“เวลานี้คุณยังมาพูดล้อเล่นอีกเหรอ…ว้าย” ฉันรีบเอามือปิดปากตัวเองแน่นเพราะเมื่อกี้คนขับแซงคนบรรทุกไปด้วยเส้นยาแดงผ่าแปดถ้ารอดวันนี้ไปได้สัญญาเลยว่าจะทำบุญบ่อยใส่บาตรบ่อยๆเลยเอ้าดีที่คาดเข็มขัดนิรภัยเอาไว้เพราะการหักเลี้ยวเมื่อกี้ทำเอาร่างกายฉันเซไปปะทะอกกว้างเต็มแรงอีกทั้งยังรู้สึกแน่นตรงหน้าอกอย่างบอกไม่ถูกเขาเองก็โอบฉันไว้เหมือนกันเมื่อเห็นว่ารถเริ่มเซคล้ายจะเสียหลักฉันหลับตาปี๋ซุกอยู่ในอ้อมกอดเขาด้วยความกลัวตายอีกทั้งในเวลานั้นคล้ายว่าฉันเองก็อ่อนแอและหวาดกลัวจนต้องหาที่พึ่งพิง ‘ขอให้ลูกรอดขอให้ลูกรอด’ แถมยังขยุ้มเสื้อตรงหน้าอกของเขาจนยับยู่ยี่ไปหมดเหมือนเจ้าตัวแสบในท้องจะรู้ว่าแม่กำลังขวัญหนีดีฝ่อจึงยกเท้าถีบตุ๊บๆคล้ายอยากส่งกำลังใจให้ให้ตายเถอะทำไมชีวิตฉันถึงได้ขึ้นลงเหมือนรถไฟเหาะอย่างนี้ความคิดมากมายวิ่งวนในหัวจนได้ยินคนขับรถพูด
“สลัดหลุดแล้วครับ”
“ดี…ถึงบริษัทแล้วเอาเมมไปเช็กว่าใครเป็นเจ้าของรถ” ยังไงก็เป็นทะเบียนปลอมแน่ริวอิจิคิดในใจไม่รู้อีกฝ่ายต้องการอะไรอาจจะแค่ต้องการเขียนเสือให้วัวกลัวตั้งแต่เขาก้าวเท้าเข้ามาขยายธุรกิจในประเทศนี้ก็มีเรื่องที่ต้องให้แปลกใจมากมายรวมไปถึงเส้นสายและเงินใต้โต๊ะแต่ถึงอย่างไรเขาก็ยืนยันทำในสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจคนเหล่านั้นอีกอย่างตำแหน่งและอำนาจเปลี่ยนมือได้เสมอติดกระดุมเม็ดแรกผิดเม็ดต่อๆไปย่อมผิดพลาดด้วยเหตุนี้เขาจึงเดินเกมธุรกิจด้วยความระมัดระวังและทำอย่างขาวสะอาดไม่ยอมจ่ายเบี้ยรายทางเพื่อปูทางถ้าเขาไม่ใช่คนตัวเปล่าเล่าเปลือยคงจะหาทางเอาคืนอย่างเจ็บแสบไปแล้วแต่ตอนนี้พอมองแม่ของลูกที่ตัวสั่นเป็นลูกนกอยู่ในอ้อมกอดแววตาที่แข็งกร้าวเมื่อครู่ก็อ่อนแสงลงมองเลยไปถึงหน้าท้องนูนในนั้นกำลังมีเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาที่กำลังจะออกมาดูโลกไม่กี่สัปดาห์นี้แล้ว
ฉันเองเมื่อได้ยินคนขับรถพูดแบบนี้ก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองโน้มตัวลงมาเบียดอยู่ในอ้อมกอดของใครบางคนแถมยังขย้ำเสื้อตรงหน้าอกตรงเป็นรอยฉันไล่สายตาจากหน้าอกผ่านลูกกระเดือนสันกรามก่อนจะสบตากับอีกฝ่ายที่จ้องมาก่อนหน้าอยู่แล้ว
“ไง”
“คะขอโทษค่ะ” ฉันรีบเอ่ยขอโทษขอโพยแม้ไม่ส่องกระจกก็พอจะเดาได้ว่าหน้าของฉันต้องซีดเป็นไก่ต้มแน่ๆเสียงสั่นซะขนาดนั้นตั้งแต่พบเจอเขาชีวิตของฉันก็เจอแต่เรื่องประหลาดและน่าตื่นเต้นไม่หยุดหย่อนไม่ว่าจะเป็นเรื่องคืนนั้นที่ทำให้เราทั้งสองต้องมาเกี่ยวข้องกันอย่างช่วยไม่ได้แม้ในใจจะกู่ร้องว่าปล่อยฉันลงข้างทางซะยังดีกว่าที่ต้องทนนั่งอยู่ในรถที่ไม่รู้ว่าจะถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพหรือเปล่าเมื่อรถหยุดลงร่างกายของฉันก็เหมือนจะขาดเลือดขึ้นมาเสียดื้อๆรวมไปถึงฝ่ามือของอีกฝ่ายแบมือรอรับให้ฉันลงไป
ฉันลงรถไปด้วยอาการไม่สู้ดีหน้ายังคงซีดเผือดเมื่อเห็นตัวเองผ่านกระจกรถแข้งขาอ่อนแรงแทบจะเสียหลักแต่ท่อนแขนของเขาก็เหมือนไม้ใหญ่ที่ให้ต้นอ้ออย่างฉันได้ตั้งหลักและพึ่งพิงอีกครั้งเราสบตากันโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ปริปากพูดอะไรเขาเดินจับจูงมือฉันเข้าไปในอำเภอช้าๆ
“ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงแต่วิธีการนี้เป็นวิธีการเดียวที่คุณและเด็กจะได้ในสิ่งที่สมควรได้และมันจะเป็นหลักประกันเมื่อผมเป็นอะไรไป” ริวอิจิหันมามองคนข้างหลังที่ขืนตัวไว้ไม่ยอมเดินตามมาเขาเห็นเธอเม้มปากแน่นก้มมองพื้นเหมือนจะช่างใจอะไรบางอย่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วยแววตาที่เด็ดเดี่ยวเหมือนไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว
