"เช่นนั้นให้ข้าช่วยท่านไหม?" นางถามอย่างลองเชิงพึ่งตื่นนอนในตอนเช้า นางยังไม่ได้แต่งหน้า แม้จะไม่งดงามเท่ากับเมื่อวาน แต่ผิวของนางก็ยังคงขาวเนียนอย่างไร้ที่ติ ใบหน้าเล็กๆ ของนางดูซื่อๆ แต่งกลับมีเสน่ห์เย้ายวน ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองน่าหลงไหลถึงเพียงใดลู่เหิงจือก้มลงมองนางแวบหนึ่งแล้วส่งเข็มขัดทองคำในมือให้ไม่รู้ว่านางคิดอะไรอยู่ ใบหน้าของนางแดงขึ้นทันที นางมองเข็มขัดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นมือออกไปพันรอบเอวของเขานางเตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงหัว ตอนนี้หัวของนางที่ยังไม่ได้ทำการแปรงใดๆ กำลังขยุกขยิกอยู่ใต้คางแหลมๆ ของเขา สัมผัสนั้นทำให้เขารู้สึกคันยุบยิบอยู่ในใจเห็นได้ชัดว่านางไม่เคยปรณนิบัติใคร นางใช้เวลาอยู่พักใหญ่แต่ก็รัดได้เพียงหลวมๆ เท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็รัดไม่แน่นสักทีขนาดเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังทำได้ไม่ดี ซูชิงลั่วรู้สึกร้อนใจ จากนั้นก็รู้สึกถึงมือข้างหนึ่งที่กดข้อมือของนางไว้น้ำเสียงอันอ่อนโยนดังมาจากเหนือศีรษะ "ได้แล้ว ที่เหลือเดี๋ยวข้าทำเอง"ซูชิงลั่วรีบปล่อยมือและถอยออกไปจื๋อหยวนรู้กาลเทศะดี จึงออกไปข้างนอกตั้งนานแล้วหลังจากที่ลู่เหิงจือแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ซูชิ
ซูชิงลั่วหน้าแดงขึ้นมาทันทีไม่รู้ว่าลู่เหิงจือทำไมถึงได้อารมณ์ดีขนาดนี้ ถึงขนาดแกล้งแสดงบทคนรักกันต่อหน้าฉู่หมัวมัวแต่นางจะเรียกออกไปได้อย่างไรกัน?อีกอย่าง เขาเป็นอะไรไป? ก็แค่สรรพนามที่ใช้เรียกขานเท่านั้น จำเป็นต้องใส่ใจขนาดนี้เลยหรือ? เรียกพี่สามไม่พอ ยังจะให้เรียกว่าท่านพี่อีก จะอะไรกันนักหนา?นางเหล่มองลู่เหิงจือ เห็นเขายืนอย่างสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าเขาไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ แถมสายตาที่มองนางยังแฝงไปด้วยความคาดหวังเล็กน้อยด้วยในเมื่อเป็นเล่นละครว่าเป็นคู่รัก ทำไมถึงมีนางคนเดียวที่กังวลล่ะ?ซูชิงลั่วรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมเลยเมื่อคิดได้ดังนั้น นางก็รวบรวมสติ ชี้ไปที่ปิ่นอันหนึ่งแล้วพูดว่า "ปักอันนี้เถอะ"โดยไม่สนใจปิ่นทองฝังมุกที่อยู่ในมือของลู่เหิงจืออันนั้นอีกในกระจก ลู่เหิงจือที่ยืนอยู่ข้างหลังนางเผลอยิ้มออกมานางแสดงอาการงอนอย่างชัดเจน แสร้งทำใบหน้าเป็นเย็นชา แต่มันไม่เห็นจะดูเย็นชาเลย กลับดูน่ารักมากกว่าซูชิงลั่วหลุบตาลง จงใจที่จะไม่มองลู่เหิงจือในกระจกหลังจากรออยู่สักพัก เมื่อไม่เห็นฉู่หมัวมัวหยิบปิ่นที่นางชี้มาสักที นางจึงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและก็ต้องตกใจไม่ร
