นนี้!ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเดือดดาลกระทั่งบุกเข้าไปในห้องของอวี้ม่านหวาเลยโดยไม่รอให้คนใช้ไปรายงานเช่นนี้ทำเอาสองคนนั้นตกตะลึงก
อนุส่วนใหญ่ได้รับความรักและความโปรดปรานของสามี จึงกระวนกระวายได้ง่าย สร้างปัญหาโดยไร้สาเหตุนางกระตุกรอยยิ้มเย็นเยือกมุมปาก “ฉีจื่อฟู่ทำเช่นนี้ ยิ่งเป็นการมอบหมากที่ดีแก่ข้าตัวหนึ่ง ข้าย่อมต้องยิ่งใช้มันให้ดี”หลังจากนั้นนางก็มองเจาอู้ “ไปห้องคุณชายสี่ บอกว่าพรุ่งนี้ข้าจะไปหาอาจารย์ให้เขา เชิญเขามาหารือว่าจะเลือกใคร”เจาอู้ “เจ้าค่ะ!”เจาซีตามหรงจือจือกลับเรือนหลันด้วยความฉงน เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับคุณชายสี่อีก?ครั้นเห็นหรงจือจือกลับมา อวี้หมัวมัวก็รายงานอีกว่า “คุณหนู ทางสวนฉางโซ่วมีเรื่องขึ้นมาอีกแล้ว ฉีอวี่เยียนเอาเชิงเทียนไปทำให้ถานผิงถิงเสียโฉม หมอประจำจวนบอกว่าจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนหน้าแน่นอน”เจาซีอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วพูด “มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ด้วยหรือ?”จะว่าไปแล้ว หลังคุณหนูมาถึงจวนสกุลฉีแห่งนี้ ไป ๆ มา ๆ ไม่รู้ว่าถานผิงถิงนั่น หาเรื่องมาให้คุณหนูเท่าไรแล้ว ผ่านไปสามปี เรื่องกึ่งหนึ่งในบ้านก็เป็นเพราะนางคนชั้นต่ำนั่นยุแยงตะแคงรั่วตอนนี้ถือว่ากรรมตามสนองแล้วอวี้หมัวมัว “นั่นน่ะสิ ตอนนี้ถานผิงถิงกำลังร้องไห้โวยวายอยู่ที่สวนฉางโซ่ว บอกว่าจะจับตัวฉีอวี่เยียนส่งทางการ บ
คิ้วตาของอวี้หมัวมัวขยับเล็กน้อย ทว่าอย่างไรนางก็สุขุมกว่าเจาซีหน่อย ในฐานะบ่าวรับใช้ แม้จะไม่พอใจ ก็ไม่มีทางโวยวายกับเจ้านายง่าย ๆ หากยั่วจนฉีจื่อฟู่สั่งสอนตน จะเป็นการสร้างความลำบากให้คุณหนูโดยไม่มีสาเหตุเปล่า ๆจึงไม่ได้พูดอะไรมากความ นางเอ่ยเพียง “ท่านซื่อจื่อ เตาอุ่นมือนี้ ปกติฮูหยินซื่อจื่อโปรดปรานเป็นอย่างมาก”ฉีจื่อฟู่ “นั่นแล้วอย่างไร? หรือว่าความชอบเล็กน้อยนั่นของนาง มันสำคัญกว่าเด็กในท้องของม่านหวา?”พูดจบก็ไม่สนใจอวี้หมัวมัวอีก จากนั้นก็สาวเท้าก้าวยาวเดินออกไปอวี้หมัวมัวชะงักไป ก่อนจะมองเจาอู้ทีหนึ่ง “คิดว่าคุณหนูคงออกมาจากห้องท่านโหวแล้ว เจ้าไปบอกเรื่องนี้กับคุณหนูซะ”กะอีแค่เตาอุ่นมืออันเดียว อวี้หมัวมัวรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ที่จริงคุณหนูก็ไม่ได้ขาดแคลนเลยทว่าการกระทำของฉีจื่อฟู่ กลับทำคนสะอิดสะเอียนอย่างไร้สาเหตุเจาอู้ “เจ้าค่ะ!”…ในวินาทีนี้หรงจือจือออกมาจากห้องหนังสือของซิ่นหยางโหวพร้อมกับเจาซีแล้วจริง ๆครั้นเห็นว่ารอบข้างปลอดคน เจาซีก็กดเสียงต่ำเอ่ยขึ้นว่า “ภาพเหมือนที่คุณหนูให้พวกเรารวบรวมในก่อนหน้านี้พวกนั้น บ่าวยังรู้สึกข้องใจไม่หายเลยเจ้าค