“คุณคิดดีแล้วจริงๆเหรอคะว่าต้องการจะจดทะเบียนสมรสกับฉัน” เมื่อเห็นเขามองที่ฉันดวงตาสีนิลคู่นั้นเหมือนน้ำลึกที่ไม่สามารถค้นหาอะไรได้ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจแต่ทว่าสายตาที่มองมามันไม่ได้มีความหมายลึกซึ้งอะไรทำนองนั้นแต่กลับแน่นิ่งคล้ายกดดันอยู่ในทีฝ่ามือใหญ่นั้นกระชับมือเล็กแน่นขึ้นก่อนจะขยับฝีเท้าเดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมาอีกฉันได้แต่เดินตามเขาไปอย่างว่าง่ายตรองดูอย่างถี่ถ้วนมันก็จริงของเขาทะเบียนสมรสมันจะเป็นหลักประกันของเราสองแม่ลูกได้เป็นอย่างดีฉันสูดหายใจเข้าปอดลึกๆเอาวะเป็นไงเป็นกันแม้ว่าจะจดทะเบียนแต่ใช่ว่าจะอยู่กินกันตามสามีพฤตินัยเสียที่ไหนอย่างน้อยเจ้าตัวเล็กเขาก็มีสิทธิ์ได้รู้ว่าพ่อของเขาเป็นใครอีกทั้งมีสิทธิ์ในมรดกตามกฎหมาย
เมื่อกลับมาถึงคอนโดเรี่ยวแรงที่มีก่อนหน้าเหมือนจะถูกสูบหายไปหมดตั้งแต่ลงรถมามือยังสั่นไม่หาย ไหนจะเรื่องที่ถูกขับตาม ไหนจะเรื่องการจดทะเบียนสมรสสายฟ้าแลบ หลังจากจดทะเบียนสมรสเสร็จฉันก็จ้องมองกระดาษในมืออย่างเหม่อลอย เอกสารแผ่นเดียวเปลี่ยนชีวิตฉันไปเลยก็ว่าได้แม้จะยังคงคำนำหน้าเป็นนางสาว แม้กระทั่งนามสกุล เพราะไม่อยากเปลี่ยนเอกสารต่าง ๆ ให้ยุ่งยาก ยังดีที่เขาไม่ได้ถามและเคารพการตัดสินใจของฉันที่เลือกคงคำนำหน้าและนามสกุลเดิมเอาไว้ อีกอย่างฉันไม่อยากให้คนที่ทำงานรู้ด้วยว่าฉันจดทะเบียนสมรสกับอีตาประธานนี่ ร้อยทั้งร้อยเกรงว่าคนจะคิดในทางลบมากกว่าบวก ตอนแรกฉันไม่อยากจะเชื่อว่าเขาจะให้ฉันเป็นภรรยาที่ออกหน้าเพียงเพราะฉันอุ้มท้องลูกของเขา อีกอย่างเขามีรูปโฉมเป็นทรัพย์ไม่พอ ฐานะการงานยังมั่นคงและเขาไม่น่าจะเลือกฉันที่ไม่มีอะไรเทียบเท่ากับเขาได้สักอย่าง อีกอย่างธุรกิจเขาใหญ่โตออกปานนั้นต้องพบเจอคนมากหน้าหลายตา วงในไฮโซทั้งหลายแหล่ แต่พอเห็นเอกสารที่ฝั่งเขาเตรียมมาก็ทำให้ผู้หญิงธรรมดาอย่างฉันใจชื้นขึ้นมาบ้างว่าเขายังโสดในทางนิตินัยเพราะต้องใช้ใบรับรองโสดที่ผ่านการรับรองจากกงสุลฯ ใบทะเบียนบ้านทางญี่ปุ่น อีกอย่างเรื่องสัมพันธ์ทางพฤตินัยก่อนหน้าฉันควบคุมเขาไม่ได้อยู่แล้ว นั่งจ้องใบสมรสในมือพร้อมกับลูบหน้าท้องไปด้วย
“ให้ตายจู่ๆก็กลายเป็นนางโดยไม่ทันตั้งตัว” ฉันตบแก้มตัวเองเกรงว่าจะฝันไปก่อนจะฟุบหน้าลงกับโซฟาอย่างอ่อนล้าอีกด่านที่เหลือก็คือแม่ผัวเอาจริงถึงการอยู่ก่อนแต่งจะมีมากในยุคปัจจุบันแต่อย่างน้อยสองครอบครัวก็รู้จักมักจี่กันไปมาหาสู่กันบ้างแต่กรณีฉันเป็นแม่ใครก็คงช็อกช็อกแรกคลอดแล้วจ้าช็อกที่สองจดทะเบียนสมรสเป็นผัวเมียกันเรียบร้อยโรงเรียนญี่ปุ่นต่อให้ไม่ชอบไม่ถูกใจยังไงก็ต้องทำใจอย่างเดียว
อีกอย่างวีรกรรมแม่ผัวญี่ปุ่นที่เกลียดชังสะใภ้ต่างชาติที่คนไทยหลายคนต้องเจอในกลุ่มทำฉันนั่งกัดเล็บคิดไม่ตกเหมือนกันแต่ทำยังไงได้เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วและฉันก็ไม่มีความคิดจะย้ายไปอยู่ญี่ปุ่นกับเขาด้วยในตอนนี้น่ะนะอย่างน้อยฉันก็หวังว่าชีวิตต่อจากนี้จะไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้
