ระหว่างแต่งตัว ซูชิงลั่วมีท่าทางเหม่อลอย เอาแต่คิดว่าเหตุใดตนจึงได้พูดว่า "หลังจากแต่งงาน" ออกไปคิดไปคิดมารู้สึกว่าคงเพราะแต่งงานวันแรก ลู่เหิงจือก็พูดไปหลายครั้ง ทำให้นางจำได้แม่นไม่ลืมเลือนเพิ่งจะเข้าวันที่สองของการใช้ชีวิตคู่ นางและลู่เหิงจือดูเหมือนจะสนิทสนมกันเกินไปบ้างแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจ นางเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรเสียหายระหว่างที่ล้างหน้าล้างตา ไม่รู้ว่าลู่เหิงจือออกไปด้วยเหตุใดฝนกด้านนอกหน้าต่างหยุดแล้ว แต่ยังคงให้ความรู้สึกหนาวเย็นอยู่บ้างซูชิงลั่วกลับไม่รู้สึกหนาว ดูเหมือนความอบอุ่นที่คนผู้นั้นมอบให้ยังคงอยู่จนถึงตอนนี้เวลานี้ฉู่หมัวมัวเข้ามาทำผมให้นางนางเป็นคนที่หน้าตาดูใจดีมีเมตตาอยู่เสมอ วันนี้กลับดูเข้มงวดจริงจังเล็กน้อยหลังจากที่ทำผมให้นางเสร็จแล้ว ฉู่หมัวมัวก็สั่งให้จื๋อหยวนออกไป แล้วถามนางเสียงเบา : "คุณหนูร่างกายเป็นเช่นไร ต้องการใช้ยาหรือไม่"ซูชิงลั่วตอบด้วยความเก้อเขิน : "ไม่ต้องหรอก ข้าสบายดี"เกือบลืมไปเลย ดูเหมือนท่านยายเตรียมยาไว้ให้นางด้วยการร่วมหอลงเรือนกันน่ากลัวเช่นนี้เลยหรือ ถึงได้ต้องเตรียมยาไว้ด้วยนางเองก็ไม่รู้ว่าจะคิดเตลิดออกน
เมื่อทางด้านของนางจัดการเรียบร้อยอย่างรวดเร็วแล้วก็ไปดูลู่เหิงจือเทียบกันแล้ว เขามีของไม่น้อยที่ต้องนำไปด้วย แค่หนังสือก็สิบกว่าลังแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นซ่งเหวินขยันขันแข็ง ระหว่างเก็บของก็พึมพำไปด้วยอย่างอารมณ์ดี : "พอแต่งงานแล้วก็ไม่เหมือนเดิม ใต้เท้าจะย้ายไปอยู่จวนลู่ยาวๆ แล้วจริงด้วย"ที่นี่อยู่ใกล้กับวัง ไปราชสำนักสะดวก ก่อนหน้านี้ลู่เหิงจืออาศัยอยู่ที่นี่เสียส่วนใหญ่ภายในใจของซูชิงลั่วรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะต้องกาารให้นางได้อยู่ใกล้กับท่านยาย เขาก็ไม่ต้องลำบากตัวเองเช่นนี้นางมองดูลู่เหิงจือที่กำลังจัดหนังสือ ก่อนจะเดินเข้าไปถาม : "มีสิ่งใดให้ข้าช่วยหรือไม่"ลู่เหิงจือมองนางปราดหนึ่ง หยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นวางหนังสือลงมาแล้วยื่นให้นาง ก่อนจะพูดด้วยท่าทางจริงจังเบาๆ : "นำนี่ไปซ่อนไว้ที่เจ้า"หนังสืออะไรเหตุใดถึงต้องซ่อนซูชิงลั่วก้มลงดู เห็นตัวหนังสือบนหน้าปกก็พลันหน้าแดงแจ๋ขึ้นมาทันที“……”เช่นนั้นนี่คือหนังสือที่มีคนให้มาหรอกหรือแต่เหตุใดถึงได้วางไว้บนชั้นหนังสืออย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้...เวลานี้จะถามให้ละเอียดก็ไม่สะดวกซูชิงลั่วถือหน