ซูชิงลั่วหยุดมือที่กำลังดิ้นขัดขืนลงทั้งๆ ที่นางโกรธมากอยู่ แต่ทำไมแค่เขาพูดประโยคเดียว นางกลับไม่รู้สึกโกรธอีกแล้ว แถมยังยอมให้เขาจูงกลับมาที่ห้องอีกด้วย?ทันทีที่ประตูปิดลง อารมณ์หงุดหงิดเล็กๆ ของซูชิงลั่วที่ถูกกดไว้ก็กลับมาอีกครั้งนางอดไม่ได้ที่จะมองลู่เหิงจือและถามว่า "วันนี้ท่านทำอะไรกันแน่?"ลู่เหิงจือตอบด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "คู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานก็มักจะรักกันหวานชื่นเช่นนี้แหละ"ซูชิงลั่วถามด้วยความสงสัยว่า "จริงหรือ?"ลู่เหิงจือพยักหน้าอย่างมั่นใจ "ใช่แล้ว""ท่านรู้ได้อย่างไร?""แน่นอนว่าเพื่อนร่วมงานของข้าบอกไว้อย่างไร ทำไม นี่เจ้าไม่รู้หรือ?"ซูชิงลั่วถูกถามกลับจนไปไม่เป็นแม้ว่านางจะอยู่ในเมืองหลวงมานานแล้ว แต่นอกจากพี่น้องสามคนของบ้านตระกูลลู่ ก็ไม่มีใครที่สนิทสนมพอจะถามได้อีก และยิ่งไปกว่านั้น เมิ่งชิงไต้ที่เพิ่งจะสนิทกันก็ยังไม่แต่งงานด้วยลู่เหิงจือนั่งลงที่ข้างโต๊ะ รินน้ำชาแล้วยื่นไปตรงหน้านาง ถามด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "ดูเหมือนเจ้าจะโกรธนะ ทำไมล่ะ?"นอกจากความรู้สึกว่ารับมือไม่ไหวและอับอายแล้ว ซูชิงลั่วยังรู้สึกว่าลู่เหิงจือกำลังแกล้งนาง เหมือนกับว่ากำล
บะหมี่ไก่ฉีกนี้อร่อยมากจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะถูกสั่งสอนมาด้วยกฎระเบียบที่เข้มงวดตั้งแต่เด็ก ซูชิงลั่วคงอดไม่ได้ที่จะยกชามขึ้นมาซดน้ำซุปให้หมดเกลี้ยงนางอดไม่ได้ที่จะชมว่า "นี่เป็นฝีมือของซ่งเหวินใช่ไหม? ข้าเคยกินที่วัดเซิ่งอัน ใช้ได้เลย"ลู่เหิงจือเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร ก่อนจะเลื่อนชามบะหมี่ที่ยังไม่ได้แตะของตัวเองชามนั้นมาตรงหน้านางซูชิงลั่วมองเขา "ท่านไม่กินหรือ?""ข้าไม่หิว""ไม่ ไม่เป็นไร"แม้ปากจะบอกว่าไม่ แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองอีกหลายหนลู่เหิงจือพูดด้วยเสียงเรียบๆ ว่า "เราเป็นสามีภรรยากันแล้ว ไม่ต้องเกรงใจหรอก"ทำไมเขาถึงดูเหมือนอ่านใจนางได้เลยนะซูชิงลั่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองต้นหอมสีเขียวเล็กๆ ที่ลอยอยู่ในชาม และสูดดมกลิ่นหอมของเนื้อไก่ สุดท้ายก็อดไม่ได้ที่จะหยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วเริ่มกินชามที่สองลู่เหิงจือพูดถูกแล้ว ในเมื่อเป็นสามีภรรยากันแล้วก็ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมาก ไม่เช่นนั้นต้องพบเจอกันทุกวัน ต่อไปจะลำบากเปล่าๆที่จริงแล้วนางไม่ได้เป็นคนกินเยอะ และที่นางกินชามที่สองไม่ใช่เพราะหิว แต่เป็นเพราะรสชาติของบะหมี่นี้ทำให้นางนึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ก