ริวอิจิหลังจากให้คนขับรถไปส่งแม่ของลูกเขาก็ไปยังคลับแห่งหนึ่งที่นัดกันไว้กับเพื่อนตัวดี ‘จิรัติกร’ ที่เจอในฐานะลูกค้ารายใหญ่ก่อนหน้าเขาสองคนรู้จักและคบหากันตั้งแต่ไปเรียนโทที่บอสตันภายในห้องส่วนตัวเมื่อเห็นหน้าเพื่อนรักจิรัติกรก็ยกบรั่นดีในมือเป็นเชิงทักทาย“ไฮ”ริวอิจิเดินเข้าไปนั่งข้างเพื่อนรักพลางไขว่ห้างก่อนจะเท้าแขนกับผนังพิงโซฟาเขาถอนหายใจดังเฮือกหากไม่ใช้ยาแรงคิดว่าเรื่องจดทะเบียนสมรสในวันนี้คงไม่สำเร็จไปได้โดยง่าย“เอ้า..ดื่มหน่อย” จิรัติกรรินเครื่องดื่มสีอำพันส่งให้เพื่อนรักก่อนจะยิงคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจเมื่อได้ยินอีกฝ่ายออกปากขอให้ช่วย“แกคิดยังไงถึงจะหาบ่วงมาผูกคอ” ชายหนุ่มหน้าตาคมคายหลังจากถอดสูทปลดกระดุมหน้าออกสองเม็ดด้วยท่าทีที่ผ่อนคลายดูยังไงก็มีเลศนัยและดูเจ้าชู้แต่ทว่าจิรัติกรเองกลับไม่มีเรื่องผู้หญิงเข้ามาให้ปวดหัวเท่าริวอิจิที่ดูเงียบขรึมเย็นชาแต่กลับหลีหญิงจีบสาวเก่งกว่าเขาที่ดูแพรวพราวด้วยเพราะสายตาที่มักจะหวานหยาดเยิ้มมองสาวๆทีแม่สาวเจ้าใจอ่อนระทวย“ก็ไม่คิดไง”“หืม…ถึงขนาดจดทะเบียนสมรสแกบอกไม่คิดไงเนี่ยนะ”“แกก็เห็น”“เออ…ปกติระวังจะตายนี่หว่าไปทำอีท่าไหนจนเค้า
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”“นอนหรือยัง?” ฉันอึ้งกับคำถามของเขาสงสัยจะเมาจริงๆถ้ารู้ว่าเป็นเวลานอนก็ไม่น่าจะมากดออดเวลานี้ไหม “มีอะไรหรือเปล่าคะ”“ผมหาคีย์การ์ดไม่เจอ” คอนโดที่นี่จะมีคีย์การ์ดสองใบใบแรกสำหรับแตะเข้าประตูใหญ่อีกใบสำหรับแตะลิฟต์และเปิดประตูหน้าห้องพัก “แล้วคุณขึ้นลิฟต์มาได้ยังไง”“ผมติดคนอื่นมาน่ะ”“อ้อ…แล้วยังไงคะ”“คุณช่วยผมหาหน่อยได้หรือเปล่า” พอได้ยินดังนั้นฉันก็ตัดสินใจเปิดประตูโดยสวมชุดคลุมบดบังเรือนร่างเอาไว้“คุณ” ฉันมองเขาตั้งแต่หัวลงล่างเห็นเขายืนหลังพิงกำแพงพร้อมกับกอดอกเหมือนเก๊กแบบนั้นก็ถอนหายใจออกมาบุคลิกของเขาในสายตาฉันนี่มันขัดหูขัดตาเสียจริงเหมือนผู้ชายขี้เก๊กขี้หลีสาวอะไรเถือกนั้นแม้จะเมามายแต่ชุดสูทที่สวมอยู่บนตัวยิ่งขับให้เขาดูมีเสน่ห์ตามฉบับคาสโนว่ายิ่งสายตาที่ฉ่ำเยิ้มตอนเมานี่ทำเอาฉันไม่กล้าสบตาเขาเลยจริงๆให้ตาย! “คุณเอาคีย์การ์ดไปไว้ที่ไหน” เขาแบมือสองข้างพร้อมยักไหล่“ผมจำไม่ได้”“งั้นคุณก็ไปติดต่อนิติ”“เขาคุยภาษาญี่ปุ่นได้ที่ไหน” ฉันอดที่จะกลอกตาไม่ได้แม้รู้ว่าเสียมารยาทมากก็เถอะ “ไม่งั้นในกระเป๋าเสื้อสูทกระเป๋ากางเกงคุณหาดูหรือยัง”“ผมอยากเข้าห้อง
เพราะอาการนอนไม่พอหรืออย่างไรไม่ทราบ ขนมปังปิ้งที่ปกติจะปิ้งแผ่นเดียวดันใส่สองแผ่น คล้ายกับสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พอกำลังจะนั่งกินเสียงออดที่หน้าห้องดังขึ้นมาพอดี ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใคร มีอยู่คนเดียว ฉันเดินไปเปิดประตูด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ ส่วนเขานั้นใบหน้าอิ่มเอมไม่เหมือนคนนอนไม่พอ สมกับประเทศที่โนมิไกเมาหัวราน้ำตามสถานีรถไฟ พอตอนเช้าสวมวิญญาณซาลารีแมนไปทำงานได้อย่างกระปรี้กระเปร่า เขาเอ่ย “อรุณสวัสดิ์” ฉันก็เอ่ยตอบไปตามมารยาท“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”“พอดีผมยังไม่ได้ทานข้าวเช้า”“อ้อ” ฉันเดินนำไปนั่งตรงเก้าอี้ทานอาหารเช้าเหมือนเดิม “อยากทานอะไรหยิบได้เลยไม่ต้องเกรงใจนะคะ!” ฉันกระแทกเสียงตรงไม่ต้องเกรงใจก่อนจะนั่งลงดื่มนมไม่สนใจเขาอีกแต่อีกฝ่ายกลับผิวปากเปิดคุ้ยตู้เย็นบ้านคนอื่นอย่างอารมณ์ดีแถมหั่นนั่นนี่อย่างสบายใจเฉิบ“ขนมปังแผ่นเดียวเจ้าหนูน่าสงสารเกินไปแล้ว” พูดเสร็จก็วางอะโวคาโดสตรอว์เบอร์รี่กล้วยลงในจานที่มีขนมปังปิ้งที่เว้าแหว่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งฉันมองเขาที่ชงกาแฟสำเร็จนั่งทานอยู่ตรงข้ามในจานของเขาไม่ต่างจากจานของฉันเลยสักนิดเมื่อเขาเห็นฉันจ้องมองเขาโดยไม่ปริปากพูดอะไรก็ผายมือ “