ซูชิงลั่วรู้สึกเพียงแค่ร่างทั้งร่างถูกห้อมล้อมด้วยด้วยอ้อมกอดอบอุ่น แผ่นหลังแนบชิดกับแผงอกของเขา เอวถูกเขาโอบ ฝามือหนาใหญ่ของเขาวางอยู่บนหน้าท้องของนาง เป็นสัมผัสใกล้ชิดนางหายใจช้าลงโดยไม่รู้ตัว รู้สึกได้ถึงเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขา ครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นจังหวะได้ยินเสียงที่ฟังดูอ่อนล้าของเขา : "นอนเถอะ"จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงลมหายใจที่สม่ำเสมอของเขาเดิมทีนางคิดว่าคงนอนไม่หลับ ทว่าในความเป็นจริง ถูกร่างที่อบอุ่นโอบล้อมอยู่กลางค่ำคืนในฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเหน็บเช่นนี้ ไม่นานนักนางก็รู้สึกง่วง หลับตาลงอย่างสบายใจ และหลับสนิทในที่สุดไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน แต่รู้สึกได้ถึงมือของชายหนุ่มกำลังดันที่บริเวณเอวของนางเบาๆนางยังคงอยากนอนต่อ จึงหลับตาอยู่เช่นนั้นไม่ขยับ ทั้งยังแกว่งแขวนไปมาด้วยท่าทางรังเกียจ บอกให้อีกฝ่ายรับรู้ว่าอย่ามารบกวน"ไปกันเถอะ วันนี้ต้องกลับเรือนเจ้าแล้ว"ได้ยินคำว่า "กลับเรือน" ซูชิงลั่วก็ได้สติขึ้นมาทันที เกือบจะคิดว่าตัวเองหลับลืมอีกแล้ว มองดูท้องฟ้า ยังเช้าอยู่ถึงได้โล่งใจไปเปราะหนึ่งความรังเกียจเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นความขอบคุณทันที"ขอบคุณพี่สาม"
ลู่เหิงจือขานรับเบาๆ ก่อนจะลงจากรถม้าก่อน จากนั้นก็เปิดม่านรถม้าออกแล้วเอื้อมมือไปประครองนางลงมาหน้าจวนลู่ เหล่าคนใช้สองแถวที่ยืนรอต่างก็ก้มหน้าไม่กล้ามองมากนักโชคดีที่ซูชิงลั่วพอจะมีประสบการณ์กับเรื่องที่เขาพยุงตนลงจากรถม้าแล้ว จึงจับมือเขาลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่นับว่าเป็นธรรมชาติได้อยู่ทั้งสองคนเดินเข้าประตูใหญ่พร้อมกัน ซูชิงลั่วก้มหน้าพลางดึงมือกลับมา ลู่เหิงจือเพียงแค่มองนางปราดหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรทั้งๆ ที่เป็นที่ที่อยู่มานานแล้ว แต่เพราะกับมาพร้อมกับลู่เหิงจือ ทำให้ดูเหมือนมีอย่างบางเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมมาถึงห้องของหญิงชรา คนในบ้านต่างก็แต่งตัวมารอแต่แรกแล้วซูชิงลั่วเห็นหญิงชรา อดรู้สึกแสบจมูกจะร้องไห้ไม่ได้ โชคดีที่อดกลั้นไว้ได้ด้วยการเตือนของเยว่เออร์ นางจึงคุกเข่าลงคาราวะน้ำชาให้กับหญิงชราพร้อมกับลู่เหิงจือ หญิงชราขานรับด้วยความยินดีไม่หยุด ทั้งยังใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาก่อนจะไปคาราวะนางเฉียนนางเฉียนดื่มชาจนหมดด้วยความปลื้มปริ่ม แล้วมอบกำไลหยกหนึ่งคู่ให้นางเป็นของขวัญ ทั้งยังกำชับให้ลู่เหิงจือดีกับนางจากนั้นก็คาราวะนางเหอ แล้วเปลี่ยนมาเรียกนางว่าอาสะใภ้เหมือ