นางถาน “เจ้า...”ครั้นนางเห็นบุตรสาวดื้อด้านเช่นนี้ ก็เกิดมีน้ำโหเช่นกันเมื่อนางเบือนศีรษะก็เห็นถานผิงถิง จึงถามขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ผิงถิง ท่านโหวบอกว่าเจ้าก็ไปด้วย เหตุใดเจ้าถึงไม่ห้ามน้องของเจ้าล่ะ?”เมื่อนางกล่าวถึงถานผิงถิงสายตาเหี้ยมโหดของฉีอวี่เยียนก็ตกไปที่ถานผิงถิง “ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน! หรงจือจือก็บอกแล้ว ที่จางหมัวมัวมาที่จวนไม่ได้มาพูดเรื่องหมั้นหมายใหม่อีกครั้ง!”“ท่านก็เอาแต่ยุแยงตะแคงรั่วอยู่ข้าง ๆ อยู่นั่น บอกว่าหรงจือจือดูถูกข้า จงใจปิดบังข้า เพราะไม่อยากให้ข้าแต่งงานเข้าจวนอ๋อง”“เพราะข้าฟังคำพูดซี้ซั้วของท่าน ถึงได้ไปโวยวาย! หากท่านไม่พูดเรื่องพวกนั้น ข้าจะเลอะเลือนเช่นนี้ได้อย่างไร?”คนอย่างฉีอวี่เยียน เห็นแก่ตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทว่าหากมีอะไรต้องรับผิดชอบ เช่นนั้นก็เป็นคนข้างกายในวินาทีนี้ไหนเลยที่นางจะนึกคำพูดในตอนนั้นของถานผิงถิงไม่ออก?ครั้นเห็นสายตาเย็นเยียบของนางถานทอดมองมา ถานผิงถิงก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “น้องอวี่เยียน ตอนนั้นก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับเจ้านะ! ข้าเพียงกลัวว่าสกุลหรงจะมีเจตนาไม่ดี ถึงได้คาดเดา...”ฉีอวี่เยียนกล่าวขึ้นอย่างโกรธแค้น “ท่านก็ไม่ไ
ฉีอวี่เยียนหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด พยายามอยากจะฟัง ทว่าสัมผัสได้เพียงความเจ็บปวดที่หูซ้ายพร้อมกับเสียงอื้ออึง จากนั้นก็ค่อย ๆ ไม่ได้ยินกระทั่งเสียงอื้ออึงแล้ว ราวกับถูกฝ้ายอุดเอาไว้ก็มิปาน และยังปวดหัวอย่างรุนแรงตามมาด้วยส่วนซิ่นหยางโหวยังเดือดดาลขึ้นศีรษะครั้นเห็นชาวบ้านที่หัวเราะเยาะพูดคุยกันเป็นเรื่องตลกโดยรอบเหล่านั้น เพลิงโทสะชั่วร้ายก็ยิ่งพุ่งขึ้นยอดหัวกะโหลก เขาหวดแส้ไปที่ฉีอวี่เยียนทีหนึ่งจนต้องครางออกมาด้วยความเจ็บปวด!หลังจากนั้นก็กล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ลากนางลูกไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวนี่กลับไปที่จวนโหวเสีย!”บรรดาบ่าวรับใช้ “ขอรับ”เจาซีมารายงานข่าวพวกนี้กับหรงจือจือ ในใจผุดความปลื้มปีติที่พูดออกมาไม่ได้ “ท่านโหวลากนางไปที่สวนฉางโซ่ว พร้อมด่านางถานไปด้วย บอกว่าเป็นเพราะลูกสาวตัวดีที่นางสั่งสอนมา!”“นางถานยังไม่ทันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็ถูกท่านโหวฟาดฝ่ามือลงบนหน้าอีก ใบหน้าที่กว่าจะยุบอย่างยากเย็นแสนเข็ญในก่อนหน้านี้ กลับต้องบวมอีกครั้ง”“หลังจากนั้นเมื่อนางถานรู้ว่า ฉีอวี่เยียนไปสาบานร้ายแรง เขียนหนังสือเลือดตัดขาดกับนาง สีหน้าก็คล้ำดำเขียวครึ่งซีดเผือดครึ่ง แล้วก็ไม่แยแ