และในขณะนั้นเอง ซูชิงลั่วนึกขึ้นมาได้ว่า หากจะพูดกันตามความหมายอย่างเคร่งคัดแล้ว เมื่อคืนไม่ใช่คืนแรกที่นางและลู่เหิงจือได้ผ่านค่ำคืนไปด้วยกัน คืนแรกควรจะเป็นที่เรือนพักในชานเมืองครานั้นถึงจะถูกนางไม่มีความทรงจำเลยสักนิดว่าคืนนั้นผ่านไปเช่นไร เพราะเหนื่อยล้าจนผลอยหลับไปเองสิ่งเดียวที่รู้คือ นางเชื่อใจลู่เหิงจือคิดถึงตรงนี้ นางก็รวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา : "ไม่เช่นนั้น ท่านนอนบนเตียงด้วยกันเถอะ"ลู่เหิงจือหันไปมองนางด้วยสายตาลึกล้ำคล้ายว่ากำลังไตร่ตรองสิ่งใดอยู่ซูชิงลั่วบิดผ้าเช็ดหน้าในมือ ก่อนจะรีบเสริมขึ้นมาอีกประโยค "หากพี่สามไม่รังเกียจ"ถึงอย่างไรเขาก็ไม่สนใจสตรี แม้แต่สาวรับใช้ก็ไม่มี อาจไม่คุ้นเคยกับการนอนร่วมเตียงกับสตรีก็เป็นได้ในขณะที่นางกำลังคิดว่าลู่เหิงจือคงต้องใช้เวลาไตร่ตรองอีกนานก็ได้ยินเขาตอบขึ้นมานิ่งๆ : "ก็ดี อย่างไรเสียก็เป็นสามีภรรยากันแล้ว"ซูชิงลั่วตะลังงันไปชั่วขณะเขาตอบตกลงเร็วเกินไป จนนางเองก็รู้สึกเหมือนมีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเพราะเหตุใดหลังจากนั้นก็เห็นลู่เหิงจือหยิบผ้าห่มที่พับวางไว้บนเก้าอี้หวายใส่ลงไปในตะกร้าอย่างคล่องแคล่ว ก
หลังจากแต่งงานยามนี้ ทันทีที่ซูชิงลั่วได้ยินสี่พยางค์นี้ก็รู้สึกชาไปทั้งตัวนางเกือบลืมไปแล้วว่าบนเตียงนี่มีผ้าห่มเพียงผืนเดียวแผนแกล้งหลับล้มเหลว นางจึงจำต้องหันมาหาลู่เหิงจือ แล้วถามเบาๆ : "เช่นนั้น...หรือ"ในใจกลับสงสัยนางจำได้ลางๆ ว่าท่านแม่ของนางชอบเตะผ้าห่ม หน้าหนาวท่านพ่อกับท่านแม่ห่มผ้าห่มสองผืนแต่เวลาก็ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว นางจำได้ไม่ค่อยชัดเจนนักเป็นเพราะนางสวมเพียงแต่เสื้อซับในตัวเดียว ตอนที่หมุนตัวเผยให้ลำคอเพียงเล็กน้อย ราวกับกระต่ายน้อยโผล่หัวออกมาจากรูก็ไม่ปาน แก้มยังแต้มด้วยสีแดงระเรื่อ ชวนให้คนเอ็นดูยิ่งนักลู่เหิงจือยืนยัน : "ใช่"สีหน้าของเขาเรียบเฉยแต่ซูชิงลั่วมักรู้สึกว่าสีหน้าที่เรียบเฉยของเขาแฝงไว้ด้วยความไม่เต็มใจอยู่จางๆราวกับกำลังหมายความว่าหากมีทางเลือก เขาก็ไม่อยากห่มผ้าห่มผืนเดียวกับผู้อื่นเช่นกันนางมองดูผ้านวมสีแดงที่พันอยู่บนตัวของตน แล้วดึงออกมาครึ่งหนึ่งให้กับลู่เหิงจือเขาไม่ได้พูดอะไรอีก หันไปถอดเสื้อคลุมออกแขนของเขาน่าจะยังไม่หายดี เพราะระหว่างที่ถอดเสื้อท่าทางของแขนซ้ายยังดูเกร็งอยู่บ้างความรู้สึกผิดพลันผุดขึ้นในใจของซูชิงลั่ว