ซูชิงลั่วเดินหน้าแดงไปตลอดทางกลับเรือน สั่งให้จื๋อหยวนนำสินเดิมทั้งหมดไปเก็บไว้ในคลังทีละชิ้นจนครบ แล้วสั่งให้อวี้จู๋จัดห้องใหม่ ถึงอย่างไรต่อไปลู่เหิงจือก็จะต้องย้ายเข้ามาอยู่แล้วเวลานี้ในจวนลู่ไม่มีที่ว่าง เรือนของลู่เหิงจือแม้จะใหญ่กว่าเรือนของนาง แต่เขาต้องต้อนรับข้าราชการอยู่เป็นประจำ คุยเรื่องการบ้านการเมือง หากนางไปอยู่จะไม่สะดวกเท่าไหร่นักทั้งสองคนก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงแค่ทนไปก่อน รอหนึ่งปีหลังจากนี้ที่พักหลังข้างๆ ซ่อมแซมเสร็จก็จะสามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้ทันทีซูชิงลั่วเพิ่มโต๊ะเก้าอี้อีกชุดโดยเฉพาะ เพื่อจะได้สะดวกต่อลู่เหิงจือยามอ่านหนังสือ นึกขึ้นได้ว่ายามว่างลู่เหิงจือชอบนั่งเอนตัวบนเก้าอี้หวายอ่านหนังสือ นางก็สั่งให้คนหามาเพิ่มอีกตัวยุ่งวุ่นตลอดทั้งเช้า กระทั่งใกล้เที่ยง ซ่งเหวินก็มารายงานว่าลู่เหิงจือกำลังจะมารับนางไปกินมื้อเที่ยงกับนางเฉียนเวลานี้ทั้งสองเรือนต่างก็รกยุ่งเหยิงจนไม่สามารถกินข้าวได้ ที่นางเฉียนจึงเป็นทางเลือกที่ดีแต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องแวะมารับนางโดยเฉพาะเรือนของนางและลู่เหิงจือกั้นด้วยสวนดอกไม้หนึ่งสวน หากเขามาก็ต้องเดินอ้อมสวนมาคงเพราะลู่เหิง
ลู่เหิงจือพูดนิ่งๆ : "ท่านแม่เกรงใจไปแล้ว"ซูชิงลั่วรีบตอบ : "กับข้าวเยอะเช่นนี้ขอไปทีที่ใดกัน ขอบคุณท่านแม่ที่ลำบากเตรียมอาหารให้พวกเรา"แม้ลู่เหิงจือจะเฉยชา แต่โชคดีที่ซูชิงลั่วเอาใจใส่และกระตือรือร้นเมื่อเห็นว่าต่อไปความกระอักกระอ่วนระหว่างการกินอาหารร่วมกับลู่เหิงจือจะหายไปแล้ว นางเฉียนก็ยิ่งรู้สึกชอบในตัวซูชิงลั่วยิ่งขึ้น : "ยุ่งมาทั้งเช้า คงจะหิวแล้ว รีบชิมดูสิ"ซูชิงลั่วตอบตกลงทั้งสองคนนั่งลง แต่เดิมลู่เหิงจือไม่ค่อยพูดคุยกับนางเฉียนมากนัก ก่อนหน้าตอนที่มากินข้าวด้วยกันก็มักจะนางถามคำเขาตอบคำเสมอเขาเฉยชาจนเป็นนิสัย ไม่ได้รู้สึกอึดอัด แต่กลับมองออกว่านางเฉียนไม่ค่อยเป็นตัวเอง ทั้งเกรงและกลัวเขา ทั้งยังคอยเอาอกเอาใจอีกเวลานี้มีซูชิงลั่ว ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปราวกับว่านางเข้ากับคนได้ง่ายมาตั้งแต่เกิด พูดจาอ่อนโยนและนุ่มนวล คอยรับส่งกับนางเฉียนคนละประโยค ทำให้บรรยากาศคึกคักเป็นกันเองโดยทั่วไปแล้วลู่เหิงจือไม่ชอบความวุ่นวายเสียงดัง ครั้งนี้กลับรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย เพลิดเพลินอยู่ไม่น้อยไม่รู้ว่าเพราะทั้งสองคนคุยกันถูกคอมากไปหรือไม่ นางเฉียนจึงอดไม่ได้ที่
นี่เป็นครั้งแรกที่ลู่เหิงจือคีบอาหารให้นางซูชิงลั่วมองดูเนื้อแกะชุ่มฉ่ำที่วางอยู่ในถ้วยชิ้นนั้น ขานรับเบาๆ แล้วหยิบตะเกียวค่อยๆ คีบใส่ปากอย่างช้าๆกลิ่นหอมของเนื้อแกะอบอวลอยู่ที่ปลายจมูกเหตุใดถึงได้รู้สึกว่าเนื้อแกะชิ้นนี้อร่อยกว่าที่ผ่านมานางเฉียนพลันยิ้มร่า ในใจก็รู้สึกดีใจอย่างไม่บอกไม่ถูกลู่เหิงจือเคยพูดจาแสดงออกถึงความในใจที่แท้จริงของตนกับนางเมื่อใดกัน อีกทั้งในคำพูดก็ยังแฝงไว้ด้วยความปลอบใจระหว่างที่นางรู้สึกขอบคุณที่ได้สะใภ้ที่คู่ควรอย่างซูชิงลั่ว