“สวัสดีค่ะ” ฉันยกมือไหว้เหมือนทุกวัน “มาพอดีเลยเรานี่พี่คุยกับคนอื่นๆอยู่พอดีอีกอย่างโปรเจกต์ก็ผ่านไปได้ด้วยดีพี่นุ้ยพูดพลางลูบหน้าท้องฉันไปด้วย “ลำบากเราแย่เลย”“ไม่เป็นไรเลยค่ะเจต่างหากที่ทำให้ทุกคนต้องลำบาก” เพราะกว่าจะหาคนมาแทนช่วงที่ฉันลาคลอดก็ทำเอาพี่นุ้ยหัวหมุนไปเหมือนกันเพราะว่ามันค่อนข้างฉุกละหุกอีกอย่างหากเป็นงานประเภทอื่นที่ไม่สามารถทำที่บ้านได้ฉันคงโดนวีนไปสิบแปดตลบ “ถ้าไม่ติดว่าเราท้องจะชวนไปปล่อยผีกันสักหน่อยคืนนี้วันศุกร์ด้วย” ฉันหัวเราะก็จริง…ถ้าฉันไม่ท้องป่านนี้ก็คงไปปล่อยผีเหมือนอย่างที่พี่นุ้ยว่าพี่นุ้ยพี่ศจีเองแม้จะมีครอบครัวแต่ทว่าลูกเต้าโตกันหมดแล้วไม่มีอะไรให้ห่วงเห็นว่าคนเล็กจะจบป.ตรีอยู่แล้วมั้ง“รอเจคลอดก่อนนะคะ” ฉันพูดหยอก“โอ๊ย! มีแรงลุกมากินให้ได้ก่อนเถอะตอนพี่มีคนแรกขยาดไปเลยกว่าจะตัดสินใจมีคนที่สองผมเผ้ายังไม่มีเวลาได้หวีด้วยซ้ำ” “โห…ขนาดนั้นเลยเหรอคะ” พอเห็นสีหน้าสลดของฉันพี่นุ้ยก็ตบหลังเบาๆ “เอาน่ามนุษย์แม่อย่างเราทำได้สบายอยู่แล้วเดี๋ยวลูกก็โตแรกๆเหนื่อยหน่อยสักพักก็อยู่ตัวมีอะไรก็ทักมาถามไถ่ได้” พี่นุ้ยพูดฉันยกมือไหว้ด้วยความซาบซึ้งใจ“คลอดเมื
ฉันกลับมาถึงห้องโดยที่ติดรถพี่นุ้ยมาพอเปิดเข้ามาในห้องก็สว่างโร่แสดงว่ามีคนอยู่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่มีแต่ความมืดมิดนานแค่ไหนแล้วนะที่ห้องนี้ไม่มีใครก้าวเข้ามาอีกทั้งไม่มีใครรอฉันกลับบ้าน…ริวอิจิที่สวมชุดนอนนั่งดูทีวีอย่างสบายใจเฉิบฉันก็อดไม่ได้ที่จะพูดตามธรรมเนียม“ทะไดมะ/กลับมาแล้วค่ะ”“โอไคริ”/ยินดีต้อนรับกลับ” “คุณ/คุณ”“เชิญคุณพูดก่อนเลย”“คุณทานข้าวหรือยัง” จะไม่ถามก็กระไรอยู่อีกอย่างนี่มันสามทุ่มเข้าไปแล้ว“คุณว่ากี่โมงแล้วล่ะ”“ถ้างั้นเชิญตามสบายฉันขอตัว” “ดูเหมือนว่าคุณจะปวดส้นเท้ามากนะ” ฉันที่ก้าวขาเดินไม่กี่ก้าวถึงกับหยุดชะงัก “นิดหน่อยค่ะ”“ผมเตรียมน้ำไว้ให้คุณแล้วรอแป๊ป” ฉันทำหน้างงอีกอย่างอ่างอาบน้ำที่ห้องของฉันไม่เหมือนกับอ่างอาบน้ำของญี่ปุ่นที่มีปุ่มกดอุ่นน้ำหรือปรับระดับอุณหภูมิอะไรได้สักพักก็เห็นเขายกกาน้ำร้อนเข้าไปในห้องนอนของฉันฉันจึงรีบวางกระเป๋าแล้วรีบสาวเท้าตามไปดูเห็นว่าเทลงไปในอ่างจนหมดก่อนจะวัดอุณหภูมิ “เสียดายที่แช่ได้แค่ข้อเท้าไม่เหมือนอ่างที่ญี่ปุ่น” “เท้าคุณบวมมากแช่น้ำร้อนสักหน่อยค่อยอาบน้ำ” ก่อนจะหันไปปรับอุณหภูมิน้ำร้อนไปที่สี่สิบองศาฉันตาโตนี่เข
น้ำหนักมือของเขากดลงบนฝ่าเท้าอย่างพอดีจนฉันอดคิดในใจไม่ได้ว่าเขาดูชำนาญขนาดนี้ไม่ได้เพิ่งทำเป็นครั้งแรกแน่ๆไม่ว่าจะเป็นการลงน้ำหนักกดเส้นต่างๆพอเขาเห็นฉันเงียบไปก็เงยหน้ามายิ้มมุมปาก“น้ำหนักพอใช้ได้ไหม”“อือ”“ทำไมคุณถึงนวดเป็น”“ก็แค่นวดจะแปลกอะไร” พอเขาเห็นสีหน้าของฉันเขาก็พูดต่อทันที “ถ้าผมเหาะเหินเดินอากาศได้สิถึงจะแปลก”“ไม่ใช่แบบนั้น…คือฉันหมายถึงผู้บริหารแบบคุณไม่น่าจะมีงานอดิเรกแบบนี้” จะว่าไงดี “ฮ่าๆแล้วคุณคิดว่าผู้บริหารต้องมีงานอดิเรกตีกอล์ฟสังสรรค์อะไรทำนองนั้นเหรอคนอื่นอาจจะใช่แต่สำหรับผมการตีกอล์ฟไม่ใช่งานอดิเรกแต่เป็นการพบปะพูดคุยเรื่องงานนวดนี่สิถึงจะเป็นงานอดิเรก” ไม่ใช่ว่านวดด้วยแล้วนาบด้วยหรอกนะฉันคิดในใจ “เจ็บ” “ตรงนี้ตำแหน่งนี้เป็นส่วนท้องบริเวณกระเพาะ” นิ้วชี้เรียวยาวจิ้มตรงด้านข้างของบริเวณฝ่าเท้าที่ถัดลงมาจากหัวแม่โป้งลงมาสามนิ้ว“ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่าบริเวณฝ่าเท้าสามารถบอกตำแหน่งโรคได้ด้วย”“นวดไทยดังระดับโลกแปลกที่คุณไม่รู้” ฉันทำหน้ายู่เหมือนถูกเขาหลอกด่ายังไงก็ไม่รู้ “ฉันไม่ได้ชอบนวดฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ฉันกอดอกหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อเขากดลงตำแหน่งไหนก็เ