นางเซี่ย “ไม่ได้เข้าใจอะไรผิดทั้งนั้น ตราบใดที่เจ้ายังเป็นลูกสาวของนางถาน เจ้าก็ไม่มีทางได้แต่งงานกับลูกชายข้า! ข้าเกลียดแม่ของเจ้าเข้าไส้ ดูถูกไปทุกสิ่ง”นางยังจำได้ว่าตนรับปากอะไรกับหรงจือจือเอาไว้ ยังปัดความรับผิดชอบไปให้นางถานดังเดิมเมื่อนางเซี่ยกล่าวจบ ก็สาวเท้ามุ่งหน้าไปยังจวนอ๋องผู้ใดจะไปรู้ได้ว่าฉีอวี่เยียนจะตัดสินใจโหดเหี้ยม หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมา แล้วกัดนิ้วจนเลือดออกเสียตรงนั้นเลย “พระชายาซื่อจื่อ ข้าจะเขียนหนังสือเลือดตัดขาดกับท่านแม่ของข้าเสีย!”นางเซี่ยมีชีวิตอยู่มาจนอายุปูนนี้ เคยเห็นอะไรมามากมาย ทว่าไม่เคยเห็นผู้ใดทำอย่างฉีอวี่เยียนถานผิงถิงเองก็ตกตะลึง แม้นางจะคอยเสี้ยมมาโดยตลอด ทว่าคนที่นางชิงชังจริง ๆ มีเพียงหรงจือจือเท่านั้น นางยังคิดทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าอาหญิงและฉีอวี่เยียน เช่นนี้ถึงจะพอมีหวังได้แต่งงานกับลูกพี่ลูกน้องของตนหากฉีอวี่เยียนก่อเรื่องจนถึงขั้นนั้น กลับไปหากอาหญิงรู้ว่าตนกล่าวสิ่งใดออกไป ไม่ก่นด่าตนจนหูแตกสิถึงจะแปลกนางรีบเอ่ยปากขึ้นทันที “อวี่เยียน อย่าบุ่มบ่าม! อาหญิงคือแม่แท้ ๆ ของเจ้านะ...”ฉีอวี่เยียนกล่าวอย่างแน่วแน่ “ข้าไม่มีท่านแม
หรงจือจือเห็นฉีอวี่เยียนรีบร้อนจากไปจึงทำเป็นตะโกนอย่างร้อนรน “น้องเยียน เจ้าอย่าก่อเรื่องเป็นอันขาดนะ กลับมาเร็ว!”ทว่าตัวกลับไม่แยกออกจากเก้าอี้ ไม่มีท่าทางเหมือนจะไปรั้งคนด้วยตัวเองสักนิดส่วนฉีอวี่เยียนหลังจากได้ยินเสียงของหรงจือจือแล้วก็เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก ราวกับกลัวจะถูกถ่วงอนาคตอันสวยงามของตัวเองหรงจือจือถอนหายใจทีหนึ่ง “เฮ้อ นี่จะทำอย่างไรดี...”การแสดงออกเช่นนี้ของนางกลับทำให้ถานผิงถิงตาค้างไปวันนี้หรงจือจือเป็นอันใดไป? เหตุใดจึงไม่คิดขัดขวางอย่างจริงจัง ไม่ให้ฉีอวี่เยียนออกไปจากบ้าน?ถึงตอนนั้นนางจะได้แอบเป่าหูฉีอวี่เยียนอีกที เช่นนั้นฉีอวี่เยียนจะมิเคียดแค้นหรงจือจือ ไม่พอใจพี่สะใภ้คนนี้มากขึ้นหรือ? ระหว่างที่นางนิ่งไป หรงจือจือยังปรายตามองนาง “น้องถิง เจ้าไม่ไปกับอวี่เยียนหรือ? ยังไม่รีบไปเป็นเพื่อนนางอีก?”หลังจากได้ยินการไล่แขกนี้แล้ว ถานผิงถิงก็จุกอกนางก็กลัวเหมือนกันว่าฉีอวี่เยียนจะไปก่อเรื่องจริง ๆ ถึงตอนนั้นหากอาหญิงรู้ว่านางยุแยงตะแคงรั่ว จะตำหนินางได้ จึงรีบหมุนตัวตามไปห้ามฉีอวี่เยียนทว่านางห้ามฉีอวี่เยียนในเวลานี้ได้ที่ไหน?หลังจากพวกนางพี่น้อง