อีกด้านก็คีบเนื้อไก่ใส่ในถ้วยของซูชิลั่ว บอกให้นางกินเยอะๆ บำรุงร่รางกายให้ดีด้วยใบหน้ายิ้มแย้มซูชิงลั่วมักรู้สึกตลอดว่ารอยยิ้มของนางเฉียนดูเหมือนจะมีนัยยะอื่นอยู่ด้วยหลังมื้ออาหารทั้งสองคนรีบไปจัดเก็บห้อง นางเฉียนก็ไม่ได้รั้งพวกเขาไว้เมื่อเดินออกไป ลู่เหิงจือก็จูงมือซูชิงลั่วพาเดินไปด้านนอกอย่างช้าๆแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิไม่แรงนัก ส่องลงมาบนตัวทำให้รู้สึกสบายซูชิงลั่วไม่กล้าเงยหน้า เพียงแต่ในใจเอาแต่คิดถึงประโยคที่เขาพูดเมื่อกี้ "ยามนี้ต่างไปจากที่ผ่านมา" ให้ความรู้สึกคลุมเครือไม่น้อยรู้สึกได้ว่าลู่เหิงจือใช้ปลายนิ
จื๋อหยวนประครองซูชิงลั่วไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ส่วนอวี้จู๋ส่งผ้าขนหนูชุบน้ำร้อนให้กับลู่เหิงจือลู่เหิงจือพูดนิ่งๆ : "ข้าไม่จำเป็นต้องใช้เจ้า ไปดูแลนายของเจ้าเถอะ"อวี้จู๋ขานรับด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ก่อนจะรีบไปช่วยจื๋อหยวนทั้งสองคนช่วยกันถอดปิ่นปักผมให้ซูชิงลั่ว ล้างหน้าและถอดเสื้อผ้า หลังจากนั้นซุปแก้เมาก็ยกเข้ามาพอดีลู่เหิงจือเองก็ถอดชุดออกจนเหลือเพียงแค่เสื้อซับชั้นใน เดินมาประครองซูชิงลั่วไปที่เตียง สั่งให้คนวางซุปไว้บนโต๊ะ : "พอแค่นี้แหละ ออกไปให้หมด ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใช้พวกเจ้าแล้ว"อวี้จู๋เพิ่งจะเคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาเป็นครั้งแรกก็พลันหน้าแดงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ส่วนจื๋อหยวนแม้จะเคยเห็นมาหลายครั้ง แต่ก็ทำตัวไม่ถูกเท่าไหร่ สาวใช้สองคนมองหน้ากันปราดหนึ่ง ก่อนจะรีบออกไปหลังจากออกไป จื๋อหยวนก็พูดปลอบอวี้จู๋ : "ทำใจให้ชินเข้าไว้ก็พอ"อวี้จู๋พยักหน้า : "หลายวันมานี้ท่านพี่อยู่ปรนนิบัติช่วงกลางคืนที่นู่นลำบากแล้ว วันนี้ข้าจะอยู่เฝ้าตอนดึกเอง"จื๋อหยวนอดนอนมาสองวันก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย จึงพยักหน้าแล้วตบบ่านางเบาๆ : "เช่นนั้นก็ตั้งใจทำงาน"คืนนี้ลู่เหิงจือเองก
เสียงของนางแฝงความหมายว่า “รู้แล้วทำไมไม่บอกข้า”ซูชิงลั่วกระซิบว่า “ซือไหวไม่ให้ข้าบอกท่าน และข้าก็กลัวว่าหากบอกท่านไป แล้วจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างพี่สะใภ้กับน้องสาวได้”ลู่เหิงจือเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “แต่เจ้าไม่กลัวว่าจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาหรือ”ซูชิงลั่วซบลงในอ้อมอกเขา “จะกระทบหรือ?”ลู่เหิงจือฮึดฮัด น้ำเสียงนั้นชัดเจนว่าไม่เป็นเช่นนั้นซูชิงลั่วอดยิ้มไม่ได้ “อันที่จริงแล้วใต้เท้าอวี๋ก็ไม่เลวเลย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงเข้มขรึมว่า “ห้ามชมเขา”ซูชิงลั่วตอบอย่างเชื่อฟังว่า “ได้”อวี๋ซื่อชิงเดินมาพร้อมกับลู่ซือไหวลู่เหิงจือมองคนทั้งสองพลางถามว่า “นานแค่ไหนแล้ว?”อวี๋ซื่อชิงตอบอย่างมั่นใจว่า “เกือบปีแล้ว”นานแค่ไหนนะ???เช่นนี้ก็หมายความว่าพวกเขาเริ่มคบหากันหลังจากที่เขาและซูชิงลั่วออกจากเมืองหลวงไม่นานอย่างนั้นหรือ?ลู่เหิงจือหันมองลู่ซือไหว “เจ้ามานี่”อวี๋ซื่อชิงพูดว่า “มีเรื่องอะไรข้าจะคุยกับท่านเอง”ลู่เหิงจือยิ้มเย้ยหยัน “การสนทนาของพวกข้าสองพี่น้อง ไม่เกี่ยวกับเจ้า”ลู่ซือไหวดึงแขนเสื้อของอวี๋ซื่อชิง อวี๋ซื่อชิงจึงถอยออกไปลู่เหิงจือพาลู่ซือไหวออ
เซี่ยถิงอวี่เดินเข้ามา มองลู่เหิงจือพลางเอ่ยว่า “เหิงจือ รอบที่แล้วเจ้าแต่งงาน ข้าไม่สะดวกไปร่วมงานเพราะสถานะของข้า รอบนี้เจ้าแต่งงาน ข้าจะต้องมาดูสักครั้ง เพื่อความสบายใจของข้าเอง”เสียงของเขาดูจริงใจ ราวกับกำลังพูดคุยกับมิตรสหายคนหนึ่งลู่เหิงจือเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณมาก”ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะมีการใช้กันและกันเป็นเครื่องมือหรือไม่ แต่ยามนี้ พวกเขาเป็นสหายที่จริงใจต่อกันมากที่สุดเมิ่งชิงไต้ก็เอ่ยว่า “รอบที่แล้วข้าไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงานของน้องซู ก็รู้สึกเสียดายเหมือนกัน อันที่จริงแล้ว ข้าพาอวี้จู๋และโฉวกว่างมาด้วย”หลังจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่วกลับจินหลิง เซี่ยถิงอวี่ก็เรียกโฉวกว่างกลับมาเพราะการส่งองครักษ์ลับที่ผ่านการฝึกฝนอย่างหนักไปยังจินหลิงนั้นดูจะไม่คุ้มค่า ลู่เหิงจือก็ไม่มีความเห็นอะไร อวี้จู๋จึงยังคงอยู่ในเมืองหลวงและติดตามเมิ่งชิงไต้ซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจและเอ่ยว่า “ขอบคุณพี่เมิ่ง”เซี่ยถิงอวี่หัวเราะออกมาอย่างกะทันหันเพราะปิดหน้าอยู่ ซูชิงลั่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา รู้สึกได้เพียงว่าเสียงของเขามีความเย้าแหย่แฝงอยู่“ใช่แล้ว ข้าพาอวี๋ซื่อชิงมาด้
เนื่องจากชุดเครื่องประดับศีรษะชุดนี้ทำค่อนข้างยาก รวมถึงสุขภาพของซูชิงลั่วที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ และหลิงเกอเอ๋อร์ยังเล็กอยู่ การแต่งงานรอบสองระหว่างลู่เหิงจือกับซูชิงลั่วจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปีทั้งสองเคยแต่งงานกันมารอบหนึ่งแล้ว การแต่งงานรอบสองเป็นเพียงการให้คำมั่นสัญญาแก่กัน และไม่ได้จัดงานใหญ่โต มีเพียงเชิญญาติฝ่ายเรือนสามและญาติของตระกูลซูมาร่วมงานคล้ายคลึงกับงานฉลองอายุครบเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์เท่านั้นซูชิงลั่วสวมเครื่องประดับศีรษะที่ลู่เหิงจือคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเอง มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อยจื๋อหยวนเอ่ยว่า “ของที่ใต้เท้าคอยดูแลการผลิตด้วยตัวเองย่อมงดงามมาก”ซูชิงลั่วพยักหน้า ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือทำให้ฝีมือของช่างเหล่านั้นพัฒนาขึ้นไปอีกขั้นเลยทีเดียวก่อนหน้านี้ไม่เคยมีงานฝีมือการทอเส้นไหมทองที่ประณีตขนาดนี้มาก่อนอัญมณีสีชมพูที่ใช้ประดับดอกไม้ต้องมีสีที่เหมือนดอกท้อมากที่สุด ได้ยินมาว่าลู่เหิงจือเดินทางไปทั่วเจียงหนานเพื่อคัดเลือกอัญมณีหลายร้อยชิ้น จนกระทั่งพบกับอัญมณีที่มีสีใกล้เคียงกับสีชมพูของดอกท้อมากที่สุดหลิงเกอเอ๋อร์เดินได้มาหนึ่งเดือนกว่าแล้วยามนี้เขาวิ่งเข้ามาอย่างท
ลู่เหิงจือนวดหว่างคิ้วเบาๆ ไม่ตอบอะไรซ่งอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่ง “อันที่จริงแล้วข้ามีวิธีฝังเข็มคุมกำเนิดสอนท่านได้ หากท่านไม่ต้องการมีลูก หลังจากมีเพศรักทุกครั้ง ท่านก็สามารถฝังเข็มให้ฮูหยินได้ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่อาจจะเรียนรู้ยากหน่อย”ลู่เหิงจือโล่งอก “ข้าเรียน”เขายังเรียนเขียนบทบรรยายได้เลย การฝังเข็มแค่นี้เขาไม่กลัวอยู่แล้วซ่งอวี้ “เรื่องนี้ต้องปรึกษาฮูหยินของท่านด้วย”“แน่นอน ข้าแค่มาถามท่านก่อน” ลู่เหิงจือตอบด้วยน้ำเสียงเป็นธรรมชาติหลังจากส่งซ่งอวี้กลับห้องแล้ว ลู่เหิงจือก็เดินตามทางเดินที่คดเคี้ยวกลับต้องยอมรับว่าจวนตระกูลซูสร้างได้ดีจริงๆ แม้แต่แสงจันทราก็ยังสวยกว่าที่เมืองหลวงเขายกหน้าขึ้นมองพระจันทร์ คิดว่ายามนี้หลิงเกอเอ๋อร์หลับแล้วแน่นอน คงพาซูชิงลั่วออกมาชมจันทร์ได้เขายิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็คิดบางอย่าออก รีบก้มดูถุงหอมที่ตนเองห้อย- ถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้ลู่ซือไหวล้วนเป็นการปักสองด้านหมด แล้วของเขา......เขารีบเปิดออกนี่คือถุงหอมอันแรกที่ซูชิงลั่วให้เขานางเคยให้เขาสามอัน เขาห้อยอันนี้บ่อยที่สุด เพราะรู้สึกว่าอันแรกมีความหมายที่แตกต่างปลายนิ้วของเขาสั่น
ลู่เหิงจือเอ่ยกึ่งติดตลกว่า "หรือว่าข้าจะมาเป็นกรรมการดี?"เขาแค่พูดเล่นๆ แต่ลู่ซือไหวกลับคิดจริงจัง "ดีเลย"นางก็รีบแกะถุงหอมที่ซูชิงลั่วให้นางมาจากเอวซูชิงลั่วรู้สึกประหลาดใจ - นางพกติดตัวตลอดจริงๆลู่เหิงจือหยิบขึ้นมาเทียบกับสร้อยทองในมือของซูชิงลั่ว แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า "ก็สู้ของพี่สะใภ้ไม่ได้หรอก"ลู่ซือไหวไม่ได้รู้สึกไม่พอใจที่ถูกพูดเช่นนี้ ใบหน้าก็ยิ้มแย้ม "ก็เพราะการปักลายสองด้านจำกัดฝีมือของพี่สะใภ้"นางพลิกถุงหอมกลับด้าน ด้านในมีอะไรซ่อนอยู่ลู่เหิงจือรู้สึกเหมือนจะนึกอะไรออกแต่ก็จับไม่ได้ทันที ก็ได้ยินบ่าวรับใช้มารายงานว่าหมอหลวงซ่งจากเมืองหลวงมาถึงแล้วเขาอายุมากแล้ว ฮ่องเต้องค์ใหม่มีหมอหลวงที่ไว้ใจได้ของพระองค์เอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิดเขาเป็นชาวจินหลิง พอได้ยินว่าลูกชายของลู่เหิงจืออายุครบเดือน ก็รีบมาแสดงความยินดีในวันรุ่งขึ้นทันทีคนอื่นๆ ล้วนเป็นญาติหรือสหายเก่าของตระกูลซูแห่งจินหลิง ลู่เหิงจือไม่จำเป็นต้องไปต้อนรับเป็นพิเศษ แต่เมื่อซ่งอวี้มาเอง เขาต้องไปพบซูชิงลั่วเห็นว่าญาติมาครบแล้ว ก็อุ้มหลิงเกอเอ๋อร์และจูงมือลู่ซือไหวออกไปทักทายทุกคนทัน
ถึงจะเป็นเช่นนั้น แต่กระทำกลับอ่อนโยนอย่างไม่เคยมีมาก่อนเห็นได้ชัดว่าเขาดูแลนางเป็นอย่างดีหลังคลอดไม่นานทว่าซูชิงลั่วก็อดร้องออกมาด้วยเสียงที่ทำให้หัวใจเต้นรัวไม่ได้เขาเพิ่งเคยจูบนางเช่นนี้เป็นครั้งแรก จูบที่ทั้งถี่และอ่อนโยนจนแทบจะทั่วทั้งร่างกายของนางสุดท้ายแนบชิดนางอย่างระมัดระวังจูบเสร็จแล้ว ซูชิงลั่วก็เอนตัวลงในอ้อมแขนของเขาและถามว่า “ท่านจะเขียนบทบรรยายให้ข้าอีกหรือไม่”ลู่เหิงจือตอบเสียงเบาว่า “หากเจ้าอยากอ่าน ข้าก็จะเขียน”ซูชิงลั่วตอบว่า “อยากอ่าน”ลู่เหิงจือตอบว่า “ได้”ซูชิงลั่วรู้สึกพึงพอใจและหลับไปในอ้อมแขนของเขา*งานฉลองวันเกิดครบหนึ่งเดือนของหลิงเกอเอ๋อร์ จัดขึ้นเมื่อเขาอายุได้ สามสิบห้าวันซึ่งจัดช้ากว่าที่จินหลิงไม่กี่วันเนื่องจากญาติฝ่ายตระกูลซูเหลือไม่มาก และญาติฝ่ายตระกูลลู่ส่วนใหญ่อยู่ที่เมืองหลวง จำนวนแขกที่มาในงานจึงไม่มาก มีเพียงแค่สองโต๊ะเท่านั้นแต่ภายในบ้านก็ยังคงคึกคักเป็นพิเศษ เพราะไม่ได้มีงานมงคลเช่นนี้มานานแล้วลู่ซือไหวก็ถูกรับกลับมาจินหลิงเช่นกัน เนื่องจากลู่เหิงจือและซูชิงลั่ววางแผนจะอยู่ที่จินหลิงสักสองสามปี นางจึงอยากอยู่กับพี่ช
ลู่เหิงจือจึงได้อยู่เดือนเป็นเพื่อนซูชิงลั่วเขาเริ่มสังเกตเห็นว่าเมนูอาหารในบ้านเปลี่ยนไปจากเดิมมากโดยเฉพาะเมนูที่ไม่ค่อยได้ทำมาก่อนแต่ปรากฏในช่วงนี้อยู่บ่อยครั้ง - ตีนเป็ดตุ๋นน้ำแดง เนื้อแพะตุ๋น มะเขือม่วงย่าง และหัวสิงโตนึ่งลู่เหิงจือกินไปหลายวันก็เริ่มฉุกคิดได้ จึงหันไปมองซูชิงลั่ว“ครั้นที่เจ้าไปกินข้าวกับอวี๋ซื่อชิงและหลี่ว์เผิงเทียน แล้วถามเถ้าแก่ว่าข้าชอบกินอะไร”ซูชิงลั่วก็ไม่ได้ปฏิเสธหลังจากคืนดีกับลู่เหิงจือแล้ว พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจกันมากขึ้น - สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ราวกับไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วทำให้นางกับลู่เหิงจือต่างรู้สึกสบายใจมากขึ้น“ข้าเพิ่งรู้ว่าที่ผ่านมาท่านเอาใจข้าเรื่องอาหารมากเลย” ซูชิงลั่วเอ่ยติดตลก “ไม่แปลกใจเลยที่ท่านจะไม่ค่อยกลับบ้านมากินข้าว”ลู่เหิงจือเงยหน้าขึ้นมองนางซูชิงลั่วเงยหน้าขึ้นมองเขาพร้อมกับเอียงหัวเล็กน้อย “ที่ผ่านมาเป็นความผิดของข้าเองที่ไม่เคยได้สังเกต”นางเอื้อมมือไปดึงหูเขาเบาๆ พลางเอ่ยว่า "ต่อไปนี้ สามีจะได้กินอาหารถูกปากที่บ้านบ่อยๆ แล้วนะ"การที่นางเรียกเขาว่า "สามี" และดึงหูเขาทำให้สายตาของลู่เหิงจือลึกซึ้งยิ่
ซูชิงลั่วหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนถึงจะฟื้นพอฟื้น คนแรกที่เห็นคือลู่เหิงจือที่นอนอยู่ข้างๆ มือของเขายังจับมือนางไว้อยู่ และฝ่ามือก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อนางขยับมือลู่เหิงจือรู้สึกตัวทันที ไม่ต้องให้นางเอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบเทน้ำอุ่นใส่ถ้วย แล้วอุ้มนางเข้ามากอดในอ้อมแขน ป้อนน้ำให้นางซูชิงลั่วดื่มไปหลายถ้วยถึงจุใจ เสียงของนางก็แหบพร่า “ลูกล่ะ”“อยู่ห้องข้างๆ เจ้าน่ะ มีแม่นมเหมยและแม่นมคอยดูแลอยู่ ท่านย่าก็แวะไปดูเป็นระยะๆ เจ้าไม่ต้องห่วง” ลู่เหิงจือถามนาง “หิวหรือไม่”ซูชิงลั่วพยักหน้า หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนลู่เหิงจือตอบว่า “ข้าวต้มกับบะหมี่เตรียมไว้แล้ว เจ้าอยากกินอะไร”“แม่นมเหมยบอกว่าเจ้าเพิ่งคลอด ควรกินอาหารอ่อนๆ ไปก่อน”เขาเอื้อมมือไปจัดทรงผมที่ยุ่งเหยิงของนาง “พอเจ้าสบายตัวขึ้นแล้ว ข้าจะลงครัวทำอาหารที่เจ้าชอบกินด้วยตนเอง”ซูชิงลั่วพยักหน้า “บะหมี่แล้วกัน”นางไม่มีแรงแม้แต่จะยกแขนลู่เหิงจือจึงอุ้มนางไว้ในอ้อมแขน ป้อนให้นางทีละคำนางกินบะหมี่ไปสองชามเล็กถึงจะอิ่ม และคิดถึงลูกขึ้นมา จึงถามว่า “ลูกหลับอยู่หรือไม่ หากตื่นแล้วอุ้มมาให้ข้าดูหน่อย”ลู่เหิงจือเอ่ยเสียงทุ้
เวลาล่วงเลยเข้าสู่ยามวิกาล ลู่เหิงจือและหญิงชราก็ยังคงรอคอยอยู่ข้างนอกเยว่เออร์จึงปลอบว่า “นายหญิงเฒ่า คุณหนูคงยังไม่คลอดในทันที ท่านควรกลับไปพักผ่อนเสียก่อน มิเช่นนั้น เมื่อคุณหนูคลอดบุตรออกมาแล้ว ร่างกายของท่านจะไม่ไหวเอาได้ คุณหนูก็ต้องมาเป็นห่วงอีก”หญิงชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “เจ้าไม่ต้องมาปลอบข้าหรอก ข้านอนไม่หลับอยู่แล้ว”เยว่เออร์จึงได้แต่ทำตามคำสั่งโชคดีที่เป็นเดือนหกของจินหลิง ค่ำคืนนี้จึงไม่หนาวลู่เหิงจือได้สั่งให้คนนำนาฬิกาทรายมาวางไว้ในบริเวณลานกว้าง และรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ยาวนานเหลือเกินราวกับว่าความอดทนทั้งหมดของเขาหมดไปกับค่ำคืนนี้ฟ้าสางแล้วเสียงร้องครวญครางของซูชิงลั่วก็เบาลง ดูไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อคืน และค่อยๆ สงบลงลู่เหิงจือใจร้อนจึงรีบส่งคนเข้าไปถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”สาวใช้รีบตอบว่า “ใต้เท้าอย่าได้เป็นห่วงเลย ฮูหยินเพียงแค่เหนื่อยจนหลับไปเจ้าค่ะ”นางไม่ได้หลับทั้งคืน เสียงร้องครวญครางก็พยายามกลั้นไว้ คงจะเหนื่อยล้ามากลู่เหิงจือพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อซูชิงลั่วหลับไปเพียงครึ่งชั่วยาม ท้องก็เริ่มปวดอีกครั้งนางตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บป