พอกลับออกมาเขาก็นอนอีกฝั่งของเตียง ฉันลังเลแต่เขากลับตบลงเตียงดังปุ ปุ“ผมเล่าเรื่องครอบครัวให้คุณฟังขนาดนี้แล้วยังต้องกลัวอะไรอีก” ฉันก้มลงนอนหันข้างไปทางฝั่งเขาอย่างว่าง่ายพร้อมกับหมอนข้างคนท้องที่สอดใต้ท้องเอาไว้เขาเอื้อมมือมาสัมผัสหน้าท้องนูนแถมเจ้าตัวเล็กยังเคลื่อนไหวคล้ายฉีกแข้งขาอยู่ข้างในบอลลูนใบเล็กอย่างไม่ชอบใจนัก “นี่ก้นหรือเปล่า” เขาหัวเราะเมื่อเห็นว่าหน้าท้องปูดโปนโย้เย้ไปมาน่าจะซนน่าดู “รู้หรือยังว่าเพศอะไร”“แล้วคุณล่ะอยากได้เพศอะไร” เขาเลิกคิ้วพลางทำหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยปนขำออกมา“ผมเลือกได้ที่ไหนไม่ว่าเพศอะไรก็ดีทั้งนั้นขอแค่เขาคลอดออกมาสมบูรณ์แข็งแรงเป็นพอ”“ฉันคิดว่าคุณอยากได้ลูกชายเสียอีก”“ผมไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าตัวเองจะกลายมาเป็นพ่อคน” เกิดความเงียบปกคลุมไปทั่วทั้งห้องมีเพียงเสียงเข็มนาฬิกาที่ดังอยู่อย่างนั้นฉันเม้มปากเป็นเส้นตรงไหนๆเรื่องก็มาถึงขั้นนี้การมีลูกสักคนต้องคิดให้ถี่ถ้วนไม่ใช่เฉพาะเงินแต่ต้องใช้เวลาด้วยกว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตต้องช่วยกันเลี้ยงทั้งหมู่บ้านไม่เกินจริงจะเที่ยวดื่มเหล้ายาปาร์ตี้เมื่อก่อนก็ทำไม่ได้การมีลูกทำให้พ่อแม่เสียเวลาชีวิตส่วนตัวไป
ฉันนอนตื่นสายกว่าปกติเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก่อนปาไปค่อนคืน ลืมตาตื่นตอนเช้าก็ไม่เจอเขาแล้ว หากเขายังนอนอยู่ตรงนี้ฉันก็คงไม่รู้จะทำหน้ายังไงเหมือนกัน เมื่อคืนไม่รู้ว่าฉันผล็อยหลับไปตอนไหน พอนึกไปถึงเมื่อคืนที่ฉันร้องไห้ต่อหน้าเขาอย่างหน้าไม่อายก็รู้สึกเขินอายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แม้ว่าคำขอโทษของเขาจะเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยการที่เขาเอ่ยคำขอโทษออกมาโดยที่ฉันไม่ได้เอ่ยปากร้องขอ ก็แสดงว่าเขาอาจจะเอ่ยออกมาจากใจ การเป็นพ่อแม่คนไม่ใช่ว่าทำลูกเกิดมาก็เป็นพ่อแม่ได้เลยแต่การจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งเป็นผู้ปกครองที่ตัดสินใจแทนเด็กที่อายุไม่บรรลุนิติภาวะเป็นตัวอย่างเป็นต้นแบบที่ดีให้เขาได้เจริญรอยตามนั่นล่ะถึงจะเรียกว่าพ่อแม่แม้จะตื่นแล้วแต่ก็ยังไม่ลุกจากเตียงก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามาฉันแกล้งหลับตานอนแน่นิ่งคล้ายว่ายังไม่ตื่น“ผมรู้ว่าคุณตื่นแล้ว” ฉันที่แสร้งคลุมโปงก่อนหน้าเลิกผ้าห่มออกมาจ้องเขาที่ปลายเตียง“เลยเวลาอาหารเช้าแล้วนะคุณเจ้าตัวเล็กคงหิวแล้วล่ะลุกมาทานอะไรสักหน่อยแล้วค่อยนอนก็ได้” พอเห็นเขาสวมเสื้อยืดกางเกงห้าส่วนแถมยังผูกผ้ากันเปื้อนแบบนี้เหมือนพ่อบ้านยังไง
จิรัติกรมางานแต่งเพื่อนชาวญี่ปุ่นด้วยความไม่คาดคิด ไม่คาดคิดว่าเพื่อนเขาจะสละโสดเร็วกว่าใคร ๆ ในรุ่น ก็แหงล่ะ…เจ้าชู้ประตูดินเสียขนาดนั้น แต่พอมาเจอเจ้าสาวในวันนี้ เขายังรับรู้ได้เลยว่าเพื่อนรักของเขามีความสุขในการแต่งงานครั้งนี้จริง ๆ แถมลูกชายยังน่ารักน่าชัง อ้วนท้วนสมบูรณ์เชียวนึกถึงตอนที่มาขอให้ช่วยรวบหัวรวบหางสาวเจ้าแล้วก็อดขำไม่ได้เพื่อนเขาถึงต้องลงทุนมากมายเพื่อทะเบียนสมรสฉบับเดียวแทนที่จะเป็นหญิงสาวคนนั้นที่ต้องอ้อนวอนขอทะเบียนสมรสจากริวอิจิน่ะส่งเพื่อนเข้าประตูวิวาห์พลันอดที่จะคิดถึงตัวเองไม่ได้…แล้วชีวิตคู่ของเขาจะเป็นแบบไหนเจ้าสาวจะเป็นใครแม้ว่าไม่เคยฉุกคิดเรื่องนี้ในหัวมาก่อนเลยก็ตามความคิดในหัวแตกกระเจิงเมื่อเจอใครบางคนคนคนนั้นที่ติดอยู่ในหัวของเขาแมวขโมย! สองแขนของปานประดับถูกกระชากอย่างแรงหลังจากที่เธอเพิ่งจะเรียงจานชามบนโต๊ะได้ไม่นาน“อะ” ฉันร้องเสียงหลงแถมยังต้องตกใจจนหน้าขาวซีดเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใครโลกมันจะกลมเกินไปแล้วอีกอย่างฉันเองก็คอยระมัดระวังตัวตลอด…“ไง” เขาถามด้วยใบหน้าราบเรียบแต่แววตากลับวาวโรจน์“คะ” ฉันตีเนียนแต่มือไม้เย็นจนเกือบจะถือถาดในมือไว้ไม
งานแต่งงานของฉันกับริวอิจิที่ประเทศญี่ปุ่นนั้นเป็นการแต่งงานแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งในโตเกียว เป็นศาลเจ้าเก่าแก่ ซึ่งคุณนายเคอิเป็นคนขอเอาไว้เนื่องจากเราแต่งงานที่ไทยกันมาแล้ว เลยอยากจะจัดงานแบบญี่ปุ่นบ้าง ฉันเลือกชุดกิโมโนสีขาว ส่วนเจ้าบ่าวเป็นสีดำ พิธีการค่อนข้างเคร่งครัดและเป็นระเบียบ แขกเหรื่อจะต้องยืนยันว่าจะมาร่วมงานเพราะชุดอาหารนับตามจำนวนคนและแพงมาก แม่เจ้า! รวมไปถึงของชำร่วยที่แขกเหรื่อจะเป็นคนเลือกเอง แต่สำหรับฉันพิธีการเรียบง่ายแต่กลับอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเป็นการบอกกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าฉันจะมาเป็นสะใภ้ของที่นี่ ทุกคนให้การต้อนรับฉันอย่างดีไม่น่าเชื่อว่าฉันจะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในสถานะที่แตกต่างออกไปในตอนแรกฉันมาเยือนโตเกียวด้วยวีซ่านักเรียนแต่พอมาอีกครั้งกลับมาในสถานะภรรยาของชาวญี่ปุ่นจัดงานเสร็จสรรพใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ฉันชอบความเรียบง่ายเลยไม่ได้จัดการฉลองที่โรงแรมอีกอีกอย่างเราก็มีลูกเล็กด้วยกระเตงออกงานทั้งวันคงเหนื่อยน่าดูที่สำคัญเจ้าเด็กอ้วนยังติดพี่เลี้ยงมากๆอีกด้วยพี่ไผ่เองตอนนี้ก็เปรียบเสมือนญาติอีกคนที่เข้าร่วมพิธีการในครั้ง
อีกทั้งฉันเองก็ขอร้องว่า…ไม่ต้องใส่ซองอะไรมาให้อีกอย่างทุกคนก็เสียสละวันหยุดมางานกันแล้วไหนจะเสื้อผ้าหน้าผมอีกแต่ทุกคนกลับมีของขวัญชิ้นเล็กชิ้นน้อยติดมือมาให้อยู่ดีคุณนายเคอิเองก็ยิ้มแช่มชื่นแม้จะมีอุปสรรคทางภาษาแต่เอแคร์เองก็พูดควบสองภาษาเพื่อให้คนทั้งงานเอนจอยไปด้วยกันแถมเพื่อนรักอย่างจิรัติกรเองก็มาร่วมงานด้วย“ไง” จิรัติกรเอ่ยทักเจ้าบ่าวข้างกายฉันพลางส่งของขวัญในมือให้“ขอบใจ” “งานสำคัญของนายทั้งทีฉันต้องมาอยู่แล้วน่า”“ยินดีด้วยนะครับคุณ…เอ่อ”“เจค่ะ”“ยินดีด้วยนะครับคุณเจ” “ขอบคุณมากค่ะ” แถมเขายังเข้ามาหยอกล้อเจ้าตัวน้อยที่นั่งหันหน้าบนเป้นั่งคาดเอวด้วยความเอ็นดู“นี่มันริวอิจิฉบับจิ๋วชัดๆ” เขาว่าพลางหัวเราะในคอแต่พลันสายตาก็เบิกกว้างเมื่อเห็นพนักงานที่คอยเติมอาหารและเครื่องดื่มในงาน“ขอตัวก่อนนะครับ” “ค่ะ” ฉันผายมือให้เขาเข้าไปในงานก่อนจะก้มลงไปหอมแก้มลูกน้อยที่แทะยีราฟตัวสีเหลืองอย่างมันเขี้ยวโดยไม่รู้เลยว่าบริเวณหลังร้านคนสองคนกำลังมีปากเสียงกันอยู่ เพราะเน้นความเรียบง่ายห้าโมงเย็นทุกอย่างก็เป็นอันสิ้นสุดนิ้วนางข้างซ้ายของฉันและเขาต่างประดับด้วยแหวนแต่งงานที่เราต่างแลกแห
“แต่พี่ก็ดีใจนะ อย่างน้อยเจก็ไม่ได้ตัวคนเดียวเหมือนอย่างตอนแรก ให้ตาย! ตอนแรกพี่เป็นห่วงอยู่เหมือนกัน หลังคลอดเราจะอยู่ยังไงกันสองคน พอรู้ว่าน้องเจมีคนคอยดูแลพี่ก็เบาใจ” พี่น้ำตาลที่ผ่านการมีลูกเต้ามาก่อนเอ่ยพร้อมกับเดินมาตบต้นแขนให้กำลังใจฉันยิ้มทั้งน้ำตา“ขอบคุณนะคะแต่ยังไงก็ยังเป็นเจคนเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป” ทุกคนพยักหน้าให้ “วันหลังเอาอากิระมาให้พี่ๆอุ้มบ้างพวกเราจะได้กอดหอมตอนยังเด็กนี่แหละ” เอแคร์ว่า“โตขึ้นมาพี่สาวคนนี้จองตัวเป็นผู้จัดการดาราเลยนะคะ” บรรยากาศผ่อนคลายลงมากภพที่ยังพูดน้อยเหมือนเดิมเอ่ยเพียงสองสามประโยค“ยินดีด้วยนะเจ”“ขอบคุณนะภพ” จะว่าไปเขาเป็นคนแรกๆก็ว่าได้ที่รู้ว่าพ่อในท้องของผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครเป็นการพบกันโดยบังเอิญไม่ว่าจะรถของหญิงสาวที่ท่านประธานคนใหม่ใช้อยู่เนืองๆไหนจะตอนที่คนทั้งสองไปซื้อของด้วยกันตอนแรกเขาทั้งตกใจและคาดไม่ถึง…ตอนแรกเขายอมรับว่าสนใจผู้หญิงคนนี้อยู่เหมือนกันแต่เหมือนเจ้าหล่อนก็ไม่เปิดโอกาสให้ใครหน้าไหนได้เข้าหามีกำแพงบางๆกั้นเอาไว้หากเธอไม่ท้องหรือมีครอบครัวไปเสียก่อนเขาก็ยังหวังว่าเราจะมีโอกาสได้สานต่อ…“แหมน้องภพมองตาละห้อยเชียวพ
ริวอิจิส่งข้อความมาบ้างแต่เราก็แทบไม่ได้คุยกันเลยตารางชีวิตแต่ละคนยุ่งสุดๆแต่แล้วความทรมานในการรอคอยก็สิ้นสุดลงเมื่อได้ยินเสียงกดออดที่หน้าห้องเมื่อเห็นในมอนิเตอร์ว่าเป็นใครฉันก็เปิดประตูให้อย่างเร็วรี่แม้ใบหน้าเขาจะเหนื่อยล้าสุดๆแต่กลับยิ้มแฉ่งเข้ามากอดและอุ้มฉันจนตัวลอย“ว้ายเล่นอะไรคะเนี่ย” ฉันแหวใส่เขาเมื่อถูกอุ้มจนเท้าไม่ติดพื้นแถมในตอนนี้เจ้าตัวน้อยเริ่มจะคว่ำแล้วคอกเด็กที่สั่งทำเอาไว้ก็ได้ฤกษ์ใช้เสียที“อากิระคุง” เสียงมาก่อนตัวริวอิจิที่สองมือหอบข้าวของพะรุงพะรังมามากมายก็ไม่ลืมที่จะรีบไปล้างมือหมายจะรีบมาอุ้มลูกชายแต่โดนฉันเบรกไว้ก่อน“ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าคะ” พ่อหมาทำหน้าละห้อยเหงื่อไหลโทรมกายขนาดนั้นอีกอย่างเชื้อโรคก็เยอะด้วยกันไว้ดีกว่าแก้เครื่องฟอกอากาศทำงานอย่างเงียบเชียบบริเวณข้างๆคอกเด็กฉันรีบไปอุ้มเจ้าก้อนมาไว้แนบอกนั่งหันหน้าออก“ปะป๊ากลับมาแล้วดีใจไหมครับ” เจ้าก้อนดิ้นดุ๊กดิ๊กมือเท้าปัดป่ายกลางอากาศอย่างน่ารักฉันอุ้มเขาไม่กี่อึดใจอากิระคุงก็ถูกริวอิจิอุ้มไปฟัดในคอกเด็กสองพ่อลูกคุยกันงุ้งงิ้งอยู่นานสองนานส่วนฉันก็รีบกลับมาเคลียร์งานที่ค้างไว้ต่อพี่ไผ่เองก็เก็บของเตรียมต
“แค่ก แค่ก ๆ” เมื่อเขาถอนออก ฉันสำลักหน้าดำหน้าแดง อีตาบ้ากดมาได้! ฉันทำได้เพียงก่นด่าเขาในใจเท่านั้น ไม่นานแผ่นหลังก็แนบติดกับประตู ชุดนอนกระโปรงถูกถกมากองไว้ที่เอว ขาข้างหนึ่งพาดบนท่อนแขนแกร่ง ยืนอย่างหมิ่นเหม่เพื่อให้เขาตอกอย่างถนัดถนี่“อื้อ” ฉันครางเครือแทบไม่เป็นภาษาเข็มยักษ์นี้ไม่รู้ว่าจะทำให้ฉันหายไข้หรือว่าป่วยเพิ่มกันแน่ยิ่งเข้าสุดออกสุดอย่างนี้ฉันจิกเล็บกับต้นแขนเขาอย่างแรงเมื่อเอวสอบเร่งจังหวะไม่ว่าจะเสียงเฉอะแฉะของน้ำลายน้ำหล่อลื่นส่วนล่างที่เชื่อมต่อกันอยู่หรือเสียงเนื้อกระทบเนื้อต่างก็พาอารมณ์พุ่งทะยานสุดกู่ริมฝีปากจูบคลอเคลียกันไม่ห่างช่วงล่างเองก็เช่นกันฉันตบต้นแขนเขาเป็นเชิงให้เปลี่ยนท่าก่อนจะผลักเขาลงกับเตียงกว้างถอดชุดนอนทิ้งลงพื้นอย่างไม่ไยดีก้าวเข้าไปควบคี่กลายเป็นคนคุมเกมและจังหวะเสียเอง สองมือสอดประสานกันเพื่อให้ฉันพยุงตัวแถมเขายังกระเด้งเอวขึ้นมาตอบรับจังหวะของฉันอีกที “อึกอื้อ” เสียงปักปักของเนื้อกระทบเนื้อดังไปทั่วห้องนอนฉันหลับตาพริ้มคอเชิดแหงนเมื่อจุดกระสันถูกแทงย้ำๆอย่างไม่ปรานีย้ำๆจุดนั้นไม่กี่ทีฉันก็ตัวสั่นกระตุกหอบเสียงครางเครือเท้าแขนไว้ข้างศีรษะเขา
“แล้วฝั่งของคุณล่ะ” ฉันชั่งใจ…เพื่อนร่วมงานมีแค่ไม่กี่คน เพื่อนหลายคนที่เคยสนิทก่อนหน้าก็ห่างหายกันไปตามกาลเวลา จะร่อนการ์ดส่งไปให้ก็กะไรอยู่…ฉันค่อนข้างเป็นคนคิดมาก อีกอย่างไม่ค่อยได้ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกันจู่ ๆ จะส่งการ์ดไปให้เขาจะหาว่าฉันอยากได้เงินใส่ซองไหมนะ“คิดอะไรขนาดนั้น”“ก็…”“ไม่รู้สิคะนอกจากเพื่อนร่วมงานแล้วก็คงไม่มีใครอีกอย่างญาติฝั่งพ่อแม่ก็ไม่ได้ติดต่อกันนานแล้วค่ะตั้งแต่ท่านเสีย” เขาโอบกอดฉันเข้ามาในอ้อมแขน“แต่ตอนนี้คุณไม่ได้ตัวคนเดียวอีกแล้วนะมีผมอากิระแล้วก็แม่ผมที่เป็นหนึ่งในครอบครัวของคุณ”“ขอบคุณมากค่ะ” ฉันยิ้มตอบเขาด้วยใจจริงไม่น่าเชื่อว่าความบังเอิญความเมาหรือผีผลักในคืนนั้นที่ทำให้เราทั้งสองได้มาเจอกันได้มาใช้ชีวิตคู่ด้วยกันและสร้างครอบครัวที่อบอุ่นไปพร้อมกันตลอดกาลมีจริงหรือไม่…นั่นไม่ใช่คำตอบที่ฉันเฝ้าหาคำตอบอีกต่อไปเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันเฝ้าหา…อยู่ตรงหน้านี้แล้วเราแพลนทุกอย่างไว้ล่วงหน้าหลังจากที่ริวอิจิกลับมาจากญี่ปุ่นก็จะจัดงานแต่งที่ประเทศไทยหลังจากนั้นค่อยกลับไปจัดที่ญี่ปุ่นต่อจะว่าปุบปับก็ไม่เกินจริงหลังจากนั้นไม่กี่วันฉันและเขาก็มาฟิตติ้งชุดเจ้
พอรู้ว่าต้นเดือนหน้าจะเริ่มงานตารางชีวิตของฉันก็ต้องจัดการใหม่หมดรวมไปถึงเวลาที่ให้พ่อของลูกด้วย“ทำไมไม่ลาหนึ่งปีไปเลยคุณจะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่”“ไม่ดีกว่าค่ะฉันอยากทำงานไม่อยากแบมือขอเงินคุณ” ฉันพูดออกไปตามจริงใช้เงินเขามันก็ดีอยู่หรอกแต่อย่างว่า…เราต้องมีเก็บสำรองด้วยอีกอย่างฉันเพิ่งเริ่มชีวิตการทำงานได้ไม่ถึงปีเสียดายวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ไม่เท่าไหร่ก็ต้องกลายมาเป็นแม่คนเสียแล้ว “เป็นถึงคุณนายเคอิ” เขาพูดพร้อมกับบีบจมูกที่เชิดรั้นของฉันตอนนี้เจ้าหมูน้อยก็เข้าเต้าอยู่แถมมือป้อมๆนั้นยังกำของเล่นในมือไว้แน่น“เงินของคุณนี่คะไม่ใช่เงินฉันสักหน่อย” “แต่ผมเต็มใจให้คุณใช้นะ…ใช้เท่าที่คุณต้องการยังได้” ฉันมองค้อนเขา“ทราบค่ะว่าคุณรวย”“แถมยังหล่อเหลามากอีกด้วย” ชมเองชงเองเหลือจะเชื่อฉันรู้ว่าเขาน่ะรวยมากขนาดไหนแล้วยังไงล่ะ…เกิดวันไหนเขาหมดใจกับฉันขึ้นมาทวงเงินที่ฉันใช้ไปทำไงล่ะทีนี้…สมองพลันนึกถึงกรุปแม่บ้านที่ว่าขึ้นมาที่แม่บ้านคนไทยต่างประสบปัญหาต่างๆกับสามีชาวญี่ปุ่นแล้วการที่ฉันไม่ได้เอาแต่พึ่งพาเขามากเกินไปเพื่อเป็นการเหลือทางรอดให้กับตัวเอง “สัปดาห์หน้าผมจะกลับไปเคลียร์งา
“อะอ๊ะ” แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปขัดถูหลังให้เล่าเขาต้องการคนขัดหลังให้ที่ไหนต้องการรวบหัวรวบหางเหยื่อเสียมากกว่า…แต่จะว่าไปฉันก็เป็นเหยื่อที่เต็มใจให้ถูกกินซะด้วยสิหากเขาเป็นกองไฟฉันก็พร้อมจะเป็นน้ำมันให้มันเผาไหม้พวกเราสองคนไปพร้อมกัน แถมเจ้าหมูน้อยยังนอนหลับปุ๋ยในเปลอย่างฝันหวานเหมือนว่าเมื่อคืนพ่อลูกทำข้อตกลงอะไรกันเอาไว้อย่างนั้นเจ้าหมูน้อยรีบตื่นมาช่วยแม่หน่อยเร็ว!!!พ่ออากิระผิวปากออกจากห้องนอนมาในตอนเจ็ดโมงเช้าร่างกายไม่มีท่าทีเหนื่อยอ่อนไม่เหมือนแม่ของลูกที่แทบจะลืมตาไม่ขึ้นวันนี้เขาคงไปทำงานสายหน่อยรอจนกว่าพี่เลี้ยงลูกจะมาช่วยไม่ได้นี่นะก็แม่ของลูกสวยขนาดนั้นใครจะอดใจยั้งมือไหว…ก็อย่างที่เคยบอก…เราสองคนเข้ากันได้ดีดีมากเสียด้วยดีกว่าที่คิดไว้เสียอีก ;pเขาจัดแจงทำอาหารเช้าไว้ให้ภรรยาดูแลลูกน้อยเมื่อพี่เลี้ยงมาถึงก็แปะมือเปลี่ยนกะเขาออกไปทำงานก่อนจะออกจากห้องแวะไปดูคุณเขาเสียหน่อยอีกฝ่ายนอนหลับอุตุจะว่าไปสองแม่ลูกนอนท่าเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเขาหยิกจมูกที่เชิดรั้นของเธอเบาๆก่อนจะกระซิบที่ข้างหู “ผมไปทำงานก่อนนะอย่านอนตื่นสายล่ะ” ฉันงัวเงียแม้ว่าร่างกายจะอ่อนเปลี้ยแต่ยังไงลูก