ซูชิงลั่วหลับสนิทตลอดทั้งคืน กลางดึกมีช่วงหนึ่งที่รู้สึกหนาวอยู่บ้าง แต่ก็กลับมาอุ่นอย่างรวดเร็ว ราวกับอยู่ติดกับโถน้ำร้อนให้ความอุ่นก็ไม่ปานแต่โถน้ำร้อนนี่ดูเหมือนจะใหญ่ไปหน่อยบางส่วนก็ดูเหมือนจะมีตำหนิเล็กน้อยด้วยนางเอื้อมมือออกไปคลำ ทันใดนั้นเองก็ลูบโดนสิ่งยาวๆ...เส้นผม ?ซูชิงลั่วรีบลืมตาทันทีท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้วใบหน้าที่ทั้งสะอาดสะอ้านและเครื่องหน้าชัดเจนของลู่เหิงจืออยู่ตรงหน้าดูเหมือนเขาจะยังไม่ตื่น ดวงตาคู่นั้นปิดอยู่ เส้นริ้วบางๆ เส้นหนึ่งติดทับอยู่บนเปลือกตา ด้านล่างเป็นแพขนตาที่ดกดำราวกับขนอีกาแขนของนางโอบเอวของเขาอยู่ ร่างทั้งร่างแทบจะซุกอยู่ในอ้อมกอดของเขา ขาก็พันเกี่ยวอยู่บนตัวของเขานี่มันเรื่องอะไรกัน ซูชิงลั่วดึงแขนและขาออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจท่าทางกระโตกกระตากเกินไป ทำให้ลู่เหิงจือค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ แล้วมองไปที่นางซูชิงลั่วผละถอยหลัง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดหน้าอกของตนตามสัญชาตญาณนางกำลังบังอะไรอยู่นางเองก็ไม่รู้เช่นกัน ลู่เหิงจือไม่ได้กอดนางด้วยซ้ำคงเป็นเพราะท่าทางเช่นนี้ของนางแสดงออกถึงการป้องกันตัวเองชัดเจนเกินไป ลู่เหิงจือหยุดนิ่งไปเล็กน้อย
ระหว่างแต่งตัว ซูชิงลั่วมีท่าทางเหม่อลอย เอาแต่คิดว่าเหตุใดตนจึงได้พูดว่า "หลังจากแต่งงาน" ออกไปคิดไปคิดมารู้สึกว่าคงเพราะแต่งงานวันแรก ลู่เหิงจือก็พูดไปหลายครั้ง ทำให้นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนเพิ่งจะเข้าวันที่สองของการใช้ชีวิตคู่ นางและลู่เหิงจือดูเหมือนจะสนิทสนมกันเกินไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเสียหายระหว่างที่ล้างหน้าล้างตา ไม่รู้ว่าลู่เหิงจือออกไปด้วยเหตุใดฝนกด้านนอกหน้าต่างหยุดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกหนาว ดูเหมือนความอบอุ่นที่คนผู้นั้นมอบให้ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้เวลานี้ฉู่หมัวมัวเข้ามาทำผมให้นางนางเป็นคนที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาอยู่เสมอ วันนี้กลับดูเข้มงวดจริงจังเล็กน้อยหลังจากที่ทำผมให้นางเสร็จแล้ว ฉู่หมัวมัวก็สั่งให้จื๋อหยวนออกไป แล้วถามนางเสียงเบา : "คุณหนูร่างกายเป็นเช่นไร ต้องการใช้ยาหรือไม่"ซูชิงลั่วตอบด้วยความเก้อเขิน : "ไม่ต้องหรอก ข้าสบายดี"เกือบลืมไปเลย ดูเหมือนท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางด้วยการร่วมหอลงเรือนกันน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ ถึงได้ต้องเตรียมยาไว้ด้วยนางเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดเตลิดออกน